ที่มาของทริป ประเทศที่ไปทั้งหมด วิธีการเตรียมตัว ค่าใช้จ่าย แผนการเดินทาง วีซ่า เงิน ของที่พกไป กระทู้นี้เลย https://pantip.com/topic/37261427

ฝากติดตามด้วยนะคะ ^^

Facebook page : https://www.facebook.com/Mytravelholicdiary/

Instagram : https://www.instagram.com/my_travelholic_diary/


Day 1 T h a i l a n d - C h i n a
“บททดสอบตั้งแต่วันแรก”

ที่ดอนเมือง วันแรกเดินทางคนเดียว...สายการบินไม่ออกตั๋วขาไปให้ เพราะไม่มีตั๋วขากลับออกจากประเทศจีน !

ต้องขนเอกสารทั้งหมดที่พกไป มายืนยันว่าแผนการเดินทางของเราเป็นแบบไหน เรามีตั๋วกลับไทยจากเอเธนส์ ประเทศกรีซ ซึ่งก็อีก 2 เดือนข้างหน้า และเพราะเราใช้วิธีเดินทางออกจากประเทศจีน ด้วยการนั่งรถบัสไปที่ชายแดนเมือง Erlian แล้วข้ามฝั่งไปประเทศมองโกเลีย ซึ่งเป็นรถบัสท้องถิ่นที่เราไม่สามารถจองตั๋วล่วงหน้าออนไลน์ได้ ก็เลยไม่มีตั๋วมาโชว์ (แต่ก็ปริ้นข้อมูล แผนที่ของสถานีรถบัสไว้พร้อมแล้ว)

วีซ่าจีนมีครบ แต่เจ้าหน้าที่สายการบินก็ยังไม่ยอมออกตั๋วให้ จวนจะถึงเวลาขึ้นเครื่องอยู่แล้ว ถามอะไรมามากมายก็ตอบได้หมด เพราะทำแผนละเอียดยิบเอง แล้วนี่แค่ด่านแรกสายการบินนะ ไม่ใช่ ตม. เจ้าหน้าที่สายการบินถามอีกว่า ถ้าโดนปฏิเสธไม่ให้เข้าประเทศ มีเงินติดตัวพอจะซื้อตั๋วกลับได้ไหม เราบอกมีอยู่แล้ว เพราะนี่เตรียมเงินมาเที่ยวตั้ง 2 เดือนนะ - -“

พนักงานสายการบินยังคงพากันเอาแผนการเดินทางเราไปมุงดู เหมือนจะไม่เชื่อ จนมีน้องพนักงานผู้ชายอีกคนมาคุยว่า “พี่สุดยอดเลย ผมอยากเดินทางแบบนี้บ้าง” ซึ่งน้องคนนี้รู้จักเส้นทางสายทรานไซบีเรีย แล้วรู้ว่ามันสามารถเดินทางเข้ายุโรปได้โดยไม่ต้องบิน สุดท้ายคนอื่นๆ ก็เลยเห็นด้วยตกลงออกตั๋วให้ แล้วมายอมรับทีหลังว่า เขากลัวโดนเจ้าหน้าที่สายการบินทางประเทศจีนดุเอาว่าปล่อยให้ผู้โดยสารที่ไม่มีตั๋วออกจากจีน บินไปได้ไง ประมาณนั้น โอเค...เข้าใจค่ะ > <

ได้ตั๋วแล้วก็รีบโหลดกระเป๋า ผ่านตม.เข้าไปหา Gate แล้วรีบโทรหาน้องที่จะบินตามไปวันพรุ่งนี้ว่าเราเจอเหตุการณ์แบบนี้นะ ให้เตรียมตัวไว้ด้วย เพราะน้องยังไม่มีตั๋วกลับโชว์เหมือนเราด้วยซ้ำ > <

หลังจากเหตุการณ์ที่ดอนเมือง ช่วงอยู่บนเครื่องบินกังวลมาก กลัวตม.จีนจะไม่ให้เข้าประเทศ ทริปในฝันของช้านนนนนจะสะดุดตั้งแต่วันแรกเลยไหมเนี่ย...จนกระทั่งมาถึงสนามบิน Tianjin ประเทศจีน ตอน 17:00 น.

สรุปว่า...ผ่าน ตม. แบบไม่ถามอะไรเลยสักคำ!

T i a n j i n

เหตุผลที่ซื้อตั๋วเครื่องบินมาลงที่เมืองเทียนจิน ประเทศจีน เพราะราคาถูกกว่าไปลงปักกิ่งครึ่งนึง ซึ่งเทียนจิน - ปักกิ่ง ใช้เวลาเดินทางด้วยรถไฟความเร็วสูงแค่ 45 นาที ราคา 54.5CNY (260 บาท) ในตอนนั้นประหยัดกว่าซื้อตั๋วไปลงปักกิ่งตั้ง 4,000 บาทเลยทีเดียว

ด้วยความหิว และความสบายใจไม่กังวลล่ะ ก็เลยไปนั่งกินแมคโดนัลด์ ชิลๆ ไม่รีบร้อนอะไร เพราะคิดว่าเดี๋ยวออกไปนั่งรถไฟความเร็วสูง 45 นาทีก็ถึงปักกิ่งง่ายๆ โดยไม่เคยคิดเลยว่า ต่อไปนี้หล่ะจะเจอบททดสอบความเอาตัวรอดของแท้!

มีเรื่องเล่าก่อนว่า...เราเป็นนักเดินทางสายกระเป๋าลาก แบบไซส์เล็กขึ้นเครื่องได้ กับกระเป๋าเป้เดย์แพ๊คอีกใบนึงแค่นั้น แต่ทริปนี้เราจัดกระเป๋าแบคแพคใบใหญ่ขนาด 50 ลิตร ใส่ของหนักประมาณ 12 โลสะพายไว้ด้านหลัง กับกระเป๋าเป้ใส่กล้อง แลปท้อป หนังสือ อุปกรณ์โน่นนี่อีกประมาณ 7 โล สะพายไว้ด้านหน้า และนี่เป็นครั้งแรกของการแบกของเกือบ 20 โล ไว้บนตัวโดยที่ยังสะพายไม่เป็น ไม่ถูกวิธี...เป็นเรื่องที่ทรมานกระดูกสันหลังในวันแรกมาก T_T

หลังจากกินแมคโดนัลด์เสร็จ ก็เดินหาสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน เพื่อที่จะไปสถานีรถไฟ ก็เริ่มมั่วกันตั้งแต่ตรงนี้ เดินออกไปหานอกอาคาร ผ่านลานจอดรถ ท่ามกลางแดดเปรี้ยงและกระเป๋าโคตรหนัก สุดท้ายเดินกลับเข้ามาถามเจ้าหน้าที่ในอาคาร ได้ความว่าต้องลงลิฟท์ไปชั้นใต้ดิน

ตู้ซื้อตั๋วรถไฟใต้ดินก็จะเหมือน MRT บ้านเรา ได้เหรียญชิพมาแล้วก็ขึ้นรถไฟใต้ดินไปลงสถานี Tianjin Railway Station เป็นสถานีหลักและใหญ่มาก ที่เชื่อมต่อรถไฟฟ้าความเร็วสูงระหว่างเมือง เดินแบกเป้ที่ยังสะพายไม่เป็นแบบหนักหลังแอ่นจนถึงที่ขายตั๋ว มีทั้งแบบซื้อเองที่ตู้ และแบบที่ต้องเข้าไปซื้อที่หน้าเค้าเตอร์ ก็คิดว่าไม่น่ายาก ไปต่อแถวจะซื้อเองที่ตู้อยู่นานเพราะคนเยอะมหาศาล จนใกล้ถึงคิวเรา มองดูคนข้างหน้า เริ่มเอะใจว่าทำไมต้องใช้บัตรอะไร ก็เลยถามคนข้างหน้าแต่พูดอังกฤษไม่ได้ เขายื่นบัตรให้ดูประมาณว่า เธอต้องมีบัตร ID แบบนั้นถึงจะซื้อได้ อ้าวเหรอ ยังไงดี ก็เลยลองเดินหาพนักงาน ก็เจอแบบพูดอังกฤษไม่ได้อีก แต่ชี้ๆให้เข้าไปซื้อที่หน้าเค้าเตอร์เลย

แต่ทางเข้าคือแบบเข้าทางเดียว กลับออกมาไม่ได้ สแกนกระเป๋าเข้าไป ยืนงงๆ ตรงเค้าเตอร์อีกเกือบ 10 ช่อง ลองหาถามชาวบ้านแถวนั้นดูว่าไปปักกิ่งซื้อตั๋วช่องไหน แต่ทุกคนคือเอามือถือมาเช็ครอบรถไฟให้ มันจะเป็น App ภาษาจีน ไว้ใช้ดูตารางรถไฟ คนแรกบอกไม่มีไปปักกิ่ง คนที่สองก็บอกเหมือนกัน เห้ยยย...ซวยล่ะ มันใช่เหรอ ก็เช็คมาแล้วว่าที่นี่ก็มีไปปักกิ่งนี่นา เริ่มวุ่นวายใจ เริ่มเสียเวลาที่นี่นาน กลัวว่าจะค่ำ เลยลองหาวิธีอื่นดู ด้วยการโทรผ่าน We Chat ไปหาเพื่อนคนจีนที่พูดอังกฤษได้ (ดีนะที่ซื้อเนตโรมมิ่งมาวันแรก) บอกให้ช่วยพิมพ์เป็นภาษาจีนมาให้หน่อยประมาณว่า “ฉันจะไปปักกิ่ง” แล้วเราก็เอาข้อความอันนั้นไปหาถามที่เค้าเตอร์ แต่ไม่มีใครให้คำตอบที่ชัดเจนได้ว่ามีตั๋วไหม อะไรยังไง ยืนงง ใจเสีย อยู่นานมาก T_T

จนมีน้องผู้ชายที่ยืนข้างหน้าหันมาพูดภาษาอังกฤษกับเรา โอ้ยยยยกรี๊ดดดดีใจมาก มีคนพูดอังกฤษได้แล้ว น้องคนนั้นก็ทำเหมือนคนก่อนหน้า คือเอามือถือมาเช็ครอบรถไฟ แล้วบอกไม่มีต้องไปอีกสถานีนึง ส่วนสภาพเราตอนนั้นเริ่มไม่ไหวกับการแบกกระเป๋า เริ่มเพลียกับการหาตั๋วไม่ได้ อย่างที่บอกเข้ามาในนี้แล้วหาทางออกไม่ได้อีก แล้วจะให้แบกกระเป๋าไปสถานีรถไฟอันใหม่ นี่คือขอทำใจหนักมาก

สุดท้าย ณ จุดนั้น ขอนั่งพักก่อนไม่อยากทำอะไรแล้ว ไปหลบมุมแอบอยู่ด้านหลังตู้อะไรสักอย่าง โทรคุยกับเพื่อนคนจีนอีกนิดหน่อย สัก 20 นาที พอหายเหนื่อยก็ออกมาจากมุมตรงนั้น ก็เห็นน้องผู้ชายคนเดิมกำลังเดินตามหาเราวุ่นวายอยู่ น้องบอกเดินตามหาเราตั้งนานแล้ว เขาหาที่ซื้อตั๋วให้ได้ล่ะ เย้!!!

น้องพาไปซื้อตั๋วที่ช่องขายตั๋วตรงนั้นแหละ แล้วพาไปที่ทางเข้า Platform บอกว่าส่งได้แค่นี้ เขาต้องไปก่อนแล้ว ตอนนั้นน้ำตาจะไหล ดีใจมาก ร้อนเหงื่อท่วม เอากระเป๋ากองนั่งลงที่พื้นกลางสถานีเลย นับตั้งแต่ที่ลงเครื่องมา เราใช้เวลาในการหาสถานีรถไฟ ซื้อตั๋ว งงๆ วุ่นวายจนได้รับความช่วยเหลือ ประมาณเกือบ 4 ชม. และตอนนี้รออีกแค่ครึ่งชั่วโมงจะได้ขึ้นรถไฟไปปักกิ่งแล้ว ก็ได้แต่ขอบคุณน้องมากๆ แล้วก็แยกจากกันไป

พอเข้ามาใน Platform อื้อหืออออ มันใหญ่มาก รถไฟความเร็วสูงทั้งนั้น มีไม่รู้กี่ขบวน ตื่นตาตื่นใจไปอีก ขึ้นรถไฟมาด้วยความโล่งใจ แอร์เย็นสบายก็จริง แต่ก็ยังมานั่งกังวลต่อไปอีกว่า ถึงปักกิ่งจะต้องไปเจออะไรอีกบ้าง ค่ำมืดขนาดนี้แล้ว เดินไปที่พักจะเปลี่ยวไหม แต่ก็พยายามตั้งสติ หายใจลึกๆ จนถึงปักกิ่งซะที

มาถึงปักกิ่งออกจากสถานีรถไฟไป Subway เอาหล่ะ เดินตามคนจีนไปแล้วแอบถามว่า Subway ไปทางไหน เขาก็บอกให้เดินตามมา ถึงตู้ซื้อตั๋ว คนเยอะมากมายอีกแล้ว ต่อแถวอีกนานนนน ซื้อตั๋วเองได้ไม่ยาก แต่รอคิวนานมาก ที่พักของเราต้องขึ้น Line 4 สีเขียว ลงสถานี Xisi

ถึงตอนขึ้น Subway ก่อนหน้านี้รู้มาว่า ที่คนรู้จักเคยโดนล้วงกระเป๋าหายทั้งพาสปอร์ตทั้งเงิน ที่รถไฟใต้ดินปักกิ่ง วินาทีนั้นหวาดระแวงมาก ใครๆ ก็ไม่น่าไว้ใจไปซะหมด คนก็แน่นรถ ต้องยืนกอดกระเป๋าหน้าที่ใส่ของมีค่าไว้แน่น แล้วยังต้องแบกกระเป๋าแบคแพคที่หนักอึ้งข้างหลังทั้งหมดเกือบ 20 โลอยู่บนตัว T_T

จนมาถึงสถานี Xisi ตอน 4 ทุ่ม ออกมาด้านนอกเดินตามแผนที่ในมือถือ โอ้ยยยยคือเปลี่ยววังเวงอะไรขนาดนี้ นี่เมืองหลวงนะ แทบไม่มีคนเลย เดินผ่านมีร้านอาหารเปิดอยู่ร้านนึง เหมือนจะมีเรื่องอะไรกัน มีรถตำรวจจอดอยู่ เราจ้ำอ้าวแบกกระเป๋าหนักๆ (เพราะยังรัดกระเป๋ากับตัวไม่เป็น) แทบเป็นลม จนเห็นป้ายไฟสีแดงๆ ท่ามกลางความมืดสลัวฝั่งตรงข้ามถนน “Beijing Sunrise Youth Hostel Beihai Branch” เย้! มาถึงจนได้ เป็น 650 เมตร ที่เดินแล้วรู้สึกไกลที่สุดในชีวิตเลย T_T จำได้ว่าหัวใจยังเต้นแรงแทบจะหลุดออกมา เหนื่อยเหงื่อท่วมตัว ทั้งกลัว ทั้งปวดหลัง แล้วอยากจะระบายให้ใครสักคนที่เราเจอคนแรกฟัง นั่นคือรีเซฟชั่น! แต่พอเห็นหน้าไร้อารมณ์ที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำเช็คอินให้เรา และยุ่งกับแขกคนอื่นๆ อยู่ โอเคเดี๋ยวเราต่อเนตโทรไปคุยกับน้องที่จะตามมาพรุ่งนี้ก็ได้

ก็นั่นหล่ะ...เป็นวันเริ่มต้นทริปที่แย่ที่สุดไปเลย T_T

ค่าใช้จ่าย Day1 Thailand - Beijing, China

AIS Roaming 480 บาท

MacDonald 23.5CNY (112 บาท)

รถไฟใต้ดินจากสนามบิน - Tianjin St. 3CNY (14 บาท)

รถไฟ Tianjin - Beijing 54.5CNY (260 บาท)

รถไฟใต้ดินไป Hostel (Xsis Station) 4CNY (19 บาท)

ค่า Hostel 288 บาท

Day 2 B e i j i n g - C h i n a
“ได้มาอีก 1 บทเรียน”

วันนี้ค่อนข้างสบายใจขึ้นเยอะ เพราะจะมีน้องผู้ชายอีกคนตามมาสมทบและเดินทางด้วยกันตลอดจนจบทริป 2 เดือนต่อจากนี้ ชิวเป็นบล๊อคเกอร์สายท่องเที่ยวเพจ https://www.facebook.com/ChillJourney/ อายุน้อยกว่า 7 ปี เรารู้จักกันมาประมาณ 2 ปีผ่านการพูดคุยทางเฟสบุค โดยที่เคยเจอหน้ากันแค่ครั้งเดียว ก่อนหน้านี้ชิวเป็นที่ปรึกษาให้เราเรื่องการเขียนบล๊อคท่องเที่ยวด้วย

และการที่คน 2 คน ไม่สนิทกันเลยและจะต้องเดินทางด้วยกันนานขนาดนี้ เรื่องสำคัญคือต้องมีการตกลงร่วมกันก่อน เช่นว่าหากมีอะไรไม่ถูกใจ ไม่ชอบ ให้พูดคุยกันตรงๆ อาจจะแยกกันเที่ยวแล้วค่อยกลับมาเจอที่โฮสเทลตอนเย็นอะไรประมาณนั้นก็ได้ เพราะเราไม่อยากตีกันตายก่อนจบทริป ฮ่าๆ

ชิวบินตรงจากไทยมาถึงปักกิ่งและตามมาที่โฮสเทลแต่เช้า ด้วยความเพลีย เพราะไม่ได้นอนมาทั้งคืน ก็เลยขอนอนหลับพักก่อนสักครู่ เราก็โอเค งั้นออกไปเดินสำรวจหาของกินแถวนี้ดีกว่า

เราเดินย้อนออกมาทางเดียวกับเมื่อคืน บรรยากาศแตกต่างกับตอนกลางคืนมาก บนถนนมีรถราผู้คนมากมาย ไม่เงียบเหงา ว่าแล้วก็เลยมองหาร้านอาหารเล็กๆ ที่คิดว่าไม่แพงและพอกินได้ จากประสบการณ์เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ที่เคยไปแถวมณฑลยูนนานกับเสฉวน เราเลือกร้านไม่พลาดสักร้าน คืออร่อยถูกปากและราคาไม่แพง ดูแค่จากโหงวเฮ้งหน้าร้านแค่นั้นหล่ะ

จนมาเจอร้านบ้านๆ มีลุงกับป้า 2 คนกำลังง่วนจัดร้านกันอยู่ มีโต๊ะข้างในอยู่ 3-4 โต๊ะ หลักการเลือกร้านอาหารในประเทศจีนคือต้องมีรูปอาหารด้วย ก็แค่ชี้ว่าจะเอาอันไหน แค่นั้นจบ สักพักเราก็ได้อาหารชามใหญ่เป็นเหมือนเส้นอูด้งกับผักล้วน ไม่มีเนื้อสัตว์ จืดสนิท...ไหนบอกไม่เคยพลาดไง > <

จากนั้นเดินไปหาซื้อน้ำตามร้านสะดวกซื้อ พร้อมกับซาลาเปาอีก 2 ลูกไปฝากชิวด้วย ขาเดินกลับโฮสเทลคือฝนตก! อารมณ์แบบฝนไล่ช้าง รีบวิ่งกลับโฮสเทลแทบไม่ทัน

กลับมาถึงโฮสเทลรอชิวฟื้นตัวอีกสักพัก ก็ได้เวลาออกไปสำรวจปักกิ่งกัน เรามีเวลาให้ปักกิ่ง 2-3 วัน เพียงพอที่จะเก็บแลนด์มาร์คที่สำคัญๆ ได้ ตามที่วางแผนไว้ และก่อนออกจากโฮสเทลเราขอให้รีเซฟชั่นช่วยโทรไปที่สถานีรถบัส Mu xi yuan เพื่อจะสอบถามเกี่ยวกับรถบัสนอนไปชายแดนเมือง Erlian แต่เบอร์โทรที่ได้มา ดูเหมือนจะไม่มีคนรับสายเลย แต่เหลือเวลาอีก 2 วัน ไว้ค่อยลองโทรกันใหม่ล่ะกัน

Tian Tan Temple of Heaven Park 天坛

ที่แรกของทริปนี้เริ่มต้นที่ หอบูชาฟ้าเทียนถาน ได้ถูกลงทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ.1998 สร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยรางวงศ์หมิง เมื่อปี ค.ศ. 1420 เป็นสถานที่บวงสรวงเทพยดา เพื่อขอพรให้ฝนตกตามฤดูกาล

การเดินทางมาไม่ยาก นั่งรถไฟใต้ดิน Line 5 มาที่สถานี Tiantan Dongmen โผล่ขึ้นมาก็เจอกับทางเข้าเลย หลังจากซื้อตั๋วเดินเข้ามา จะเป็นบริเวณกว้างมากกกก ทางเดินร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ใหญ่ยาวสุดลูกหูลูกตา แวะถ่ายรูปตรงก้อนหิน Triple stones sound แล้วจำได้ว่าล้วงกระเป๋าหยิบขวดน้ำ แล้วก็เดินไปเรื่อยๆ จนมาถึงจุดที่ต้องตรวจตั๋วเพื่อเข้าไปที่ตำหนักฉีเหนียนเตี้ยน เป็นจุดที่สำคัญที่สุดเพราะเป็นสถานที่บวงสรวงขององค์จักรพรรดิ

ปรากฏว่าตั๋วหายจ้าาาา หายังไงก็ไม่เจอ นั่งลงหากับพื้นแทบจะเทออกหมดกระเป๋า แล้วก็เดินกลับไปตรงที่คิดว่าหล่นหาย ตอนหยิบขวดน้ำในกระเป๋า หาสักพักไม่เจอจริงๆ ชิวช่วยเตือนสติว่า ไหนๆก็มาถึงแล้ว ซื้อตั๋วใหม่เลยเหอะ ตอนนั้นต้องเสียเงินซื้อตั๋วใหม่ก็แอบเสียดายเงินนิดนึง แต่ระยะทางเดินกลับไปซื้อตั๋วเนี่ยสิ ทั้งไกลทั้งร้อน ชิวเดินมาเป็นเพื่อนครึ่งทาง เราเลยบอกให้รอตรงร้านขายของที่ระลึก เดี๋ยวไปคนเดียวได้ ว่าแล้วก็จ้ำอ้าวไปต่อคิวซื้อตั๋วใหม่อีกรอบ

บทเรียนวันนี้ “เก็บของให้มันดีกว่านี้” เพราะทริปอีกยาวนาน ยังไม่รู้จะมีอะไรหายอีกบ้าง ยังดีที่วันนี้เป็นแค่ตั๋วที่ซื้อใหม่ได้ ไม่ใช่พาสปอร์ตหรือกระเป๋าเงิน...

ได้ตั๋วใหม่ล่ะ เที่ยวต่อ

ภายในคือใหญ่มากกกก มีพื้นที่กว่า 1,688 ไร่ ใหญ่กว่าพระราชวังต้องห้ามถึง 4 เท่าเลยนะ

ต้นไป๋กว่า 4,000 ต้นที่อายุไม่ต่ำกว่า 100 ปีทั้งนั้น

ตำหนักฉีเหนียนเตี้ยน หรือตำหนักสักการะที่โดดเด่น ยิ่งใหญ่ และสำคัญที่สุด ตัวหอมีเส้นผ่าศูนย์กลางยาว 32.5 เมตร และ สูง 38 เมตร โดยไม่ได้ใช้ตะปูแม้แต่ตัวเดียว เป็นสถานที่บวงสรวงเทพยดาให้พืชพันธุ์ธัญญาหารมีความอุดมสมบูรณ์

ตำหนักหวงฉุงหยีว์ หรือตำหนักเทพสถิต สร้างในสมัยของจักรพรรดิเจียจิ้งแห่งรางวงศ์หมิง ทำด้วยไม้ทั้งหลัง ล้อมด้วยกำแพงทรงกลม ซึ่งกำแพงนี้สามารถสะท้อนเสียงไปอีกฝั่งหนึ่งของกำแพงได้ด้วย

หยวนซิวถาน หรือแท่นบวงสรวงฟ้า เป็นเนินรูปวงกลม ประกอบด้วยฐาน 3 ชั้น สื่อถึงมนุษย์ โลก และสวรรค์ ทำจากหินอ่อนสีขาว รั้วแกะสลักเป็นลวดวายเมฆและมังกร

ชั้นบนสุดของแท่นมี “เทียนซินสือ” หรือหินใจกลางสวรรค์ จุดนี้เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวมาก ความพิเศษคือถ้าเราพูดเบาๆ จะได้ยินเสียงสะท้อนกลับมาทันที

Nanluoguxiang 南锣鼓巷

ถนนคนเดินยาวกว่า 800 เมตร ที่เต็มไปด้วยร้านค้ามากมาย อาคารบ้านเรือนของที่นี่มีอายุหลายร้อยปี เป็นตรอกที่เก่าแก่ที่สุดในปักกิ่งเลยนะ

เดินทางมาไม่ยาก รถไฟใต้ดินลงสถานี Nanluoguxiang ขึ้นมาก็จะเจอทางเข้าเลยค่ะ

Tiananmen Square 天安门

จัตุรัสเทียนอันเหมิน เป็นจัตุรัสใจกลางเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีพื้นที่ทั้งสิ้น 440,000 ตรม. จุประชากรได้ถึง 1,000,000 คน สร้างเมื่อปี ค.ศ. 1417 ในสมัยราชวงศ์หมิง เป็นศูนย์กลางของปักกิ่ง และเกิดเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์จีนมากมายที่นี่ ทั้งเป็นที่จัดฉลอง พิธีการต่างๆ รวมถึงการชุมนุมประท้วง หนึ่งในเหตุการณ์ที่สำคัญเมื่อปี ค.ศ.1989 ที่นักศึกษาจีนหลักแสนคนชุมนุมประท้วงกว่า 2 เดือนเพื่อต่อต้านพรรคคอมมิวนิสต์จีน เรียกร้องประชาธิปไตยจาก เติ้ง เสี่ยวผิง ผู้นำจีนในขณะนั้น การเจรจาระหว่างรัฐบาลกับนักศึกษาไม่สำเร็จ จึงเกิดเหตุการณ์นองเลือด โดยมีข่าวลือว่ามีผู้เสียชีวิตประมาณ 2,500 คน บาดเจ็บ 7,000-10,000 คน

การเดินทาง ลงสถานี Line 1 Tiananmen East Exit 4

The Monument to the People’s Heroes 人民英雄纪念碑

อนุสาวรีย์วีรชน เสาหินที่สร้างจากหินอ่อนและหินแกรนิตขนาดใหญ่ สูง 37.94 เมตร มีน้ำหนักมากกว่า 10,000 ตัน ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของจัตุรัสเทียนอันเหมิน เพื่อรำลึกให้กับผู้เสียสละในการปฏิวัติการต่อสู้ระหว่างศตวรรษที่ 19 และ 20 โดยรอบๆฐานมีภาพแกะสลักเรื่องราวการปฏิวัติด้วย

พลับพลาเทียนอันเหมิน เป็นพลับพลาสีแดงที่มีรูปประธานเหมาเจ๋อตุงขนาดใหญ่อยู่ตรงซุ้มประตู บนผนังของซุ้มประตูมีข้อความเขียนว่า “ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนจงเจริญ” และ “ความสามัคคีประชาชนทั่วโลกจงเจริญ” จากประตูนี้เราสามารถเดินทะลุเข้าไปในพระราชวังต้องห้ามได้ แต่เรามาช้าเกินไป ถึงเวลาปิดทำการแล้ว

บริเวณหน้าพลับพลาเทียนอันเหมิน มีสะพานหินที่แกะสลักลวดลายสวยงามเรียงขนานกัน 5 สะพาน

วันนี้เที่ยวกันแค่นี้ก่อน กลับมาที่สถานี Xsis จะสำรวจทางเดินกลับโฮสเทลอีกทางที่ไม่เคยเดิน ซื้อผลไม้ หาร้านอาหารที่คิดว่าน่าจะโอเค เจอร้านนึงปรากฏว่าก็พอได้นะ ดีกว่ามื้อเช้าเยอะเลย ประมาณก๋วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋น

ทุกๆ วันก่อนเข้านอน เราตกลงกันว่าควรหาเวลามานั่งปรึกษากัน และทำแผนการเดินทางต่อ คืนนี้ก็เลยมานั่งกันที่บาร์ของโฮสเทลด้านล่าง มีอินเตอร์เนตและไฟสลัวๆ...จบการเดินทางวันที่ 2

ค่าใช้จ่ายวันที่ 2

ค่า Subway 14CNY ( 66 บาท)

ค่าเข้าหอฟ้าเทียนถาน 68CNY (322 บาท) ตั๋วหายเลยต้องซื้อ 2 ครั้ง T_T

ค่าอาหาร 72CNY (341 บาท)

ค่า Hostel 288 บาท

Day 3 B e i j i n g - C h i n a
“สิ่งมหัศจรรย์ของโลก”

และวันนี้คือไฮไลท์ของปักกิ่ง เราไม่มีแผนจะไปที่ไหนอีกนอกจาก “กำแพงเมืองจีน” เพียงที่เดียว สิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่เราฝันอยากจะมาสักครั้งในชีวิต

เริ่มต้นกันที่ร้านอาหารร้านเดิมที่เราไปชิมคนเดียวมาแล้วเมื่อวาน แต่วันนี้ลองสั่งเมนูอื่นดู ไม่รู้ว่าเรียกว่าอะไร แต่ก็รอด พอทานได้

การเดินทางไปกำแพงเมืองจีน ด่านมู่เถียนยวี่ (Mutianyu)

1. Subway ไปที่สถานีตงจื๋อเหมิน (Dongzhimen 东直门) แล้วหาทางออกที่ไป Dongzhimen Public Transport Hub

2. Bus สาย 916快车 ซึ่งจะเป็นแบบ Express วิ่งประมาณ 45 นาที ซึ่งสาย 916 มีหลายแบบ ทั้งธรรมดา ช้า และเร็ว ถ้าขึ้นผิดจาก 45 นาที ก็จะเป็น 3 ชั่วโมงได้เลย > <

จุดที่ลงประมาณป้ายที่ 10 ชื่อหมิงจูกว๋างฉาง (Mingzhu Guangchang 明珠广场) ในเขตเมือง Huairou เซฟใส่มือถือหรือปริ้นภาษาจีนไปให้คนขับดูด้วยก็ได้นะ ถึงที่แล้วเขาก็จะเรียกให้เราลง

3. Taxi หลังจากลงบัสมาแล้ว ก็จะมีแท็กซี่ป้ายดำราคาแบบเหมามาเสนอราคา จะอยู่ที่ประมาณ 30 หยวนต่อคน ใช้เวลาเดินทางอีกครึ่งชั่วโมงก็จะถึงจุดขายตั๋วขึ้นกำแพงกันแล้วค่ะ

เราเลือกขึ้นกำแพงด้วย Ropeway ที่เป็นกระเช้าแบบโกรกลม ห้อยขาน่าหวาดเสียว แล้วลงด้วยรถเลื่อน Toboggan อันนี้สนุกมากแนะนำเลย รวมค่า Shuttle bus และค่าเข้าทั้งหมดก็ 180 หยวน!!

Great Wall of China - Mutianyu 慕田峪

ก่อนหน้านี้เราได้ศึกษามาก่อนว่า ควรจะไปดูกำแพงเมืองจีนที่ด่านไหน เนื่องจากด่านที่อยู่ใกล้ปักกิ่ง มีให้ไปขึ้นชมอยู่หลายด่าน ภูมิประเทศแตกต่างกันไป บางด่านเหมาะกับการเดินเขา บางด่านติดกับทะเลสาบ บางด่านก็เปิดให้เข้าชมบรรยากาศตอนกลางคืนได้ด้วย

สุดท้ายเราตัดสินใจเลือกด่านมู่เถียนยวี่ (Mutianyu) เป็นด่านที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในบรรดานักท่องเที่ยวต่างชาติ (ไม่ใช่นักท่องเที่ยวจีน) อยู่ห่างจากปักกิ่ง 70 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางทั้งหมดประมาณ 1.30 ชั่วโมง ซึ่งข้อมูลบอกมาว่าเป็นด่านที่การเดินทางยุ่งยากกว่าด่านอื่นๆ แต่เพราะแบบนั้น ทำให้เราไม่ต้องเจอกับนักท่องเที่ยวจีนมากมาย และที่สำคัญคือด่านนี้เป็นส่วนของกำแพงที่เก่าแก่ที่สุด มีทั้งหมด 25 ป้อม นับว่าถี่มากถ้าเทียบกับกำแพงเมืองจีนจุดอื่นๆ

และก็คิดว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะคนน้อยมาก การเดินทางก็ไม่ได้ลำบากอะไรเลย สวยตามรูปเลยค่ะ

การเดินทางกลับเข้าเมืองปักกิ่ง

เที่ยวเสร็จแล้วก็หาทางกลับกันแบบไม่ได้หาข้อมูลมาล่วงหน้า ฮาาาา ถามเจ้าหน้าที่แถวนั้นก็ชี้ๆ มาที่ป้ายรถเมล์ แล้วบอกให้ขึ้นรถบัสคันสีเขียว แต่รอนานมากก็ไม่มีรถผ่านมาเลย จนมีรถตู้เล็กๆ มาจอดเทียบเรียกว่าไปเมือง Huairou แค่ 10 หยวนเอง คือถูกกว่าแท็กซี่ขามาที่เราจ่ายกันตั้ง 30 หยวน

มาถึงป้ายรถเมล์ (อยู่ตรงข้ามตึกตามในรูป) คนขับบอกให้ลง แล้วก็ขึ้นรถบัสสาย 916快车 แบบ express กลับเข้าเมืองปักกิ่งกัน ซึ่งตรงป้ายรถเมล์ก็มีวัยรุ่นช่วยแนะนำเรื่องบัสว่าควรขึ้นคันไหน จะมีแบบช้าและเร็วอย่างที่บอกไว้ด้านบนค่ะ

เข้ามาในเมืองลงสถานีไหน ห้างไหนก็จำไม่ได้แล้วค่าาา ฮ่าๆ หาซูชิกินกันก่อนกลับที่พัก เป็นอันจบอีก 1 วันในจีนค่ะ ^^

ค่าใช้จ่ายวันที่ 3

ค่าอาหารเช้า 11CNY (52 บาท)

ค่า Subway 8CNY (38 บาท)

ค่าบัสสาย 916 ไปกลับ 24CNY (113 บาท)

ค่า Taxi ไปด่าน 30CNY (141 บาท)

ค่าขึ้นกำแพง + กระเช้า 180CNY (846 บาท)

ค่าซูชิ + น้ำ 36CNY (169 บาท)

ค่า Hostel (Beijing Sunrise Youth Hostel Beihai Branch) 288 บาท

Day 4 B e i j i n g - C h i n a
“ลาก่อน...ปักกิ่ง”

วันสุดท้ายที่นี่ เรายังคงรีบตื่นแต่เช้าตรู่ เพราะยังมีอีกสถานที่ ที่อยากไปก่อนจะออกจากปักกิ่งในบ่ายวันนี้

จาก Beijing Sunrise Youth Hostel Beihai Branch โฮสเทลที่เราพัก จะต้องเดินประมาณ 2.4 กม. ระหว่างทางเดินผ่านร้านอาหารท้องถิ่น ห้องสมุดแห่งชาติ โรงพยาบาล ได้เห็นวิถีชีวิตที่เร่งรีบของชาวปักกิ่งในตอนเช้า ผ่านกลางสวนสาธารณะ Beihai Park ที่สวยมาก แอบเสียดายไม่มีเวลาเข้าไปเดินเล่นที่นี่ แล้วก็เดินมาจนเจอแนวคูน้ำรอบพระราชวังต้องห้ามหรือพระราชวังกู้กง (Forbidden City) แล้วก็เดินตรงมาจนถึงประตู North Gate ของพระราชวัง แล้วที่อยู่ตรงข้ามถนนคือสวนสาธารณะ Jingshan Park ที่มีเนินเขาสูงชมวิว จุดมุ่งหมายของเราในเช้านี้

Jingshan Park มีจุดชมวิวเมืองแบบ 360 องศา ที่ขอแนะนำว่าห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง หลังจากซื้อตั๋วเข้ามาในสวนแล้ว ก็เดินลัดเลาะขึ้นเขาไปตามทางประมาณ 200 กว่าเมตร ไม่กี่นาทีก็ขึ้นมาอยู่บนจุดสูงสุดของสวนแล้ว

วิวที่เห็นตรงหน้าทำเราตะลึงงันไปสักพัก มันคือมุมสูงของพระราชวังต้องห้ามทั้งหมด ด้านขวาเป็นวิวของ Beihai Park ที่เดินผ่านมาเมื่อกี้ และรอบๆ คือวิวเมืองปักกิ่ง ในแสงเช้าที่แดดยังไม่จัดมาก เราไม่พูดอะไรกันมากต่างคนต่างแยกย้ายไปกดชัตเตอร์ถ่ายรูปกันแบบรัวๆ

วิวที่เห็นคือคุ้มค่ากับการเดินมาไกล หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง รู้สึกดีมากที่คิดมาที่นี่ เป็นวิวปักกิ่งในวันสุดท้ายที่จบได้ประทับใจมาก

ถ่ายรูปกันสักพักก็เดินกลับมาที่โฮสเทล แบกกระเป๋าแบคแพคลงมาเช็คเอ้าท์ รู้สึกใจหายนิดๆ คือเราเริ่มต้นที่จีนเป็นประเทศแรก และพักที่โฮสเทลนี้ตั้ง 3 คืน จนรู้สึกคุ้นและปลอดภัย พอถึงวันนี้ต้องออกเดินทางต่อ มันก็เหมือนออกจาก Comfort Zone อีกครั้ง ส่วนนึงก็ตื่นเต้นที่จะได้เริ่มออกผจญภัยจริงจังซะที ส่วนนึงในใจก็แอบกังวลกับวันข้างหน้า ว่าต้องไปเจออะไรบ้าง ต้องเดินทางกับชิวที่ไม่เคยไปไหนด้วยกันมาก่อน แต่ยังไงซะการมีเพื่อนเดินทางไปด้วยกัน มันก็ทำให้อุ่นใจกว่าเยอะ ไม่เหมือนวันแรกที่มาถึงก่อนคนเดียว...มันแย่มาก ไม่ลืม T_T

สถานีรถบัส Muxiyuan 木樨园 ที่เราจะไปต่อ หาข้อมูลการเดินทางได้ค่อนข้างน้อย ขอให้พนักงานที่โฮสเทล โทรให้ตั้งหลายวันแล้วก็ติดต่อไม่ได้เลย หารีวิวภาษาอังกฤษที่บอกวิธีการไปได้ความว่า ต้องนั่งรถไฟไต้ดินไปลงที่สถานี Dahongmen แล้วต่อแท็กซี่ประมาณ 10 นาทีก็จะถึง แต่เรื่องจริงคืองงงวยมาก ขึ้นมาจากสถานีเจอแยกใหญ่ มันใหญ่มาก จนงงว่าต้องข้ามไปทางไหน หาแท็กซี่ก็ไม่มี เดินข้ามถนนวนไปมาอยู่นาน จนมีแท็กซี่รับไปส่งที่สถานีได้ ระยะทางใกล้ๆ แค่ประมาณ 3 กม.เอง - -“

สภาพเท้าวันที่ 4 แล้วยังอีกตั้งเกือบ 2 เดือน T_T

ที่เราเลือกเดินทางไปมองโกเลียโดยรถบัส เพราะราคาถูกกว่าขึ้นรถไฟไปจากปักกิ่งถึง 4 เท่านะคะ ^^

มาถึงสถานี Muxiyuan ซื้อตั๋วรถนอนไปเมือง Erlian รอบ 18:20 ฝากกระเป๋าที่สถานี แล้วยังเหลือเวลาอีกหลายชั่วโมง ก็เลยออกมาเดินเล่นหาอะไรกินกันก่อนที่ห้างแถวนั้น

แถวสถานีรถมีเมล่อนเสียบไม้ขาย อร่อยมาก

กลับมาเจ้าหน้าที่เรียกขึ้นรถ ก็งงๆ ว่าทำไมมีกันอยู่แค่เรา 2 คน แล้วรถคือดูดีมาก สะอาด มีผ้าห่ม ถึงเวลาออกตรงเวลาด้วย หืมมมดีงาม

แต่! รถนอนของเรา ดันไปจอดรอรับคนอีกเกือบ 2 ชม. ประชาชนขึ้นมาเต็มคันเลยจ้าทีนี้ กว่าจะออกจากปักกิ่งก็ค่ำมืดดึกดื่นแล้ววว > <

หลับกันยาวไปค่าา...

ค่าใช้จ่ายวันที่ 4

ค่าเข้า Jingshan Park 10CNY (48 บาท)

ค่ากิน 60CNY (285 บาท)

ค่า Subway 4CNY (19 บาท)

ค่า Taxi คนล่ะ 9CNY (43 บาท)

ค่าตั๋วรถบัสนอนไป Erlian 180CNY (855 บาท)

ค่าฝากกระเป๋าที่สถานี Muxiyuan 10CNY (48 บาท)

EP หน้า...มองโกเลีย

My Travelholic Diary

 วันอังคารที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2561 เวลา 21.03 น.

ความคิดเห็น