" เรา " และเพื่อนร่วมโลกหลายร้อยล้านคน เติบโตมาพร้อมความฝัน และเหล่ายอดมนุษย์การ์ตูนในดวงใจ ฉันก็เช่นกัน ถ้าย้อนกลับไปเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก ฉันต้องตื่นแต่เช้าในวันเสาร์และอาทิตย์ เพื่อมาให้ทัน ช่อง 9 การ์ตูน แน่นอนแหละว่า ฉันเติบโตมาพร้อมการ์ตูนของญี่ปุ่น.. ฉันถูกความเป็นญี่ปุ่นซึมซับเข้ามาตั้งแต่เด็ก ด้วยเจ้าแมวเหมียวสีฟ้าจมูกแดงอย่างโดเรม่อน ตัวประหลาดอย่างดิจิม่อน กิจกรรมระหว่างคาบเรียนของฉันและเพื่อนโดยการเขี่ยไพ่ยูกิ หากในตอนที่ฉันเติบโตมา ประเทศญี่ปุ่นอาจจะดูห่างไกลจากฉันสักระดับนึง ด้วยความที่สมองของฉันนั้นเต็มไปด้วยว่า ประเทศนี้จะมีอะไรให้เราเอาสองเท้าไปค้นหา นอกจากความเจริญทางเทคโนโลยีและทางวัตถุ ความเร่งรีบของผู้คนบนรถไฟฟ้า หรือนอกเสียจากผู้คนหนุ่มสาวหน้าตาน่ารัก ผิวพรรณขาวๆ นี่คือความคิดของฉันก่อนที่จะเริ่มออกเดินทางไป เพราะเจ้าเพื่อนตัวดีบอกว่า แกต้องลองไปดูสักครั้งนึง ฉันลองเชื่อเพื่อนสักครั้ง พร้อมตอบตกลงว่า เราจะไปดูใบไม้เปลี่ยนสีที่ทะเลสาปคาวากูจิโกะกัน อยากไปจะไปดูให้เห็น ว่าที่นี่มีของดีอะไร ทำไมคนไทยถึงชอบไปกัน.. ว่าแล้วก็ไปกันเถอะ

ฉันเดินทางจาก สถานี Ueno มายัง สถานี Shinjuku จากนั้นต่อ จากสถานี Shinjuku ไปยัง สถานี Otsuki ใช้ระยะเวลาประมาณ ชั่วโมงนิดๆ ระหว่างนี้เราก็เพลิดเพลินกับวิวบ้านเมืองของชาวญี่ปุ่นข้างทาง บนรถไฟมีบริการขายขนมและกาแฟ พร้อมคนขายน่ารักยิ้มหวานอีกด้วย

เมื่อถึงสถานี Otsuki เราจะทำการต่อรถไฟอีก 1 ขบวน เพื่อไปยัง Kawaguchiko station นั่นคือสถานีจุดหมายปลายทางของเรา ระหว่างทางก็จะพบบ้านเรือน สลับกับภูเขาสีเขียวบ้าง มีการทำการเกษตรบ้างประปราย ช่วงที่ฉันไปเป็นช่วงปลายเดือนตุลาคม จึงพบใบไม้เปลี่ยนสีบ้างแต่ไม่มากเท่าไร วิวข้างทางนี่เรามองไม่เบื่อจริงๆ


ที่พักของเราในคืนนี้เป็นบ้านพักไสตล์ Cottage มีห้องใต้หลังคา มีห้องครัวทำครัวเองได้ ชื่อว่า Kawaguchiko Country Cottage Ban ทางที่พักมีจักรยานให้เช่าสำหรับปั่นไปชม Mt.Fujisan ในยามเช้าอีกด้วย เราเลือกพักกันที่นี่เพราะสามารถมองเห็น MT.Fujisan ได้เลย แต่ก็อย่างว่า การจะมาเที่ยวแต่ละที ต้องพกดวงให้ฟ้าเปิดมาจริงๆ


ฉันตื่นแต่เช้า จะบอกว่าตั้งแต่ไก่โห่ก็ไม่ใช่ เพราะที่นี่ไม่มีไก่ แฮร่.. ฉันปรับเปลี่ยนลุคตัวเองด้วยเสื้อขนเป็ดตัวหนา 1 ตัว หมวกไหมพรม 1 ใบ ผ้าพันคอ 1 ชั้น พร้อมใจเกินร้อย ออกมาคว้าจักรยาน พร้อมก้มดูนาฬิกาในตอนนั้นเป็นเวลา 05:45 น. แสงพระอาทิตย์ค่อยๆทอดขอบฟ้า พร้อมกับอากาศอันหนาวเหน็บประมาณ 3 องศา ที่ทำให้มือของฉันแข็งกร้าวไปหมด ฉันค่อยๆคว้าจักรยานออกมาปั่นแล้วก็ต้องจอดจักรยาน พร้อมหยุดมองภาพที่อยู่ตรงหน้า.. MT.Fujisan ตั้งตระหง่าน อยู่ข้างหน้าแล้ว ยังจำความรู้สึกนั้นได้ดี ฉันดีใจมากจนบอกไม่ถูก เพราะวันนั้นฟ้าเปิด พระอาทิตย์ค่อยๆฉายแสงทอดขอบฟ้า มันช่างเป็นภาพที่สวยงามเสียจริง ภาพแบบนี้ เราอยากให้ทุกคนในช่วงชีวิตของเรา คนที่เรารัก คนที่รักเรา มาเห็น มาสัมผัสความรู้สึกนี้ด้วยกันจัง


ฉันไม่รอช้า ปั่นจักรยานท้าความหนาว ไต่ลงเนินเขา ปั่นไปเรื่อยๆตามถนน ปล่อยใจไปตามอารมณ์ ให้หัวใจนำทาง เอาจริงๆก็เดาแหละว่ามันต้องไปออกทะเลสาปได้ ปั่นไปเรื่อยๆ มองบ้านคน มองวิถีของคนที่นี่ บ้างก็มาออกกำลังกาย บ้างก็มาปั่นจักรยาน บ้างก็พาหมามาเดินเล่น มองดูไปเรื่อยๆ จริงๆ ชีวิตที่นี่ที่เราเคยมองว่ามันเร่งรีบ มันก็ไม่ได้เร่งรีบเสมอไปนี่นา ฉันคิด พร้อมลบสิ่งที่สั่งสมมาในสมองของตัวเอง..



ฉันปั่นจักรยานมั่วๆมาถูกทางจนมาถึงทางริมทะเลสาป คาวากูจิโกะ เห็นใบไม้ต้นไม้บางต้นเริ่มเปลี่ยนสีเป็นเหลือง เป็นแดงบ้างแล้ว มันจะดีเสียกว่าถ้าเราจอดจักรยาน และหยุดเดิน มองคนรอบๆข้าง ฉันส่งผ่านความสุขของเช้านี้ผ่านรอยยิ้ม รอยยิ้มคือการทักทายที่ดีที่สุด ของคนต่างเชื้อชาติ .. ฉันกดถ่ายรูป MT.Fujisan ผ่านทะเลสาปไปในมุมต่างๆ ฉันเก็บภาพความทรงจำดีดีผ่านสายตาและบันทึกมันลงไปในสมองส่วนความทรงจำ : )




หลังจากกลับมาจากทริปนี้ ทำให้มุมมองของฉันที่มีต่อประเทศนี้เปลี่ยนไปเยอะมากพอสมควร การเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว จริงๆในความเจริญ ยังมีความชนบทให้น่าค้นหา ยังมีวิถีชีวิตให้น่าสัมผัส ยังมีภาษาที่อยากให้เราเรียนรู้ ภาษาที่แตกต่างทำให้ให้เราพร้อมจะใช้ภาษามือได้ตลอดเวลา และสิ่งที่ฉันได้เรียนรู้ คือ " เสน่ห์ " แต่ละที่ ทุกๆที่ไป จะมีเสน่ห์ ที่น่าค้นหาในแบบของเขา ที่นี่ก็เช่นกัน สถานที่ก็สวยในแบบของมัน ผู้คน วัฒนธรรม ก็น่ารักในแบบของเขา ... ฉันขอตบปากตัวเองสักสิบที และล้างสมองส่วนที่เคยมีต่อประเทศนี้ ประเทศที่ฉันไม่เคยอยากมา หลังจากกลับมาฉันก็ได้แต่โอดครวญว่าอยากกลับไปอีก พร้อมลั่นจองตั๋วไปเรียบร้อยแล้ว : D





ความคิดเห็น