" เพื่อนคะอยากไปสวิส ถ้าเราไม่ไปตอนนี้ ตอนแก่จะไม่มีแรงเที่ยวแล้วนะ . . . ! ! ! "

เนี้ยก็เป็นซะอย่างงี้แหละเพื่อนดี้ดี เตรียมทริปเลยจ้องวันหยุดกันใหญ่เลยมนุษย์เงินเดือนตัวน้อย

พร้อมกับคิดว่าลาเยอะเบอร์นี้ หัวหน้าจะกินหัวมั้ยนะ แต่เรื่องเที่ยวเรื่องใหญ่ จัดไป

SWITZERLAND & ITALY.....I'm coming for u.

[ สวิสเซอร์แลนด์ ] เป็นประเทศที่ไม่อยู่ในหัวเลยตอนแรกเพราะรู้ดีว่าค่าครองชีพสูงมาก แต่เพื่อนอยากไปฮันนีมูนที่สวิส บอกสวยมาก ยังชั่งใจระหว่างสวิสและนิวซีแลนด์ แต่สุดท้ายก็จบที่สวิสเซอร์แลนด์ประเทศที่มีพื้นที่กว่า 60% เป็นเทือกเขา จะไปทั้งหมด 4 เขา Schilthorn, Jungfraujoch, Mt.Titis และ Matterhorn โดยมี Bern เป็นเมืองหลวง ช่วงที่ไปเป็นฤดูใบไม้ร่วงต้นไม้แถบนี้ไม่มีสีส้มกระจายอยู่ทั่วไปเหมือนประเทศญี่ปุ่น แต่จะมีสีส้มสลับเหลืองสลับเขียวตัดกับท้องฟ้าสีฟ้าสดสวยไปอีกแบบ คราวนี้มาถึงเรื่องเงินพวกเราไม่สามารถอยู่สวิสทั้ง 9 วันได้ จึงเลือกประเทศข้างเคียงที่มีสถานที่ที่เป็นแหล่งมรดกโลกอยู่มากกว่าประเทศอื่นในโลก และมีไอศกรีมเจลาโตที่อ่านจากหลายแห่งว่าอร่อยมากนั่นคือ [ อิตาลี ] หลังจากสรุปกันว่าจะไปสวิสและอิตาลี จึงเริ่มหาข้อมูล ทั้งรถไฟ เครื่องบิน ที่เที่ยวมีการตามรอยรัตนาวดีบ้างเล็กน้อย สรุปตามแผนเดินทาง 12 - 23 ตุลาคม 2561 แบ่งตามนี้

Part 1

Day 12-13 : BKK - Zurich - Luzern - Interlaken West

Day 14 : Interlaken West - Schilthorn - Jungfraujoch

Day 15 : Interlaken West - Mt.Titis - Bern - Zermatt

Day 16 : Zermatt - Matterhorn - Milan

Part 2

Day 17 : Milan - Varenna - Milan

Day 18 : Milan - Verona - Venezia Mestre

Day 19 : Venezia Mestre - Venice - Florence

Day 20 : Florence - Pisa

Day 21 : Florence - Rome

Day 22-23 : Rome - Vatican - BKK

สำหรับการเดินทางทั้งหมดในสวิสเราซื้อ Pass ต่างๆ ดังนี้

การเดินทางหลักในสวิสเดินทางโดยรถไฟ และเรือซึ่งรวมอยู่ใน Swiss pass การเข้าสวิสและอิตาลีสำหรับคนไทยจำเป็นต้องขอวีซ่าเชงเก้น จะขอประเทศไหนให้นับคืนที่พักเป็นหลัก เช่น เราพักในสวิส 4 คืนและอิตาลี 5 คืน ดังนั้นเราขอวีซ่าเชงเก้นของอิตาลี แต่ถ้าจำนวนคืนที่พักเท่ากันให้ขอประเทศแรกที่เข้าถึง แนะนำให้จองออนไลน์ไปก่อน และเตรียมเอกสารให้ครบตามที่สถานฑูตกำหนด ประมาณ 1 อาทิตย์ก็ได้วีซ่า ค่าเสียหายประมาณ 3,000 บาท

  • Swiss pass ชั้น 2 สำหรับ 4 วัน ( E-ticket ) จาก swissfanclub ปริ้นและใช้ได้เลย โดยจะมีเจ้าหน้าที่สแกน QR code เกือบทุกเที่ยวทั้งรถไฟ เรือ รถเมล์ รวมถึงการเข้าสถานที่ต่างๆ และอย่าลืมโหลดแอพ SBB mobile ลงมือถือด้วย

  • Voacher ขึ้น Jungfraujoch จาก swissfanclub ทริปนี้เป็นทริปเสี่ยงโชคเพราะกำหนดวันการขึ้นเขาตายตัว ถ้าอากาศโปร่งฟ้าใสก็รอด ต้องนำ Voacher ไปเปลี่ยนเป็นตั๋วที่เคาน์เตอร์สามารถขึ้นลงทางไหนก็ได้ทั้งจาก Lauterbrunnen และ Grindelwald สามารถขยับวันได้ก่อนหรือหลังวันที่ใน Voacher ประมาณ 2-3 วัน

  • นอกจากนั้นเรายังซื้อ Sim to fly สำหรับยุโรป 15 วัน เปิดสัญญาณที่เคาน์เตอร์ของ AIS ก่อน โดยพนักงานจะลงทะเบียนให้สะดวกดีในสวิสสัญญาณดีไม่มีสะดุด สำหรับอิตาลีในพื้นที่โล่งไม่มีปัญหาแต่จะมีสัญญาณน้อยในอุโมงค์ที่รถไฟผ่าน

01

แสง ภูเขา และทะเลสาบ

[ LUZERN - INTERLAKEN ]

พวกเรามาจากหลายจังหวัดของประเทศไทยเรานัดกันที่สุวรรณภูมิและบินจากสุวรรณภูมิ วันที่ 12 ตุลาคม 2561 เวลา 22.00 น. โดยสายการบิน Etihad airways ค่อนข้างตรงเวลาแต่เครื่องลำเล็ก ต่อเครื่องที่อาบูดาบี และบินไปถึงซูริค 6.25 น. เวลาซูริค สนามบินซูริคกว้างใหญ่และสะอาด จากรันเวย์ไปตัวอาคารจำเป็นต้องนั่งรถไฟไปอาคารหลัก เมื่อผ่านจุดตรวจคนเข้าเมืองเรียบร้อยจึงเดินตามคนส่วนใหญ่ไปจะพบกับรถไฟฟ้านั่งออกจากสนามบิน สามารถเริ่มใช้ Swiss pass ได้เลย


หลังจากการเดินทางบนเครื่องบินที่ยาวนานกว่า 10 ชม. เราก็เริ่มต้นการเที่ยวประมาณ 9.00 น. จุดหมายของเราวันนี้คือเมือง Luzern เมืองเก่าแก่ของสวิสมายาวนานย้อนไปนับพันปี ปลายฝนต้นหนาวแบบนี้อากาศประมาณ 14-18 องศา มีลมเล็กน้อย ใส่ extra heattect 1 และแจคเก็ตอีก 1 ก็พอสำหรับการเดินเล่นในเมือง หลังจากที่เราฝากกระเป๋าไว้ที่สถานี Luzern และฝากท้องไว้กับ Migros ร้านค้ามีอาหารปรุงสุกและขนมหลากหลายชนิดที่ไม่รู้จัก เป็นมื้ออาหารเช้าที่อร่อยใช้ได้ ทั้งพัฟพายผักโขม ครัวซอง สลัดผักสด หรือแม้กระทั่งปอเปี้ยทอดก็มี เจ้พนักงานแอบดุจ้องมองความเก้ๆกังๆของพวกเราและมองบนเบาๆ อาหารและขนมอร่อยให้อภัย เมื่อทานอาหารและจัดการธุระส่วนตัวกันเรียบร้อยก็ได้เวลาผจญภัย

เช้านี้วันนี้ท้องฟ้าโปร่งอากาศกำลังสบายไม่ร้อนไม่หนาวเกินไป เวลาประมาณเก้าโมงเช้า ร้านค้า ร้านอาหารครึกครื้นขึ้นเป็นลำดับ เราเริ่มเดินทางเป็นวงรอบทั้งเดินและรถบัส ออกจากสถานีรถไฟ Luzern ด้วยรถเมล์อยู่ด้านหน้าสถานีหาไม่ยากแค่เดินข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม ผู้คนมีมารยาทมากหยุดให้ข้ามไม่ต้องใช้สัญญาณจราจร แต่หนึ่งสิ่งที่น่ากลัวสำหรับเราคือบุหรี่ สูบกันจัดมาก สูบทุกที่ สูบทุกเวลา จำนวนมากกว่าคนที่ไม่สูบ จึงเกิดห้องสำหรับคนไม่สูบขึ้นที่สถานีรถไฟ เอาเถอะมาต่อกันเราขึ้นรถเมล์ผ่านตึกรามบ้านช่อง ร้านขายแบรนด์เนมหลากหลายร้าน ผู้คนในเมืองเดินกันขวักไขว่

นั่งสาย 1 ไปลงสถานี Wesemlinrain และเดินไป 01 - Lion Monument.


เรื่องเล่ามีอยู่ว่า . . . กลุ่มทหารรับจ้างของสวิตเซอร์แลนด์ดีที่สุดในโลกกับการรับใช้ให้กับกองทัพฝรั่งเศสโดยเฉพาะภารกิจที่เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกรมทหารรักษาพระองค์ของราชวงศ์ฝรั่งเศส เกิดเหตุการณ์ที่สำคัญคือ การปราบจลาจลร่วมกับกองทัพฝรั่งเศสในปี 1792 ความยึดมั่นในหน้าที่ทำให้ทหารสวิสรักษาพระองค์พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ถูกสังหารทั้งหมด จึงมีการสร้างอนุสาวรีย์ทหารสวิสที่ยอมตายเป็นรูปสิงโตนอนตายกอดโล่และตราประจำราชวงศ์ของฝรั่งเศส และมีหอกหักปักคาอยู่ที่หลังเตือนให้ระลึกถึงวรีกรรมของทหารรับจ้างส่วนใหญ่ลูกหลานชาวเมืองลูเซิร์น ผลงานการแกะสลักนี้เป็นของนาย Lukas Ahorn ส่วนผู้ออกแบบคือ ศิลปินชาวสวีเดนนามว่า Bertel Thorvaldsen เมื่อเราเดินไปถึงเริ่มมีทัวร์กลุ่มเล็กๆ 3-4 กลุ่มพร้อมไกด์นำเที่ยวเริ่มบอกเล่าเรื่องราวของสถานที่ในหลากลายภาษา พื้นที่บริเวณนั้นไม่กว้างมาก มีห้องน้ำทั้งชายและหญิงแค่ 2-3 ห้อง เราไม่ได้เข้าไปเห็นแถวค่อนข้างยาว พวกเราอยู่ที่นั่นซักพักก็ตัดสินใจเดินไปสถานที่ถัดไป


เราเดินผ่านตึกแถว บ้านเรือน จนเจอกับเด็กนักเรียนกลุ่มหนึ่งเดินขึ้นเนินไปเราจึงเดินตามด้วยความหวังว่าจะเจอกำแพงเมือง แล้วก็พบกำแพงเมืองโบราณ 02 - Museggmauer บนเนินนั้นเอง พบกับน้องสิ่งมีชีวิตที่คล้ายวัวอ้วน ขนยาวรุงรัง มีเขา 3-4 ตัว มีทั้งสีน้ำตาลและสีดำยืนเล็มหญ้าอยู่ด้านหลังกำแพง ก่อนที่จะเดินไปเล่นกับน้องวัว พวกเราเจอกับประตูด้านหน้ากำแพงเห็นคนขึ้นไปจึงตามขึ้นไปไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม ไต่บันไดไม้ที่ทั้งเล็กทั้งแคบขี้นไปบนกำแพงเมืองที่สร้างตั้งแต่ปี ค.ศ. 1386 ยาวรวม 850 เมตร มีป้อมปราการทั้งหมด 9 ป้อม เปิดให้เข้าชมวิว 3 ป้อม สามารถขึ้นได้ถึงบนยอดมีพี่คนนึงขึ้นไปแต่บอกว่าช่องมองค่อนข้างเล็กพื้นที่ไม่พอสำหรับหลายคนและวิวด้านล่างน่าจะคล้ายกัน ดังนั้นพวกเราจึงไม่ไต่บันไดต่อเลือกที่จะออกมาชมวิวตามแนวกำแพงแทน จุดนี้มีคนขึ้นมา 4 - 5 คน อากาศเย็นแสงแดดอุ่นยามเช้ามองลงไปด้านล่างเห็นสถานที่สำคัญต่างๆของเมือง Luzern ทะเลสาบ ช้าสวรรค์ และเทือกเขาที่โอบล้อมเมืองนี้อยู่


มองย้อนกลับมาอีกฝั่งจะพบกับสนามกีฬาทั้งสนามบอล ลู่วิ่ง โรงยิม มีคนมาใช้บริการไม่มากนัก และน้องวัวขนหนาที่กำลังแทะเล็ม นอนเล่นบนสนามหญ้าสีเขียวสด



หลังจากที่เข้าไปแตะๆ ลูบคลำ น้องไม่ดุแต่มีกลิ่นเหมือนวัว เราเยี่ยมมองน้องอยู่ไม่นาน ก็เดินทะลุพื้นที่คล้ายพลาซ่าเล็กๆลงสู่ทางเดินริมน้ำ

เราเดินตาม Google ไปจนถึง 03 - สะพานไม้ Spreuerbrucke เป็นสะพานที่ติดตั้งระบบดูแลและจัดการน้ำของเมืองไม่ให้น้ำทะเลสาบมาท่วมเมือง ทั้งยังใช้ข้ามไปยังฝั่งตรงข้ามเพื่อขึ้นไปชมวิวบนหอคอยกำแพงเมือง สะพานมีหอคอยเล็กๆสีแดง มีภาพวาดเหมือนกันกับสะพานอันแรก แต่ต่างกันกับเนื้อหาของภาพวาดที่เกี่ยวกับความตาย มี 67 ภาพนี้ว่า Dance of Death ผลงานของ Kasper Meglinger บริเวณสะพานเริ่มมีนักท่องเที่ยวมากขึ้น



เมื่อเราเดินอยู่บนสะพานจะสังเกตุเห็นสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่กับแม่น้ำนี้หลายชนิด แถวบ้านเราในน้ำมีปลา ส่วนที่นี่ " ในน้ำมีเป็ด " ทั้งนกเป็ดน้ำและนกนางนวล แม่น้ำสีฟ้าอมเขียวใสมีทั้งสาหร่ายและปลาเล็กๆ สามารถเห็นนกน่ารักดำผุดดำว่ายหาอาหารอยู่ทั่วไป


พวกเราลงจากสะพานเดินถ่ายรูปเล่นมาตลอดทางระหว่างที่เราเดินไปโบสถ์มีตลาดเหมือนตลาดริมน้ำลักษณะคล้ายตลาดนัด เจอทั้งคนพื้นที่และนักท่องเที่ยว ร้านขายของมากมายมีทั้งของเก่า เสื้อผ้า บูทหนังรวมถึงอาหาร เช่น ชีส ผัก ผลไม้ และยังมีต้นไม้ดอกไม้อีกด้วย เห็นได้ว่าคนพื้นที่ชอบนั่งตากแดดกันมากคนส่วนใหญ่ที่นั่งตามคาเฟ่มักจะนั่งด้านนอก อ่านหนังสือ ฟังเพลง พูดคุย เต็มไปหมดตลอดทาง ผู้คนไม่ถึงกับแออัดมากเดินได้สนุก มีผลไม้ ดอกไม้หลายชนิดดูแปลกตา


เดินไปตามทางริมน้ำจะเจอโบสถ์ 04 - Jesuitenkirche โบสถ์สไตล์บาร็อคที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในสวิสสร้างมาตั้งแต่ ค.ศ.1666-1673 โดยเด่นด้วยหอคอยคู่ที่มีลักษณะคล้ายสุเหร่าของศาสนาอิสลาม


เดินต่อไปอีกไม่ไกลก็เจอสะพานที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งอยู่ไม่ไกล คือ 05 - Kapellbrucke สัญลักษณ์ประจำเมือง 670 ปี มีหอคอยน้ำ Wasserturm หอคอยทรงแปดเหลี่ยมขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางสะพาน ภูเขาด้านหลังที่เห็นคือ ยอดเขาพิลาตุส (Pilatus) สามารถเดินทางขึ้นไปชมวิวตัวเมืองลูเซิร์นได้ สร้างมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1333 เพื่อใช้เดินข้ามแม่น้ำรอยส์เชื่อมต่อระหว่างสองฝั่งเมือง มีภาพวาดทั้งหมดกว่า 112 ภาพ หอคอยกลางน้ำ Wasserturm เดิมสร้างเพื่อใช้เป็นป้อมปราการและเก็บสมบัติ บางส่วนแบ่งเป็นพื้นที่คุกคุมขังนักโทษ ความสูง 34 เมตร สะพานไม้เคยถูกไฟไหม้ในปี 1993 ทำให้มีภาพวาดบางส่วนเสียหาย 70%

หลังจากเราข้ามสะพานก็เจอกับตลาดริมน้ำอีกฝั่งเต็มไปด้วยผักผลไม้ ต้นไม้และดอกไม้เหมือนกัน หากแต่แตกต่างกันที่ . . . . . ! ! !

สตอเบอรี่.....หวานอมเปรี้ยว ลูกใหญ่ๆ อร่อยที่สุดในทริปนี้เลยก็ว่าได้ คิดไปคิดมาอยากซื้ออีกซัก 3 ถาดถึงราคาจะหนักไปนิดหน่อยเมื่อคูณเป็นเงินบาทไทย ราคาถาดละประมาณ 4 Chf

จากนั้นก็เดินกลับไปที่สถานีรถไฟ เพื่อไป 06 - พิพิธภัณฑ์ Kunstmuseum Luzern และทานอาหารกลางวันมื้อแรกในสวิส

พิพิธภัณฑ์นี้เป็นอาคารสมัยใหม่ที่ชาวเมืองภูมิใจในสถาปัตยกรรม ใช้ในการจัดแสดงงานศิลปะ ภาพวาด ประติมากรรมร่วมสมัย และจัดประชุม ใช้ Swiss pass เข้าได้บางชั้น ที่เราขึ้นไปประมาณชั้น 3 หรือ 4 สอบถามจากเจ้าหน้าที่บริเวณห้องขวามือของประตูหน้า


ต้องฝากกระเป๋าก่อนเข้าชมนิทรรศการ มองย้อนออกมาอาคารอยู่ข้างกับสถานีรถไฟ และสถานีรถเมล์อยู่ใกล้กัน พอลงมาด้านล่างแถวนั้นมีคล้ายสวนสนุก และร้านอาหารด้านหน้าริมน้ำ มีสไลด์เดอร์สำหรับเด็กด้วย

ใกล้เวลาที่เราควรจะไปขึ้นรถไฟไป Brienz กันแล้ว อาหารมื้อกลางวันฝากท้องกับ Coop เราซื้อมานั่งทางกันบริเวณที่นั่งของสถานีรถไฟ จิ้มมา 4 อย่าง ไก่อบเพ็ดนิดนึง, สลัดผัก, พิซซ่า และ สปาเก็ตตี้ สรุปแล้วไก่ชนะไป รวมถึงซื้อน้ำมาเพื่อจะเอาขวด น้ำค่อนข้างแพงประมาณ 2-3 Chf (ขวดใหญ่) น้ำก๊อกในสวิสต์สามารถทานได้ หลังจากที่เราลองทั้ง Migros และ Coop แล้วนั้น . . . พวกเราเลือก Migros ถึงแม้ราคาจะสูงกว่า แต่ดูสดใหม่และอร่อยกว่ามากสำหรับอาหารปรุงสุก

เราขึ้นรถไฟจาก LUZERN ไป Brienz ด้วยรถสาย Golden line (รถไฟสายนี้สามารถนั่งลง Interlaken Ost. ได้ แต่เราอยากนั่งเรือกันเลยลงที่นี่ ) มองผ่านหน้าต่างบานใหญ่มีบ้านเรือนเป็นระยะๆส่วนมากเป็นลักษณะฟาร์ม การทำการเกษตรเลี้ยงสัตว์ ทุ่งหญ้าสีเขียวปลูกหญ้าเลี้ยงวัวเห็นได้ตลอดทาง มีการปลูกผักชนิดอื่นบ้างประปราย รวมถึงทะเลสาบที่มีผู้คนมาทำกิจกรรมร่วมกับครอบครัว เช่น ตกปลา เดินเล่น ปั่นจักรยาน

เรามาถึงท่าเรือประมาณ 15.33 น. ค่อนข้างเฉียดเวลาเรือออก 15.40 น. เรือที่ทะเลสาบนี้สามารถใช้ Swiss pass ขึ้นได้สามารถใช้ไ้ด้เฉพาะข้างนอกสำหรับตั๋วชั้น 2 อย่างเรา พวกเราเป็นกลุ่มสุดท้ายพอดี วิ่งสิรออะไร เรือออกได้พวกเรามาแล้วจ้า นั่งจากท่าเรือ Brienz ไป INTERLAKEN Ost. สองข้างทางล้อมรอบด้วยเทือกเขาและบ้านเรือนไปตลอดแนว มีการสัญจรทางน้ำด้วยเรือสปีดโบทแทบทุกหลังคาเรือน ลองจินตนาการภาพบ้านริมน้ำที่มีที่จอดเรือเป็นของตัวเอง ตื่นเช้ามาได้ชมวิวแบบนี้ ท้องฟ้าตัดกับภูเขาแนบกับทะเลสาบสีเทอคอยส์จะสดชื่นขนาดไหน


บริเวณส่วนกลางของเรือคือห้องอาหารบนเรือที่ตั๋วชั้น 2 เข้าไม่ได้ เค้ามีน้ำมีขนมตลอดทางไม่รู้เสียเงินมั้ย แต่ที่แน่ๆ อบอุ่นกว่าเราที่นั่งตากลมโกรกอยู่ข้างนอกแน่นอน คนไหนขี้หนาวเตรียมเสื้อกันหนาวผ้าพันคอให้พร้อม ลมพัดเย็นยะเยือกถึงจะมีแดดก็ตาม เรือใช้เวลาแล่นผ่านทะเลสาบ Brienz อยู่ประมาณ 60 นาที ก็ถึง INTERLAKEN Ost. เวลา 16.50 น. เราเลือกที่จะเดินผ่านเมืองเพื่อไป INTERLAKEN West. ระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร เหมือนจะใกล้ แต่ความเหนื่อยล้าจากการเดินเล่นทั้งวันในเมืองของพวกเรา ทำให้ระยะแค่นี้ไกลและใช้เวลาเพิ่มขึ้นมาก

พวกเราเช็คอินที่โรงแรม Hotel Beausite Interlaken ห่างจากสถานีรถไฟประมาณ 500 ม. บรรยากาศดีทั้งในและนอกโรงแรม ห้องสะอาด พนักงานน่ารักอธิบายทุกอย่างที่จำเป็นและให้ตั๋วสำหรับรถเมล์ในเมือง 2 วันตามคืนที่เราพัก ภาพด้านล่างคือภาพจากหน้าต่างห้องนอนของเราคืนนี้ ภูเขาลูกนั้นที่กำลังจะได้เห็นเต็มตาพรุ่งนี้เช้า หลังจากเอากระเป๋าเก็บและทำธุระส่วนตัวเรียบร้อย ท้องเริ่มหิวจึงเดินไปรอรถบัสด้านหน้าโรงแรมไม่ไกล เพื่อตามหาร้านอาหารในเมือง INTERLAKEN West. สำหรับเย็นนี้ (เราลืมถ่ายภาพห้องพักในโรงแรมเกือบทุกที่ในทริปนี้ ToT)

เมืองนี้เราจะเห็นการกีฬาพารามอเตอร์อยู่เต็มไปหมดสำหรับนักท่องเที่ยวราคาเท่าที่เห็นอยู่ที่ประมาณ 5,000 บาท

ในเขตเมืองนักท่องเที่ยวเยอะแต่ไม่ถึงขั้นแออัด เดินไปทางไหนก็เจอทั้ง ไทย เกาหลี ไต้หวัน ชาวเอเชียมาค่อนข้างมาก เราเดินมาเรื่อยๆมาจบที่ร้านอาหารใกล้กับแมคโดนัลด้วยความคิดที่ว่า มาเมืองเค้าเราก็ต้องทานอาหารบ้านเค้าสิ . . . หึ หึ หึ . . . สั่งทั้งหมด 5 อย่างคือ ชีสฟองดูว์, สเต็คเซลมอนพร้อมเฟรนช์ฟรายด์, ซุปเห็ด, สเต็คหมู และRosti คือมันฝรั่งมาหั่นเป็นเส้นเล็กๆ (คล้ายเส้นมะละกอ) จากนั้นก็นำมาผสมรวมเข้ากับชีสแข็งที่ละลาย หรือวางทั้งชีสและมันฝั่งไว้บนแฮม ก่อนที่จะลงไปทอดในน้ำมันให้สุกเหลือง ราคามื้อนี้อยู่ที่ประมาณ 80 Chf

> > C H E E S E F O N D U E < <

มื้อนี้ยากเกินบรรยายจริงๆ ชีสฟองดูว์เป็นชีสเต็มๆ มีเครื่องจิ้มเป็นขนมปัง มันฝรั่งต้ม ลูกแพร์ แตงกวาดอง ให้ตัดกับความเลี่ยนของชีส ที่นี่จะนำชีสพื้นถิ่นเราไม่รู้ว่าอะไรบ้าง 2 ชนิดมาผสมกัน จริงๆแล้วอร่อยนะ แต่ประเด็นคือมันมีกลิ่นที่ไม่คุ้นเคย คนที่ชอบชีสมากๆอาจจะรอด แต่เราถอยดีกว่าจ้า ถัดไป Rosti ด้วยความอยากรู้เราเลยสั่งมาลองแล้วทำให้ในอาหารมื้อนี้มีส่วนประกอบของมันฝรั่งถึง 3 อย่าง คือ มันฝรั่งต้มจุ่มชีสฟองดูว์, เฟรนช์ฟรายด์ และRosti ไหวมั้ย ลำดับถัดมาเป็นสเต็คทั้ง 2 ของเรา ปลาดีผ่าน แต่หมูไม่ผ่าน(สำหรับเรานะ) เพราะหมูเป็นชมพูๆเลยไม่กล้ากินกันอีก สุดท้ายคือซุปเห็ดตัวช่วยของอาหารมื้อนี้เลย สรุปว่าที่รอดสำหรับพวกเราคือ ซุปเห็ด, สเต็คเซลมอน และเฟรนช์ฟรายด์ บรรยากาศร้านดี พนักงานดี แค่เราไม่คุ้นกับอาหารยุโรปแท้ๆแค่นั้นเอง รอดูมื้อถัดไปกันว่าจะรอดหรือร่วง ตอนแรกเราเล็งร้านไอศกรีมและ ร้านอาหารของ Migros แต่พอเราไปถึงก็ปิดแล้วเลยอดทั้งคู่ เดินเล่นในเมืองซักพักก็นั่งรถเมล์กลับห้องเตรียมขึ้นเขาแต่เช้าวันพรุ่งนี้ ราตรีสวัสดิ์ สวิสเซอร์แลนด์ Day 1


02

ใกล้จุง - ไกลจุง

[ SCHILTHORN - JUNGFRAUJOCH - INTERLAKEN West. ]

ทริปนี้มีแต่เด็กหน้าห้องตื่นเช้าตลอดๆ ออก 4 5 6 เกือบทุกวัน วันนี้ก็เช่นกัน จริงๆแล้วเราจองแบบมีอาหารเช้าไว้แต่ออกก่อนไม่ได้ทาน เช้านี้จึงเริ่มต้นวันด้วยมาม่าต้มยำและโจ๊กหมูรวมถึงขนมจากบนเครื่องบินเมื่อวาน ทำธุระส่วนตัวเรียบร้อยก็ออกจากโรงแรมประมาณ 6 โมงเช้า ฟ้ามืดไม่มีใครออกมาเดินมีแค่เรา 4 คน มีจักรยานปั่นผ่านมา 1 คัน ทั้งเมืองมืดและเงียบกริบ วันนี้เราจะขึ้นกันทั้ง SCHILTHORN และ JUNGFRAUJOCH มาดูกันว่าจะขึ้นทั้ง 2 ยอดเขาในหนึ่งวันทันหรือไม่ เช้าขนาดนี้ยังไม่มีรถเมล์ดังนั้นจึงต้องเดินจากโรงแรมไปสถานีรถไฟเพื่อเดินทางจาก Interlaken West. ไปสถานีรถไฟ Lauterbrunnen ที่สถานีมีคนมารอรถรอบนี้เหมือนกันประมาณ 10 คน ระหว่างทางท้องฟ้ามืดยังไม่มีแสงพระอาทิตย์จนทำให้กลัวว่าเมื่อเราไปถึงพระอาทิตย์จะโผล่มาให้เราเห็นพอดีรึเปล่า เราเดินทางตามแผนที่นี้เริ่มจากเส้นชมพู - เหลือง - เขียว ตามลำดับ


รถไฟค่อยๆไต่เขาขึ้นมา พระอาทิตย์ก็ค่อยๆสาดแสงตามมาติดๆ ความตื่นเช้าก่อนไก่ขันของเราเริ่มเห็นผลที่ดีและไม่โดนเพื่อนด่า เพราะยอดเขาที่เราจะไปอยู่ตรงหน้าเราแล้ว อากาศเช้านี้เย็นยะเยือกมีลมพัดด้วย เมื่อเราเดินทางถึงก็เดินไปสถานีรถไฟเพื่อไปหมู่บ้าน Murren


ถึงแล้วเราเดินไปหาทางขึ้นกระเช้าเพื่อไปยอดเขากัน ก่อนออกเราเข้าห้องน้ำและใส่เสื้อหนาวเพิ่มอีก ข้างนอกอากาศเย็นสุดใจ เดินผ่านหมู่บ้าน ถ่ายรูประหว่างทางไปเรื่อยๆ ประมาณ 40 นาที ก็ได้เวลาไปขึ้นกระเช้ารอบ 8.00 น. เราต้องนำ Swiss pass ไปแลกรับตั๋วที่เคาน์เตอร์ ปี 2018 การขึ้นยอดเขา Schilthorn ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม สามารถแลกบัตรและใช้ได้เลยถ้ามี Swiss pass

แล้วก็ถึงเวลาขึ้นกระเช้า อากาศเย็นจัดดีที่ใส่เสื้อหนาวเพิ่มที่สถานี ในตอนแรกไม่มีคนขึ้นมาแต่พอเมื่อใกล้ถึงเวลากระเช้าออกไม่รู้คนมาจากไหนเต็มกระเช้าพอดี ประมาณ 20 คน เมื่อกระเช้าเคลื่อนตัวขึ้นสูง จะเห็นยอดเขาโดนแสงอาทิตย์ไล้ค่อยๆเรืองเป็นสีส้มจางๆจากการกระทบกับหิมะบนปลายยอด ถ่ายภาพได้ไม่สวยเท่าตาเห็น

เราแวะลงที่สถานี Birg เพื่อเดินชมวิวสามารถเดินออกไปนอกอาคารเดินไปตามระเบียงเหล็กที่เป็นตะแกรงโล่งสามารถมองเห็นด้านล่างได้ จะมีทางเดินเลาะริมเขาเสียวๆ เกิดอาการขาสั่นเล็กน้อย >.< ไม่ค่อยมีคนลงที่สถานีนี้ในตอนแรกเพราะน่าจะรู้กันว่าทางเดินยังไม่เปิด(เปิดประมาณ 9 โมง) แต่ข้อดีคือไม่มีคนสามารถถ่ายภาพกันได้เรื่อยๆรอกระเช้ารอบถัดไป ถ่ายรูปเล่นกันก็หมดเวลาพอดี

พวกเราขึ้นมาด้านบนยอดเขานี้ถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง James Bond 007 ยอดพยัคฆ์ราชินี บนสุดของยอดเขามีอาคาร Piz Gloria ห้องอาหารรูปวงกลม สามารถมองเห็นทิวทัศน์รอบข้างได้แบบพาโนรามา 360 องศา แต่ต้องมีบัตรเข้าหรือรับประทานอาหารด้านบน ซึ่งพวกเราเลือกจะลงมาทานอาหารด้านล่างเพราะราคาน่าจะถูกกว่า เราพักกันเพื่อทาน ชีสพาย แซนวิชไก่ และช๊อคโกแล็ตร้อน พร้อมกับชมวิวภูเขา

เมื่อขึ้นมาถึงข้างบนจะเห็นยอดเขา 3 ยอดเลยจากมุมนี้รวมถึง Jungfraujoch บริเวณนี้สามารถเดินออกไปนอกอาคารรับอากาศสดชื่นและหนาวเย็นได้ มีซุ้มให้นั่งพักสลับกับนิทรรศการ James Bond 007 เล็กๆรายทาง

ภูเขาโดยรอบมีหิมะอยู่ประปรายตัดกับท้องฟ้าใส อากาศโปร่ง แสงแดดเริ่มส่องให้ความอบอุ่นเต็มที่ สิ่งที่น่าเสียใจและไม่น่าเกิดกับเราที่สุดอย่างหนึ่ง คือ กล้องเราพังบนยอดเขา . . . อะไรคือการที่มาเที่ยวยุโรปแล้วกล้องพัง ม่านชัตเตอร์ไม่ทำงาน . . . ! ! ! . . . น้ำตาแทบไหล ตอนแรกก็คิดว่าเป็นเพราะความเย็นก็ถอดแบต ห่อ และเก็บลงกระเป๋าด้วยความหวังที่ว่าเผื่อมันจะติดเมื่อได้รับความอุ่นแต่ก็ไม่ได้ผล ดังนั้นจากนี้ไปจะถ่ายภาพจากโทรศัพท์มือถือของเพื่อนๆ พวกเราเดินเล่นบริเวณนี้อยู่พักใหญ่ก็ได้เวลาลงไปเขาถัดไป

พวกเรานั่งกระเช้ากลับลงมาที่ murren เพื่อจะลงไป Stechelberg สิ่งที่เกิดต่อไปนอกจากกล้องจะพังแล้ว เรายังทำบัตรหายอีกด้วยแต่ไม่เป็นปัญหา ไปที่เคาน์เตอร์เจ้าหน้าที่จะออกตั๋วให้ใหม่โดยยื่น Swiss pass เหมือนเดิม รอรอบและขึ้นกระเช้าลงมาขาลงคนไม่เยอะเท่าขาขึ้น เจ้าหน้าที่ยิ้มแย้มอธิบายคล้ายไกด์นำเที่ยวไปตลอดทาง มองออกไปด้านนอกจะพบกับหมู่บ้านในหุบเขาอยู่เป็นระยะ บริเวณไหนมีแม่น้ำก็จะมีบ้านเรือนกระจุกตัวกันอยู่ เมื่อลงมาถึงพวกเราต้องต่อรถบัสไป Lauterbrunnen เพื่อจะขึ้นยอดเขา Jungfraujoch ที่นี่มีสิ่งที่น่ารักอย่างหนึ่งคือ หลายๆบ้านมักจะนำน้องหมามาเที่ยวยอดเขาด้วย อากาศยามบ่ายในหุบเขาก็ยังคงความเย็นไว้ได้ดีไม่เกิน 15 องศา

เมื่อถึงบริเวณสถานี Lauterbrunnen มีคนจำนวนไม่น้อยที่มารอขึ้นรถเพื่อไปยอดเขาในบ่ายวันนี้ เราเปลี่ยน Voacher เป็นตั๋วที่สถานีนี้ในตั๋วจะระบุขาขึ้นและขาลง ตอนแรกเราไม่ได้สังเกตุจึงทำให้ต้องนำไปเปลี่ยนอีกตอนจะลงและเสียค่าบริการเพิ่ม ถ้าแจ้งเจ้าหน้าที่แต่แรกว่าจะลงคนละทางน่าจะไม่ต้องเสียเงินค่าบริการเพิ่มเพราะตามที่เราติดต่อเซลล์ที่ไทยบอกว่าสามารถใช้ลงขึ้นทางไหนก็ได้ทั้งจาก Lauterbrunnen และ Grindelwald เมื่อเปลี่ยนเสร็จพวกเราก็วิ่งไปขึ้นรถไฟประมาณ 11.40 น. รอบถัดไปเกือบครึ่งชม. เราขึ้นรถไฟจาก Lauterbrunnen - Kleine Scheidegg - ยอดเขา Jungfraujoch



ยอดเขานี้คนเริ่มทะยอยกันมาขึ้นอย่างต่อเนื่อง ระหว่างทางพบคนเดินขึ้นเขาเป็นระยะ ทั้งมาคนเดียวและมากันเป็นครอบครัวพร้อมน้องหมา เราถึงยอดเขาประมาณบ่ายโมงกว่าอากาศก็ยังคงเย็นแต่มีแดดจ้าฟ้าใส



ยอด Jungfraujoch มีกิจกรรมให้ทำหลากหลาย ทั้งเดินในอาคารนิทรรศการ แกะสลักน้ำแข็ง และระเบียงด้านนอกอาคารที่สามารถมองเห็นธารน้ำแข็งที่ขาวโพลนสุดลูกหูลูกตา เมื่อเราเดินออกมาข้างนอกอาคารบริเวณระเบียงก็จะพบกับอากาศที่เย็นสุด ลมแรงสุดพร้อมกับวิวธารน้ำแข็งที่สวยสุด และอาการมือแข็งกับอุณหภูมิ 0 องศาเซลเซียส ซึ่งพวกเราเอาทั้งหมด


หิมะครั้งแรกในชีวิตขาวโพลนไปหมดสุดลูกหูลูกตา จะว่าไปคล้ายบิงซูอยู่นะ หลังจากเดินเที่ยวยอดเขามือแข็งกัน ลมพัดจนขาสั่นกันจนจุใจประมาณบ่ายสี่โมงเย็น เราก็นั่งรถไฟกลับลงมาที่ Kleine Scheidegg และนั่งลงไปฝั่ง Grindelwald แต่จากการที่เราไม่ตรวจตั๋วในตอนแรกทำให้ต้องให้เจ้าหน้าที่เปลี่ยนตั๋วให้อีกครั้งพร้อมเสียค่าบริการเพิ่มใช้เวลาไม่นานนักก็ลงเขากันได้


เรานั่งรถไฟชมวิวข้างทางลงมาเรื่อยๆจนใกล้สถานี Grindelwald หากแต่ลงผิดพวกเราลงสถานีก่อนเป้าหมายนั่นคือ สถานี Grindelwald Grund อีกพักใหญ่ๆกว่ารถไฟรอบถัดไปจะมา ถึงจะลงผิดป้ายวิวก็ยังสวยมากๆอยู่ดี พวกเราจึงเดินเล่นบริเวณใกล้เคียง เป็นเมืองที่สงบมากมีบ้านเรียงรายบนเนินเขาด้านหน้ามีลำธารใสไหลผ่าน




เมื่อรถมานั่ง 1 สถานีลง Grindelwald แล้วนั่งต่อไป Interlaken West. พวกเราทำเวลาได้ดีถึงบ่ายสี่โมงกว่าๆ จึงเข้าโรงแรมก่อนวันนี้ทางโรงแรมจัด afternoon tea มาทันพอดี มีชีสพาย พายผลไม้ เค้กผลไม้ เค้กและขนมที่นี่รสชาติไม่หวานจัด อร่อย ไม่ทันถ่ายหมดซะก่อน ตอบโจทย์มนุษย์ผู้เหนื่อยและหิวโหยทั้งสี่ได้พอดี หลังจากนั่งพักและทำธุระส่วนตัวเสร็จได้เวลาออกไปหาอาหารเย็น ที่นี่มีร้านอาหารของ Migros แต่วันนี้ปิด พวกเราเลยลองร้านที่ทัวร์เข้าเยอะๆเมื่อวาน อาหารเย็นของพวกเราวันนี้ประกอบด้วย สลัด ฟิชแอนด์ชิปส์ สเต็คหมู และพิซซ่าหน้าสัปปะรด


ร้านนี้มีพนักงานหลากหลายเชื้อชาติ ทั้งคนพื้นที่ รัสเซีย อเมริกัน และคนไทย น้องเป็นนักศึกษา ป.โท ของมหาวิทยาลัยในลูเซินที่เข้ามาฝึกงานที่นี่ เมื่อถามเรื่องอาหารแนะนำและอาหารที่น้องทานบ่อยๆที่นี่ น้องตอบว่า " มาม่าครับ. . . โถ่ " หลังจากที่เราทานอาหารที่ยากลำบากเสร็จจึงอยากได้ของหวานเป็นตัวช่วยปิดมื้อเย็นนี้ เดินไปร้านสะดวกซื้อฝั่งตรงข้ามได้ไอศกรีมกันคนละถ้วยพร้อมโยเกิร์ตบลูเบอร์รี่ พวกเรานั่งทานกันหน้าร้านต้านทานอากาศหนาวและบุหรี่(อีกแล้ว) ซักพักเริ่มไม่ไหวเราจึงตัดสินใจนั่งรถเมล์กลับห้อง อากาศเริ่มเย็นลงในเมืองเริ่มเงียบทั้งที่เป็นเวลาแค่สองทุ่ม ทุกคนเข้าบ้านกันหมด พวกเรานั่งรถเมล์ด้วยความมั่นใจว่าไปถูกทาง เมื่อนั่งมาซักพักใหญ่จึงรู้ว่ารถหันหัวไปคนละทางกับที่จะไปโรงแรม คนขับบอกว่าเป็นรถทางเดียวกันแค่วนคนละทางจะไปถึงป้ายเมื่อสุดป้ายดังนั้นจึงต้องนั่งต่อไปจนสุดสายและรออีกพักใหญ่จนเจ้าหน้าที่ขับรถกลับไปที่ศูนย์และผ่านโรงแรมของเรา (ควรดูและถามเจ้าหน้าที่ให้ดีก่อนขึ้นรถ) ทั้งง่วงทั้งเพลียท้ายที่สุดพวกเราก็สามารถลากสังขารกลับมาโรงแรมจนได้ อานน้ำ และเข้านอน เกือบจะราตรีสวัสดิ์สวิสวันที่ 2 เราก็พบกับวัยรุ่นที่มานั่งดื่มแอลกอฮอล์ด้านล่างโรงแรมและสูบบุหรี่ ควันนั้นก็ลอยเข้าห้องพอดีเพราะที่นี่ไม่มีแอร์มีแค่ฮีทเตอร์และหน้าต่าง ประมาณเกือบ 4 ทุ่ม พวกเขาจึงเลิกดื่มและกลับที่พัก ทำให้เราได้นอนหลับจริงๆ Good night Swistzerland


03

หมีเมืองหลวง

ไก่ไม่ทันขันพวกเราก็ตื่นมารับอากาศสดชื่นเย็นจับใจ ทำธุระส่วนตัวเสร็จ เรารวมตัวกันทานมาม่าและโจ๊กอีกเช่นเคย เมื่อวานเราแจ้งพนักงานไว้ว่าจะออกเช้า ทางโรงแรมจึงเอาเครื่องชงกาแฟ และครัวซองค์วางไว้ให้หยิบมา 4 ชิ้นเผื่อมื้อสาย วันนี้พวกเราจะไป Mt.Tilits และ Bern เริ่มเดินทางจาก Interlaken West. ไป Bern เพื่อฝากกระเป๋าและต่อรถไป Luzern - Eldenberg - Mt.Tilits จากการวางแผนที่กระชั้นชิดเกินไปเราถึง Luzern ประมาณ 7.50 น. แต่ฝากกระเป๋าไม่ทันทำให้ตกรถที่จะไป Eldenberg มองหารถไฟรอบถัดไปค่อนข้างนาน นั่นทำให้เราอดไป Mt.Tilits จึงตัดสินใจกลับไปเดินเล่นที่ Bern จากนั้นไปเดินเล่นในเมือง Zermatt เลย ซึ่งคล้ายจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องด้วยลางสังหรณ์บางอย่าง

เป้าหมายแรกหลังจากเข้าเมืองหลวงของสวิสอย่างเป็นทางการนั้นคือการนั่งรถเมล์ไปชมวิวเมืองที่ 01 - Rose garden เป็นคล้ายสวนสาธารณะของเมือง มีผู้คนมาปิกนิค เด็กๆเล่นเครื่องเล่น รวมถึงมาทานอาหารกลางวัน นอกจากจะมีวิวที่สวยงาม ยังมีกุหลาบหลากหลายพันธ์ุแต่ช่วงที่เราไปมันเริ่มบานหมด

ถัดไปพวกเราเดินลงจากสวนกุหลาบเพื่อไปตามล่าหาหมีที่ 02 - Bärengraben เดินไปเจอบ่อหมีเก่าซึ่งย้ายไปไว้ริมน้ำแล้ว เดินเลาะไปตามริมน้ำที่มีคนกลุ่มใหญ่มุงดูอยู่เราเจอกับหมีอ้วน 1 ตัว เดินไปมาอยู่ในบ่อ เราเดินตามทางเดินไปพบกับบันไดทางลงและหมีอีก 1 ตัวกำลังว่ายน้ำตามคูน้ำเล็กๆ เราเดินลงบันไดไปตาเจ้าหมีสีน้ำตาลลงไปข้างริมน้ำ

ที่นั่งริมน้ำมีผู้คนลงมานั่งเล่น จากมุมนี้จะเห็นแม่น้ำอาเรย์กั้นระหว่างบ่อหมีและเมืองเบิร์น แม่น้ำใสลงว่ายได้มีป้ายบอกสามารถลงว่ายน้ำได้แต่ควรระวังน้ำค่อนข้างแรง แล้วก็เหลือบไปเห็นผู้ชายคนหนึ่งกำลังว่ายน้ำในแม่น้ำ ซึ่งอากาศประมาณไม่เกิน 20 องศา แล้วในน้ำจะเย็นขนาดไหน

เมื่อพวกเราถ่ายรูปเสร็จก็ขึ้นลิฟท์กลับขึ้นมาด้านบนและเดินไปเที่ยวชมในเมืองกันต่อ ข้ามสะพานเดินพักใหญ่พบกับโบสถ์ 03 - The cathedral of Bern

แล้วพวกเราก็เดินเข้าเส้นหลักของเมืองข้างทางมีร้านกาแฟและ Shop ต่างๆเป็นระยะ เจอร้านเล็กๆน่ารักร้านนึงบวกกับความหิวกาแฟ แวะสิ

เส้นทางเดินหลักนี้ผ่าน 04 - หอนาฬิกา Zytglogge ใช้เป็นประตูเมืองแห่งแรกในช่วงปีค.ศ. 1191-1256 ในปีค.ศ. 1530 มีการติดตั้งนาฬิกาดาราศาสตร์เข้าไป จากนั้นกลายเป็นสถานที่เที่ยวประจำเมือง ด้านขวาของนาฬิการดาราศาสตร์มีตุ๊กตาหมุนๆ เปิดแสดงเป็นบางช่วงเวลา และ 05 - Käfigturm ป้อมปราการประตูเมืองด้านตะวันตกสร้างขึ้นราวค.ศ. 1256 ใช้เป็นคุก ปัจจุบันถูกใช้เป็นที่จัดนิทรรศการทางการเมือง เปิดเฉพาะมีการจัดนิทรรศการ (ช่วงที่เราไปไม่มีเลยไม่ได้เข้าชม) ระหว่างทางมีน้ำพุเป็นจุดๆ

เมื่อเดินครบรอบแล้วก็เป็นเวลาเที่ยงกว่าๆ ได้เวลาหาของกิน พวกเราฝากท้องไว้กับ Migros คว้า ปอเปี้ย สลัดผัก พายผักโขม กาแฟคนละแก้ว และน้ำเปล่า ไม่น่าเชื่อว่าปอเปี้ยอร่อยใช้ได้เลย ไปนั่งกินรอรถไฟในตู้กันบุหรี่บริเวณชานชลา กินเสร็จรถไฟไป Zermatt ก็มาพอดี ที่เราบอกว่าดีแล้วที่ตอนเช้าไม่ได้ไป Mt.Tilits เพราะเส้นทางที่จะไป Zermatt มีการซ่อมระหว่างทางต้องต่อรถบัส ทำให้ถึงช้ากว่าเดิมไปเกือบชั่วโมงทำให้ถึงค่อนข้างเย็น (สังเกตุว่าซ่อมหรือไม่ได้จาก SSB mobile)


ในที่สุดพวกเราก็เดินทางถึง Zermatt เดินหาที่พักที่จองไว้เก็บของเสร็จได้เวลาหาอะไรทาน ที่พักของเราคืนนี้เป็นอาพาร์ทเมนต์ มีเตียงเดี่ยว 2 เตียง ครัวเล็กๆ และห้องน้ำ 1 ห้อง พร้อมระเบียงด้านนอก อากาศเย็นลงเป็นลำดับ ตัดสินใจกันว่าวันนี้จะไปหาสเบียงมาทำกันเองที่ห้อง เมืองนี้มี Migros รอดแล้ว เราเดินช้อปอยู่พักนึงได้ขอมาเพียบ ค่าเสียหาประมาณ 55 CHF (ถ้าจองห้องพักได้แบบนี้ทุกวันลดค่าใช้จ่ายได้เยอะเลย) เราซื้อเผื่อมื้อเช้าด้วย

ขาเดินกลับมาห้องผ่านร้านช้อคโกแล็ต Laderach น่าทาน ก็คว้ามาซื้อเผื่อเป็นของฝากด้วยเลยกันคนละห่อสองห่อ

มื้อเย็นนี้เป็นมื้อที่เรียกได้ว่าถูกปากพวกเราที่สุดและราคาดีที่สุดในสวิส หลังจากทานเสร็จก็แยกย้ายเข้านอน ก่อนจะต้องตื่นเป็น ร.ด. กันตีสี่พรุ่งนี้ ฝันดีคืนสุดท้ายในดินแดนในฝัน


04

จากสวิส สู่ มิลาน

เช้าของวันที่ 4 ในต่างแดน เรากำลังจะไปเจออีก 1 ภูเขา คือ Matterhorn ภูเขาที่เป็นสัญลักษณ์ของช๊อคโกแลต Toblerone หลังจากที่ทานเสบียงเสร็จก็เริ่มเดินทาง อากาศภายนอกเย็นมากทั้งหนาวทั้งลมพัด เราออกมาไวเกินไป กระเช้าเปิด 7 โมง แต่เรามาก่อนจึงไปหลบลมที่ Locker room เพื่อฝากกระเป๋าเดินทาง พอใกล้ถึงเวลาจึงออกมาขึ้นรถไฟ เมื่อเคาน์เตอร์เปิดก็นำ Swiss pass ไปแลกพร้อมจ่ายเงินประมาณ 50% ของราคาตั๋ว และขึ้นรถไฟ รถไฟค่อยๆไต่สูงขึ้นเป็นลำดับ เราลงสถานี Gorneregrat ซึ่งเป็นสถานีสุดท้าย และรอพระอาทิตย์ขึ้น

พระเอกของเราก็จะรูปเยอะๆหน่อย ถ่ายรูปเล่นกันพักใหญ่ ก็ยังเหลือเวลาเพราะรถรอบจะลงคือรอบ 9 โมง ตอนแรกจะเดินลงไปสถานี Rotenbeden แต่ดูสภาพอากาศแล้วไม่ไหว ทั้งหนาวทั้งลมพัดตลอด พวกเราจึงมานั่งรอร้านอาหารด้านในอาคาร นั่งกินเค้ก จิบกาแฟ และโกโก้รับอากาศหนาวๆเช้านี้ มองออกไปเป็นยอดเขา Matterhorn ฉาบด้วยแสงอาทิตย์ที่กำลังขึ้น

พอถึงเวลา 9 โมง ก็นั่งรถไฟลงเขาไปยังสถานี Rotenbeden ภูเขาลูกใหญ่ตั้งตระหง่านสะท้อนน้ำสีฟ้า ตัดกับท้องฟ้าใส พวกเราทำเวลาได้ดีมากๆ ถ่ายเล่นชมวิวเดินชิลกัน ไม่ถึงครึ่งชม. ก็เดินกลับมาที่สถานีเตรียมขึ้นรถไฟ Bye Bye ยอดเขา Matterhorn ลาแล้วนะ เขาช๊อคโกแลต อย่างกับในฝันเลย


เมื่อลงมาถึงข้างล่างพวกเราเดินเล่นหาของฝากจากสวิสกันเล็กน้อยที่ Migros, ร้านช๊อคโกแลต และร้านขายของที่ระลึกข้างทาง เดินช้อปจนเลยเวลา จึงฝากท้องไว้กับ Mcdonald's ด้วยความเดินเร็วถ่ายรูปเร็วของพวกเราทำให้ตารางการเดินทางเลื่อนขึ้นมามาก จากที่จองรถไฟไว้ค่อนข้างเย็นถึงมิลานดึกจึงตัดสินใจว่าควรเดินทางกันไวขึ้นสละตั๋วที่จองไว้ก่อนที่จะไปขึ้นรถไฟช่วงเที่ยงเพื่อไปมิลาน ประเทศ [ อิตาลี ]

โดยสรุป PART 1

" รอ Part 2 : Once upon a time in Switzerland & Italy part 2 ในลิ้งค์ข้างล่างนี้จ้า "

https://th.readme.me/p/22267

ความคิดเห็น