ทริปนี้ได้ถือเป็นทริปฉุกละหุก เพราะรู้ก่อนเดินทางเพียง 2 วัน
พอรู้ว่าเป็น ฮอกไกโด ที่ใฝ่ฝัน ก็โอนตังค์แล้วเตรียมตัวเก็บกระเป๋าเลย
ใจง่ายจังเรา จึงเดินทางกันแบบงงๆ ไม่ได้มีพงมีแพลนอะไรกับเค้าเล้ย~

เริ่มเดินทาง 25 ต.ค. - 30 ต.ค. 61 (6 วัน 4 คืน)

Day 1 - เดินทางท่าอากาศยานดอนเมือง - สนามบินซัปโปโร จิโตเสะ
Day 2 - หมู่บ้านราเมง อาซาฮิคาว่า/ Asahiyama Zoo / Kurodake Ropeway
Day 3 - Blue Pond Aoiike / Otaru / Ishiya Chocolate Factory / Susukino
Day 4 - Nijo Market / / Mitsui Outlet Park Sapporo
Day 5 - Jigokudani / Showa-Shinsan / Lake Toya / Mt Yotei-Zan
Day 6 - เดินทางกลับสู่ท่าอากาศยานดอนเมือง

การเตรียมตัว
อากาศช่วงปลายเดือน ตุลาคม ค่อนข้างหนาว ประกอบกับมีฝนตกบ้าง
ช่วงกลางวัน อุณหภูมิประมาณ 13-17 องศา
ตกกลางคืนก็หนาวกว่านี้ แนะนำหาใส่ 3 ชั้นกำลังดี

เราออกบินประมาณ 5 ทุ่ม ถึงประมาณ 7 โมงเช้า ก็ออกเดินทางมุ่งสู่ หมู่บ้านราเมง อาซาฮิคาว่า
ที่มีร้านราเมงอยู่ 8 ร้าน เราเลือกสุ่มมาร้านนึง โชคดีตรงที่นี่มีเมนูภาษาไทยให้อ่านด้วย

จัดมาชามแรก มิโสะราเมง น้ำซุปที่นี่รสชาติกลมกล่อม หนักไปทางเค็ม
เส้นเหนียวหนึบกำลังดี เนื้อหมูชาชูแล่บางๆ นุ่มละลายในปาก
รสชาติถือว่าดีงามพอใช้ได้ แต่ก็ไม่ได้ถึงกับอร่อยมาก
ส่วนตัวเคยไปกินราเมงข้อสอบที่โอซาก้า เทียบกันแล้ว
ราเมงข้อสอบอร่อยกว่า เลยอาจไม่อินในรสชาติของย่านนี้


สถานที่ต่อมาเรามาอยู่กันที่ สวนสัตว์ อาซาฮิยาม่า

สวนสัตว์ที่นี่อาจดูเล็กๆ จำนวนสัตว์อาจไม่เยอะเท่าไหร่
แต่เป็นสัตว์ที่หาดูยากในบ้านเรา และสามารถชมได้อย่างใกล้ชิด

ซึ่งไฮไลท์ของที่นี่จะเป็นเพนกวิน ที่วันนี้ออกจะยืนนิ่งๆไปซะหน่อย
อาจเพราะอากาศหนาว เลยไม่เห็นเพนกวินมาเล่นน้ำสักตัวหากแต่ยืนผึ่งแดดกันเป็นฝูง
เลยอดได้ภาพสวยๆในอุโมงค์ใต้น้ำเลย

นอกจากเพนกวิน ที่นี่ก็ยังมีสัตว์อีกหลากหลายชนิด
อาทิ นางอาย ลิง หมาป่า นกเค้าแมว กวาง ฯลฯ
เสียดายที่วันนี้ไม่เห็น หมีขาว


ถัดมาเรานั่งรถเพื่อไปขึ้นกระเช้าที่ Mt.kurodake cable car
ซึ่งมีความสูง 670 m อุณหภูมิด้านบน 7 องศา
ที่นี่้เป็นที่แรกๆในญี่ปุ่นที่เกิดใบไม้เปลี่ยนสี
ทำให้ช่วงเวลานี้เจอแต่ต้นไม้ที่ไร้ใบ ด้านบนเริ่มมีหิมะให้เห็นบ้าง
คิดว่าอีกไม่นานหน้าหนาวคงเต็มไปด้วยหิมะขาวโพลน

บรรยากาศข้างบนงามมาก อยากใช้เวลาอยู่นานกว่านี้
แต่ด้วยเวลาที่มี ทำให้มีอยู่ได้เพียง 15 นาที
ก็ต้องรีบจรลีลงมา เพราะ กระเช้าปิดประมาณ 4 โมง


วันต่อมา เราเดินทางมายัง บ่อน้ำสีฟ้า aoiike โชคไม่ดีที่วันนี้ฝนตก
ทำให้บรรยากาศดูหม่นๆไป ใบไม้เปลี่ยนสีที่นี่ยังพอมีให้้เห็นอยู่บ้าง
แต่น้อยมากส่วนใหญ่จะร่วงโรยไปหมดแล้ว

ซึ่งจริงๆสถานที่นี้ เหมาะกับการมานั่งชิลลลลมากกกก
เสียแต่ว่า ฝนดันมาตกซะนี่ เลยทำให้บรรยากาศไม่เหมาะเท่าไหร่
ว่ากันว่า ในวันที่แดดดีๆ บ่อน้ำที่นี่ เปลี่ยนสีไปตามแสงแดดด้วยนะ


ตกดึกเรามาที่ Aeon Mall Asahikawa แวะทานมื้อเย็นกันที่นี่
มี Food Court ให้เลือกกันหลายร้าน อากาศหนาวๆแบบนี้ อยากกินอะไรร้อนๆ
เราฝากท้องกันที่ร้าน Pepper Lunch จัดเนื้อกระทะไปสักชุด

Beef pepper rice เลือก size M มาในราคา 700 yen ถือว่าฟินมาระดับ 7.5/10
เสียนิดนึงตรงที่กะทะร้อนทำให้ข้าวด้านหน้ามันไหม้ แต่ถือว่าอร่อยเลยทีเดียว

จานสอง Beef sirloin pepper steak with rice ราคา 890 yen เนื้อนุ่มหมักซอสพริกไทยดำ ถือว่าเข้ากันอย่างที่สุด ให้ 8.5/10


เบ็ดเสร็จมื้อนี้หมดไป 1750 yen ประมาณ 515 บาท จากนั้นแวะช้อปในห้างต่อสักพักนึง
แล้วเราจึงเดินทางกลับที่พัก คืนนี้เราพักที่ Hotel Crescent Asahikawa
ตกคืนละประมาณ 2,000 บาท




สถานที่ถัดไป เราแวะมาทานมื้อเที่ยงกันที่ Tenguyama Ropeway
บรรยากาศวิวดี อาหารอร่อยตามสไตล์ญี่ปุ่น ถ้ามีน้ำจิ้มแซ่บๆหน่อยจะฟินมากๆ

Landmark สำคัญ ที่ไม่ว่าใครมาฮอกไกโด ก็ต้องมาย่านนี้ คลองโอตารุ
เมืองโอตารุ เป็นเมืองเล็กๆ ติดชายทะเลไม่ห่างจาก ซัปโปโร
เป็นเมืองที่นี่มีสไตล์มินิมอล มีวิวสวยๆให้ชมมากมาย สามารถเดินชมจบได้ภายใน 1 วัน


เยี่ยมชม พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี Otaru Music Box Museum


อากาศตอนนี้เย็นสบาย ประมาณ 12-15 องศา
แต่ค่อนข้างแปรปรวน เดี๋ยวฝนตก แดดออก ลมแรง
มีครบทุกรสชาติ



ตกเย็นเรามาชม Ishiya Chocolate Factory บรรยากาศที่นี่
เสมือนผู้กล้าบุกปราสาทจอมมาร อลังการงานสร้างมาก ปกติที่นี่จะมีเปิดให้ชมขั้นตอนการทำ
chocolate ด้วย แต่วันนี้ไม่เปิดให้เข้าชม เราจึงได้แต่เดินชมบรรยากาศรอบนอกกัน



ใครชอบถ่ายรูป มาที่นี่ถือว่าไม่ผิดหวัง เพราะ มีมุมสวยๆให้ถ่ายรูปเพียบ


ตกดึกเรามากันที่ Susukino ที่นี่ถือเป็นย่านกลางคืนขนาดใหญ่ใน Sapporo
แวะทานมื้อเย็นกันที่นี่ พอดีเห็นใกล้ๆโรงแรมที่พักมีปิ้งย่าง
เลยลองเปลี่ยนบรรยากาศมาชิมรสชาติซะหน่อย

ชื่อร้าน 塩ホルモン 周吾
พิกัด 43°03'07.3"N 141°21'08.1"E


ร้านนี้มีเมนูอังกฤษให้แต่ไม่มีภาพ รสชาติถือว่าอร่อยใช้ได้เลย หากแต่มันไม่สะใจเท่าบ้านเรา
แต่ละจานก็ได้ไม่เยอะ ตกเซตละ 6 ชิ้นเบ็ดเสร็จสั่งไป 6-7 เซต บวกค่าน้ำค่าข้าว vat+8%
มื้อนี้ราวๆ 6858 เยน ตกประมาณ 2,000 กว่าบาท ถ้าให้เทียบแล้วกินหมูกะทะบ้านเราสะใจกว่า
เพราะ เครื่องปรุงที่นี่มีแต่โชยุ ผงราดข้าว ถ้ามีจิ้มแจ่วซะหน่อยนี่ บอกเลยสุโค่ย~

การเดินเที่ยวในย่าน Susukino ถือว่าง่ายมาก เพราะ ที่นี่จะแบ่งเป็นบล็อคๆ
ให้จำว่าเราพักอยู่บล็อคไหน ล็อตที่เท่าไหร่ ก็ไม่หลงแล้ว

ที่นี่เป็นย่านกลางคืนของคนญี่ปุ่น มีทั้งร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า อาบอบนวด บาร์ ฯลฯ
หลากหลาย ตามทางก็มีสาวๆแต่งคอสเพลย์มาแจกใบปลิวให้เห็นบ้าง
นี่โชคดีบังเอิญเจอ Bunny Girl เกิดมาพึ่งเคยเห็นของจริง แต่ละคนนี่สวยมากๆ (เสียดายเค้าห้ามถ่ายรูป)

หลังเดินท่องราตรีอยู่นาน อากาศข้างนอกหนาวมาก น่าจะต่ำกว่า 10 องศา ขอหนีกลับที่พักดีกว่า
คืนนี้เราพักกันที่ Tmark City Hotel ตกประมาณคืนละ 1,500 บาท เราค้างที่นี่ 2 วัน



เช้าวันถัดมา เราแวะชม ตลาดปลานิโจว เป็นตลาดเล็กๆที่มีอายุมากกว่า 100 ปี
อยู่ติดกับ Sapporo TV Tower ที่นี่ก็จะเน้นขายอาหารสดทั้งหลายแหล่ กุ้ง หอย ปู ปลา ฯลฯ

ใครสนใจซื้อกลับบ้าน ก็แวะมาที่นี่ได้เลยฮะ


ถัดมาเราแวะมาชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ ศาลาว่าการเก่า สถาปัตยกรรมที่ใช้อิฐแดงถึง 2,500,000 ก้อน
สวนที่นี่บรรยากาศดี มีใบไม้หลากสีให้ได้เดินฟินกัน


เราใช้เวลาอยู่ที่นี่พักใหญ่ ก่อนจะถูกพาไปช้อปปิ้งที่ Mitsui Outlet Park Sapporo
ส่วนใหญ่ก็ของแบรนด์เนมทั่วๆไป แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ซุปเปอร์มาร์เก็ต มากกว่า

ได้มา 2 อย่าง ขวดแรกคือ ซอสไข่หอยเม่น รสชาติเข้มข้นมากๆ ได้รสไข่หอยเม่นแบบเต็มๆ
บังเอิญว่า มีให้ทดลองชิมฟรี ราดข้าวกินกับสาหร่อย อร่อยมาก แต่ราคาแพงไปหน่อย 1,200 Yen
ให้ 9/10


ขวดที่สองเป็น น้ำสลัด รสชาติเข้มข้น ออกเค็มๆ หอมกลิ่นงา ตอนชิมก็อร่อยอยู่นะ
แต่พอกลับมาไทย ใช้กินกับสลัดบ้านเรา ดูมันหนักเค็มยังไงก็ไม่รู้ ราคาประมาณ 800 Yen ให้ 7.5/10

ตกเย็นเราท่องราตรีที่ susukino ย่านเดิม เดินหาร้านข้าวอยู่นาน ว่าจะหาบุฟเฟ่กิน
แต่เท่าที่ดูน่าจะไม่มี จึงไปฝากท้องไว้ที่ Yoshimi สั่งข้าวหน้าเนื้อกับข้าวหน้าปลาไหลกินกัน
มื้อนี้ตกประมาณ 2,000 Yen



รุ่งเช้าต่อมาเราเดินทางมาที่ หุบเขานรก Jigokudani ที่นี่หลายๆคนน่าจะเคยเห็น
เพราะเป็นสถานที่ถ่ายทำของภาพยนตร์เรื่อง แฟนเดย์ แฟนกันแค่วันเดียว

ที่นี่จะเต็มไปด้วยธารน้ำร้อนพร้อมกับไอร้อนที่ระอุขึ้นมาไหลไปตามแนวภูเขา
และมีสารกำมะถันที่มีอยู่ทั่วไปบนภูเขาไฟแห่งนี้ด้วย

เดินตามทางไปบนสะพานก็จะเจอตาน้ำขนาดใหญ่ที่ยังคงมีกลิ่นกำมะถันรุนแรงและควันตลบไปทั่ว


ถัดมาเราเดินทางไปกันที่ Showa-shinzan Bear Park
ชมหมีภูเขาไฟ โชวะชินซัง หมีที่นี่ดูเป็นมิตรมากๆ สามารถให้อาหารได้
เหมือนรู้งาน ควักมือขออาหารกันทุกตัว เป็นภาพที่น่ารักน่าเอ็นดูจริงๆ



หลังให้อาหารหมีเสร็จ เราก็เดินทางสู่ทะเลสาป โทยะ (Lake Toya) ป็นทะเลสาบขนาดใหญ่รูปวงกลม
รอบวงยาวประมาณ 40 กิโลเมตร เกิดจากปากปล่องภูเขาไฟ ตั้งอยู่ใกล้กับทะเลสาบชิโกสึ (Lake Shikotsu) ทะเลสาบแห่งนี้มีความพเิศษตรงที่น้ำจะไม่แข็งตัว ในช่วงฤดูหนาว และในหน้าร้อน
อากาศก็เย็นสบาย เหมาะสําหรับเดินเล่น ปั่นจักรยาน หรือล่องเรือชมทิวทัศน์


มาถึงที่แล้วก็ถ่ายรูปซะหน่อย ภาพนี้ถ่าย 4 shot แล้วมาตัดต่อทีหลังนะ



ต่อมาเรามาที่ บ่อนํ้าพุในสวนฟูกิดาชิ อยู่ตีนภูเขา Yotei
เป็นสวนของบ่อนํ้าที่ได้เลือกจากกระทรวงสิ่งแวดลอ้ มใหเ้ป็นหนึ่งในนํ้าที่บริสุทธ์ที่สุดในญี่ปุ่น
เกิดจากนํ้าฝนและหิมะที่ไหลอยู่บนภูเขา Yotei ในหลายศตวรรษและเป็นบ่อนํ้าพุทางธรรมชาติอย่างแท้จริง อณุหภูมิ จะอยู่ที่ 6 องศาเซนเซียส ตลอดทั้งปี

ที่นี่บรรยากาศดี มีวิวสวยๆให้เดินชมตลอดทาง ถ้ามาเร็วกว่านี้ คงได้เห็นใบไม้เปลี่ยนสีเต็มไปหมด

มื้อเย็นเราแวะย่านเดิม Susukino จัดบุฟเฟ่ปูเต็มที่!

ขาปูที่นี่ ชิ้นใหญ่มาก! มื้อนี้เรียกว่า หม่ำปูกับหอยเผื่อไปทั้งชีวิตละ

ก็ถือว่าจบทริป 6 วัน 4 คืน ได้มาชื่นมื่นที่ ฮอกไกโด สักที
ถ้ามีโอกาส ก็อยากมาเยือนที่นี่อีกครั้งก็ดี
อยากลองเล่นสกีแบบในหนังดูบ้าง

ขอบคุณที่ติดตามอ่านจนจบครับ^^


















ความคิดเห็น