ทำไมต้องหมื่อกาโด่ ทำไมต้องแม่ฮ่องสอน
ความตั้งใจของทริปนี้คือ จังหวัดแม่ฮ่องสอน ทำไมต้องแม่ฮ่องสอน ความรู้สึกค่ะ ความรู้สึกมันมา มันบอกว่า เห้ย! ไปแม่ฮ่องสอนกัน ฮ่าๆ งานเพ้อเจ้อมาตั้งแต่เริ่มแรกเลยค่ะ จริงๆก็คืออยากไปจังหวัดแม่ฮ่องสอนจากนั้นก็ Search หาข้อมูลของจังหวัดแม่ฮ่องสอน พอพูดถึงแม่ฮ่องสอนก็ต้องปางอุ๋ง หมู่บ้านรักไทย ปาย แต่เรามันจะไปธรรมดาๆ ไม่ได้ และแล้วก็เจออยู่สามที่หน้าสนใจ แต่สุดท้ายมาลงเอยที่ดอยพะติ่โด่-หมื่อกาโด่ ต้องขอบคุณพี่ "นายสองสามก้าว" ที่รีวิวสถานที่สวยงามแบบนี้เอาไว้ให้ ข้อมูลอันมีสาระอยู่ในรีวิวของพี่เขานะคะ https://www.thetrippacker.com/th/review/location/11688
ทักพี่เขาในเพจ facebook ก็ได้ค่ะ ตอบไวตอบเร็ว ตอบตรงประเด็น และใจดีด้วย (ที่อวยขนาดนี้ไม่ได้มีอะไรข้องเกี่ยวกันนะคะ คือดูรีวิวของพี่เขาบ่อยและถามข้อมูลของพี่เขาบ่อยด้วยเหมือนกัน)
อ่าวดอยพะติ่โดมาจากไหน แล้วทำไมไม่เขียนในหัวข้อใหญ่ล่ะ เดี๋ยวจะเล่าต่อนะคะ ทริปนี้ไป 3 วัน 2 คืน กับสมาชิก 3 คนรวมเราแล้ว มีเรื่องเล่าได้ยาวเป็นเดือนๆเลย
แนะนำให้ไปให้ได้นะคะ สวยมาก สวยเหมือนในรูปที่เราถ่ายมาเลย และปีหน้าเราจะไปอีกครั้งไปดอยพะติ่โด่ด้วย ใครอยากไปด้วยก็ติดต่อมาได้เลยนะคะ เราจะพาไปลำบาก(มาก) โพสมาในรีวิวนี้ได้เลยนะคะ หรือจะทักมาทาง facebook ก็ได้ เป็นเฟสส่วนตัว ยังไม่มีเพจค่ะ เพราะยังคิดชื่อเพจไม่ออก ฮ่าๆๆ
https://www.facebook.com/natthikan.nui
ทริปนี้ให้อะไรหลายๆอย่างค่ะ นอกจากการพิชิตยอดดอยแล้ว ยังได้สัมผัสชีวิตชาวกะเหรี่ยง ได้รู้ถึงความลำบากของเขา ได้รู้ว่าโลกที่เราอยู่มันแคบเกินไป ได้รู้ว่าอย่าเชื่อสิ่งที่คนอื่นเล่าให้ฟัง 100% เพราะมันเป็นแค่แนวทาง สิ่งที่จะทำให้เราได้รู้ทั้งหมด 100% คือการไปที่หน้างานจริง พื้นที่จริง และได้ก้าวออกมาจาก Safe zone ของตัวเอง อีกก้าว สนุกมากค่ะทริปนี้ และคิดว่าต้องไปอีก จังหวัดนี้มีที่ที่น่าไปอีกเยอะมากๆค่ะ
ติดตามการเดินทางของพวกเราได้ที่
ไปยังไงอ่ะ
จุดนัดพบกับทีมงานติดต่อ คนนำทาง และ ลูกหาบอยู่ที่ ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงปางอุ๋ง ซึ่งอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ใกล้ๆกับจังหวัดแม่ฮ่องสอน หลังดอยอินทนนท์ คนละที่กับบ้านรักษ์ไทยปางอุ๋งแม่ฮ่องสอน งงอ่ะดิ ให้รูปอธิบายละกัน
วิธีการไป
1 ขับรถส่วนตัวไป สะดวกที่สุด เปิด GPS search ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงปางอุ๋ง ไปตามนั้นเลยค่ะ แนะนำว่าให้ขับอย่างระมัดระวัง เพราะภูมิศาสตร์ของพื้นที่แถวนั้นเป็นภูเขา และแน่นนอนเราต้องไปตามไหล่เขาบ้าง สันเขาบ้าง ด้านนึงเป็นเขาและอีกด้านนึงเป็นเหว แถมยังไม่พอค่ะ ทางคดเคี้ยวเลี้ยวลด ขึ้นแล้วก็ลง ใครที่ชอบขับรถก็เชิญมาที่นี่ได้เลย มันส์มาก
2 นั่งรถทัวร์มาลงที่สถานีขนส่งขุนยวม จังหวัดแม่ฮ๋องสอน มีรถของสมบัติทัวร์จากกรุงเทพฯ ไปแม่ฮ่องสอนผ่านที่สถานีนี้ค่ะ จากนั้นก็โทรให้ชาวบ้านมารับค่ะ
3 วิธีนี้ไม่ขอแนะนำ เพราะเสียเวลาสุดๆ เป็นเหตุผลที่ทำให้เราได้ขึ้นแค่ดอยหมื่อกาโด่ เพราะไปถึงก็ค่ำแล้ว เดินขึ้นไม่ได้แล้ว คิดแล้วก็ยังเสียดาย แต่ไม่เสียใจ เพราะมันสนุกมากๆค่ะ
วิธีการนี้คือ การนั่งรถทัวร์ไปลงเชียงใหม่อาเขต แล้วต่อรถจากประตูเชียงใหม่ไปอ.จอมทอง ลงหน้าวัดพระธาตุศรีจอมทอง จากนั้นเช่ารถมอเตอร์ไซต์ขับต่อไปที่โครงการหลวงปางอุ๋ง เป็นวิธีที่บ้าบอมาก
เห็นใน Google map บอกว่า 4 ชม.นิดๆ กับระยะทาง 193 Km. แต่ในความจริงแล้วนั้น พวกเราขับรถจากวัดพระธาตุฯ ไปที่โครงการหลวงก็ปาเข้าไป 5 ชม. แล้ว บ้าบอเข้าไปอีก
เหตุผลที่เลือกวิธีนี้คือ จะกลับมาขึ้นเครื่องบินกลับกรุงเทพฯ บ้าบอx3 เพราะทริปนี้ไปกัน 3 คน
ไหนๆก็ไหนๆล่ะ เอาเป็นว่าขอเล่าประสบการณ์การเดินทางในครั้งนี้ไว้เป็นบทเรียนให้กับ Backpacker ท่านอื่นก็แล้วกันนะคะ
วงเล็บเล็ก มันบ้าบอแต่สนุกมาก ใครมีเวลาเยอะๆ สัก 4วัน 3 คืน ก็เอาวิธีนี้ก็ได้นะคะ สร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต
ติดต่อใคร อะไร ยังไง
เนื่องจากเขาลูกนี้ไม่ได้อยู่ในพื้นที่อุทยานฯ เป็นป่าที่อยู่ในความดูแลของชาวบ้าน ดังนั้นก็ติดต่อชาวบ้านค่ะ
เราติดต่อผ่านเจ้าหน้าที่ศูนย์โครงการหลวงค่ะ
เบอร์โทรโครงการหลวง 053 318 326 ติดต่อพี่สุพจนะคะ
หากติดต่อไม่ได้ ก็ Inbox มาหาเราก็ได้ค่ะ เนื่องจากไม่อยากแชร์เบอร์พี่ๆชาวบ้านไว้ เพราะเป็นเบอร์ส่วนตัวอ่ะค่ะ
ออกเดินทางกันเลย!!!
จุดเริ่มต้นของทริปนี้ก็ต้อง สถานีขนส่งหมอชิต 2 ค่ะ ไม่ว่าจะทริปไหนๆ เราก็มาเริ่มที่นี่เสมอๆ (หากบริษัทขนส่งไหนอยากให้การสนับสนุนการท่องเที่ยวของเราก็ยินดีนะคะ ^^)
อย่างที่บอกไว้ตอนต้นเราจะนั่งรถจากหมอชิตไปที่ขนส่งอาเขตจังหวัดเชียงใหม่ ครั้งนี้ใช้บริการของ นครชัยแอร์ เป็นรถ First class ค่ะ บริการดี พูดจาดี เก้าอี้ปรับได้นั่งสบายมากๆ นวดหลังได้ด้วยนะคะ เราก็กดเปิดบ่อยเลยมีหนังให้ดู มีเพลงให้ฟัง เหมือนนั่งเครื่องบิน TG เลยค่ะ ถึงปลายทางตรงเวลา และปลอดภัยถือว่าดีเริ่ดค่ะ
เราถึงขนส่งอาเขตประมาณ 7.30 จากนั้นเราก็ล้างหน้าแปรงฟัน และเติมพลังลงท้อง ซึ่งร้านอาหารตามสั่งมีอยู่รอบๆ ขนส่งเลยค่ะ ส่วนรสชาติไม่ต้องพูดถึง 5555 ข้ามไปเลยละกัน
วันที่ 1 การเดินทางจากเชียงใหม่ไปศูนย์โครงการหลวงปางอุ๋ง
ระหว่างกินข้าวอยู่ก็ปรึกษากันว่าจะไปประตูเชียงใหม่ยังไงดี มีพี่ๆรถแดงมาทาบทามหลายรอบแล้ว พี่แกให้ราคาคนละ 40บาท สุดท้ายเราก็ไปกับพี่ชายที่เรียกมารับค่ะ งงอีกแล้วอ่ะดิ ตอนนี้ดูเหมือนพี่ๆรถแดงกับนักขับฟรีแลนส์ อย่างเช่นพี่ชายของเราที่กำลังพูดถึงกำลังมีปัญหากันอยู่ ซึ่งมีการติดป้ายประกาศรอบเมืองเชียงใหม่เลยค่ะ ยังไงผู้ใช้บริการอย่างเราก็ขอเลือกอันที่สะดวกและประหยัดนะคะ สรุปเราหารไปคนละยี่สิบกว่าบาท ^^
เราเดินทางออกจากขนส่งอาเขตประมาณ 9.00 ระหว่างขับมาส่งพี่ชายของเราเขาก็ชวนคุยโด่นนี่ และให้คำแนะนำด้วยว่าจะไปอ.จอมทองยังไง เขาบอกให้เรานั่งรถบัสสีฟ้าไป หวานเย็นนิดหน่อย แต่ถึงแน่นอน พอใกล้จะถึงประตูเชียงใหม่ พี่เขาก็บอกว่า"โน่นไงรถบัส กำลังจะออกแล้ว " ภาพของรถบัสสีฟ้ากำลังเคลื่อนตัวออกไปจากท่ารถ มันเป็นภาพเคลื่อนไหวที่ให้ความรู้สึกหน้าเสียดายมากๆ เลยค่ะ ทันใดนั้น "เดี๋ยวพี่ไปส่ง" พี่ชายของเราพูดออกมาอย่างนั้น แล้วพี่แกก็ขับรถตามติดๆและบีบแตร และ ไปจอดที่หน้ารถบัส เรากับน้องเปรี้ยวรีบลงจากรถแล้วไปหยิบของ ส่วนทราย(เพื่อนที่ไปด้วยกัน)ก็จ่ายค่ารถให้พี่ชายของเรา เราขอบคุณเขายกใหญ่ แล้วก็รีบวิ่งขึ้นรถ และขอบคุณคนขับรถบัสอีกยกใหญ่ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นไวมาก แต่ทุกคนไม่ได้มีอารมณ์ฉุนเฉียว หรือโกรธ หรือโมโห แต่อย่างใด คือทุกคนยินดีช่วย ซึ่งถ้าเป็นกรุงเทพฯ เราคงต้องรอรถรอบถัดไปซึ่งจะมาอีกคันหลังจากนี้ 1 ชม. นี่แค่ตอนต้นของการเดินทาง ยังต้องใช้พลังงานเยอะขนาดนี้ ทริปบ้าบอจริงๆ
บรรยากาศในรถก็จะแบบ Local นะคะ นี่แหละค่ะความสนุกอย่างหนึ่ีงของการเดินทางก็คือการใช้ระบบชนส่งสาธารณะ ถึงจะหวานเย็นแต่ก็ถึงอย่างปลอดภัย ถึงที่หน้าวัดพระธาตุจอมทองฯ เวลา 10.30
พวกเราข้ามถนนไปเช่ามอเตอร์ไซต์ร้านลุงตี๋ ซึ่งก่อนจะมาถึงได้โทรมาทาบทามลุงแกไว้แล้ว นี่คือหน้าตาร้านแกนะคะ เราเช่าในราคาคันละ 300 บาท มัดจำคันละ 1000 บาท และเอาบัตรแลกไว้นะคะ
พวกเราได้รถ Wave 125 มา 2 คัน พร้อมหมวกกันน็อกให้ยืมฟรีๆ พร้อมรับประกันว่ารถลุงขึ้นดอยได้สบายๆ
หลังจากนั้นพวกเราก็ฝากของไว้ที่ลุงก่อน เพื่อไปตลาดไปซื้ออาหารสดเพื่อที่จะใช้ในการทำอาหารในคืนนี้และอีก 4 มื้อบนยอดดอย (ขนะนั้น 11.00 ยังมีหน้าจะมีความหวังในการขึ้นดอยอีกหรอ ไม่เข้าใจตัวเอง) ลุงตี๋แนะนำให้ไปตลาดด้านในซอย ซึ่งเราจำชื่อตลาดไม่ได้ และที่นั่นไม่มีป้ายบอก 555
ตั้งใจจะไปซื้อไก่ เดินไปถึงร้านแล้วสั่งเอาอก 2 ชิ้น บอกแม่ค้าว่าหั่นให้ด้วยได้มั้ยคะ นางยกนิ้วขึ้นมาให้ดูแล้วบอกว่า นิ้วพี่เจ็บอ่า จากนั้นเราก็ส่งน้องเปรี้ยวคนเก่งของเราไปหั่นไก่ ฮ่าๆๆๆๆ สนุกค่ะที่ได้ลงไม้ลงมือกันเองเลย
หลังจากที่ได้ของครบแล้ว เราก็กลับไปเอาของที่ร้านลุงตี๋อีกครั้ง แล้วก็แพ็คสิ่งของต่างๆลงในกระเป๋า กระเป๋าส่วนตัวคนละใบ และมีกระเป๋ากองกลางอีก 1 ใบ น้องเปรี้ยวผู้ซึ่งขับรถไม่เป็นวันนี้ทำหน้าที่เป็นคนบอกทางและเก็บบรรยากาศระหว่างทาง ส่วนเราเป็นคนขับตามที่ต้องบอก น้องบอกเลี้ยวซ้ายก็ต้องเลี้ยวซ้าย ฮ่าๆๆๆ น้องเปรี้ยวนั่งไปกับเรา ส่วนทรายผู้ซึ่งบอกว่าขับเป็นนะแต่เคยขับไปแค่ซื้อของที่ตลาดแถวบ้าน นางขับตามเราอีกที และทำหน้าที่ขนเสบียงกองกลางด้วย
และด้วยความที่กลัวแดดกันมากๆ ทั้ง 3 คน หน้าตาคน และหน้าตารถที่เต็มไปด้วยของก็ออกมาหน้าตาแบบนี้ค่ะ แหม่บ้าบอกันจริงๆค่ะ พวกเราสามคนเนี่ย
เส้นทางที่เราไปต้องตัดผ่านดอยอินทนนท์นะคะ ผ่านด่านของอุทยานฯเข้าไป 2 ด้านเลย แต่ก่อนจะผ่านด่าน จอดรถและลงไปบอกเข้าหน้าที่หน่อยนะคะว่าเราจะไปไหน ขอผ่านด่านหน่อย เจ้าหน้าที่ไม่ได้ตรวจอะไรนะคะ เขาให้ผ่านด่านได้เลย คงเห็นว่าเป็นนักท่องเที่ยว
พอเข้าไปที่ด่านแรกของเขตอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์แล้วระหว่างทางบรรยากาศดีมากๆ อากาศดีมาก หายใจได้อย่างสบายใจ คนละเรื่องกับกรุงเทพฯเลย แล้วเราก็เจอนาขั่นบันได ซึ่งเคยเห็นหลายรอบแล้วแต่ไม่มีโอกาศหยุดรถแล้วไปถ่ายรูปจัดไปค่ะ จอดรถแล้วไปถ่ายรูปกัน (ยังไม่รู้ตัวอีกว่าเอ็งสามคนขึ้นดอยพะติ่โด่ไม่ทันแล้ว ยังมาหยุดรถถ่ายรูปอีก)
ขับไปเรื่อยๆจะเจอด่านตรวจที่ 2 พอผ่านด้านมาได้นิดเดียวไม่ถึง 50เมตร ให้เราเลี้ยวซ้ายเลยนะคะ พอเค้าไปปุ๊ปไอเย็นของต้นไม้ปะทะหน้าเราเลยค่ะ สดชื่นมากๆ เห็นป้ายแม่ฮ่องสอนแล้วก็แบบตกใจนิดนึง แหม่ ยังอีกไกลเลยอ่ะค่ะ แต่เราไม่ได้จะไปแม่ฮ่องสอนนะคะ ไม่ต้องขับถึง 182 Km. แต่ปลายทางเราหางจากจุดนี้แค่ 130Km. ได้รู้อย่างนี้แล้วก็สบายใจ (ประชดนะ) ไปต่อค่ะ นี่ยังไม่ได้ออกจากเขตของอุทยานฯนะคะ
เส้นทางหลังจากนี้โหดกว่าจากด่าน 1 มาด่าน 2 เยอะมากนะคะ เลี้ยวแบบหัก 180 องศาเลย แล้วก็ถนนแคบกว่าด้วย ต้องใช้ความระมัดระวังนิดนึง แต่ยังดีค่ะ ที่ถนนฝั่งขาไปอยู่ติดกับฝั่งเขา ถนนจะแบนๆ หน่อยค่ะ ส่วนถนนฝั่งขากลับบางจุดถนนมันยุบตัวลงไป รถมอเตอร์ไซต์อย่างเราๆ ต้องชะลอและใช้ความระมัดระวังด้วย
พอพ้นเขตอุทยานฯมาได้อีกนิดนึงพวกเราก็จอดถ่ายรูปอีกค่ะ (นั่นไง เอาอีกแล้วไง ไม่ได้ขึ้นดอยพะติ่โด่ก็เพราะมัวแต่โอ้เอ้อยู่เนี่ยแหละ) ก็วิวมันสวยให้ทำไงได้ 5555
ออกเดินทางกันต่อค่ะ ระหว่างทางต่อจากนี้ส่วนใหญ่เป็นไร่ข้าวโพด แล้วก็นาข้าว แล้วก็ป่าเขาค่ะ พอถึงแม่แจ่มความหิวก็เค้าครอบงำค่ะ เลยต้องจอดพักรถและกินข้าวเที่ยงค่ะ ซึ่งเป็นเวลาบ่าย 3 โมงแล้ว เราจอดกินข้าวกันที่ร้านอาหารตรงข้ามสำนักงานเทศบาลแม่แจ่มจำชื่อร้านไม่ได้ใครแวะเวียนไปแถวนั้นอ่านป้ายร้านมาบอกหน่อยนะคะ
อาหารที่ร้านนี้ิ บอกเลยว่าอร่อยมาก เราสั่งผัดพริกแกงไก่มา เผ็ด เค็ม หวาน กำลังดี ค่ะ เสริฟพร้อมกับน้ำซุป ซึ่งน้ำซุปก็อร่อยมากเหมือนกันค่ะ
และนอกจากพวกเราจะกินข้าวแล้ว เราได้พูดคุยกับพี่ๆ น้าๆ ในร้าน เขาก็ถามว่ามาจากไหน จะไปไหน เราก็บอกเขาไป เขาก็ตกใจเลย ว่าขับมอเตอร์ไซต์กันมาได้ไง แล้วก็แนะนำใหญ่เลยว่าจากนี่ไปถึงที่โครงการหลวงยังอีกประมาณ 70 กว่ากิโลถึงจะถึง เส้นทางก็คดเคี้ยวมากๆ เหมือนกับทางลงดอยอินทนนท์เลย และนอกจากจะได้คุยพี่ๆน้าๆในร้านแล้ว ก็ยังได้มีโอกาสพูดคุยกับผู้สมัคร สส.ของเขตนี้ด้วย ไอเราก็เห็นว่าเป็นโอกาศที่ดี หากเขาได้เป็นสส. ก็อยากให้ท่านสส.สนับสนุนการท่องเที่ยวด้วย (สบายใจได้เลยนะคะ เราได้เปิดทางให้กับ Backpacker ทุกท่านแล้ว) ช่วงนี้เป็นช่วงที่การเมืองกำลังจะกลับมาคึกคักนะคะ หลังจากที่ลุงตู่แกขอเวลาพัฒนาประเทศมาเกือบๆ 4 ปี เอาเป็นว่าเรื่องการเมืองเราจะไม่เอามาปนกันกับเรื่องเที่ยวละกันเนาะ
ไปต่อกันค่ะ นอกจากเส้นทางจะคดเคี้ยวแล้ว หลุมค่ะ เห็นหลุมมั้ยคะ มาเป็นช่วงๆเลย ช่วงจะสิบกว่าหลุมได้ พอถึงช่วงที่เป็นหลุม คือเราไม่ผ่อนความเร็วลงเลยนะคะ เพราะมั่นใจว่าไปได้ ลบได้แน่นอน แต่ที่ไหนได้ช่วงแรกหลบได้ค่ะ ไปตกม้าตายตอนหลุมสุดท้ายตลอดเลย ลงหลุมสุดท้ายทุกครั้งเลยค่ะ แม่นมากกกก บ่อยเข้าเราบอกให้น้องเปรี้ยวยกก้นรอไว้เลยค่ะ ฮ่าๆๆ ก้นจะได้ไม่กระแทก
เส้นทางเป็นเส้นทางที่ค้ดเคี้ยวมากนะคะ ใครที่ขับรถยนต์หรือรถมอเตอร์ไซต์แบบพวกเราก็ขับด้วยความระมัดระวังนะคะ บางช่วงเลี้ยวหักศอกแบบขึ้นเขาด้วย เราเกือบหลุดโค้งไปหลายรอบเหมือนกันค่ะ เพราะเห็นเป็นทางขึ้นเขา เลยเร่งจากด้านล่างไป พอไปถึงอ่าวโค้งด้วยนี่หว่า ดีนะคะที่เบรคทัน เกือบลงเหวแล้วววว
วันนั้นแสงอาทิตย์ร้อนแรงมากๆค่ะ ฟ้าสดใสค่ะ สองข้างทางบางช่วงเป็นไรข้าวโพด เหลืองอร่อมกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาเลยค่ะ เราไปช่วงที่เขาเก็บฝักกันแล้ว ต้นข้าวโพดเลยเหลืองอร่อมไปหมดเลย เห็นแล้วเหมือนเราไปอยู่แถวๆอำเภอขุนยวมที่มีทุ่งดอกบัวตองอยู่สองข้างถนนเหมือนกันนะคะ
ถึงสามแยกในตำนานแล้วค่ะ เป็นสามแยกที่พี่ๆใน Youtube เขาขับรถมาเองแล้วก็ลงจากรถมาถ่ายรูปกับป้ายนี้ แล้วก็เล่าเรื่องราวการเดินทางของเขาอ่ะค่ะ
เราได้เห็นป้ายนี้ก็อ๋อ เราเคยเห็นใน Youtube เหมือนที่เราดูมาเลยค่ะ เลยสบายใจไปอีกเปาะ ว่าเรามาถูกทางแน่นอน
ขับไปขับมาน้ำมันหมดค่ะ ของเราคันเดียวที่หมด คันของทรายเหลือน้ำมันเยอะมาก ครึ่งถังได้ อาจจะเป็นเพราะ เราลากเกียร์ต่ำ ตอนลงเขา และตอนที่ต้องใช้แรงในการขึ้นเขา แล้วรถเราก็หนักกว่าทรายด้วย แค่ตัวเราคนเดียวก็หนักมากแล้วฮ่าๆๆๆ(เล่นมุกทำร้ายตัวเองก็เป็นเนาะ)
เราไปจอดที่ร้าน sunshine ซึ่งเป็นจุดชมวิว และมีร้านอาหาร และปั๊มน้ำมันอย่างที่เห็นค่ะ ในส่วนของค่าน้ำมันไม่ต้องพูดถึง แพงกว่าด้านล่าง หรือในเมืองแน่นอนค่ะ เพราะต้องบวกค่าขนส่งด้วย จัดไปค่ะ ลิตรละ 45 บาท ซึ่งถ้าเป็นด้านล่างจะอยู่ที่ ลิตรละ 30 บาท แต่ราคา 45 บาทดูเหมือนจะเป็นราคาสากลของดอยนะคะ เพราะเราไปเติมอีกที่นึงตอนขากลับก็ขายอยู่ที่ 45 บาทเหมือนกันค่ะ
ออกเดินทางกันต่อค่ะ ใครว่าเข้าป่าแล้วจะไม่เจอหนุ่มๆ ฮ่าๆๆๆ เห็นมั้ยคะ หนุ่มๆ วิ่งขึ้นดอยกันเป็นแถวเลยค่ะ เหมือนจะเป็นการซ้อมอะไรซักอย่าง คือพวกนางวิ่งกันไวมากๆค่ะ เราแซงมาแล้วรอบนึงก่อนถึงร้าน Sunshine เราแวะเติมน้ำมันแค่แป๊ปเดียว พวกนางวิ่งมาถึงที่ร้านแล้ว ไวมาก และไม่ได้แวะพักเหมือนพวกเรานะคะ ถึกมากค่ะ Thumb up ให้เลยจ้าาาา
หลังจากเติมน้ำมันเสร็จเราก็ขับตามไปทันค่ะ แบบชะลอนิดนึงให้น้องเปรี้ยวแอบดูว่าหล่อกันมั้ยฮ่าๆๆ เราก็มองผ่านกระจกข้างจนเกือบหลุดโค้งที่อยู่ข้างหน้าแหนะ ฮ๋าๆๆๆๆ บ้าบอจริงๆ
ด้วยระยะทาง 130 Km จากอ.จอมทอง เป็นการแว๊นที่ระยะทางไกลครั้งแรกในชีวิต ในที่สุดพวกเราก็มาถึงงงงงงงแล้ววววววววว เย่ดีใจมาก ลงจากรถปุ๊ป หน้าก็ชา ก้นก็ชา โอ้ยยย เป็นทริปที่โหดที่สุดของปีนี้เลยค่ะ สรุปเราใช้เวลาในการเดินทางทั้งหมด 5 ชม. ไม่อยากคิดถึงขากลับเลยค่ะ จะกลับทันหรือป่าวก็ไม่รู้ เอาเป็นว่าเดี๋ยวค่อยคิดตอนวันจะกลับล่ะกัน
แล้วไหนล่ะ ทีมงานที่เรานัดไว้ ไปไหนกันหมดแล้วววว ยู้ฮู... เรามาช้าไป 5 ชม.เอง โถ่ (นี่คนผิดคือพวกเอ็งนะ) โทรตามค่ะๆ และแล้วพี่ๆเขาก็มาค่ะ มีพี่พจที่เป็นเจ้าหน้าที่ที่ศูนย์โครงการหลวงซึ่งเป็นคนที่เราติดต่อไว้ เขาเป็นคนกลางในการที่ติดต่อชาวบ้านให้มารับพวกเรา ซึ่งชาวบ้านก็คือ พี่ปรีชา ค่ะ
รอประมาน 10 นาที พี่ปรีชาก็ขับรถมารับเราค่ะ แล้วก็บอกข่าวร้ายกับเราว่า ขึ้นพะติ๋โด่ตอนนี้ไม่ทันแล้ว เดี๋ยววันนี้ไปนอนในหมู่บ้านนะ TT^TT เสียใจสุด แต่ทำไงได้ เฮ้อ อยากจะร้องไห้แผนการใช้ชีวิตบนยอดดอย 2 คืน หมดกัน ไม่เป็นไรค่ะ แค่ได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ ซึ่งก็คือการแว๊นมาราธอน ก็รู็สึกสนุกแล้วค่ะ
ไปขึ้นรถกระบะพี่ปรีชาค่ะ ไปกับพี่เขา เขาจะพาพวกเราไปหมู่บ้านไหนก็ไม่รู้ บอกเลยว่าตอนนั้นทุกอย่างในสมองอันแพลนมากๆ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดแล้วค่ะ ที่สำคัญคือพาเพื่อนๆมาด้วย กลัวมากว่าจะพาเพื่อนมาเสี่ยงตายหรือป่าวเนี่ย เห็นหน้ายังยิ้มได้แต่ในใจนี่กำลังคิดแผน B แผนที่ถ้าเกิดอะไรไม่ดีขึ้นจะทำอะไรบ้าง ฮ๋าๆๆๆๆ ความคิดของคนบ้าก็เงี่ยค่ะ ดูหนังมาเยอะ ฮ๋าๆๆๆ ถ้าเกิดอะไรจริงๆ ก็คงได้แต่วิ่งหนีอ่ะค่ะ หรือวิ่งไปซ่อนตัวในป่า ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะเอาตัวรอดได้หรือไม่ โอ่ย ยิ่งคิดยิ่งบ้าบอ
เวลา 6 โมงเย็น บรรยากาศหลังฝนตก เมฆเยอะ ดวงอาทิตย์กำลังจะลับฟ้า ฟ้าเริ่มมืด ความกังวลก็เริ่มเข้ามารบกวน คืนนี้กูจะต้องไปนอนไหนวะเนี่ย
พี่ปรีชาพาพวกเราไปแวะซื้อของอีกนิดหน่อย ก่อนที่จะเลี้ยวเข้าซอย ซึ่งเป็นซอยที่เป็นถนนที่เรียกได้ว่าเป็นโคตะระลูกรัง ไม่มีจุดไหนเลยที่ขับไปแล้วรถจะวิ่งแบบไม่เขย่า พวกเราคือยกก้นรอเลย ยิ่งบอบช้ำจากการขับมอเตอร์ไซต์ 5 ชม.มาด้วยแล้ว ยิ่งเจ็บเข้าไปใหญ่เลย ซึ่งก่อนขึ้นรถเราได้ถามพี่ปรีชาว่าต้องไปอีกไกลมั้ย แกตอบกลับมาว่าอีกประมาณ 10 Km. โอ่ววว แม่เจ้า ทางลูกรังระยะทาง 10 Km.
บรรยากาศตอนนั้นสวยมากค่ะแสงสีส้มจากดวงอาทิตย์กระทบกับก้อนเมฆ ท่ามกลางภูเขาสลับซับซ้อน สวยมากค่ะ ยิ่งวิ่งเข้าไปลึกเลื่อนๆยิ่งมืด สองข้างทางเป็นสวนฝักกาด ไร่ข้าวโพด แล้วก็ป่า สลับไปมา ยิ่งมืดก็ยิ่งมองไม่เห็น ไฟส่องทางก็ไม่มี พยายามมองไปข้างหน้ามีแต่ถนนว่างเปล่าทอดยาวไม่สิ้นสุด ความกังวล x2 เลยค่ะทีนี้ แถมภาษาที่พี่ปรีชากับเพื่อนคุยกันก็เป็นภาษากระเหรี่ยง เราฟังไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรกัน แล้วจะพาพวกเราไปไหนนนนน โอ้ยยยย ยิ่งคิดยิ่งเครียด ในขณะที่ภายนอกทำเป็นใจดีสู้เสืออยู่ค่ะ กลัวเพื่อนๆจะกลัวกัน
ขับไปได้ซักพักพี่ปรีชาก็หยุดรถ ข้างหน้ามีรถกระบะอีกคันจอดอยู่ กำลังรอความช่วยเหลือจากใครสักคน ข้างหนึ่งของรถตกลงไปในร่องถนนซึ่งลึกจนรถไม่สามารถขึ้นมาเองได้ ถ้าเป็นกรุงเทพฯ ก็คงจะโทรให้รถลากมารับ แต่ที่นี่คงยากอ่ะค่ะ อยู่ในป่าเขาด้วย
พี่ปรีชาจอดรถอยู่พักใหญ่ แล้วแกก็เหมือนจะโทรหาใครซักคน อาจจะโทรให้มาช่วย ซักพักมีลุงคนนึงมาคุยกับเรา กลิ่นเหล้านี่หึ่งมาเลย เราทำท่าเหมือนกลัวแกสุดๆ แกบอกว่า "เราก็พวกเดียวกันเนี่ยแหละ" แกคงอยากจะสื่อว่าไม่ต้องกลัวลุงนะ ฮ๋าๆๆ พอใจชื้นขึ้นก็ได้พูดคุยกันหลายเรื่องอยู่ แกบอกว่า แม่ฮ่อนสอนเนี่ย กันดาร ลำบากนะ และที่ขาดแคลนมากๆ ก็คือ "ครู" ไม่ค่อยมีครูเข้ามาสอนที่นี่เท่าไร แล้วเราก็ได้โอกาสถามถึงโครงการหลวง เราถามลุงว่าโครงการหลวงของในหลวงรัชกาลที่ ๙ ใช้ได้ผลมั้ย แกตอบกลับว่า "ใช้ได้ผลดีมาก" คนเมืองอย่างเราได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกปราบปลื้มมากๆ นึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ และพระปรีชาสามารถ ที่ได้ทรงช่วยพัฒนาพื้นที่แถวนนี้และช่วยเหลือชาวบ้านให้สามารถมีกินมีใช้ในพื้นที่ของตนเอง
แล้วรู้สึกเลยว่าคนเมืองเหมือนกับกบในกะลา รู้แค่เท่าที่เขาเล่ามา เท็จจริง เป็นไงก็ไม่รู้ เคยได้ยินมามากนะคะว่าทฤษฏีเศรษฐกิจพอเพียงใช้ไม่ได้ผล แต่วันนี้เข้าใจแล้วค่ะว่าการที่เราได้ออกจากกะลา แล้วเข้ามาที่พื้นที่จริง ทำให้เรารู้ถึงความเป็นจริง ที่จริง จริงๆ การเดินทางทำให้เราได้เรียนรู้และเปิดโลกของเราให้กว้างขึ้นจริงๆค่ะ
พี่ปรีชาแกเดินมาบอกว่า อยากจะช่วยเขาอยู่นะ แต่ไม่รู้จะช่วยยังไง เดี๋ยวเราไปกันต่อ พวกเราบอกลาคุณลุง จริงๆคือถามชื่อแกมาอยู่นะคะ แต่ว่าจำไม่ได้ ชื่อแกเป็นภาษากะเหรี่ยง สองข้างทางมืดมากค่ะ มืดจนเห็นดาวบนท้องฟ้าชัดเจนมากๆ พวกเราเหงนมองขึ้นฟ้าตลอดทาง แล้วก็ทำเสียง อู้หู อื้อหือ กันใหญ่ เพราะไม่เคยเห็นทางช้างเผือกด้วยตาเปล่าแบบนี้มาก่อนเลย มันชัดเจนและใกล้มาก จนอยากจะเอามือเอื้อมไปเก็บมาไว้ สวยจนไม่อยากให้โลกนี้หมุนเลย
นั่งรถประมาณ 1 ชม. ก็ถึงบ้านพี่ปรีชาค่ะ สิ่งแรกที่พวกเราทำคือ การหยิบกล้องและขาตั้งกล้องวิ่งไปที่หน้าบ้านแก แล้วก็ตั้งขาถ่ายรูปทางช้างเผือกกัน สามคนกล้องสามตัว จัดไปให้หน่ำใจ คืนเดือนมืดด้วย ชัดเจนและสวยมากจริงๆ แต่รูปที่ถ่ายมามี Noise เยอะไปหน่อยค่ะ น่าเสียดายค่ะ
หลังจากที่ถ่ายทางช้างเผือกจนหน่ำใจแล้ว เราก็ต้องมาตกหลุมรักบ้านพี่ปรีชาค่ะ บ้านพี่แกเป็น style กะเหรี่ยงจริงๆค่ะ เหมือนในสารคดีที่เราดูกันในทีวีเลย คือเอาครัวไว้ในบ้าน ไม่มีเตาแก๊ส มีแต่เตาฟืน กะทะ หม้อ ดำเมี่ยมเลย ดำเพราะเจอเขม่าควันและน้ำยางจากฟืน บนเตาก็มีชั้นวางของอีกที สิ่งที่วางบนชั้นเป็นพวกพริกแห้ง แต่ดูเหมือนจะเป็นพริกลมควันซะมากกว่าค่ะ เหมือนอะไรที่อยากทำให้แห้ง ก็จะเอามาวางบนชั้นนี้อ่ะค่ะ ครัวก็เป็นครัวที่ตั้งไว้ในบ้าน คือเดินเข้าไปในบ้านก็เจอครัวเลย อ่างล้างจานก็ทำจากไม้ ไม่มีท่อระบายน้ำ ล้างอะไรก็ไหลไปตามช่องไม้หมดเลย พื้นก็เป็นพื้นปูนธรรมดาๆ เดินเข้าไปทีแรกยังไม่ได้ปูเสื่อ พื้นเหนี่ยวสุดๆเลย ฮ่าๆๆๆ ประทับใจตรงความเป็น Local นี่แหละค่ะ
พวกเราไม่รออะไรแล้วค่ะ หลังจากที่สร้างแลนมาร์กไว้ในบ้านพี่ปรีชาแล้ว พวกเราก็จัดเมนูต้มยำไก่ ซึ่งเป็นไก่ที่เราซื้อจากตลาดนั่นแหล่ะค่ะ ขอบอกเลยว่านี่เป็นการใช้เครื่องปรุงสำเร็จรูปเป็นครั้งแรก เพราะลดภาระในการแบกของกองกลางและเพื่อความสะดวกด้วย แต่ของยี่ห้อนี้ต้องปรุงเพิ่มค่ะ ขาดความเปรี้ยวไปนิดค่ะ ดีนะคะ ที่บ้านพี่ปรีชาแกมีมะนาว แล้วเราก็ได้มาอีกลูกจากร้านขายของที่แวะก่อนเข้ามาในหมู่บ้าน
อิ่มแล้วหนังตาก็เริ่มหย่อน ได้เวลานอนค่ะ วันนี้พี่ปรีชาให้พวกเราขึ้นไปนอนด้านบน ส่วนแกกับเมียและลูกชายคนเล็กนอนชั้นล่าง ส่วนลูกสาวอีกสองคนกับหลานนอนชั้นบนอีกห้องนึงค่ะ
อากาศตอนกลางคืนเย็นสบายค่ะ เหมือนเปิดแอร์สัก 18 องศา พวกเราลงมาตากน้ำค้างเพื่อที่จะถ่ายดาวต่ออีกนิดหน่อย กว่าพวกเราจะขึ้นไปนอนกันก็ปาเข้าไปเกือบๆ ห้าทุ่ม บ้านพี่ปรีชาทำจากไม้เป็นส่วนใหญ่นะคะ แต่แปลกตรงที่พอเข้าไปในบ้านแล้วอุ่นมาก คืนนี้นอนสบายไป 1 คืนค่ะ พรุ่งนี้แหละเราจะได้ขึ้นยอดดอยกันแล้ววววว
วันที่ 2 ถึงเวลาพิชิตยอดดอยหมื่อกาโด่แล้ว!!!!!
เช้ามาก็ตื่นสายเหมือนเดิมค่ะ ชาวบ้านเขาตื่นกันตีห้า หกโมงเช้า พวกเราสามคนตื่นเกือบจะเจ็ดโมงแล้ว ทริปนี้สายทั้งทริป ตื่นแล้วก็ไม่รอช้าค่ะ กินค่ะกิน มื่อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญสำหรับการขึ้นเขาค่ะ ถ้าคุณไม่กินคุณอาจจะตายระหว่างเดินได้ อยากรู้สภาพคนใกล้ตายก็เชิญได้ในการผจญภัยที่ ผาหินกูบ วิวหลักล้านกับเส้นทางแสนโหด
มื้อเช้าวันนี้ง่ายๆกับไข่เจียวค่ะ แอบเอารสดีของพี่ปรีชามาใส่ด้วยฮ่าๆๆๆ อร่อยค่ะ ระหว่างกินข้าว พี่ปรีชาแกเล่าให้ฟังว่าแกเคยเข้าไปทำงานแถวๆปทุมธานี แต่สุดท้ายแล้วก็ตัดสินใจกับมาอยู่บ้าน ซึ่งเราก็เห็นด้วย บ้านพี่แกน่าอยู่จะตาย มีครอบครัวที่น่ารัก มีไร่ มีสวน มีนา ใช้ชีวิตที่พอเพียงแบบนี้ก็พอ แกเล่าให้ฟังอีกด้วยว่า ถ้าเอาลูกทั้งหมดมานั่งเรียงกินข้าวด้วยกัน นั่งเรียงกันเต็มบ้านพอดี เราก็เลยถามไปว่าพี่มีลูกกี่คน แกบอก 5 คน โอ้ววโห้ววว ตกใจเลย แต่ว่าตอนนี้ที่ยังอยู่กับแกก็มีลูกสาวคนที่ 4 ตอนนี้อยู่ป.5 กับลูกชายคนสุดท้อง 5 ขวบ แหม่ฟิตจริงๆเลยนะคะพีปรีชา
กินเสร็จแล้ว เราก็เอาคนที่ถ่ายรูปพวกเรามาโดยตลอดทั้งตอนทำกับข้าว ตอนกินข้าว มาล้างจาน จัดไปอย่าให้มีคราบเหลือนะทราย ฮ่าๆๆ แล้วน้องเปรี้ยวก็เป็นคนถ่ายแทน ลงตัวสุดๆ
ขอถ่ายรูปหมู่หน่อยนะคะ หล่อที่สุดในรูปก็พี่ปรีชานี่แหละค่ะ สาวสวยที่ยืนอยู่ด้านซ้ายของพี่ปรีชาเป็นเมียแกนะคะ น่ารักเชียว พอบอกให้มาถ่ายรูปหมู่แกก็ดูทรงจะเขินๆ แล้วก็ยืนห่างเชียว เราก็ต้องพยายามกดดันแกให้ยืนเข้าไปใกล้ๆอีกนิดค่ะ
เห็นกระเป๋ามั้ยคะ เป็นกระเป๋าที่เมียพี่ปรีชาให้มาค่ะ ใจดีจริงๆ จัดไปคนละใบค่ะ
ได้เวลาขึ้นเขาแล้วค่ะ 9.00 พอดิบพอดี พี่ปรีชาขับรถพาพวกเราไปจุดเริ่มเดิน ด้วยความที่ตอนเข้ามาเมื่อคืนเรามองไม่เห็นอะไรเลย ตอนนี้เห็นชัดเจนแจ่มแจ๋วมากๆ ถนนโคะตะระลูกรังจริงๆถามไม่พอ ด้านดึงเป็นเหว ต้องใช้ความชำนานในการขับรถจริงๆ พอถึงสามแยกพี่แกขับถอยหลังลงเนินเฉยเลย เราสามคนคือแบบเสียวมากๆค่ะ แหม่ทริปนี้เกินความคาดหวังจริงๆค่ะ
เตรียมตัวค่ะ แบกเป้ขึ้นหลัง เตรียมตัวออกเดินเท้าก้าวขึ้นเขาดอยที่เราจะขึ้นในวันนี้คือ ดอยหมื่อกาโด่ หรือดอยป้าใหญ่นั่นเอง พี่สมพงษ์เป็นคนนำทางของเราค่ะ
เขาลูกนั้นค่ะ เป็นดอยหมื่อกาโด่ที่เราจะขึ้นกันค่ะ อ้าแขนกว้างๆ รับพลังจากธรรมชาติ เพื่อที่จะใช้ในการขึ้นพิชิตยอดดอยค่ะ
จากจุดจอดรถของพี่ปรีชา พวกเราต้องเดินเท้าลงไปด้านล่าง ซึ่งมีลำธารขวางอยู่ เป็นลำธารเล็กๆ ไม่ลึกมากค่ะ แต่รองเท้าเราถึงจะกันน้ำแต่ความสูงของน้ำมันลึกเกินที่รองเท้าเราจะกันน้ำได้ เลยต้องถอดรองเท้าแล้วใส่บูธของพี่สมพงษ์เดินข้ามลำธารน้อยๆนี้ไปอยากจะบอกว่าน้ำเย็นมากๆค่ะ อยากเอาตัวเองที่ไม่ได้อาบน้ำตั้งแต่ขึ้นรถทัวร์มาลงไปแช่สักชม. น่าจะสบายตัวหน้าดูค่ะ
เราต้องเดินผ่านไร่ถั่ว ของชาวบ้านซึ่งปลูกลาดไปตามเชิงเขา ถ้ามองไปอีกด้านนึงจะเป็นวิวภูเขาที่สูงใหญ่และสวยมากค่ะ วันนี้ท้องฟ้าก็ดูเหมือนจะเป็นใจ สดใสเฉียว แถมยังมีก้อนเมฆเล็กๆ ลอยเป็นพร็อพให้ถ่ายรูปออกมาแล้วดูสวยมากขนาดนี้
เดินมาได้สักพักก็มาถึงกระท่อมน้อยกลางภูเขา โดดเดี่ยวแต่มีพลัง ดูเหมือนจะเป็นกระท่อมที่ใช่ร่วมกันนะคะ
พวกเราแวะพักตรงนี้อีกนิด เข้าห้องน้ำอีกคนละครั้ง ก่อนที่จะไปสู่จุดที่เรียกว่าป่าจริงๆ ที่ไม่มีอะไรเลย นอกจากความเป็นธรรมชาติ อยากอธิบายลักษณะของห้องน้ำที่นี่หน่อยค่ะ คือมันเป็นเอกลักษณ์มากๆ คือเป็นห้องน้ำที่กลางห้องน้ำจะมีโถส้วมแบบนั่งยองๆ ตั้งอยู่ พื้นห้องน้ำเป็นพื้นปูน ที่เหมือนจะปูแบบเน้นใช้งานไม่ต้องการความสวยงามใดๆ ข้างๆโถส้วมจะมีถังน้ำตั้งอยู่เพื่อใช้ในการชำระล้างหลังเสร็จธุระแล้ว พนังของห้องน้ำทำจากไม้ไผ่ซึ่งต้องบอกเลยว่ารูเยอะมากๆ ทำธุระไปก็ต้องคอยมองดูรอบๆว่ามีคนมาแอบดูหรือป่าว ฮ๋าๆๆ (ใครเขาอยากจะไปดูของเอ็งวะ) ตามประสาคนเมืองที่เคยเข้าแต่ห้องน้ำที่มิดชิด ส่วนของหลังคา อันนี้ดีหน่อยค่ะ เป็นหลังคากระเบื้องอย่างดีค่ะ แล้วห้องน้ำก็กว้างมาก ให้ความรู้สึกถึงความโล่งโป่งมากๆเวลาทำธุระ คือคุณจะอยู่ตรงกลางห้องกว้าง แล้วก็มีรูของผนังเต็มไปหมด มันระแวงอ่ะค่ะ มันเวิ้งว้าง ฮ่าๆๆๆๆ จริงๆก็ถ่ายรูปมานะคะ แต่ไม่อยากเอามาให้ดู อยากให้ไปสัมผัสกันเอง
หลังจากเข้าห้องน้ำเป็นครั้งสุดท้าย พวกเราก็เดินตามพี่สมพงษ์ไปค่ะ เดินไปก็อ้าแขนรับพลังงานจากธรรมชาติไป ขอให้เดินแล้วไม่เหนื่อย ความคิดของคนบ้าบอก็เงี่ยค่ะ
พี่สมพงษ์แกพาเดินฝ่าไร่ข้าวโพด แล้วดูใบของมันสิคะ แล้วเราก็ลืมเอาปลอกแขนมาด้วย โอ้โหแสบมากบอกเลย รอยแผลยังไม่เกิดขัดเจน แต่พอเหงื่อไหลเข้าไปมันก็จะแสบมากๆเลย แล้วก็คันมากๆด้วย
จริงๆระยะทางที่เดินขึ้นเขาไม่เยอะนะคะ แต่ขอบอกเลยว่าไม่มีทางราบเลยนะ จนกว่าเราจะถึงยอดเขา โอ้ว มาย ก๊อดดดด เหนื่อยมากๆเลยจ้า พลังงานที่อ้าแขนรับมาใช้หมดไปตั้งแต่ 100 m. แรก เหนื่อยก็ต้องหยุดพักค่ะ หยุดพักก็ต้องมองกลับไปด้านหลัง แล้วก็เห็นวิวสวยๆแบบนี้ อดที่จะไม่เอากล้องออกมาถ่ายไม่ได้ ถึงจะเหนื่อยแต่เราก็จะเอากล้องออกมาถ่ายให้ได้
ระหว่างที่พัก พวกเราก็ได้ถ่ายดอกไม้ ต้นไม้ สัตว์พวกบุ้ง เอาไว้เยอะเลยค่ะ พี่สมพงษ์แกก็ชี้ให้ดูต้นไม้ต้นโน่น ต้นนี้ เก็บลูกมะกอป่า(หรือว่าเก๋าลัด) ให้เรากินด้วย กินกันสดๆไปเลย
ที่นี่มีดอกกุหลาบพันปีด้วยนะ ดอกเป็นสีขาว ข้างในจะเป็นลายจุดๆ สีม่วงเข้มๆ เราเคยเห็นที่ดอยหลวงเชียงดาวแล้วครั้งหนึ่ง ที่นี่มีเพียบเลยค่ะ ตลอดการเดินทางเลยก็ว่าได้
นี่ค่ะ บันไดในตำนาน ใครๆมาที่ยอดเขานี้ก็จะถ่ายรูปบันไดตรงนี้ไป จริงๆก็เดินขึ้นไปง่ายนะคะ ไม่มีอะไรต้องหน้ากังวลเลย
พอใกล้จะถึงยอดเขาบอกเลยว่า หญ้าเยอะมากกกกก อ้อลืมบอกไป พวกเรามาเป็นกลุ่มแรกของปีเลย ดังนั้นหญ้าที่มันขึ้นมายังไม่โดนเหยียบหรือฟันทิ้งเพื่อเปิดทาง พวกเราเลยต้องรับกรรมเพราะความอยากมาพิชิตยอดดอยเลยต้องทนกับหญ้าบาด ขนาดทรายกับน้องเปรี้ยวที่มีเสื้อแขนยาวใส่ยังบ่นขนาดนี้ แล้วฉันล่ะ ฉันลืมเอาปอกแขนมา หลังจากกลับมาจากทริปแขนเรานี่ลายเลยค่ะ เป็นแผลเต็มแขนเลย
ถึงยอดแล้วค่ะ แต่ยังไม่ถึงจุดกางเต้นท์ เราต้องเลาะสันเขาไปอีกประมาณ 500 เมตร เพื่อไปที่จุดกางเต้นท์ซึ่งก็เป็นสันเขาอีกเหมือนกัน เห็นมั้ยคะว่าหญ้าเยอะมากขนาดไหน ทิ่มหน้าทิ่มตา ทิ่มแขน คันไปหมดเลยค่ะ
เดินไปอีกนิดเจอป่าโบราณค่ะ อากาศบริเวณนี้ชื้นๆ อาจจะทำให้มอสขึ้นต้นไม้ทั้งต้นอย่างที่เห็น ธรรมชาติสร้าง มหัศจรรย์จริงๆค่ะ
เรามาถึงจุดกางเต้นท์ประมาณบ่ายโมง เวลาเหลือเยอะแยะค่ะ แต่ท้องร้องแล้ววว กางเต้นท์แล้วไปทำอาหารกันค่ะ พวกเราทำกับข้าว พี่สมพงษ์หุงข้าวให้เรา มื้อนี้ต้องจัดการของสดให้หมดจ้า ไม่งั้นบูดแน่ๆ ใครมีวิธีจัดการกับของสดให้อยู่ได้นานๆ แนะนำหน่อยนะคะ มือใหม่หัดใช้ชีวิตในป่าค่ะ
ตอนอยู่ที่กรุงเทพฯ ไม่ค่อยได้ทำกับข้าวเอง แต่พอมาอยู่ในป่า ต้องแบ่งหน้าที่กันไปค่ะ ทรายอาสาเป็นคนผัดๆทอดๆ ให้ แล้วให้เรากับน้องเปรี้ยวเป็นคนปรุง เอาเป็นว่ากินได้ก็พอแล้วค่ะ
มื้อนี้ถือเป็นมื้อเที่ยงกับมื้อเย็นของพวกเราเลยค่ะ พอเย็นมาก็ไม่อยากกินอะไรแล้ว อาจจะเพราะอิ่มกับบรรยากาศธรรมชาติ
ทำไปได้สักพัก แก๊สหมดจ้าาาา เลยต้องไปปิ๊งไส้กรอกกับพีสมพงษ์กับพี่ลูกหาบ(จำชื่อนางไม่ได้อีกแล้ว ^^) น้องเปรี้ยวปิ๊งไส้กรอก เกือบเหมือนในหนังอังกอร์แล้วค่ะ ถ้าเปลี่ยนจากไส้กรอกเป็นไก่ ฮ่าๆๆๆๆ
หลังจากกินข้าวเสร็จ ได้เวลาทำธุระส่วนตัวค่ะ ใครสะดวกตรงไหนก็เลือกเอาเลยนะจ๊ะ
เมื่อพร้อมแล้วเราไปรอดวงอาทิตย์ตกตามที่นัดกันไว้ตอน 4 โมงเย็น เราเดินทางจากจุดกางเต้นท์ไปที่ยอดหมื่อกาโด่ พอมองย้อนกลับมา มันสวยมากค่ะ มองได้ 360 องศาเลย อาจจะหยุดเวลาไว้ อยากอยู่แบบนี้ ไม่อยากคิดเลยว่าพรุ่งนี้ต้องกลับแล้ว ฮ่าๆๆๆ ความเยอะของมนุษย์ก็เงี่ยอ่ะค่ะ
เราขึ้นมาเรื่อยๆ จนถึงยอดดอยหมื่อกาโด่ พี่ๆ เขามารอบนสันเขาจนกว่าพวกเราจะหน่ำใจกับการดื่มด่ำธรรมชาติและการถ่ายรูป ซึ่งต้องบอกอีกว่าทริปนี้ Exclusive มาก เพราะดอยทั้งดอยเป็นของเรา มีเราอยู่ 3 คน คนบ้า 3 คนมาเปิดดอยประจำปี 2018 คือรูปที่ถ่ายมามีเยอะมาก ราวกับว่ามาอยู่ที่นี่เป็นเดือนๆ
นี่ค่ะ หลักฐานว่าเรามาถึงยอดดอยจริงๆ ยืนเท่ๆ ถือธงชาติไทยถ่ายกับป้ายผู้พิชิตยอดดอยหมื่อกาโด่ กับวิว 360 องศา อากาศดีมากๆค่ะ สีของธงชาติจัดกับสีฟ้าของท้องฟ้าสวยมากค่ะ
ทรายนั่งเหงาๆตรงนั้น ท่ามกลางภูเขาที่สลับซับซ้อน มองไปสุดลูกหูลูกตาจริงๆ
มากระโดดแตะขอบฟ้ากันค่ะ นางสองคนกระโดดสูงและสวยมาก่ค่ะ ส่วนเรากระโดดไม่ค่อยขึ้นฮ่าๆ เลยขอเป็นรูปนอนชิวๆแล้วกันเนาะ
อาทิยตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว แต่แสงยังไม่หมด แสงสีทองปะทะกับก้อนเมฆ ด้านล่างเป็นหมอกลางๆลอยอยู่ต่ำกว่ายอดดอย ถ้าเยอะกว่านี้เราก็คงจะเรียกว่าทะเลหมอก สวยอีกแล้วค่ะ เรียกได้ว่าที่นี่เป็น Unseen Thailand เลยก็ว่าได้ เราประทับใจมาก
นี่ค่ะ อยู่ดีๆก็อยากหกล้ม กำลัง Hit เลยค่ะ เป็นท่า Falling star เป็นการล้อเลียนเศรษฐีชาวรัสเซีย ที่นางหกล้มจริงๆตอนทีลงจากเครื่องบินส่วนตัว แล้วข้าวของต่างๆในกระเป๋านางก็หกเรี่ยราด หลังจากที่ภาพของนางถูกเผยแผร่ออกไป ก็มีเศรษฐีอีกหลายคนทำเลียนแบบ ส่วนเราก็ไม่อยากตกเทรนค่ะ จัดไปคนละรูป ฮ๋าๆๆๆ
มืดแล้วค่ะ หลังจากที่เราลงมาจากยอดดอย เราก็มีปาร์ตี้ขนมปังปิ๊งกันนิดหน่อย รอให้ฟ้าโปร่งกว่านี้แล้วค่อยไปถ่ายรูปดาวกัน ไม่นานค่ะ ฟ้าโปร่ง จัดไปหลายรูปหลายมุม แต่ความยากอยู่ตรงที่หมอกค่ะ หมอกลงเกาะที่หน้าเลนส์ คือแบบถ่ายไปถ่ายมาแล้วทำไมภาพมันเบลอๆ อ่อหมอกเกาะหน้าเลนส์ ต้องคอยเช็ดออกเรื่อยๆ ลำบากหน่อยนะคะ
คืนนี้เรานอนกันประมาณ เกือบๆ ห้าทุ่ม เพราะมัวแต่ถ่ายดาว นอนท่ามกลางดวงดาว บนดอย อิจฉามั้ยคะ เรายังอิจฉาตัวเองตอนนั้นเลยค่ะ คิดถึงแล้วก็อยากไปอีก
ก่อนนอนพวกเรานัดกับพี่สมพงษ์อย่างมั่นใจว่าจะตื่นมาตอนตีสี่เพื่อที่จะมารอดวงอาทิตย์ขึ้น และแล้วก็ตื่นสายยยยย TT^TT
วันที่ 3 วันสุดท้ายของการเดินทาง ปีหน้าเราจะมาใหม่นะ
ตื่นค่ะตื่นอากาศเย็นมากๆๆๆๆๆ ทุกอย่างที่อยู่นอกเต้นท์โดยเฉพาะรองเท้าของพวกเรา เปียกค่ะ เมื่อคืนฝนก็ไม่ตกนะคะ แต่เปียก ที่เปียกก็คงเป็นเพราะหมอกค่ะ หมอกลงตั้งแต่เมื่อคืน รองเท้าของเราสามคนชุ่มช่ำเลยค่ะ
พวกเราตื่นกัน 6.00 บ้าบอจริงๆ นัดพี่ๆ เขาไว้ตี 4 แล้วไงคะ ออกมาจากเต้นท์ มองหน้าพี่เขา แล้วเราก็ขำกันค่ะ รู้สึกผิดนิดๆ ที่ตื่นสาย
ไปค่ะ อาทิตย์ขึ้นแล้วต้องรีบแล้วค่ะ ทางเดินก็ลื่นมากๆ ต้องเดินด้วยความระมัดระวังนะคะ เพราะหมอกลงเมื่อคืนนี้ ดูสิคะน้ำหมอกลงเยอะมากๆ เกาะบนใบไม้เป็นหยดใหญ่มากๆ เหมือนฝนตกเลย
พอขึ้นไปแล้วก็ไม่รอช้าค่ะ จัดรูปกระโดดที่เตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อคืน เหมือนเดิมค่ะ นางแบบคือ ทราย เพราะนางตัวยืดหยุน พริ้ว เชียว ส่วนเราเป็นคนถ่าย กว่าจะได้ขนาดนี้นะคะ ต้องกระโดดหลายรอบอยู่เหมือนกัน ^^
ดูสิค่ะ วิว 360 องศา อันนี้เป็นภาพที่เราหันไปทางอาทิตย์ตก เงาของยอดดอยไปบังเชิงเขาถัดไป ให้อารมณ์ครึมๆ หน่อย ถ้ากล้องเก็บภาพได้เหมือนสายตาของเราก็คงจะดี แนะนำให้ไปนะคะ ครั้งนึงในชีวิต
ผลัดกันค่ะ ใครยังไม่ได้ภาพเท่ๆ รูปนี้น้องเปรี้ยวจัดมาได้แบบเท่มาก (เราเป็นคนถ่ายอิอิ) เหมือนอยู่ต่างประเทศเลยค่ะ ชอบรูปนี้ตรงที่มีแสงสีทองจากดวงอาทิตย์ส่งผ่านตัวน้องมาด้วย เราชอบมากค่ะ
หันมาฝั่งอาทิตย์ขึ้นบ้าง ถ่ายให้แสงอาทิตย์เป็นแฉกๆ สวยมากค่ะ ต้องย้ำอีกที่ว่าที่นี่เป็นสถานที่ Unseen Thailand จริงๆค่ะ สวยไม่แพ้ดอยไหนเลย แถมได้ความประทับใจจากคนในท้องถิ่นมาเต็มๆ
อาทิตย์ขึ้นสูงแล้ว กล้องสู้แสงไม่ได้แล้วค่ะ ฮ๋าๆๆๆ เรามาปิดทริปยอดดอยหมื่อกาโด่ ด้วยภาพหมู่แบบ ฮาๆ กันบ้าง คนบ้าบอ สามคนบนยอดดอยแบบ Exclusive จะเดินไปถ่ายมุมไหนก็ได้ ฮ๋าๆๆๆ นับ 1 2 3 โพสสส ฮ่าๆๆๆๆ
หลังจากหมดเวลาสนุกแล้ว เราก็ต้องมาเตรียมตัวกลับบ้านกันค่ะ เก็บของให้หมด ขยะต่างๆ เก็บให้หมดนะคะ เรามาวันเดียวพร้อมขยะ แต่สัตว์ป่าอยู่มาตลอดชีวิต ไม่เคยทิ้งขยะไว้ ดังนั้นเราอย่าให้ขยะทำร้ายป่า ทำร้ายสัตว์ป่านะคะ เก็บไปด้วย
ทริปนี้น่าเสียดายที่ไม่ได้ไปที่ยอดพะติ่โด่ต่อ ไม่ได้ไปสัมผัสความเสียวของเส้นทางหรือหน้าผาที่เขาร่ำรือกัน แต่รับรองได้เลยว่า ปีหน้าจะมาใหม่แน่นอน อาจจะมาปิดดอย หรืออาจจะมาเปิดดอยอีก ต้องดูตารางชีวิตมนุษย์เงินเดือนอีกที หน้าตาไม่ค่อยอยากกลับเลยค่ะ แต่ละคนยิ้มแบบเซ็งๆ
บนยอดดอยมีสัญญาณโทรศัพท์นะคะ ทุกเครือข่ายเลย แต่ถ้าลงไปด้านล่างเมื่อไร ไม่แค่เจ้าเดียวนะคะ เหมือนผูกขาด เพราะเขาเอาเสามาตั้งกลางหมู่บ้านเลย ซึ่งก็คือทรูค่ะ
พวกเราเดินลงประมาณ 9.00 ถึงด้านล่างเวลา 11.00 โดยประมาณค่ะ ระหว่างทางพี่ปรีชาโทรมาหาว่าเดี๋ยวจะมารับนะ เดินลงมาหรือยัง อีก 1-2 ชม. เพราะถ้าลงไปแล้วจะไม่มีสัญญาณเลย เดี๋ยวจะคุยกันไม่ได้
ทางลงก็ลื่นค่ะ ลื่นมาก อย่างที่บอกน้ำหมอกเมื่อคืนยังไม่แห้งดี เปียกแฉะไปหมด ทรายจัดไปหลายดอกเลย หมายถึงลืนนะคะ เพราะนางเดินไว และ รองเท้าทางไม่ดี ลื่นจริงๆค่ะ จนต้องหาไม้ค้ำเวลาเดิน ทริปที่ผ่านมาไม่เคยได้ใช้ ทริปนี้ไม่ใช้ไม่ได้ค่ะ ส่วนเรา บนเขาไม่มีลื่นเลย มาลื่นแบบก้นจ่ำเบ้าตรงทางที่ลงไปที่ลำธารที่ผ่านมาเมื่อวาน แหม่ เกือบดีล่ะ เจ็บมากเลย ฮ่าๆๆๆๆ
พอเราลงไปด้านล่าง จุดนัดพบพี่ปรีชาคือจุดเดิมนะคะ แล้วเราก็บอกลาพี่สมพงษ์ จากนั้นพี่ปรีชาก็ขับรถไปส่งเราที่ศูนย์โครงการหลวงปางอุ๋ง ตอนนั้นเป็นเวลาเที่ยงแล้วค่ะ พอไปถึงเราก็บอกลาพี่ปรีชากับเมียแกค่ะ ให้ค่าจ้างต่างๆ ทั้งค่านำทาง ค่าลูกหาบ ค่ารถ และค่าค้างคืนที่บ้านปรีชา อย่างที่บอกแกไม่ได้เปิดให้นักท่องเที่ยวมานอนที่บ้านแกนะคะ เราก็ให้แกไปตามน้ำใจ
หลังจากล่ำลาพี่ปรีชาแล้ว พวกเราก็อาบน้ำอาบท่า หลังจากที่ไม่ได้อาบมาหลายวัน น้ำเย็นมากๆเลยค่ะ แต่สดชื่นมากๆ แล้วก็เตรียมตัวกลับ ขับมอเตอร์ไซต์กลับทางเดิม เราออกจากศูนย์โครงการหลวงปางอุ๋ง เวลาประมาณ บ่ายสองโมงครึ่ง ถึงร้านลุงตี๋ เพื่อคืนรถ ประมาณหกโมงเย็น ใช้เวลาเดินทางกลับโดยมอเตอร์ไซต์เนี่ย 3 ชม. ถือว่าไวมากค่ะ เพราะตอนขามาเราใช้เวลา 5 ชม. คือขับแบบไม่แวะพักเลย แล้วก็กลายเป็นคนชินทางซะงั้น ฮ๋าๆๆ เลี้ยวได้อย่างมั่นใจ แต่ตอนที่ขึ้นดอยอินทนนท์ถนนมันยุบค่ะ ต้องใช้ความระมัดระวังมากๆ
พอถึงดอยอินทนนท์รถเราน้ำมันเตือนค่ะ เตือนว่าใกล้จะหมดแล้ว ขีดสุดท้ายคือกระพริบแล้วอ่ะค่ะ เราคือกลัวน้ำมันหมดด้วย เลยขับไวขึ้นกว่าเดิม เพราะอยากให้ไปให้ไวกว่าเดิม ก่อนที่น้ำมันจะหมดจริงๆ เอาแนวคิดนี้มาจากไหนก็ไม่รู้ ฮ่าๆๆๆ เรากับน้องเปรี้ยวคือเสียวมากๆ กลัวน้ำมันหมดกลางทางแล้วไม่มีที่เติม จนสุดท้ายก็ไปถึงร้านลุงตี๋อย่างปลอดภัย และน้ำมันยังพอที่จะใช้ได้อีกนิดหน่อย แต่คันของทรายน้ำมันเหลือเยอะมากเกินครึ่งถัง งงไปเลยจ้าาา
เรามาทันรถจาก อ.จอมทองไปเชียงใหม่ รอบสุดท้ายพอดี ค่ะ ระหว่างทางทรายกับน้องเปรี้ยวก็ได้เวลา Check & Share ซึ่งก็คือการดูรูปที่ถ่ายมา แล้วก็โพสลงโซเชียล ส่วนของเราต้องเปิดผ่านคอมฯ เราเลยมีเวลาทบทวนสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นใน 2-3 วันที่ผ่านมา ทริปนี้ให้อะไรเราหลายๆอย่าง เป็นการเรียนรู้ และเปิดโลกของเราให้กว้างออกไปอีกนิด เรานั่งอมยิ้มตลอดทางเลยก็ว่าได้ ประทับใจตลอดทั้งทริปเลยค่ะ
______________________________________________________________________________
สรุปค่าใช้จ่ายทริปค่ะ
เห็นค่าใช้จ่ายทริปแล้วอย่าตกใจนะ ถ้าคุณฟอร์มทีมกันมาดีๆ และวางแผนการเดินทางดีๆ จะใช้ค่าใช้จ่ายน้อยกว่านี้ค่ะ
ค่าเดินทาง
ค่ารถทัวร์ไปเชียงใหม่ 759 นครชัยแอร์ บาท/คน
ค่ารถจากขนส่งไปประตูเชียงใหม่ 21 บาท/คน
ค่ารถจากประตูเชียงใหม่ไปหน้าวัดพระธาตุศรีจอมทอง 32 บาท/คน
ค่าเช่ารถมอเตอร์ไซต์ 300 บาท/คัน/วัน ( x 2คัน x 3วัน = 1800)
ค่าเครื่องบินกับ กทม. 1200 (โดยประมาณ)
รวม 2612 บาทต่อคน
ค่าขึ้นดอย
ค่ารถ 4WD ของพี่ปรีชา ไปรับ-ส่ง ศูนย์โครงการหลวง 2000 บาท
ค่านำทาง 600 บาท/วัน (x2 วัน = 1200)
ค่าลูกหาบ 500 บาท/วัน (x 2 วัน = 1000)
รวม 1400 บาทต่อคน
ค่าพักบ้านพี่ปรีชา : แล้วแต่น้ำใจ (เพราะพี่แกไม่ได้เปิดเป็นบ้านพักนักท่องเที่ยว)
อื่นๆ ค่าน้ำมัน ค่าอาหาร : จำไม่ได้ ^^
Journey Eater
วันจันทร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2561 เวลา 18.44 น.