รุ่งเช้าในเดือนพฤศจิกายน ออกเดินทางจากเชียงใหม่มุ่งหน้าสู่จังหวัดเชียงรายด้วยระยะทาง 173กม.ไปตามถนนสาย118 ซึ่งจุดมุ่งหลายแรกก็คือ วัดร่องขุ่น
วัดร่องขุ่น ตั้งอยู่อำเภอป่าอ้อดอนชัย เป็นสถานที่ที่ใครๆก็ว่ากันว่าเป็นวัดที่มีความสวยงามโดยถูกออกแบบและก่อสร้างโดย อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ มีโบสถ์สีขาวลวดลายวิจิตรอ่อนช้อยสวยงาม
ภายในวัดมีภาพวาดพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่มีความสวยงามด้วยซึ่งเป็นภาพวาดในพระอิริยาบถต่างๆ
ภายในวัดนอกจากจะมีส่วนของโบสถ์สีขาวแล้ว ยังมีส่วนของโดมสีทองอร่ามซึ่งภายในจัดแสดงเหรียญพระพิฆเนศ และยังมีจำหน่ายด้วย แต่บริเวณด้านในไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพจึงไม่มีภาพถ่ายมาให้ชมกันค่ะ
เมื่อออกจากวัดร่องขุ่นก็เดินทางต่อไปยัง พิพิธภัณฑ์บ้านดำ ตั้งอยู่ตำบลนางแลจากวัดร่องขุ่นไม่ไกลกันมากนัก ถูกสร้างขึ้นโดยอาจารย์ ถวัลย์ ดัชนี ซึ่งเป็นศิลปินแห่งชาติซึ่งมีฝีมือทางด้านจิตรกรรม ปฏิมากรรมที่สวยงามมากมาย บ้านดำเป็นศิลปะแบบล้านนาบ้านทุกหลังถูกทาด้วยสีดำ ซึ่งภายในบ้านแต่ละหลังก็จะเป็นสถานที่เก็บรวบรวมผลงานของอาจารย์ถวัลย์เอาไว้
ภายในอาคารหลังใหญ่มีการจัดแสดงดนตรีพื้นเมืองให้นักท่องเที่ยวได้ชมอีกด้วย
กว่าจะเดินทางไปถึง และแวะเที่ยวชมสองสถานที่ก็หมดวัน ในการท่องเที่ยวครั้งนี้เราได้พักที่
สีสันน้ำกร (Season Nam Korn Resort) ซึ่งได้จองไว้ล่วงหน้าแล้วผ่าน Agoda
ห้องพักกว้างขวางสะอาดดี เจ้าของก็อัธยาศัยดีมากๆ แนะนำดูแลเป็นอย่างดี และเป็นกันเอง ราคาที่พักได้รวมมื้อเช้าซึ่งเป็นแบบบุฟเฟต์ มีข้าวต้มหมู ไข่ดาว ไส้กรอก สลัด ขนมปังปิ้ง น้ำส้ม นมสด ซึ่งได้จัดเอาไว้ให้ได้บริการตัวเอง
บริเวณโดยรอบของรีสอร์ตกว้างขวาง และด้านหลังยังเป็นธารน้ำตกอีกด้วย
หลังจากรับประทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้วก็ออกเดินทางไปที่ สิงห์ปาร์ค (Singha park) ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสีสันน้ำกร รีสอร์ต 9โมงกว่า บริเวณลานสิงห์ปาร์คก็มีนักท่องเที่ยวมาถ่ายรูปจำนวนมากแล้ว
หลังจากถ่ายรูปกับสิงห์แล้ว ก็เดินข้ามไปด้านข้างเข้าไปนั่งพักตากแอร์เย็นๆในร้าน Farm Design สั่งเครื่องดื่มมาดับกระหาย แล้วจึงเดินทางต่อ
มาถึงเชียงรายทั้งทีหากไม่ได้มานมัสการพระแก้วมรกตที่ วัดพระแก้ว ก็เหมือนมาไม่ถึง โดยพระอุโบสถจะเป็นทรงเชียงแสนฐานเตี้ย พระประธานที่ประดิษฐานภายในเป็นพระพุทธรูปสำริดปางมารวิชัย
ด้านหลังเป็นพระอุโบสถซึ่งประดิษฐานพระแก้วมรกต เหมือนกับพระแก้วมรกตที่ประดิษฐานที่กรุงเทพ
ออกจากวัดพระแก้ว เดินทางต่อไปอีกไม่ไกลก็ถึงวัดร่องเสือเต้น เป็นวัดที่มีโบสถ์สีน้ำเงินและภาพวาดฝาผนังภายในโบสถ์อันวิจิตรตระการตา เข้าไปนมัสการพระพุทธรูปองค์สีขาวใหญ่เพื่อความเป็นศิริมงคล
วันที่เราไป นักท่องเที่ยวค่อนข้างเยอะ มีทั้งคนไทยและชาวต่างชาติบรรยากาศค่อนข้างวุ่นวาย แดดร้อน แวะเพียงครู่เดียวจึงออกมา
บ่ายแก่แล้วยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง เซิดหาข้อมูลไปเจอข้าวซอยนางแล ที่มีรีวิวว่ารสชาติดี อร่อย ขับตาม google map ไปแปบเดียวก็ถึง ร้านอยู่ติดถนนใหญ่หาง่าย จอดรถได้ที่หน้าร้าน
เข้ามาในร้านเห็นมีลูกค้าอยู่หลายโต๊ะ สั่งข้าวซอยไก่ กับขนมจีนน้ำเงี้ยวมาลอง ข้าวซอยไก่น้ำแกงอร่อยมากไก่ให้มาเป็นน่องตุ๋นมาจนนุ่ม อร่อยกว่าเจ้าดังที่เชียงใหม่อีก เลยสั่งข้าวซอยเนื้อมาอีกชาม แต่ไม่ได้ถ่ายรูปไว้ ส่วนน้ำเงี้ยวก็เฉยๆ
ก่อนเดินทางกลับแวะที่ ไร่ชาฉุยฟง เป็นจุดสุดท้าย เข้ารถเข้าไปถึงบริเวณไร่ก็จะเห็นไร่ชาไกลสุดลูกหูลูกตา
มองจากข้างนอกดูนักท่องเที่ยวไม่ค่อยเยอะ แต่พอเข้ามาส่วนของร้านอาหารเท่านั้นแหละ คนเยอะมากกกก
ยืนรอสักพักกว่าจะได้โต๊ะนั่ง เมนูของที่นี่ก็จะเป็นเมนูที่มีส่วนประกอบของชาเขียวเป็นหลัก เราสั่งเครปเค้ก ไอศกรีมชาเขียว และชาเขียวเฟรบเป้ มาลอง เครปเค้กอร่อย หวานน้อย ด้านบนตกแต่งด้วยยอดชาเขียว ซึ่งลองชิมแล้วฝาด(เขาใช้ตกแต่งมาเฉยๆ) เฟรปเป้สั่งแบบหวานน้อย ก็ได้รสหวานกำลังดีสำหรับเรา ส่วนไอศกรีมชาเขียวเป็นแบบไอศกรีมซอร์ฟเสริ์ฟ หอมนม ได้รสชาเขียวเข้มข้น แต่ละลายเร็วไปนิด
บ่ายสามโมงกว่าได้เวลาเดินทางกลับ ทางกลับค่อนข้างมืด เป็นทางขับบนดอย ไม่มีไฟถนน กว่าจะถึงตัวเมืองเชียงใหม่ก็เกือบสามทุ่ม จบไปอีกทริปสำหรับการเดินทางท่องเที่ยวของเรา และสำหรับทริปนี้ก็เน้นกินอีกเช่นเคย 555 ..เจอกันใหม่ทริปต่อไปค่ะ :)
OPW's Story
วันพฤหัสที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 16.14 น.