ITALY. . . I'm here.

ผ่านไปกับประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ยังเหลืออีกครึ่งนึงของการเดินทางในครั้งนี้ มุ่งหน้าเข้าสู่ประเทศ [ อิตาลี ] ต่อกันวันที่ 16 เราเดินทางกันโดยรถไฟจาก Zermatt เข้าชายแดนอิตาลี ก็เกิดเรื่องขึ้น . . .

Part 1 : ย้อนดูได้ที่นี่จ้า https://th.readme.me/p/20840

Day 12-13 : BKK - Zurich - Luzern - Interlaken West

Day 14 : Interlaken West - Schilthorn - Jungfraujoch

Day 15 : Interlaken West - Mt.Titis - Bern - Zermatt

Day 16 : Zermatt - Matterhorn - Milan

Part 2

Day 17 : Milan - Varenna - Milan

Day 18 : Milan - Verona - Venezia Mestre

Day 19 : Venezia Mestre - Venice - Florence

Day 20 : Florence - Pisa

Day 21 : Florence - Rome

Day 22-23 : Rome - Vatican - BKK

สำหรับการเดินทางทั้งหมดในอิตาลีที่พวกเราใช้ในการเดินทางได้ประมาณนี้

  • ระหว่างเมือง : จองออนไลน์ทั้งหมด แต่ไม่ได้ใช้ทั้งหมด และควรจองผ่านเวปของรถไฟโดยตรง**
  • รถไฟใต้ดิน : ซื้อหน้าตู้ตามสถานีที่ผ่าน มีเจ้าหน้าที่ประจำตู้คอยแนะนำเกือบทุกสถานีที่เราไปกดซื้อ
  • Day Pass : ซื้อหน้าเคาน์เตอร์ เช่น ตั๋วเรือ Lake Como, Roma 48 hour pass, Verona pass และตั๋วเรือ Venice
  • การเข้าสถานที่จอง : พิพิธภัณฑ์วาติกัน**ควรจองมากๆ คนเยอะมาก

เลือกซื้อแยกตามแต่ละวันถูกกว่าซื้อ Euro pass สำหรับการเดินทางครั้งนี้ มาต่อกันในวันที่ 16 ตุลาคม


04

(ต่อ)

จากสวิส สู่ มิลาน

เรานั่งรถไฟมาลงที่ Brig เพื่อเปลี่ยนรถเข้าอิตาลี เขตอิตาลีจริงๆคือสถานี Domodossola พอขึ้นรถไปซักพักกำลังจะพ้นเขตสวิสมีเจ้าหน้าที่มาตรวจตั๋วก็พบว่าที่นั่งของเรากับนักท่องเที่ยวคนนึงซ้ำกัน ปรากฎว่าตั๋วของเราโดนยกเลิกตั้งแต่ที่ไทยจองผ่านหน้าเวปหนึ่งซึ่งไม่ใช่เวปของรถไฟโดยตรง แต่เราไม่ได้ดูข้อความที่เค้าส่งกลับมา

ดังนั้น ** ควรจองตั๋วกับบริษัทรถไฟโดยตรง **

กลายเป็นเราต้องซื้อตั๋วใหม่พร้อมค่าปรับรวมแล้วคนละ 4 พันกว่าบาทเลยทีเดียว (แทบจะเท่ากับค่ารถไฟทั้งหมดในอิตาลีของทริปนี้เพราะขึ้นรถไฟ Frecciarossa Trains ไม่ใช่ Local ก็แพงขึ้นไปอีก) นั่งมาเรื่อยๆใกล้เข้าเขตอิตาลี พวกเราเปลี่ยนรอบให้เร็วขึ้นดังนั้นเราต้องลงไปซื้อตั๋วใหม่ เพราะถ้ามีการตรวจตั๋วในอิตาลีอีกจะเสียเยอะกว่าเดิมตั๋วที่จองไม่สามารถเปลี่ยนได้ซื้อแบบถูกสุด พวกเราลงรถกันที่สถานี Domodossola แล้วเราก็เริ่มเผชิญกับความจริงที่เค้าเตือนกันว่า " เข้าอิตาลีให้ระวังตัว " คนละเรื่องกับสวิสเลย เริ่มตั้งแต่คน คนที่นี่ค่อนข้างดุ ส่วนใหญ่พูดได้แต่ภาษาอิตาลีแม้กระทั่งเจ้าหน้าที่ของรถไฟเองก็พูดได้น้อย ความสะอาดของสถานที่เก่าและค่อนข้างโทรมกว่า พวกเราเข้ามาซื้อตั๋วรถไฟรอบสี่โมงเย็น(ตอนแรกจองไว้ทุ่ม) เพื่อจะถึงมิลานไม่ดึกมากนัก เมื่อถึงมิลานเมืองที่มีสถาปัตยกรรมสวยงามแต่คนเยอะและมีคนไร้บ้านอยู่ประปรายด้านหน้าสถานี Milano central เดินออกมาเลี้ยวซ้ายเล็กน้อยก็เจอโรงแรมสำหรับคืนนี้ คืนนี้เราพักกันที่ Spice Hotel เจ้าหน้าที่ต้อนรับดี ห้องดี เราพักที่นี่ 2 คืน เก็บของกันเสร็จก็ได้เวลาหาอะไรทานสำหรับเย็นนี้ พวกเราเริ่มโหยหาอาหารเอเชียทุกประเภทหลังจากเจออาหารยุโรปไป 4 วันเต็ม พยายามหาในกูเกิลก็ไม่เจอจึงเริ่มเดินออกจากโรงแรม ผ่านย่านคนผิวสี ย่านช้อปปิ้ง สุดท้ายวนไปมา . . . . หลงทางนั่นเอง . . . . ไม่เจอร้านที่ตามหา


เริ่มหิวมากจึงทานพิซซ่าในร้านเล็กๆร้านหนึ่ง เป็นมื้อแรกแปลกใหม่อร่อยใช้ได้ พิซซ่า 2 เบียร์ 1 เป็นการทดลอง เจ้าของยิ้มแย้มตลอดเวลาเลย

หลังจากทานอาหารรองท้องกันเสร็จก็เลี้ยวเข้า Lotus เพื่อหาเสบียงสำหรับเช้าพรุ่งนี้ที่ต้องออกห้องแต่เช้าอีกตามเคย พวกเราเริ่มหมดหวังกับการเจออาหารเอเชียจึงเดินกลับโรงแรม เค้ามักบอกว่า " เมื่อเราไม่ตามหาหรือไม่ต้องการมันแล้ว เรามักจะเจอมันเสมอ " ใกล้ๆโรงแรมขณะเดินกลับ เราเจอร้านก๋วยเตี๋ยวถึง 2 ร้าน คิดกันว่าจะมาทานพรุ่งนี้แน่ๆโหยหาสุดๆ เมื่อพลาดจากอาหารที่ต้องการพวกเราก็ต้องยาใจด้วยของหวาน เค้าว่า "เจลาโต้อิตาลีดีมากกกกก" พอเดินผ่านร้านข้างทางหน้าร้านดูดี เลยพุ่งเข้าใส่อย่างไว

Terra Gelato คือดี ทั้งไอติมและพนักงาน ตัก ชิม พรีเซนต์ทุกรสชาติ พวกเรากินถึง 2 ถ้วยใหญ่ พร้อมทั้งบอกพนักงานขายว่า See u tomorrow ! ! ! แล้วจึงเดินกลับที่พัก ฝันดีมิลาน


05

ต้อนรับประทับใจ LAKE COMO

เช้านี้เราเริ่มจากเมือง Varenna เพื่อขึ้นเรือไปตามเกาะต่างๆใน Lake como กัน หลังจากทานเสบียงที่ซื้อมาเมื่อวานเรียบร้อยจึงออกจากโรงแรมประมาณหกโมงเช้าเพื่อไปขึ้นรถรอบ 6.20 ถึง 07.30 น. จาก Milano central Sta. เดินลงเนินตามป้ายไปยังท่าเรือ พวกเราถึงเมืองเล็กๆนี้เช้าเกินไป กว่าเรือรอบแรกจะมาก็เกือบ 9 โมง พวกเราเดินเล่นเลาะตามริมน้ำอยู่พักนึงก็เดินกลับมาซื้อตั๋ว Day 15 euro ขึ้นกี่รอบก็ได้ เมื่อเรามาถึง Bellagio ใช้เวลาประมาณ 40 นาที เราก็พบว่าเราไปได้แค่ Bellagio จากตอนแรกแพลนจะไป Mennagio ด้วย แต่เราจองรถไฟกลับตอนบ่ายสาม ดังนั้นควรดูรอบเรือดีๆก่อนจะวางแผนการเดินทาง ตารางเรือจะแบ่งเป็น 2 ช่วงตามสภาพอากาศเราไปกันก่อนวันที่ 28 ตุลา (ฤดูหนาว) วันธรรมดา ดังนั้นจึงใช้ตารางสีฟ้าด้านซ้ายสุด

เมื่อพบว่าพวกเราไม่สามารถไป Mennagio ได้ทันเวลา จึงตัดสินใจว่าจะเดินเล่นแค่ใน Bellagio หลังจากที่ดูรอบเรือเรียบร้อยพวกเราก็เริ่มหิวจึงหาร้านกาแฟนั่งกัน ถัดไปไม่ไกลจากท่าเรือมีร้านอาหารของโรงแรมแห่งหนึ่ง (หันหน้าออกจากท่าอยู่ขวามือ) ที่นี่ทำให้รู้ว่าครัวซองที่อิตาลีเกือบทุกร้านควรค่าแก่การสั่งมาลอง อร่อยมากๆ

เมื่อทานเสร็จแอบเข้าห้องน้ำโรงแรมเรียบร้อยก็พร้อมออกเดินเล่น

เดินเล่นจนใกล้ถึงเวลาเรือออกเราก็กลับมาที่ท่าเรือประมาณ 12.30 ซึ่งเหลือเวลาอีก 1 ชม. เราพักทานอาหารกลางวันกันบริเวณท่าเรือ ราคาค่อนข้างหนัก

เมื่อกลับถึง Varenna ยังมีเวลาเหลือจึงเดินไปสวน Villa Monestero ค่าเข้าชม 5 Euro สวนร่มรื่นวิวดี แต่โดยรวมสำหรับเราไม่ค่อยมีอะไร

บริเวณท่าเรือมีน้องนกเป็ดน้ำหลายตัวมายืนเป็นนายแบบให้ถ่ายรูปและเล่นด้วย พวกเรามีขนมถุงเหลือติดกระเป๋าจึงเอามาให้กิน เป็นที่สนใจของพวกนางกันมากๆ

ถึงเวลากลับมาขึ้นรถไฟไปมิลานกัน หลังจากเดินกันนานเริ่มหิวจึงไปร้านก๋วยเตี๋ยวที่เล็งไว้เมื่อคืน ร้านยังไม่เปิดแต่ความโชคดีหลังจากเจอเรื่องร้ายมาคือ เราเจอเจ้าของร้านที่กลับเข้ามาพอดี ทำให้เราได้ทานอาหารที่ทำให้รู้ว่า อาหารเอเชียอร่อยที่สุดแล้วเหมือนเจอสวรรค์

เมื่อทานกันอิ่มหนำสำราญ ยังเหลือเวลาสำหรับเดินเล่นมิลานอีกเล็กน้อยก่อนค่ำเราเริ่มเดินกันตามนี้

เริ่มจากซื้อตั๋วรถไฟใต้ดินจากสถานี Lima ไป สถานี Conciliazione แล้วเดินไป 01 - Santa Maria delle Grazie เป็นที่เก็บรักษาภาพวาด The Last Supper ภาพพระกระยาหารค่ำมื้อสุดท้าย ของ Leonardo da Vinci วาดในสมัยศตวรรษที่ 15 ควรจองตั๋วล่วงหน้าเพราะให้เข้าชมเพียงวันละ 25 คน ซึ่งเราไม่ได้จองกลัวไม่ตรงเวลาจึงเดินชมเพียงด้านในของโบสถ์ ด้านหน้าเป็นลานเล็กๆมีเด็ก นักศึกษา มาออกกำลังกาย นั่งเล่นประปราย





ถัดไปเดินอย่างทำเวลาโผล่ที่ 02 - Sforzesco Castel ตั้งอยู่ในสวนสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดในมิลาน ปราสาทนี้ถูกสร้างเพื่อเป็นป้อมปราการและเป็นที่พักของตระกูล Visconti แล้วเปลี่ยนเจ้าของไปเรื่อยๆจนถึงศตวรรษที่ 19 ได้รับการบูรณะให้กลายเป็นศูนย์วัฒนธรรมตามรูปแบบที่เห็นในปัจจุบัน มีจุดศูนย์กลางเป็นหอคอยสูงถึง 70 ม. มีคนมาเที่ยวไม่มากนัก

จากนั้นพวกเราก็เริ่มเดินด้วยความเร็วสูงเพราะกลัวจะเข้า 03 - Duomo di milano italy ไม่ทัน คนมารวมกันที่ลานนี้เยอะมากๆ พวกเราต่อแถวเข้าโบสถ์และทันแบบเฉียดฉิว แทบจะเป็นกลุ่มสุดท้ายที่ได้เข้าโบสถ์ในวันนี้ เวลาเหลือน้อยเราจึงเข้าข้างในกันเลย ข้างนอกสวยแค่ไหนข้างในก็ตามนั้น


ที่สุดท้ายที่เราไปคือห้าง 04 - Galleria Vittorio Emanuele II ศูนย์การค้าที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก Shop แบรนด์ดังมากมายเดินไปมา เพื่อนก็อยากตามหาผ้าพันคอที่ถูกฝากซื้อซะงั้น

เมื่อตามล่าหาผ้าพันคอสำเร็จก็ถึงเวลากลับโรงแรม ระหว่างทางกลับเราพบกับร้านไอติม Venchi ลังเลว่าเข้าดีมั้ย . . . ไหนๆก็ผ่านซักหน่อยละกัน . . . คือมันดีจย์มาก

พอจัดการไอติมตรงหน้าเสร็จก็นั่งรถไฟใต้ดินจากสถานี Cordusio ไปยังสถานี Lima เดินผ่านร้านไอติมร้านเดิมที่บอก See u tomorrow เมื่อวานไม่สาแก่ใจเพิ่งกินไอติมกันมาก็พากันเลี้ยวเข้าร้านนี้อีกและจัดกัน 1 ถ้วย สบายใจกลับไปนอนได้ราตรีสวัสดิ์อิตาลี


06

ตามหาโรมีโอ & จูเลียต

เช้าวันที่ 6 ของทริป พวกเราก็ออกเช้าตามเคยถึงมีอาหารเช้าเราก็จะไม่ทันกินทุกวัน เริ่มเดินทางจาก Milano central ไป Verona Porta Nuova จองออนไลน์ผ่าน Trenitalia ตั๋วรถไฟรอบนี้เป็นแบบ Local ถูกที่สุดตามที่จองมา พวกเราเลือกนั่งตู้ที่ไม่มีคนเพราะต้องการความเป็นส่วนตัวพอรถใกล้ออกก็มีคนท้องถิ่นมานั่งด้วยจนเกือบเต็มคัน นั่งไปซักพักใหญ่หลับๆตื่นๆด้วยความตื่นเช้า พอลืมตาขึ้นมาพบว่ามีผู้หญิงคนนึงที่นั่งเบาะด้านหลังเพื่อน ลุกยืนแล้วมองออกไปนอกหน้าต่างเราพบอาการนั้นถึง 2 รอบ แต่ไม่ได้บอกเพื่อน รอบที่ 3 เพื่อนพบมือหนึ่งยื่นออกมาระหว่างช่องที่นั่งเอื้อมมาจะหยิบของข้างๆตัวจึงรีบคว้าของทั้งหมดแล้วมานั่งฝั่งเราด้วยความตกใจสุดขีด นั่นเอง พวกเราถึงอิตาลีแล้ว " มิชฉาชีพในอิตาลี " สิ่งที่ทำให้ช๊อคไปกว่านั้นคือเค้าทำงานเป็นทีม ในตู้ที่เรานั่งมีผู้ชายอิตาลีคนนึง พวกเรา 4 คน และแก๊งมิฉาชีพอีก 6 คน เป็นผู้หญิง 2 ชาย 4 หลังจากที่ขโมยโทรศัพท์เพื่อนเราไม่สำเร็จพวกเขาก็ทะยอยลงจากรถไฟที่สถานีถัดไปแล้วลงไปคุยกันข้างล่าง นั่นทำให้รู้ว่าทั้งหมดในตู้เรานั้นเป็นโจรทั้งหมด ลงกันหมดแล้วเหลือแค่เรา กับผู้ชายอิตาลี 1 คน ที่ไม่รู้ว่าโดนหรือไม่โดนอะไรบ้าง สิ่งที่น่าตกใจคือ ผู้หญิงในนั้นยังเด็กอายุไม่น่าเกิน 20 ปี และพวกเรานั่งในดงโจร จากนั้นมาเพื่อนเราบอกว่า " จากนี้ไปทุกคนเป็นโจร . . . . . "

ในที่สุดเราก็มาถึงเราสามารถซื้อ Verona card 15 Euro ได้ที่ร้านสะดวกซื้อในสถานี สามารถขึ้นรถเมล์ได้ทุกเที่ยวทุกสายและเข้าสถานที่ต่างๆ เดินตามป้ายเพื่อไปฝากกระเป๋าที่เคาเตอร์เล็กๆ เสร็จแล้วก็ออกไปเที่ยวได้ เรานั่งรถเมล์ไป Piazza Bra ดูเวลาตาม Google map เป็นลานกว้างมีคนมานั่งเล่น และเต็มไปด้วยร้านอาหารโดยรอบที่ยังเปิดไม่เต็มที่นัก เราจะเริ่มเดินเล่นตามนี้

01 - Verona Arena เป็นโรงละครโรมันตั้งแต่ศตวรรษที่ 1 คล้ายโคลอสเซียมที่โรมแต่เล็กกว่ามาก เคยพังจากแผ่นดินไหว ถูกบูรณะจนปัจจุบันเป็นที่แสดงโอเปร่าหรือคอนเสิร์ต สามารถใช้ Verona card เข้าได้ฟรี วันที่เราไปถึงน่าจะมีการจัดงานคอนเสิร์ตในอีกไม่นาน มีการจัดโครงเหล็กเวทีต่างๆ

เดินเล่นกันครู่นึงก็ออกมาด้านนอก หิวกันแล้ว จึงเดินหาร้านในบริเวณนั้นทานกาแฟและครัวซอง ก่อนจะเดินเที่ยวต่อยังมีอีกหลายจุดที่เราจะไปลุยกัน

เมื่อทานเสร็จตอนแรกจะเดินตามถนน Giuseppe Mazzini เพราะจากที่หาข้อมูลมาเป็นถนนที่คึกคักสุดในเมือง พอเดินจริงตรงหน้าคือ 3 แยก เลยไม่รู้ว่าเดินถนนเส้นนั้นจริงรึเปล่า แต่เอาเถอะเราเดินเพื่อจะไป 02 - Casa di Glulieta บ้านจูเลียตนั่นเอง รูที่คนมุงเยอะๆเดินตามไปได้เลย หาไม่ยากนัก ตั้งอยู่ในตึกแถวยุคกลางเลขที่ 23 มีรูปปั้นสำริดขนาดเท่าจริงของจูเลียตตั้งอยู่ นักท่องเที่ยวมักเอามือแตะตรงหัวใจขอเรื่องความรัก ด้านบนมีระเบียงยื่นออกมา เค้าว่าเป็นที่โรมิโอแอบมาพลอดรักกับจูเลียต สามารถใช้บัตรขึ้นไปดูนิทรรศการเกี่ยวกับประวัติต่างๆด้านในได้ฟรี

แล้วเราก็เดินต่อเพื่อจะไปสะพาน Ponte Pietra ระหว่างทางเราเจอคนมุงทางเข้าอันหนึ่ง พวกเราจึงเดินตามแล้วคิดว่าน่าจะเข้าได้ ไม่มียาม ที่นั่นคือ 03 - Palazzo della Ragione เป็นอาคารเปิดคอร์ดกว้างตรงกลางศิลปะเรอเนซองส์สร้างในปี 1193 มีรูปลักษณ์ของอาคารที่เป็นเอกลักษณ์ของ Verona ผนังก่อด้วยอิฐสลับกับหินอ่อนสีชมพู ผ่านการใช้งานหลายรูปแบบ เช่น วัง ศาลากลาง คลังสินค้า โรงเรียนสอนกฎหมาย สภาเมืองแล้วก็ถูกทิ้งร้าง จนกระทั่งมีการบูรณะจนกลับมาใช้ใหม่ในปี 2004 ปัจจุบันเป็นแกลเลอรี่ มี Scala della Ragione บันไดสไตล์เรอเนซองส์ที่เหลืออยู่เพียงแห่งเดียวใน Verona ด้านบนมีหอคอยตอร์เร เด แลมเบอร์ติ (Torre dei Lamberti) พวกเราพากันเดินเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ใช้บัตรได้เช่นเดียวกันฟรี แต่หอคอยเสียเพิ่ม 4.5 euro เราไม่ขึ้นไป


จากนั้นก็ขึ้นรถเมล์ไปลงแถวๆสะพาน 04 - Ponte Pietra สะพานสมัยโรมัน สะพานดเดิมถูกระเบิดทำลายไปในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ต่อมาชาวเมืองพากันงมหินอ่อนของเดิมในแม่น้ำนำมาสร้างใหม่ให้เหมือนเดิม ดังนั้นหินที่เห็นอยู่น่าจะเป็นหินอ่อนยุคโรมันอายุกว่า 2000 ปี

เดินไปอีกนิดเราพบกับป้ายคล้ายที่แสดงนิทรรศการพอไปถามเจ้าหน้าที่ปรากฏว่าปิดไม่แสดงวันนี้ แต่บริเวณใกล้ๆ สามารถขึ้นชมวิวมุมสูงของเมืองได้ทางเข้าอยู่ตึกแถวข้างๆ 05 - Castel San Pietro มีบันไดทางขึ้นและลิฟท์ เราหาทางขึ้นลิฟท์ไม่เจอจึงเดินขึ้น มีร้านอาหารอยู่ด้านบนแต่พวกเราจบที่จุดชมวิวเล่นเอาหอบ ขึ้นมามีม้านั่ง 2 - 3 ตัว นั่งจัดการช๊อคโกแลตจากสวิสอยู่พักใหญ่ ก็เดินลงมาหาข้าวกลางวันทาน

เดินข้ามสะพานกลับมาเลี้ยวซ้ายลงเนินมานิดนึงเห็นร้านอาหารเรียงรายอยู่บางร้านก็ Michelin stars อาหารคงดีแต่ไม่ไหว กระเป๋าแบนๆอย่างเรา เดินมาอีกนิดเจอร้านอาหารคูหาเดียวแต่งร้านดูดี ดูราคาพอไหว 06 - ร้าน Alcova del frate มาลองอาหารยุโรปที่หน้าตาดูดีกว่าที่เคยทานมาจะรอดหรือไม่

พวกเราสูญเสียเพียง 104 Euro ทำให้ประหลาดใจ ดีมากเป็นอาหารยุโรปที่อร่อยกว่าทุกมื้อที่เราทานมาจากสวิส หรือจริงๆแล้วถ้ายอมเสียเงินเพิ่มอีกนิดหน่อยเราก็จะได้อาหารแบบนี้ทุกมื้อก็ไม่ทราบได้ ควรลองซักมื้อ อาหารที่เราสั่งมีทั้ง เซลมอนสเต็ค ยอกกี้มันฝรั่ง พาสต้าปู มันฝรั่งอบ และชุดเนื้อม้า . . . เป็นเนื้อม้ารวมมีทั้งทาทาร์และสเต็ค ทาทาร์รสชาติคล้ายซาซิมิปลานิ่มๆลื่นๆมันดีนะแค่พวกเราไม่ชินเนื้อดิบส่วนนี้กินกันไม่หมด สำหรับสเต็คที่สุกแล้วนิ่มมากอร่อยใช้ได้ มื้อนี้ผ่าน อาหารยุโรปที่อร่อยที่สุดในทริปนี้ พนักงานดีใจบริการสุด พรีเซนต์อาหารแนะนำตลอด เนื้อม้าก็จากพนักงานคนนี้แหละลูกยุนางดีบวกกับความอยากลองของพวกเรา ม้าก็มา

จากนั้นเราก็ตัดสินใจจะนั่งรถกลับเดินกันไม่ไหว ข้ามสะพานกลับมาขึ้นรถฝั่งตรงข้ามสะพานบริเวณนั้นน่าจะใกล้สถานศึกษามีนักเรียนมารอรถเต็มไปหมด พวกเรานั่งรถเมล์เพื่อจะไปสะพานก่ออิฐข้ามแม่น้ำอาดีเจ หัวสะพานเป็น 07 - ปราสาท Castelvecchio สร้างในปี 1354 เพื่อเป็นที่หลบภัยกรณีเกิดกบฏ ปราสาทเต็มไปด้วยห้องลับ ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะ








ได้เวลากลับพวกเรานั่งรถเมล์กลับมาที่สถานี Verona Porta Nuova กันประมาณบ่ายสองกว่าๆ เอากระเป๋า และขึ้นรถไฟเพื่อไป Venice Mestre คล้ายจะไม่มีปัญหา แต่. . . พวกเราเข้ารถไฟผิดควรเข้าประตูซ้ายสุด แต่พวกเราเข้าขวาสุด วิ่งสิ ทั้งหอบทั้งลากกระเป๋าไปเกือบตกรถไฟในที่สุดก็ขึ้นมานั่งหอบกันบนรถไฟ เวลา 15.30 คืนนี้พวกเราพักที่ Best Western Hotel Tritone ใกล้กับสถานี Venice Mestre โรงแรมดี พนักงานดี มีห้องอาหาร เราไม่พักในเวนิสเพราะราคาแรงกว่ามาก เมื่อเก็บของเสร็จก็เริ่มหิวและชวนกันไปหาอาหารเย็นทาน จากที่ได้ทานอาหารเอเชียมาแล้วจึงตัดสินใจว่าจะไปหาอาหารจีนทานแต่หาใน Google ไม่เจอซักร้านอีกแล้ว ลองเดินกันไปเรื่อยๆ เมืองนี้มีความอึมครึมอยู่ในตัว ทั้งบรรยากาศฟ้าครึ้ม ผู้คน อาคารเก่าต่างๆ เดินไปค่อนข้างไกลก็ยังไม่เจอจึงเดินกลับ ช่วงเดินกลับนั้นเองก็เจอโคมแดงระหว่างซอยบริเวณหนึ่งจึงพากันเข้าไป ใกล้ๆกับโรงแรม Giovannina แล้วปรากฏว่าเป็นร้านอาหารจีน ลองสิรออะไร ผลคือดีจย์มาก

และยิ่งไปกว่านั้นคือ ราคาดีงามถูกว่าอาหารยุโรปครึ่งนึงเลย ทั้งข้าวผัด ผัดมะเขือ ซี่โครงหมูทอด เป็ดย่างซักอย่าง ไก่ย่างคลุกพริกหม่าล่า และต้มจืด พร้อมข้าวสวยร้อนๆ มื้อนี้ประมาณ 45 Euro เปรมกันไปคืนนี้ แล้วก็เดินกลับโรงแรม ระหว่างทางเจอคนท้องถิ่นข้างถนนยืนในมุมมืดของอาคารเอามือล้วงกระเป๋าหันมายิ้มให้ อีกคนยืนสูบบุหรี่พิงผนังอยู่แอบน่ากลัวปนหลอน หันไปเจอเราตกใจมากภาพจำเมื่อเช้ากลับมาที่เพื่อนบอก " ทุกคนเป็นโจร " เดินให้ไวเลยกลับโรงแรมกัน หลับฝันดีมาถึงอิตาลีแล้วจริงๆ


07

เวนิสเมืองแห่งสายน้ำ ไม่คล้ายความฝัน

เช้านี้ในตอนแรกที่เราต้องออกตีห้าเป็น ร.ด. เช่นเคย แต่ลูกทัวร์บอกขอสายอีกหน่อยเถอะ พวกเราเช็คเอ้าท์และฝากกระเป๋าไว้ที่ลอบบี้ แล้วเลือกจะทานอาหารเช้าของโรงแรมแล้วค่อยออกเดินกัน ห้องอาหารเปิดประมาณ 7 โมงเช้า มีอาหารหลายอย่าง หลักๆก็ขนมปัง ผลไม้ น้ำผลไม้ กาแฟ ขนมหวาน สลัดนิดหน่อย พนักงาน 2-3 คน หนึ่งในนั้นมีพี่คนไทยรวมอยู่ด้วย แกอยู่ที่นี่มานับ 10 ปี พูดคุยด้วยซักพักก็คว้าเสบียง ทำธุระส่วนตัวแล้วออกเดินทางไปเวนิสประมาณ 8.30 น. พวกเรานั่งรถไฟจากสถานี Venice Mestre ไปสถานี Venice

เดินออกนอกสถานีก็พบกับคนจำนวนมากอยู่บริเวณลานด้านนอกที่จะไปซื้อตั๋วเรือแต่ละแบบจะมีบอกว่าสามารถเข้าสถานที่ต่างๆที่ไหนบ้าง

ตอนแรกด้วยความไม่รู้จึงไปรอต่อคิวขึ้นเรือผิดแถวหรือยังไงไม่ทราบ เจ้าหน้าที่ไม่ยอมให้เราขึ้นเรือ เริ่มหัวร้อน คนเยอะ อากาศอิตาลีเดือนตุลาคมร้อนใช้ได้ สุดท้ายจึงเริ่มที่การเดิน เราเดินเล่นข้ามสะพานไปเรื่อยๆ ก็พบกับ 01 - Basilica dei Frari

พวกเราเดินตามคนไปเรื่อยๆซอกซอยเยอะ ร้านค้าเต็มไปหมด เราเดินหลงผ่าน 02 - Campo San Polo

และเจอ 03 - Rialto Bridge สร้างช่วงปลายศตวรรษที่ 15 ออกแบบเป็นรูปตัว V ทางเดินริมสะพานทำจากหิน พวกเรายืนอยู่บริเวณราวสะพานชมเรือกอนโดล่า สะพานมีหลังคาสร้างโดย Antonio Da Ponte พวกเรามัวแต่ตื่นเต้นกับเรือ แม่น้ำด้านล่าง ทำให้ลืมถ่ายรูปกับสะพานไปเลย ถ่ายรูปเล่นกันพักใหญ่ก็เหลือบไปเห็นคนข้างบนยอดตึกข้างสะพาน ตึก Fondaco dei tedeschi ปัจจุบันเป็นห้างสรรพสินค้า หลังจากทำธุระส่วนตัวกันเสร็จ ก็พยายามเดินหาทางขึ้นไปด้านบนหากต้องการอยู่ชมนานกว่านั้นต้องมาเป็นคณะทัวร์หรือจองมาก่อน เจ้าหน้าที่ให้เรา 5 นาที แล้วเค้าก็มาตามลงเพราะมีคณะทัวร์กำลังจะเข้าชม

ลงจากยอดตึกไปต่อกันที่ 04 - San Marco Square ประกอบด้วย อาคารทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสความสูงกว่า 90 ม. ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ 05 - Museo Correr สามารถใช้ Museum pass ได้ ส่วนยอดเคยเป็นประภาคารและมีหอระฆังถูกสร้างศตวรรษที่ 12 เป็นหอระฆังที่สูงที่สุดในเวนิส อยู่ติดกับ 06 - มหาวิหาร San Macro เป็นโบสถ์ประจำเมืองสร้างปี ค.ศ. 852 ตัวโบสถ์สร้างด้วยสถาปัตยกรรมหลายสมัยตั้งแต่ยุคไบแซนไทน์จนถึงยุคเรอเนสซองส์ สร้างขึ้นเพื่ออุทิศแก่นักบุญมาร์ค




เมื่อเราตระเวนโซนนี้เสร็จเริ่มหิวจึงเดินหาอาหารกลางวันทาน แต่ละร้านราคาไม่น่ารักเท่าไร่ พวกเราจึงเดินไปหาของกินตามเคออสเล็กๆด้านข้างลาน คว้าขนมปังสอดไส้แฮมชีสมา 2 อัน ต่างกันเล็กน้อย ประมาณอันละ 3 euro รสชาตินี้คือขนมปังให้นกให้ปลาบ้านเราชัดๆ แข็ง เย็น จืด นั่งทานกันข้างทางก็เจอกับเจ้าถิ่น นกนางนวลตัวเขื่อง และพิราบฝูงใหญ่ เริ่มบินมาด้อมๆมองๆมนุษย์ที่นั่งกินกันอยู่ข้างฟุตบาท ทานไปซักพักสุดท้ายก็เอาให้นกทานหมด แล้วลุกไปหาไอติมกินกันแก้ช้ำใจจากขนมปัง


หลังจากได้อะไรเย็นๆปลอบใจก็เริ่มออกเดินต่อ คนเยอะ และอากาศเริ่มร้อนขึ้น นักศึกษาวิชาทหารทั้ง 4 เริ่มหมดแรง เดินผ่าน 07 - Doge's Palace เป็นพระราชวังขนาดใหญ่สำหรับเป็นที่พักของดยุคในอดีต พระราชวังสไตล์โกธิคถูกเปลี่ยนให้เป็นพิพิธภัณฑ์ในปี ค.ศ. 1996 จากความอยากเข้าไปชม เริ่มไม่อยากเมื่อเห็นแถวยาวเหยียดตรงหน้าแม้จะซื้อบัตรมาแล้วก็ตามที ชมแค่ข้างนอกและโถงบางส่วนก็ถอยทัพ

เดินกันต่อที 08 - Bridge of sigh สะพานถอนหายใจ สร้างเพื่อเชื่อมต่อระหว่างห้องสอบสวนของวังดยุกเข้ากับเรือนจำ นักโทษที่เดินไปมามักถอนหายใจเนื่องจากจะได้เห็นเหมือนผ่านสะพานเป็นครั้งสุดท้าย


แล้วตัดสินใจลงเรือไป Murano เกาะแห่งการทำเครื่องแก้ว ใช้เวลาประมาณ 45 นาทีก็ถึง เมืองก็เป็นสีลูกกวาดถึงจะไม่เท่า Burano ก็ตาม

จุดหมายแรกบนเกาะนี้คือ 10 - Museum of glass นี่เป็นอีกความพลาดของพวกเราคือ Pass ที่เราซื้อมาเข้าพิพิธภัณฑ์ที่เกาะนี้ไม่ได้ ได้แต่มองตาปริบๆแล้วเดินออกมา ข้างในมีเครื่องแก้วงามๆเยอะเลย เห็นแค่ข้างหน้า เพราะถ้าซื้อเข้าชมจากเคาน์เตอร์ราคาแทบเท่า Pass พวกเราเลยเดินเล่นไปเรื่อยๆเพื่อไปชมการเป่าแก้วกันใกล้ๆกับท่าเรือที่จะกลับ ระหว่างทางก็คว้าไอติมเป็นของปลอบใจ จะปลอบใจกันจนเป็นเบาหวานไปเลยทริปนี้

11 - ร้าน Gino Mazzuccato มีการแสดงการเป่าแก้ว ราคาประมาณ 5 euro เมื่อชมเสร็จก็เดินไปท่าเรือเพื่อขึ้นเรือกลับไปที่ท่าใกล้ๆกับรถไฟฟ้า

หลังจากกลับมาถึงโรงแรมทำธุระส่วนตัวเรียบร้อยด้วยความเหนื่อยและเริ่มหิว เวลายังเหลือสำหรับรอรถไฟไป Florence ประมาณทุ่มกว่าๆ พวกเราก็ไปกินข้าวร้านอาหารจีนนั้นอีกสนองความอยากไปถึงร้านยังไม่เปิดดี พ่อครัวมือหนึ่งยังไม่มาเข้างาน 5 โมงเย็น รอจนพ่อครัวมาแล้วก็อิ่มอร่อยไปอีกหนึ่งมื้อ เดินกลับมาเอากระเป๋าที่โรงแรมแล้วไปฟลอเรนซ์คราวนี้ก็เป็นตั๋ว Frecciarossa Train นั่งกันสบายไม่ค่อยกลัวโจรเท่าไหร่ เมื่อถึงสถานีแอบเห็น ร้าน Venchy ไอติมและช๊อคโกแลตที่เราหลงรัก เดินออกจากสถานีเพื่อไปเข้าพักที่ B&B Le Ghiacciaie แอบหลงทางนิดหน่อย Google map ทรยศเบาๆพาเดินอ้อม ในที่สุดก็ถึงหน้าตึกที่จะพัก เราพักที่นี่ 2 คืน ห้องพักของเราอยู่ชั้น 4 ไม่มีลิฟท์ . . . แบกขึ้นไปสิกระเป๋า . . . ห้องดีบริการดียกของขึ้นให้เราด้วย พวกเราถึงค่อนข้างดึกต้องเงียบเสียงหน่อยเพราะเป็นตึกแถวแบ่งเป็นห้องๆให้เช่ามีโต๊ะเพื่อจัดอาหารเช้ารวมกันตรงกลาง อาบน้ำเข้านอนหลับไปด้วยความเพลียราตรีสวัสดิ์ฟลอเรนซ์


08

ฟิเรนเซ่เมืองศิลปะ

เช้านี้เป็นเช้าที่ 2 ที่เราจะออกกันสายซักหน่อย ออกจากห้องมาทานอาหารเช้าที่ทางที่พักเตรียมให้ นม กาแฟ ครัวซองที่อยากขอชิ้นที่ 2 มากแต่เกรงใจ ขนม โยเกิร์ตต่างๆ กินกันจนอิ่มก็ได้เวลาเริ่มออกเดินทาง จุดมุ่งหมายแรกคือจุดที่ไกลสุดมีเพื่อนแนะนำว่าควรไปเช้าเพราะไม่ย้อนแสง ขามาห้องพักเมื่อคืนเราเห็นร้านค้าใกล้ๆที่พักเช้านี้จึงเดินไปเพื่อซื้อตั๋วรถเมล์ที่นั่น เมื่อซื้อเสร็จก็เริ่มออกเดินทางขึ้นรถเมล์ไป 01 - Piazzale Michelangelo สองข้างทางเป็นทิวต้นไม้สูงร่มรื่นตลอดทาง นั่งรถมาพักนึงก็เจอลานกว้างเห็นเมืองเต็มไปด้วยอาคารหลังคาส้มสุดลูกหูลูกตา อากาศดีมากเช้านี้

เมื่อเดินเล่นซักพักใหญ่ก็นั่งรถเมล์มาลง 02 - มหาวิหารฟลอเรนซ์ Florence Cathedral อายุกว่า 800 ปี ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 2 มีจุดเด่นคือโดมสีส้มขนาดใหญ่และอาคารหินอ่อนสีขาวแต่งด้วยหินสีเขียวและชมพู ใหญ่มาก สวยมาก สามารถขึ้นไปข้างบนได้ แต่คนเยอะแถวยาวมากๆจริงๆ เราไม่ได้ขึ้นแอบเสียดาย

เดินตามถนนสายหลักจนถึง 03 - Piazza della Repubblica เป็นจุดศูนย์กลางเมืองตั้งแต่สมัยโรมัน

04 - พระราชวัง Palazzo Vecchio ปัจจุบันเป็นทาว์นฮอลตั้งอยู่จัตุรัส Piazza della Signoria ในบริเวณนั้นมีพิพิธภัณฑ์และจัดแสดงรูปปั้น คนเยอะเต็มลาน ผ่านอิตาลีมา 2 วัน เริ่มละลานตากับงานสถาปัตยกรรม จิตรกรรมฝาผนัง รูปปั้นต่างๆ พวกเราเริ่มจะไม่แวะไม่เข้าตามพิพิธภัณฑ์ต่างๆกันแล้ว เดินเล่นเลาะอาคารไปเรื่อยๆสู่

ใกล้ๆกับ 05 - Vecchio Bridge เป็นสะพานที่เก่าแก่ที่สุดของเมือง สร้างตั้งแต่ปี 996 ขายเครื่องประดับอัญมณีต่างๆ แต่พวกเราหมดสภาพกันแล้ว นั่งรถเมล์กลับไปสถานีฟลอเรสซ์จากจุดนี้

กลับมาถึง เหนื่อย หิว กิน . . . เรามองหาอาหารมื้อเที่ยวในสถานีก็เจอร้านนี้

ช่วงบ่ายพวกเราไป เมือง Pisa ด้วยรถไฟ เมื่อถึงสถานีก็เดินมาซื้อตั๋วรถเมล์หน้าตู้เสร็จหันไปเจอกลุ่มคนไทยที่มาเที่ยวเองเหมือนกัน เดินตามพวกเราอย่างมั่นใจ หารู้ไม่ว่าพวกเราก็เดินไปเรื่อยเหมือนกัน ไปด้วยกันเริ่มออกเดินทาง ในโซนของหอเอน มีอาคารรอบๆ 3 หลังหลักๆ คือ หอเอน Pisa, Pisa Baptistry of St. John & Cathedral และอาคารพิพิธภัณฑ์และอำนวยการซื้อตั๋วตึกนี้

พวกเราเดินไปอาคารอำนวยการเพื่อซื้อตั๋ว มีหลายราคาทั้งขึ้นหอเอนอย่างเดียว หรือเข้าพิพิธภัณฑ์ด้วย สรุปเลือกขึ้นหอเอนอย่างเดียว หลังจากซื้อเสร็จก็ยังเหลือเวลา พวกเราเดินเล่นในโบสถ์มีการแสดงนิทรรศการเล็กๆ จากนั้นไปเข้าห้องน้ำและฝากกระเป๋า (ทุกคนต้องฝาก กระเป๋าเล็กก็ไม่ได้) เสร็จแล้วไปต่อแถวเตรียมขึ้นหอเอน

หอเอนคือหอระฆังที่เดียงจากแนวฉากไปประมาณ 3.9 ม. ก่อสร้างปี ค.ศ.1173 เราเดินขึ้นหอระฆังง 8 ชั้น สูงรวม 55.58 ม. ทางค่อนข้างแคบ มีช่องหน้าต่างให้ยืนพักเป็นระยะ เดินไป หอบไป สุดท้ายก็ขึ้นมาถึงยอดคุ้มสำหรับเราวิวดี ลมดีมากๆ

เมื่อถ่ายรูปนั่งพักกันจนหายเหนื่อยแล้วก็เดินลง และขึ้นรถกลับที่จุดเดิมที่เราลงรถ จากนั้นซื้อตั๋วรถไฟกลับฟลอเรนซ์ หมดแรงแล้ว หิวแล้ว เริ่มเดินหาร้านอาหารจีนอีกครั้ง

เมื่อกลับถึงฟลอเรนซ์ก็เริ่มเดินหาอาหารเย็น ข้ามถนนตรงข้ามสถานีเข้าซอยซ้ายสุด เดินซักพักก็เจอร้านนี้ อาหารใช้ได้ อิ่ม สบายใจ

หลังจากอาหารเย็นก็ต้องตบด้วยของหวานที่เล็งไว้ในสถานีรถไฟมีร้าน Venchi เจ้าเดิมที่ประทับใจ พร้อมสูญเสียทรัพย์ให้กับของฝากไปกันคนละถุงสองถุง พนักงานเชียร์ตลอดๆ

แล้วก็ได้เวลากลับที่พัก คืนนี้เรายังพักที่ฟลอเรนซ์เพื่อเอาแรงออกเดินทางเช้าไปโรมเมืองสุดท้ายของการเดินทางครั้งนี้ ลาก่อนฟลอเรนซ์ฝันดี


09

กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว

เช้าวันที่ 9 ของการเดินทาง พวกเราขึ้นรถไฟมุ่งหน้าสู่กรุงโรมเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของแคว้นลัตซีโย ตั้งอยู่ทางตอนกลางของประเทศอิตาลี เมื่อถึงสถานี Roma Tiburtina เดินเข้าโรงแรมที่เพื่อนบอกว่าได้คะแนนเต็ม 10 จาก Booking ห่างจากสถานีประมาณ 800 ม. ขึ้นเนินไประยะนึงก็ถึง B&B Tiburtina Garden ห้องพักอยู่ในตึกแถวห้องหนึ่งด้านซ้ายมือ รู้แล้วว่าทำไมถึงได้คะแนนเต็ม เพราะเจ้าของบริการดีมาก พอทราบว่าเราออกเช้าก็ถามว่า เอาอาหารมั้ยจะเตรียมไว้ให้ตอนนี้เลย หรือห้องน้ำชักโครกเสียแจ้งก็ทำให้ตอนนั้น ทั้งยังให้เราเข้าห้องพักห้องนึงก่อน อาบน้ำ ฝากของได้ ใส่ใจทุกเรื่องสอบถามทุกอย่าง ใจดี บริการดีมากๆ ไม่แปลกใจละว่าทำไมได้เต็มตลอด

เอาของเก็บทำธุระส่วนตัวกันเรียบร้อย ก็เริ่มออกผจญภัยในกรุงโรมที่แรกซื้อตั๋วรถไฟใต้ดินมาลงที่สถานี Colosses แล้วเดินไป 01 - Colosseum เป็นสนามกีฬากลางแจ้งขนาด ใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงโรม เริ่ม สร้างขึ้น ในสมัยจักรพรรดิเวส ปาเซียนแห่งอาณาจักรโรมัน และสร้างเสร็จสมัยจักรพรรดิติตัสในคริสต์ศตวรรษที่ 1 อายุกว่า 1,900 ปี ก่อด้วยอิฐและหินทรายจุผู้ชมได้ประมาณ 50,000 คน เป็นต้นแบบของสนามกีฬาในปัจจุบัน แต่เดิมเป็นสังเวียนของกลาดิเอเตอร์ ด้านล่างเป็นหัองนักสู้ กรงขังสัตว์ จนถึงห้องเก็บอุปกรณ์เครื่องมือการต่อสู้

มองจากด้านบนโคลอซเซียมเห็น 02 - Arch of Constantine สร้างเพื่อรำลึกถึงชัยชนะของคอนสแตนติน Maxentius โดยวุฒิสภาโรมัน

ในตอนแรกพวกเราพยายามจะเข้าไปใน 03 - Roman Forums จากประตูหน้าแต่แถวยาวมากถึงจะมี Roma pass ก็ตาม พวกเราจึงตัดใจไม่เข้าแล้วเดินอ้อมไปจุดหมายถัดไป แต่เมื่อเดินอ้อมทำให้ทราบว่าสามารถเข้าจากด้านหลังได้ คนน้อย สบายใจ คิวไม่ยาว สถานที่แห่งนี้เป็นซากหินปรักหักพังที่เหลืออยู่ เดิมเคยเป็นศูนย์กลางความรุ่งเรืองของโรมันเคยเป็นสภาองค์กรบริหารและการปกครองที่สำคัญ ตลาดซื้อขายของ และสถานที่นัดพบของวัยรุ่น พวกเราอยู่ที่นี่ไม่นานก็เดินออกมา

เดินตามถนนเส้นนั้นมาอีกนิดจะเจอเนินสูงเลาะตาม Google map มาก็เจอกับ 04 - Piazza del Campidoglio จตุรัสขนาดใหญ่พร้อมอนุสาวรีย์ตรงกลาง เป็นทางเข้าหลักของเมืองสมัยจักรวรรดิโรมันเป็นพื้นที่สำหรับประหารนักโทษ

เวลาใกล้เที่ยงทุกคนเริ่มหิวหลายวันมาแล้วที่เราไม่สนใจอาหารยุโรป อาหารจีนล้วนๆเที่ยงนี้ก็เช่นกัน เดินมาไม่ไกลก็เจอกับร้าน Green T. อาหารได้รางวัลแต่ท่าทางจะไม่ใช่แนว ลงความเห็นกันว่าค่อนข้างจืด และได้น้อย...หรือพวกเราหิวก็ไม่รู้

หลังจากทานเสร็จแบบไม่ค่อยอิ่มนัก ก็เริ่มหาของหวานปลอบใจ เจลาโต้ร้านใกล้ๆกันเป็นตัวเลือกที่ดี คนเข้าเยอะเราก็เข้าตาม

หลังจากเริ่มอิ่มแล้วจึงเริ่มเดินต่อไปที่ 05 - Pantheon เป็นวิหารแห่งเทพมีรูปทรงจัตุรัสที่เก่าที่สุดในโรม อายุกว่า 2,000 ปี และเป็นสถานที่เก็บศพของบุคคลสำคัญ ภายนอกเป็นเสาหินแกรนิตขนาดใหญ่หินก้อนเดียวทั้งเสาไม่ตัดต่อ ภายในไม่มีเสากลาง จุดเด่นของที่นี่คือ ช่องวงกลมขนาดใหญ่เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 30 ฟุต บางคนว่าเป็นดวงตาสวรรค์ บางทฤษฏีว่าเป็นนาฬิกาจากแสงอาทิตย์สำหรับประกอบพิธีการต่างๆ

จุดหมายถัดไปคือ 06 - Piazza Navona เคยเป็น สนามกีฬาโรมันโบราณที่ถูก สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 86 ภายใต้ ชื่อ Stadium of Domitian มีน้ำพุที่โดดเด่นคือ น้ำพุจตุมหานที มีเสาโอเบลิกส์ตั้งอยู่กลางน้ำพุ เสานี้นำเข้าจาก ประเทศอียิปต์ และน้ำพุประกอบไปด้วยรูปปั้นที่เป็นตัวแทนของการ แสดงถึงแม่น้ำสายสำคัญของทั้ง 4 ทวีป กลางลานมีนักวาดภาพเหมือน และทิวทัศน์กระจายตั้งโต๊ะอยู่เต็มลาน

07 - น้ำพุเทรีวี เป็นน้ำพุแบบบาโรกที่ใหญ่ที่สุดในกรุงโรม เชื่อกันว่าหากอธิษฐานให้ได้กลับมาอีกแล้วโยนเหรียญหันหลังโยนข้ามไหล่ซ้ายลงไปในน้ำพุได้ จะได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง

เดินเล่นกันไปไกลจนถึง 08 - Piazza del popolo ลานนี้น่าจะเป็นลานที่ชอบที่สุด ไม่ใช่เพราะสถาปัตยกรรมแต่เป็นกิจกรรมกลางลาน มีการเล่นฟองสบู่ลูกใหญ่ๆ สนุก เด็กๆชอบ พวกเราก็ชอบ เพื่อนไปขอเค้าลองทำคุณลุงก็ใจดี สอนให้ทำด้วย คนออกมาเดินเล่นเป็นครอบครัวเต็มไปหมด และมีนักร้องเปิดหมวกมาเล่นดนตรีเป็นจุดๆ




ใกล้เวลาเย็น ฟ้าเริ่มครึ้มเป็นลำดับ หิว . . . อีกแล้ว อากู๋ช่วยด้วย หาร้านอาหารจีนอีกตามเคย ร้านดี เป็นมิตร อาหารอร่อย อิ่ม สบายใจ






ตอนแรกจะไปบันไดสเปนแต่ ณ จุดนั้น ฝนก็เทลงมาเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ พวกเราจึงตัดสินใจเดินไปรถไฟใต้ดินที่ใกล้สุด และกลับห้องพัก แต่เมื่อมาถึงสถานี Roma Tiburtina ฝนก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตก เทลงมาจนจะท่วมสถานี หลังคาสถานีก็รั่วมีน้ำท่วมนิดหน่อยบางส่วนของชั้นล่างของอาคาร พวกเราจึงหาของปลอบใจอีกตามเคย เป็นการฆ่าเวลาระหว่างฝนตกไม่หยุด และเหรียญเหลือจะไม่มีที่ให้ใช้แล้ว (ข้ออ้างล้วนๆ) บวกกับความอยากเพราะเห็นเจลาโต้ร้านนี้ในหลายๆเมือง นั้นคือ ร้าน Grom ไอติมดีจย์มากๆ แต่ Venchi ก็ยังชนะอยู่ นอกจากจะมีไอติมปลอบใจแล้วด้านหน้าร้านยังมีเปียโนซึ่งมีผู้คนมาผลัดกันซ้อมมืออยู่ตลอดๆ เล่นเพราะเสียด้วยสิ สบายใจรอฝนซา


อีกพักใหญ่ๆฝนเริ่มหยุดตก พวกเราจึงเดินกลับห้องพักนอนพรุ่งนี้ต้องตื่นเช้ามากๆ "กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว" พวกเรายังเหลืออีกหลายที่ที่ไม่ได้ไปแต่วันใกล้หมด ราตรีสวัสดิ์คืนสุดท้ายในโรม


10

นครรัฐวาติกัน

วันสุดท้ายของการเดินทางครั้งนี้ เราฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรมจัดการกับอาหารเช้าที่ทางโรงแรมเตรียมให้ก็พร้อมออกเดินทางในจุดหมาย 2 ที่สุดท้าย ก่อนจะไปขึ้นเครื่องกลับประเทศไทย นั่งรถไฟใต้ดินจากสถานี Roma Tiburtina ลงสถานี Ottaviano จุดหมายแรกคือ 01 - มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์และขึ้นยอดโดม เป็นมหาวิหาร 1 ใน 4 ของมหาวิหารหลักในกรุงโรม เชื่อกันว่าเป็นประตูสู่สรวงสวรรค์ สร้างเพื่อระลึกถึงนักบุญเซนต์ปีเตอร์ผู้มีหน้าที่ดูแลรักษากุญแจที่เปิดประตูสวรรค์ เป็นที่ประทับของพระสันตะปาปาประมุขแห่งศาสนาคริสต์ นิกาย Roman Catholic State of the Vatican City จัดว่าเป็นประเทศที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก สถานที่นี่ออกแบบโดย Michelangelo พวกเราเลือกจะมาที่นี่ก่อนเพราะกลัวคนจะเยอะ เรามาถึงกันประมาณ 6.30 น. เริ่มมีคนมาเข้าแถวกันแล้ว ทั้งบาทหลวง นักท่องเที่ยว รวมถึงกรุ๊ปทัวร์บางส่วน หลังจากตื่นตาตื่นใจกับสถาปัตยกรรมที่สวยงามมากๆภายในวิหารแล้ว เราก็รีบเดินขึ้นไปบนยอดโดม




เมื่อเดินจนรอบแล้วก็กลับลงมาประมาณ 9.30 น. ไปต่อกันที่ 02 - พิพิธภัณฑ์วาติกัน พวกเราซื้อตั๋วออนไลน์มาแล้วจากไทย จึงได้เข้าทางพิเศษ ณ จุดนี้รู้สึกถึงชัยชนะมากๆ เพราะเวลายังไม่ถึง 10 โมง แต่แถวยาวจนอ้อมอาคารไปไกล

เมื่อเข้าไปด้านในได้ก็พบกับมวลมหาประชาชนจำนวนมากในนั้นแทบจะอยากถอยทัพเลยทีเดียว แต่ในเมื่อเสียเงินไปแล้วก็ไปกันต่อ คนเยอะจนเดินเบียดไหล่ชนไหล่ ไหลๆต่อๆกันไปตามห้องโถงของอาคาร มีทั้งกรุ๊ปทัวร์แทบทุกชาติส่งเสียงอธิบายประกอบให้ลูกทัวร์เข้าใจ เว้นพวกเราที่เดินดุ่มเริ่มไม่สนใจความงามรอบข้าง แต่สวยมากจริงๆ สวยสุดที่เคยเห็นในทริปนี้เลย

ด้านในมีคอร์ดตรงกลาง ลานนี้มีร้านกาแฟและร้านอาหารสำหรับผู้ที่มาพักของโรงแรมและนักท่องเที่ยว รวมถึงมีนิทรรศการจัดแสดงหลายจุด

เดินกันมาครึ่งวันก็ได้เวลาบอกลา พวกเราเดินกลับไปที่สถานี Ottaviano ระหว่างทางก็เกิดอยากจะได้ของฝากท้องถิ่นเห็นร้านค้าคนเข้าเยอะๆเลยเข้าตามขายของขายขนมเยอะมากๆ ราคาเบากว่าหลายๆที่แต่คนขายพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลยก็จะงงๆหน่อยๆ

นั่งรถไฟใต้ดินกลับมาที่โรงแรมนอกจากจะให้ฝากของไว้ยังให้อาบน้ำอีกด้วยก่อนเดินทาง หลังจากจัดการธุรส่วนตัวเสร็จก็บอกลาและออกเดินทางไปสนามบิน ตอนแรกจะไปรถบัส แต่ดูรอบแล้วไม่น่าจะทัน จึงยอมเสียเงินเพิ่ม 14 Euro นั่งรถไฟไปสนามบิน ประมาณ 17.00 น. ใช้เวลาประมาณ 40 นาที ก็ถึงสนามบิน Fiumicino หาข้าวเย็นทานพร้อมรอขึ้นเครื่องกลับไทยกัน

ปล. ใครที่ต้องการทำ Tax Refund ให้ไปที่ Terminal 1 แล้วต้องเช็คอินเข้าไปในเกทก่อน ถึงจะทำได้จนจบกระบวนการ (พวกเราเดินวนอยู่หลายรอบมากๆ)

โดยสรุป PART 2

รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมด 12 วัน 9 คืน

  • ค่าใช้จ่ายสวิสและอิตาลี 56,310 บาท
  • ค่าเครื่องบิน 25,000 บาท

รวม 81,310 บาท (ไม่รวมของฝากต่างๆ)

ปล. สามารถย้อนดู

Part 1 : Switzerland ได้ตามลิงค์นี้จ้า https://th.readme.me/p/20840

Tiny Diary

 วันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 เวลา 15.46 น.

ความคิดเห็น