สวัสดีครับเพื่อนๆ วันนี้ผมจะมารีวิวทริปขับรถเที่ยวสวิสเซอร์แลนด์ 6 วัน ที่พึ่งจบไปเมื่อช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา เผื่อจะพอเป็นไอเดียให้เพื่อนๆ ได้ว่า ถ้าคุณมีเวลาประมาณ 1 สัปดาห์เพื่อเที่ยวรอบสวิสเซอร์แลนด์ เราจะจัดทริปอย่างไรและมีที่ไหนที่น่าไป และมีอะไรให้ทำบ้าง
โดยทริปนี้ผมขับรถเที่ยวออสเตรียกับเยอรมนีก่อน 3 วัน https://pantip.com/topic/36377834
จากนั้นเราก็ขับกลับมาสวิสฯ แล้วเที่ยวรวดเดียว 6 วัน แล้วจึงเดินทางกลับไทยในวันต่อไป ซึ่งที่เลือกขับรถก็เพราะว่าทริปนี้มีผู้ใหญ่ (55-60 ปี) ถึง 4 คน ถ้าผมพาพวกแกเที่ยวแบบขึ้นลงรถไฟตลอด 6 วัน เช็คอินแล้วเที่ยวๆ อีกวันตื่นเช้าเช็คเอ้าท์ พะรุงพะรังลากกระเป๋ารีบวิ่งไปสถานีให้ทันขบวนรถไฟ แล้วก็วนลูปแบบนี้ไปอีก 6 วัน ก็กลัวจะเหนื่อยจนเกินไป รวมถึงเปรียบเทียบกับถ้ามาเที่ยวโดยการขับรถ อาจจะมีค่าใช้จ่ายเรื่องค่าเช่ารถ กับค่าที่จอดรถเพิ่มมาในแต่ละวันบ้าง แต่เมื่อมาเทียบกับแล้ว ค่าใช้จ่ายที่มากกว่านิดหน่อย แต่สบายกว่ากันเยอะ ก็ถือว่าคุ้มค่าครับ
ปล. ปีที่แล้วผมเคยได้รีวิว ขับรถเที่ยวรอบเกาะ Iceland 1 สัปดาห์ เหมือนกัน ถ้าเพื่อนๆสนใจ หรือกำลังวางแผนทริปอยู่ ตามไปอ่านได้ครับผม ผมทำไว้เป็นเหมือนกับคู่มือแนะนำวีธีเที่ยว วิธีเตรียมตัวในการขับรถแบบละเอียดๆ เลย กดได้ที่นี่ >> https://pantip.com/topic/35798202
ก่อนที่จะเริ่มเที่ยวกัน ผมขอเปิดทริปด้วยรูปยอดเขาทอปเบอร์โลน เอ้ย.. Matterhorn แล้วกันครับ ซึ่งรูปทั้งหมดที่โพสนี้ไม่ได้ผ่านการแต่งภาพใดๆ ทั้งสิ้น (ถ้าพูดแบบพี่วูดดี้ก็จะประมาณ "ไม่ได้ผ่านการใช้สเปเชียล เอฟเฟค ใดๆทั้งสิ้น") เพราะผมเองกลัวรูปมันจะออกมาไม่เหมือนกับของจริง ที่อยากให้เพื่อนๆได้เห็นเหมือนกับที่ผมไปเห็นด้วยตามาเอง
ทริปนี้เราเช่ารถตู้ Benz viano กับ Europcar รวมจำนวนประมาณ 10 วัน ราคารวมทุกอย่างอยู่ที่ 60,000.- บาท พอรวมกับค่าจอดรถและค่าน้ำมันตลอดทริป จากนั้นมาหารเฉลี่ยต่อคนต่อวันแล้วจะอยู่ที่ คนละ 1,100 – 1,200 บาทต่อคนต่อวันเท่านั้น
หน้าตารถตู้ Benz ขับง่าย นุ่มตามประสา นั่งสบาย ผู้ใหญ่ไม่มีบ่นเลย 55+
จากประสบการณ์ที่ขับรถเที่ยวยุโรปมาหลายประเทศ แนะนำให้เช่า GPS ที่มากับรถเลย ชีวิตดี้ดี เที่ยวง่ายกว่าเยอะ
โดยทริปสวิสฯ นี้ สถานที่ท่องเที่ยวหลักๆเลย ที่เราจะไปกัน คือ
1) พาไปขึ้นภูเขากัน ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าสวิสฯมียอดเขาที่สูงและมีชื่อเสียงเป็นจำนวนมาก บางเขาเป็นหอดูดาว บางเขาเป็น Ski Resort หรือ Ski Paradise แล้วแต่ละเรียกกัน ซึ่งทริปนี้เราจะไปกัน 3 เขา ได้แก่
#Titlis เป็นหนึ่งใน ski resort ที่มีชื่อเสียง อยู่ห่างจากเมือง Luzern ไปเพียง 30 นาทีเท่านั้น ซึ่งการไปก็ง่ายมากแค่ขับรถไปเมือง Engelberg จอดรถไว้ที่สถานีรถกระเช้า จากนั้นก็ขึ้นกระเช้าไปได้เลย
สะพานบนยอดเขา หนึ่งในจุดชมวิวที่ต้องตั้ง Image Stabilizer ก่อนถ่ายรูป เพราะถ้าลมแรงสะพานจะโยกมาก
#Jungfraujoch , top of Europe ยอดเขาที่ใครไม่ไปถือว่าไปไม่ถึงสวิสฯ ซึ่งสูงสุดของยุโรปในที่นี้หมายถึงสถานีรถไฟที่สูงที่สุดในยุโรป แต่ถ้ายอดเขาที่สูงที่สุดไม่ใช่ที่นี่ครับ มีอีกหลายยอดเขาที่สูงกว่าเยอะ ซึ่งคนที่ไป Jungfrau ก็ต้องเริ่มเดินทางจากเมืองแห่ง 2 ทะเลสาบ Interlaken นั่งรถไฟเป็นเวลารวมกว่า 2 ชม.ครึ่ง ไต่ขึ้นเขาไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงยอดเขา เหนื่อยเหมือนกันครับ
JungfrauJoch หรือยอดเขายุงเฟรา หน้าตาจริงๆประมาณนี้ละ
#Matterhorn สัญลักษณ์แห่งสวิสฯ และขนมชอคโกแลตทอปเบอร์โลน เป็นยอดเขาที่ผมรู้สึกว่าสวยที่สุด วิวบนยอดเขามีความอลังการที่สุด และเดินทางง่าย ไม่เหมือนกับ Jungfrau ปกติคนที่จะขึ้น Matterhorn จะต้องมาพักที่เมือง Zermatt เมืองแห่งนี้เป็น Ski Paradise ที่สวยงาม และในหน้าร้อนก็ยังเป็นพื้นที่ Trekking ที่มีชื่อเสียงมาก โดยการขับรถมานั้นเราไม่สามารถขับรถเข้า Zermatt ได้โดยตรง ต้องจอดรถที่เมืองก่อนหน้าคือ เมือง Tasch จากนั้นนั่ง Shuttle train มาเมือง Zermatt ซึ่งสถานีรถไฟเพื่อขึ้นยอดเขาเพื่อดู Matterhorn จะอยู่ที่เมืองแห่งนี้
เบื้องหน้า Matterhorn คือศูนย์วิจัย หอดูดาว ร้านอาหาร โบสถ์ และโรงแรมในที่เดียวกัน
จากรูป google map นี้คือเส้นทางขับรถคร่าวๆครับ เริ่มจาก
วันแรกที่เข้าสวิสฯ ผมขับรถมาจากเมือง Schwangau ที่เยอรมนีซึ่งเราไปดูปราสาท Neuschwanstein กันมา จากนั้นช่วงบ่ายก็ขับรถมาเมือง Luzern เดินเที่ยวเล่นในเมือง
วันที่ 2 ช่วงเช้าไปเมือง Engelberg ขึ้นเขา Titlis จากนั้นช่วงบ่ายก็ขับรถไปเมือง Interlaken ซึ่งเราจะพักที่นี่กัน 2 คืน
วันที่ 3 ขึ้น Jungfrau ใช้เวลาเต็มวัน
วันที่ 4 ขับรถไปเมือง Tasch จอดรถทิ้งไว้ที่สถานีรถไฟ จากนั้นนั่ง Shuttle train ไปเมือง Zermatt ช่วงเย็นก็ขึ้นเขาเพื่อดู Matterhorn เลย
วันที่ 5 ออกจาก Zermatt เที่ยงๆ รับรถคืน จากนั้นขับรถไปทางทะเลสาบ Geneva และเข้าพักที่เมือง Lausanne
วันที่ 6 ขับรถไปเที่ยวเมือง Geneva แล้วขับมากรุง Bern และขับรถไปคืนที่สนามบิน Zurich จากนั้นมาเข้าพักที่ รร.ใกล้ๆ สนามบิน เพื่อรอขึ้นเครื่องในวันถัดไป
สรุปแล้วก็คือ เราจะได้แวะเที่ยวกัน 6 เมือง ได้แก่ Luzern, Interlaken, Zermatt, Lausanne, Geneva และ Bern และได้ขึ้นดูเขา 3 ที่ คือ Titlis, Jungfrau และ Matterhorn งั้น เพื่อไม่ให้เป็นการเสียนาฬิกา ... เอ๊ย เสียเวลา (เล่นเองตบเอง 55+) ไปเที่ยวกันเลยครับ
วันที่ 1 เมือง Luzern เมืองเก่าแก่ในอดีตที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน
เป็นเมืองเก่าแก่มาที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมาตั้งแต่ยุค ค.ศ. 700 กว่าๆ ในอดีต เมืองแหล่งนี้เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญของเส้นทางการค้าในยุคจักรวรรดิโรมัน และปัจจุบันก็เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง ทั้งสะพานไม้เก่าแก่ Lion monument ย่านเมืองเก่าตั้งแต่ช่วงสมัย ค.ศ.ที่ 1400-1600 ฯลฯ มีความชิล มีความคลาสสิคสวยงามแบบเมืองที่ได้รับอิทธิพลจากคริสจักรโรมันแคทอลิก และมีความคูลด้วยวิวภูเขา Rigi Pilatus ที่โอบล้อมเมืองนี้อยู่
หอเล็กๆทางขวานั่นละครับ คือ Water tower
ใจกลางเมือง คือที่ตั้งของสัญลักษณ์ของ Luzern ก็คือ สะพาน Chapel Bridge หรือ Kapellbrucke สะพานไม้ที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดของยุโรป ที่เชื่อมสองฝั่งของเมืองเข้าด้วยกัน บนสะพาน จะประกอบด้วยหมู่ภาพเขียน ที่เล่าเรื่องราวในแต่ละช่วงเวลาของประวัติศาสตร์เมืองนี้ รวมถึง Water tower ณ สะพานแห่งนี้ก็เคยมีบทบาททั้งเป็นป้อมประการด่านหน้า และห้องเก็บสมบัติก็ยังเคยเป็นมาแล้ว
รูปแบบสถาปัตยกรรมมีกลิ่นอายความเจริญรุ่งเรืองในอดีตหลงเหลืออยู่
หลังจากไปเดินเที่ยวกันจนค่ำแล้ว วันนี้เราพักกันที่ Luzern Apartment ที่จองผ่าน AIRBNB ราคาประมาณ 16,000 บาท ที่พักเป็น apartment ขนาดใหญ่ จำนวน 2 ห้องนอน มีเครื่องใช้ไฟฟ้าครับถ้วน ส่วนครัวมีอุปกรณ์ทำอาหารครบ ห้องอาบน้ำพร้อมเตารีดและเครื่องซักผ้า สถานที่ตั้งของ apartment นั้นเลยถัดมาจากสถานีรถไฟ Luzern แค่ 5 นาทีเท่านั้น
ห้องนอน 1++
ห้องนอน 2
ห้องรับแขก มีโซฟากับทีวี ใหญ่มว้ากก++
ห้องครัวมีอุปกรณ์พื้นฐานครบ ได้แก่ เตาไฟฟ้า เตาอบ เครื่องล้างจาน เครื่องชงกาแฟ เครื่องหั่น ฯลฯ ++
เป็นที่พักเดียวในทริปนี้ที่มีเครื่องซักผ้ากับเตารีด
วันที่ 2 Titlis Peak และการเล่นกีฬาน้ำแข็งครั้งแรก
สวัสดีครับ ต้อนรับเข้าสู่วันที่ 2 ของการเดินทาง หลังจากนอนพักชาร์ตพลังกันแล้ว วันต่อมาเราก็พร้อมไปขึ้นยอดเขา Titlis กันละครับ โปรแกรมในวันนี้คือจาก Luzern เราขับลดลงใต้ ขับรถลัดเลาะตามภูเขา ใช้เวลาประมาณ 40 นาที ก็จะถึงเมือง Engelberg ซึ่งเราจะขึ้นรถกระเช้าเพื่อไปยอดเขากันต่อ จากนั้นเราจะใช้เวลากันประมาณ 2 ชม. ขับเลาะหมู่ทะเลสาบไปเรื่อยๆ เพื่อไปเข้าพักกันที่ Interlaken
ภาพเมือง Engelberg ถ่ายจากบนกระเช้าครับผม
Titlis เป็นยอดเขาที่เป็น Ski resort ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของสวิสเซอร์แลนด์ โดยคร่าว จะมีสถานีหลักๆ 3 สถานี ซึ่งแต่ละสถานีก็จะมีลานสกีที่มีระดับ จากง่าย ไล่ไปหายาก แตกต่างกันไปในแต่ละสถานีที่สูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเราจะนั่งกระเช้าต่อไปจนถึงสถานีสุดท้ายกันก่อนแล้วค่อยย้อนลงมาแวะไปในละสถานีกัน
จากสถานีที่ 2 เราต้องเปลี่ยนรถกระเช้าไปอีกตัวนึง ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่า จุคนได้ประมาณ 30 คน จะมันจะหมุนรอบตัวไปเรื่อยๆ เพื่อให้ได้เห็นวิวจากทุกมุม
กลัวเห็นไม่ชัด เลยซูมเข้าไปใกล้ๆอีก 55+
ไม่นานเราก็ขึ้นมาถึงแล้วครับ สถานีบนยอดสุดของภูเขานี้ มีระดับความสูง 10,000 ฟุต หรือประมาณ 3,000 เมตร ข้างบนนี้มีทั้งลานสกี (น่าจะสำหรับพวกโปร ทักษะระดับสูง) ศูนย์วิจัย แล้วก็วิวแบบ 360องศา รวมถึงจุดที่เป็นมุมถ่ายรูปสวยๆ เยอะอยู่ครับ
เราเดินไปเรื่อยๆ ก็ถึงสะพานแขวนซึ่งเชื่อมสองฝั่งของเขาบนนี้ ให้เราเดินไปชมวิว ถ่ายรูปสวยๆ
วิวเทือกเขาประมาณนี้แหละ
เดี๋ยวเราจะลงไปสถานีด้านล่างกันครับผม ขาลงเราก็เปลี่ยนจากกระเช้าใหญ่ ไปเป็นกระเช้าเล็กกัน ตัวกระเช้าเล็กนี้นั่งได้เต็มที่ 6 คน แต่ละกระเช้าก็จะมีธงชาติของประเทศต่างๆ แปะอยู่ นั่งไปก็เล็งหาธงชาติไทยกันไป ......เจอละธงไทย ซูมสะหน่อย
กระเช้าไทย แต่ทำไมฝรั่งทั้งคันเลย 55
สถานีที่เราลงนี้ ประกอบด้วย โรงแรม ร้านอาหาร และลานสกี รวมถึงพวกอุปกรณ์เครื่องเล่นแบบที่เราใช้ไถลลงไป ตรงบริเวณนี้มีนักท่องเที่ยวเยอะมากครับ รวมถึงมีคนไทยก็เยอะมากด้วย แอบเม้าท์มอยใครไม่ได้เลยย
Ang Mo แท้ต้องตากแดด ส่วนหลบร่มในร้านอาหารนี่กลุ่มคนไทยทั้งนั้น เกือบ 20 คนได้
เซทนี้ครับ อาหารและกาแฟสำหรับ 6 คน ราคารวม 3,000 กว่าบาท สิ่งที่จ่าย แลกกับวิวทิวทัศน์ที่ได้
หลังจากกินข้าวเที่ยงกันแล้ว ผมขอแนะนำกิจกรรม ณ บริเวณสถานีแห่งนี้ สำหรับนักท่องเที่ยวแบบเราๆ ที่ไม่ได้เช่าอุปกรณ์สกีมา ทาง Titlis เค้าก็จัดอุปกรณ์เครื่องเล่น 2 อย่างให้เราไปเล่นได้ ใครที่มาแล้ว ห้ามพลาดครับ
1. ห่วงยาง วิธีการเล่นง่ายมาก เพียงแค่นั่งลงไปในห่วง อย่าเอาตูดลงไปเยอะ ไม่งั้นตอนลงจะเจ็บตูดมาก เมื่อคุณนั่งในท่าเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้วก็ให้กระเด้งๆลงไปตามทางสู่ข้างล่างเนินเขา ซึ่งถ้าบางคนไม่ยอมลง เดี๋ยวมีคนดันคุณให้ลงไปเองครับ ชักช้าเสียเวลา 55+
เด็กยังเล่นได้เลยดูสิ ผู้ใหญ่อย่างเราทำไมจะไม่ใจ
ถีบส่งแฟนลงไปก่อน ส่วนเรารอถ่ายรูปดีกว่า
2. ผมขอเรียกว่า Glider แล้วกันครับ ก็ง่ายๆ คือเป็นเครื่องเล่นให้เรานั่ง แล้วมันก็จะไถลลงไปตามทาง อันนี้ต่างจากห่วงยางคือมันไม่มีร่องแต่จะเป็นลานกว้างที่ลาดลงไป เราต้องควบคุมคันบังคับดีดี ถ้าใครคุมไม่ดีก็คว่ำกันไป ... ส่วนสนุกหรือไม่สนุกนั้นดูคลิปกันเอาเองน้ะ
ขอสรุป Titlis สั้นนะครับ
ราคา : คนละประมาณ 40 CHF (ใช้ส่วนลดจากบัตร Swiss Half Fare Price)
การเดินทางจาก Luzern : 30 - 40 นาที
ระยะเวลาในการขึ้นกระเช้าชมวิว - เล่นเครื่องเล่น : 2-3 ชม.
ราคาอาหารข้างบน : อาหารตกจานละ 20 - 30 CHF, ครัวซองประมาณ 5 CHF กาแฟประมาณ 6 - 10 CHF
กิจกรรม : ดูวิว, นั่งกระเช้า, เล่นเครื่องเล่นนิดหน่อย
สรุปแล้ว เป็นยอดเขาที่สนุกที่สุดครับ มีครบทั้งวิวสวย กระเช้า กิจกรรม เป็นแหล่งพักผ่อนที่เดินทางง่าย และเหมาะสมสำหรับครอบครัว ยิ่งมีลูกมาด้วยยิ่งสนุกมาก
หลังจากปล่อยแก่ไปเรียบร้อยแล้วเรามาเดินทางกันต่อครับผม จาก Engelberg เราขับรถอีกประมาณ 1 ชม.ครึ่งลัดเลาะไปตามถนนริมทะเลสาบก็จะเดินทางถึง Interlaken โดยช่วงถนนจาก Luzern ไป Interlaken นี้มันลัดเลาะเจาะภูเขาไปตลอดทาง วิ่งเลาะทะเลสาบ วิ่งขึ้นเขาลงเขาไปตลอดทาง จึงทำให้ช่วงนี้มีจุดที่เรียกว่า Photogenic spot เยอะ หรือแปลเป็นไทยง่ายๆ ก้คือ "จุดนี้สวย แวะถ่ายรูปด้วยเถอะ" ซึ่งจากประสบการณ์ที่ขับรถท่องเที่ยวมา ผมคิดว่าสวิสฯ มีความคล้ายคลึงกับนิวซีแลนด์ และไอซ์แลนด์ รวมถึงประเทศอื่นๆ ที่มีวิวทิวทัศน์สวยๆ ตรงนี้ ถ้าช่วงไหนสวย จะมีจุดจอดรถที่เป็น photogenic เยอะ ซึ่งเราไม่ควรขับผ่าน เพราะว่ามันสวยจริงๆ อย่างช่วงนี้ก็มีหลายจุดเช่นกัน
อย่างรูปนี้สวยจริงๆ ถ่ายยังไงก็ไม่สวยเท่าของจริง ต้องมาดูด้วยตาตัวเอง
Interlaken เป็นเมืองที่อยู่ระหว่างทะเลสาบ 2 แห่ง จึงทำให้เมืองนี้มีอุณหภูมิที่ไม่หนาวจนเกินไป ช่วงที่ผมไปอุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 20 องศา ซึ่งถ้าเป็นที่เมืองไทยคือเย็นกำลังดี แต่ว่าพอเจอแดดแบบสวิสฯ นี้ อากาศจึงกลายเป็นร้อนเลยทีเดียว ... เมืองนี้อยู่ใกล้กับ Jungfraujoch ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง จึงทำให้เมืองนี้ก็มีชื่อเสียงตามไปด้วย และหลายๆ อย่างในเมืองก็ทำให้เมืองนี้มีความเป็นเมืองท่องเที่ยวอย่างชัดเจน เช่น
Coop คือ supermarket ที่กระจายอยู่ทั่วทุกเมือง ที่นี่ super จะปิดดึกกว่าที่อื่น แต่ถ้าถามว่า coop ถูกสุดไม๊ ขอบอกว่าไม่ใช่ครับ ไว้ผมจะแนะนำแหล่งตุนเสบียงและขนมของฝากที่ถูกมากอีกที
จากรูปร้านอาหารจีน คงไม่ต้องบอกว่า กลุ่มนักท่องเที่ยวหลักคือใคร ... ซึ่งร้านอาหารส่วนใหญ่ ถ้าเป็นสำหรับคนสวิสฯ ร้านอาหารต่างชาติที่คนสวิสฯชอบที่สุดคือ อาหารอินเดีย และอาหารไทยครับ มีเยอะมากในทุกเมือง
นี่คือถนนเส้นหลักของเมืองที่เราสามารถเดินเที่ยวเล่นได้ตลอดทาง ถนนเริ่มจากสถานีรถไฟ Interlaken West มีร้านค้า โรงแรม ร้านอาหาร ยาวไปตลอดทาง จนถึง Interlaken Ost (ออส ภาษาเยอรมัน แปลว่า East อย่าอ่านว่า โอ-เอส-ที แล้วกันครับ)
นี่คือคลองที่ผ่ากลางเมือง เชื่อมระหว่างทะเลสาบทั้ง 2 ฝั่ง น้ำใสมาก
สวิสฯ เป็นประเทศที่ประชากรมีรายได้ต่อหัวสูงมาก แต่ก็มีค่าครองชีพที่สุงมากเช่นเดียวกัน ดังนั้นการเห็นรถหรู รถเปิดประทุน จึงเป็นเรื่องปกติในประเทศนี้
มาสวิสฯ ก็ต้องซื้อนาฬิกาสิครับ สวยๆทั้งนั้น
สำหรับเรื่องการซื้อนาฬิกานั้น บางคนบอกว่าซื้อ Interlaken แพง ให้ซื้อเมืองอื่น เช่น Zurich Luzern หรือสนามบิน แต่ผมอยากแนะนำว่า ถ้าเจอแบบที่ใช่ ที่โดนจริงๆ ก็ซื้อไปเถอะครับ เพราะมาตรฐานประเทศสวิสนั้นราคาไม่ได้ต่างกันมากอยู่แล้ว ดีกว่าไปรอซื้อที่ๆถูก แต่ไม่มีแบบที่ชอบนี่ก็แย่เลยนะครับ (ตอนไป Zermatt ราคานาฬิกาที่นั่นก็พอๆ กัน ไม่ได้แพงกว่าเมืองใหญ่ๆเมืองอื่นเท่าไหร่เลย)
วันที่ 3 ขึ้น #Jungfrau กัน
สวัสดีครับ วันนี้เป็นวันที่ 3 แล้ว ซึ่งแพลนก็ไม่มีอะไรมาก คือ ขึ้นยอดเขา แล้วก็ลงกลับมา 555+ ที่วางแพลนไว้แค่นี้เพราะระยะเวลาที่ใช้ในการขึ้นนั้นนานมากครับ เร็วสุดคือ ขาขึ้น 2 ชม.ครึ่ง และขาลงก็ประมาณ 2 ชม.ครึ่งเหมือนกัน โดยเราก็ขับรถจากที่พักไปจอดรถที่ลานจอดข้างสถานี Interlaken Ost ค่าจอดจะเหมารายวันอยู่ที่ประมาณ 6 CHF จากนั้นก็ซื้อตั๋วรถไฟ ซึ่งราคาแพงมากกกกกก++ ขนาดผมใช้บัตร Half Fare Pass แล้วยังลดเหลือคนละประมาณ 105 CHF หรือ 4,000 บาท รวม 6 คนรูดบัตรไป 24,000 สบายตัวเลยครับ
รูปที่พักตลอด 2 วันนี้ครับ เอามาจาก Iphone ทริปนี้พาพ่อแม่เที่ยวมีความสุขกันไป ลูกๆก็แพคของหลังรถกันไป 55+ ที่พักราคาคืนละ 10,000 บาท เป็น apartment ชั้นบนสุด มีห้องใต้หลังคา อุปกรณ์ทำครัวครบเหมือนเดิม
รถไฟขึ้น Jungfraujoch มีทุกๆ 15-20 นาที เรียกว่าถี่เลยทีเดียว โดนเราจะนั่งจาก Interlaken Ost -> Lauterbrunnen เปลี่ยนรถไฟเป็นอีกขบวน จาก Lauterbrunnen -> Kleine Schneidegg จากนั้นก็เปลี่ยนอีกขบวน ขึ้นไปยัง Jungfraujoch
รถไฟสาย Interlaken Ost -> Lauterbrunnen
เปลี่ยนขบวนรถเป็น รถไฟสาย Lauterbrunnen -> Kleine Schneidegg
จุดพักแรก ให้แวะดูวิวธารน้ำแข็งกันก่อนครับ
นี่คือธารน้ำแข็งที่เราสามารถชมวิวได้จากจุดชมวิวที่ Jungfraujoch
กว่าจะมองหายอดเขา Jungfrau เจอ พอถ่ายซูมเข้าไปนี่หน้าตาคล้าย Matterhorn เหมือนกันน้ะเรา
ถ่ายรูปเสร็จก็ลงแล้วครับ เราลงมาถึง Kleine Schneidegg ประมาณเที่ยง มีกลุ่มคนที่กำลังขึ้นไปเยอะมากครับ ดังนั้นแนะนำให้มาเช้าๆ ทัวร์ยังไม่ลง อย่างผมออกจาก Interlaken Ost ตั้งแต่ก่อน 08.00 เลย
ขาลงจาก Kleine Schneidegg เราแวะไปลงทาง Grinderwalt ซึ่งปลายทางก็คือ Interlaken เหมือนกัน
แอบถ่ายหมาเจ้าถิ่นสะหน่อย St.Bernard
วันนี้จะพาไปเดินทัวร์เมือง Interlaken กัน เนื่องจากเมื่อวานถึงเราจะมาถึงเมืองตั้งแต่สี่โมง และตั้งใจว่าจะไปเดินเล่นในเมืองกัน แต่แผนก็ล่มไป เพราะไปติดอยู่ในร้านขายนาฬิกาเกือบ 3 ชม. 555+ พอดีเจอร้านที่เจ้าของเป็นคนไทยก็เลยคุยยาว ซื้อนู่นนี่ ให้เค้าทำใบ Vat refund ให้จนครบ
กว่าจะเสร็จหมดทั้งคณะ 6 คนก็ดึกแล้วครับ ... ถนนเส้นนี้ร้านขายของทั่วไปจะปิดประมาณ 18.00 แต่ถ้าเป็น minimart หรือร้านนาฬิกาอาจจะปิดดึกหน่อย คือ เกือบๆ 21.00 เลย
Victoria Hotel คือ รร.ที่เป็น Landmark ของเมืองนี้ หรูหรา สวยงาม อยู่หน้าลานกว้างของเมือง ก็คิดว่าก็คงแพงที่สุดเช่นกัน
มองจากไกล ยิ่งใหญ่อลังการมาก
ทุ่งหญ้าที่เป็นลานกว้างประจำเมือง แหล่งพักผ่อนหย่อนใจ และแหล่งรวมคนไทยคนจีนหลักๆ
แอบหลบฝูงชน ไปเดินเล่นย่านที่พักอาศัยริมแม่น้ำครับ หนึ่งในความฝันของชีวิต อยากมีบ้านริมแม่น้ำ แล้วนอนชิลๆโดยไม่ต้องรีบเร่งกับชีวิต
วันที่ 4 Zermatt จ๋า พี่มาแล้ว
สวัสดีครับ เรามากันครึ่งทางแล้วในการเที่ยวสวิสฯ ครั้งนี้ โดยแพลนวันนี้ก็คือ ไป Zermatt เพื่อขึ้น Matterhorn กัน แต่ในวันนี้มันไม่ธรรมดาตรงที่ เราจะไม่ได้ขับบนถนนอย่างเดียว แต่จะเอารถตู้ของเรานั้น "ขึ้นรถไฟ... แล้วก็วิ่งทะลุอุโมงค์ภูเขาไปเลย !!! "
เพื่อป้องกันการงง...เรามาดูแผนที่กันครับ
1) เราขับรถจาก Interlaken -> Kandersteg ซึ่งที่ Kandersteg นี้ จะมี Lotschberg Car Train ซึ่งเป็นบริการรับขนส่งรถยนต์ ข้ามจากภูเขาฝั่งนึง ไปลงอีกฝั่งนึงที่ Goppenstein ซึ่งใช้ระยะเวลาเพียง 15 นาทีเท่านั้น เทียบกับการขับรถอ้อมไปทาง Montreux นั่น ทำให้ประหยัดเวลาไปได้หลาย ชม.เลยครับ
2) เมื่อรถถึง Goppenstein เราก็ขับต่อไปยังเมือง Tasch เพื่อจอดรถทิ้งไว้
3) นั่งรถไฟไปลง Zermatt
4) ถ้าฟ้าเปิด ก็ขึ้น Matterhorn กัน
ระหว่างทางไป Kandersteg นั้นจะมีอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่คนนั่งรถไฟไม่มีสิทธิแวะ แต่คนขับรถเที่ยวแบบเราๆจะไปกันได้ ที่แห่งนั้นคือ บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ Blausee
ถ่ายด้วยกล้อง Iphone ก็สวยไปอีกแบบ เสียดายรูปในกล้อง DSLR เผลือลบทิ้งไป TT
ฤดูหนาวเข้าฟรี ฤดูร้อนเสียตังนะครับ (ผมไปเม.ย. นับเป็นฤดูร้อน ก็จ่ายค่าเข้าชมกันไป)
ของจริงฟ้ากว่านี้ สวยเลยละ
จาก Blausee ก็ขับรถต่อมาอีกประมาณ 30 นาที ก็ถึงสถานี Lotschberg แล้วครับผม ซึ่งเราสามารถมาซื้อตั๋วที่นี่ได้เลย ราคาน่าจะ 30 CHF แต่ผมซื้อ Online มาแล้ว ก็ถูกกว่าประมาณ 3-5 CHF ได้
วันธรรมดา คนไม่ค่อยเยอะมากครับ
ปกติรถไฟจะมีทุกๆ 30 นาที ฝั่งซ้ายจะเป็นรถขนาดใหญ่ (น่าจะพวกที่สูงเกิน 2 เมตรนะ) ฝั่งขวาก็เป็นรถเก๋ง รถตู้
นี่คือตู้ที่เราจะเอารถเราเข้าไปครับ
15 นาทีในความมืด ..คนขับได้พักบ้างละ
ข้ามทะลุเขามาถึงอีกฝั่งแล้วนะครับ
จาก Goppenstein เราก็ขับรถกันอีกประมาณ 1 ชม. ก็จะถึงเมือง Tasch ซึ่งถนนแถวนี้ก็จะวิ่งลัดเลาะตามเขาไปตลอดทางๆ คนที่ไม่คุ้นเคย โดยเฉพาะกับพวงมาลัยซ้าย มีเหงื่อไหล สติแตกได้ 55+
นี่ถนน หรืองูเนี่ย
ใกล้ถึงแล้วครับ วงเวียนรูปภูเขาน้ำแข็ง
เมือง Tasch เป็นเมืองที่ทุกคนที่จะมา Zermatt จะต้องมาจอดรถทิ้งไว้ที่นี่ เนื่องจากทางภาครัฐไม่อนุญาตให้รถยนต์ที่เครื่องยนต์ใช้เชื้อเพลิงน้ำมันขับเข้าไปใน Zermatt ได้ โดยรถส่วนใหญ่ใน Zermatt จะเป็นรถขนาดเล็กที่ใช้พลังงานไฟฟ้า/ แบตเตอรี่เป็นหลัก (ผมเรียกว่ารถกระป๋อง) โดยที่สถานีรถไฟจะมีอาคารจอดรถขนาดใหญ่ มีอัตราค่าจอดต่อวันอยู่ที่ น่าจะ 13 CHF ครับ
ทั้งรถยนต์ ทั้งมอเตอร์ไซต์ ก้ต้องมาจอดที่นี่ทั้งนั้น
รถไฟ Shuttle train เชื่อมระหว่าง Tasch <--> Zermatt
เมือง Zermatt, Ski Paradise แห่งสวิสเซอร์แลนด์
เมือง Zermatt เป็นเมืองเล็กๆ แต่พลุกพล่านไปด้วยนักท่องเที่ยว และด้วยความที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว ดังนั้นที่นี่จึงมีพร้อมทุกอย่าง ทั้งร้านอาหาร
ซูเปอร์มาร์เกต บาร์ ธนาคาร ถนนชอปปิ้ง และร้านนาฬิกา โดยนักท่องเที่ยวหลักๆ จะมีวัตถุประสงค์คือ
1. มาขึ้นเขา ดู Matterhorn
2. มาขึ้น ropeway เพื่อไป Ski Resort
3. มา Trekking ซึ่งที่ Matterhorn นี่เป็นหนึ่งในพื้นที่ Trekking ที่มีชื่อเสียงมาก แห่งหนึ่งของสวิสฯ
4. มาตีกอล์ฟ 55+ ที่นี่มีสนามกอล์ฟซึ่งเปิดในฤดูร้อนครับผม
ดังนั้น จึงไม่แปลกเลยที่ Zermatt จะมีชื่อเสียง โด่งดัง และเป็นที่นิยมของคนท้องถิ่น และนักท่องเที่ยวแบบเราๆ
ชอบแม่น้ำที่ประเทศนี้จริงๆ ครับ สวยๆทั้งนั้น
ว่างๆ ก็นอนดูวิว Matterhorn เลย
สำหรับรูปเมือง zermatt ขอย่อใส่ Spoil นะครับ ประหยัด 4G ถ้าอยากชมบรรยากาศในเมือง กดในสปอยโล้ด
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ยอดเขา Matterhorn
ในช่วงบ่าย หลังจากที่เราไปเช็คอินและเก็บของกันเรียบร้อยแล้ว .. เช็ค webcam แล้ว มองผ่านหน้าต่างแล้วว่าวันนี้ข้างบนอากาศดีมาก จึงตัดสินใจไปขึ้นรถไฟกันเลยครับ
รร.ที่พักและรถกระป๋องรับส่งคน
จาก รร.ที่พัก เราให้ รร.เอารถกระป๋องไปส่งเราที่สถานีรถไฟกัน สถานีรถไฟ Gornergrat Bahn - The Matterhorn Railway ตั้งอยู่ข้างๆ กับ Zermatt Train Station ปกติจะมีทุก 30 นาที ยกเว้นช่วงเย็นๆไปแล้วจะมีทุก 1 ชม. โดยรถไฟเที่ยวสุดท้ายจากสถานี Gornergrat บนยอดเขา ออกจากสถานีเวลาประมาณ 20.00
สถานี Gornergrat Bahn ครับ ซื้อตั๋วอย่าลืมใช้ส่วนลดบัตร Half Fare ด้วย
รถไฟจะไปโคราชช...
ค่อยๆ ไต่ระดับตามความชันไปเรื่อยๆ
สถานีแรก ถ้ามีสกีจะแวะลงเล่นละครับ
จะสกีจากตรงไหน ก็มองเห็น Matterhorn ได้จากทุกมุมเลย
๋Johny's Walker ไม๊ละครับ
สถานี Rotenboden หนึ่งในสถานี Ski resort ซึ่งเชื่อมต่อกับ Ropeway และพาเราไปยังแหล่ง Trekking ที่เขาอีกฟากนึงได้
Next station, Gornergrat. Terminal station. Thank you for using the Matterhorn Railway...
**********
เราใช้เวลาประมาณ 40 นาที จาก Zermatt ก็เดินทางมาถึงยอดเขา ข้างบนสถานี Gornergrat นั้น มีทั้งโรงแรม ร้านอาหาร พิพิธภัณฑ์ หอดูดาว ศูนย์วิจัย โบสถ์ ลานสกี ธารน้ำแข็ง และวิวทิวทัศน์ที่อลังการในที่สุดในทริปนี้... ยิ่งกว่าและเหนือกว่าทั้ง Titlis และ Jungfrau ครับ
ถ่ายยังไงก็สวย ฝีมือ floor ๆ แบบผมยังถ่ายสวยได้ 55+
อาคารหนึ่งเดียวบน Gornergrat ที่เป็นทุกอย่างบนนี้ ตั้งแต่โรงแรม ยันโบสถ์
อลังการจริงๆ
๋ Johny's Walker มาแล้ว 55+
อยู่ข้างบนนี้ถ่ายรูปมีความสุขมากครับ สำหรับคนที่อยากดูรูปเพิ่มเติมกด Spoil โล้ด
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
หลังจากถ่ายรูปจนเพลินเกินไป ก็ตกรถไฟเที่ยว 18.00 จนได้ครับ 55+ ก็เลยจำเป็นต้องรอรถไฟเที่ยวต่อไปตอนประมาณ 19.20 บนสถานีเหลือกันอยู่ประมาณ 20 คน เป็นคนไทยไป 10กว่าคนแล้ว - -"
แต่ก็มีโชคดีอยู่ในนั้น เพราะการที่จะลงรถไฟเที่ยวเกือบสุดท้าย ก็ทำให้ระหว่างทางตอนลง ได้เห็นตอนที่พระอาทิตย์กำลังตกลับขอบฟ้าพอดี ก็สวยไปอีกแบบครับ
วันที่ 5 เส้นทางสู่เมือง Lausanne และ Thai Pavillion
สวัสดีครับ วันนี้วันเกือบสุดท้ายของทริปสวิสฯ นี้แล้ว ซึ่งวันนี้จะไม่มีภูเขา ไม่มีน้ำแข็ง ไม่มีรถไฟ ไม่มีกระเช้าแล้วครับ โดยแพลนของวันนี้คือ เราจะไปขับรถชิลๆ เที่ยวย่านทะเลสาบ Geneva ชมทะเลสาบสวยๆ มองดูทุ่งไวน์ และเดินเที่ยวเล่นในเมืองที่ถูกเรียกว่า Little Paris of Switzerland และจะบรรยากาศแตกต่างกับห้าวันที่ผ่านมา
ถ้าเราคุยกันเกี่ยวกับด้านภูมิศาสตร์ของสวิสเซอร์แลนด์ ประเทศที่ไม่ติดทะเลแห่งนี้ มีพรมแดนติดกับประเทศต่างๆ โดยรอบ ซึ่งโดยทั่วไปในพื้นที่ที่มีพรมแดนติดกัน ก็ย่อมมีการติดต่อกันด้านการค้า มีการผสมผสานกันทางด้านวิถีชีวิต วัฒนธรรม ประเพณี รวมถึง เรื่องของภาษาซึ่งเป็นสื่อกลางที่ใช้เพื่อการสื่อสารก็หนีไม่พ้นด้วยเช่นกัน ดังนั้น ประเทศนี้จึงมีภาษาราชการถึง 4 ภาษาด้วยกัน ซึ่งประชาชนตามที่ติดกับต่างประเทศ ก็จะใช้ภาษาเหล่านั้นด้วย
ภาษาเยอรมัน ก็จะเป็นภาษาหลัก ในรัฐ และเมืองที่ติดกับเยอรมนี หรือเมืองที่เป็นพันธมิตรกันในสงครามภายในของสวิสเซอร์แลนด์ในอดีต เช่น กรุง Bern Basel Zurich St.Gallen Interlaken Luzern เป็นต้น
ภาษาอิตาลี และภาษาโรมานซ์ ก็จะใช้กันในพื้นที่ๆ ติดกับประเทศอิตาลี
ภาษาฝรั่งเศสก็เช่นกัน จึงมีความแพร่หลายในพื้นที่แถบทะเลสาบ Geneva ได้แก่เมือง Geneva Lausanne Vevey Montreux เป็นต้น
เมื่อผมขับรถออกจาก Tasch หลุดจากเขตเทือกเขาทั้งหลาย และเริ่มเข้าสู่พื้นราบ บรรยากาศรอบทางมันทำให้รู้สึกว่า ... ย่านนี้ช่างไม่มีเหมือนประเทศสวิสเซอร์แลนด์เลย ป้ายบอกทางบนทางด่วน จาก Ausgang (Exit ในภาษาเยอรมัน) เริ่มค่อยๆเปลี่ยนเป็น Sortie (ภาษาฝรั่งเศส) ชื่อเมือง ชื่อถนน เริ่มเป็นชื่อแบบฝรั่งเศส วิวทิวทัศน์ ปราสาทเก่าในยุคกลางที่เริ่มเห็นตามรายทาง และรวมถึงไร่ไวน์ เหล่านี้เองทำให้ผมรู้สึกเหมือนเข้ามาเที่ยวฝรั่งเศสแล้ว
*****
ย่านนี้เป็นย่านที่มีประวัติศาสตร์มายาวนานและมีความน่าสนใจ โดยสถานที่แรกที่เราแวะกัน เป็นปราสาท/ป้อมปราการ เก่าแต่ตั้งแต่สมัยยุคกลาง ที่ตั้งอยู่ในเมือง Montreux ปราสาท Chillon Castle ดูเก่าแก่ ดูขลัง และดูน่ากลัว ถ้าคนมีเซนส์จะรู้สึกได้ โดยคร่าวๆ ปราสาทแห่งนี้ คือผลลัพธ์จากการก่อสร้าง ปรับปรุง บูรณะฟื้นฟูจากยุคสู่ยุค ปราสาทแห่งนี้ มีที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ที่ดี จึงถูกใช้เป็นช่วงทางเพื่อควบคุมเส้นทางคมนาคมทางน้ำของย่านนี้ในอดีต โดยถูกปกครองแบ่งเป็น 3 ยุค ได้แก่
1) ยุค Savoy (ค.ศ. 1200 - 1536) - ตระกูล Savoy เป็นผู้ปกครองเมืองและผู้ควบคุมป้อมแห่งนี้ จากบันทึกที่มีการเขียนไว้ ป้อมนี้ถูกพัฒนา สร้างเสริมอย่างต่อเนื่อง
2) ยุค The Bernese (1536 - 1798) - ปราสาทแห่งนี้ถูกเปลี่ยนมือโดยผู้ปกครองรัฐคนใหม่ จากการเป็นที่พักอาศัย ป้อมนี้ก็ถูกเปลี่ยนบทบาทกลายเป็น ป้อมปืนใหญ่ และคุก
3) ยุค The Vaudois (1798 - ปัจจุบัน) - ในยุคที่สวิสเซอร์แลนด์เริ่มมีการปกครองในรูปแบบรัฐ จนกระทั่งเป็นสมาพันธรัฐ รัฐโว (Vaud) คือคณะผู้ปกครองดินแดนแถบนี้ จากอาคารเก็บสรรพาวุธ กลายเป็นคุกจองจำ จนเปลี่ยนเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอย่างในปัจจุบัน
เป็นหนึ่งในป้อมปราการยุคกลางที่สมบูรณ์ที่สุด
จากใบปลิวที่ได้ตอนซื้อตั๋ว อาคารทั้งหมดมีจะเป็นการแบ่งลำดับชั้นผู้พักอาศัยในแต่ละห้อง ตั้งแต่ทางเข้าจะเป็นลำดับชั้นที่ต่ำที่สุด จนถึงห้องที่เข้าถึงยากที่สุดก็จะเป็นห้องสำหรับคนที่ลำดับชั้นสูงสุดในปราสาท
ในอดีต ชาวบ้านมีหน้าที่ทำการเกษตร สร้างผลผลิตเพื่อส่งให้เจ้าผู้ครองแคว้น โดยมีหอระฆัง ซึ่งจะตีบอกเวลาเข้างาน และเวลาเลิกงาน
จนกระทั่งเข้าสู่ช่วงประมาณ ค.ศ.1300 - 1400 กว่า (ถ้าจำไม่ผิดครับ) เมีการเปลี่ยนมาใช้นาฬิกา ซึ่งมีความแม่นยำกว่า มาเป็นเครื่องบอกเวลาเข้าออกงาน แทนการตีระฆัง
สมัยก่อนที่จะจัดตั้งประเทศ แต่ละเมือง แคว้น ปกครองตนเอง ซึ่งนักรบของที่นี่ไม่ต้องพึ่งเสือเผ่น จะพึ่งก็แต่เสื้อเกราะเหล่านี้แทน
****
เราออกจากปราสาทชิลลอน และขับรถมาอีกประมาณ 30 นาที ก็ถึงเมือง Lausanne เมืองหลวงแห่งรัฐ Vaud หรือรู้จักกันในนาม Paris of Switzerland จากอดีตค่ายพักทหารในยุคจักรวรรดิโรมัน ปัจจุบันเมืองนี้เป็นศูนย์กลางของสมาคมด้านกีฬาระหว่างประเทศ เช่น FIVB หรือสหพันธ์วอลเลบอลระหว่างประเทศ พิพิธภัณฑ์โอลิมปิค เป็นต้น
เดินชมเมืองกันต่อครับ
อาคารพิพิธภัณฑ์ และหอสมุดของมหาวิทยาลัยโลซาน สถาปัตยกรรมรูปแบบ Florentine Renaissance จากยุคศตวรรษที่ 19
โรงแรม 5 ดาว++ Beau-Rivage Palace
สวนโอลิมปิค
เราเดินเลียบทะเลสาบมาเรื่อยๆ เพื่อที่จะไปชม Thai Pavillion หรือ ศาลาไทย
ศาลาไทยหลังนี้ ตั้งอยู่ในสวน Denantou ตัวอาคารนั้นถูกก่อสร้างในปี ค.ศ. 2007 และสร้างเสร็จในปี 2009 เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งการเฉลิมฉลองในการครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ของในหลวง รัชกาลที่ 9 รวมถึงยังเป็นการครบรอบ 75 ปีของความสัมพันธืด้านการทูตระหว่างประเทศไทย และสมาพันธรัฐสวิสอีกด้วย
ในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านได้ประทับอยู่ ณ เมืองโลซาน เป็นเวลากว่า 18 ปี ตั้งแต่ปี 1933 to 1951 โดยประทับอยู่กับสมเด็จย่า และสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ
ด้านสถาปัตยกรรม ตัวศาลาเป็นรูปแบบจตุรมุขซึ่งแตกต่างจากสถาปัตยกรรมที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา โดยตัวมณฑปเลียนแบบรูปทรงจากพระบรมมหาราชวัง เป็นงานฝีมือที่แสดงถึงความปราณีต และทักษะด้านงานไม้ การตกแต่งโดยการใช้โลหะ แผ่นทอง และกระจก ของช่างฝีมือชาวไทยเป็นอย่างมาก
ซึ่งสำหรับชาวต่างชาติ ศาลานี้อาจเป็นเพียงแค่สิ่งปลูกสร้างหนึ่งในเมืองโลซาน แต่สำหรับคนไทย สถานที่แห่งนี้ก็เปรียบเหมือนกับบ้าน บ้านของพ่อ ณ ดินแดนห่างไกล ที่คนไทยทุกคนถ้ามีโอกาสได้มา ก็อยากจะมาชมสักครั้งหนึ่ง
เพราะว่าช่วงเวลาแค่ 30 นาทีที่ผมอยู่ที่นั่น ก็ได้เจอกลุ่มคนไทยที่มาอย่างไม่ขาดสาย
ตัวศาลามีขนาดเล็กก็จริง แต่รายละเอียดเยอะกว่าที่คิดครับ
เดินชิลๆริมทะเลสาบ Geneva กว่าจะมืดก็ 2 3 ทุ่มเลย
เก็บตก ก่อนกลับไทย แวะไป Geneva กับ กรุง Bern
วันนี้เป็นวันสุดท้ายของทริปสวิสฯ แล้วครับผม โดยเราจะแวะกัน 2 เมืองด้วยกัน คือ Geneva กับ Bern โดยเราจะขับรถออกจาก Lausanne ลงใต้ไปตามทะเลสาบ จนถึงเมือง Geneva จากนั้นจะขับขึ้นเหนือเพื่อกลับไปสนามบิน โดยระหว่างทางจะแวะกรุง Bern ชมวิวเมืองเก่าจากมุมสูง ณ Rosegarden แล้วจากนั้นก็จะขับเข้าที่พักกัน ก่อนเดินทางกลับไทยในวันรุ่งขึ้น
และเนื่องจากมีเวลาเพียงแค่ 2 ชม.ในเมืองนี้ ดังนั้นเดี๋ยวผมจะพาไปที่เที่ยวที่สำคัญๆ ที่ควรไป
ที่แรกคือ น้ำพุ Jet D'Eau หรือที่ผมเรียกว่า น้ำพุเจ้ดโด้ เป็นน้ำพุกลางทะเลสาบ Landmark ใหม่แห่งเมืองนี้
น้ำพุจะสูบเอาน้ำจากทะเลสาบและพ่นขึ้นสูง 140 เมตร เรียกว่ามองจากมุมไหนรอบๆทะเลสาบก็เห็น
อนุสาวรีย์สักอย่างที่ไม่ได้แวะไปดู เลยไม่มีข้อมูลมาแชร์กัน 55+
เราเดินข้ามสะพานเพื่อไปอีกฝั่งของเมือง บนไหล่สะพานประกอบด้วยธงของประเทศ และธงของรัฐนี้
เดินอีกประมาณ 10 นาที ก็ถึงวิหาร St.Pierre เรามีที่นี่เพื่อที่จะขึ้นไปบนยอดวิหาร
เพื่อชมวิวเมืองจากมุมสูงมีค่าขึ้นชมอยู่ที่ประมาณ 5 CHF
มุมจากมุมสูงของเมืองรอบทะเลสาบ สวยงามตามท้องเรื่อง
หลังจากนั้น เราขับรถออกจาก Geneva ใช้เวลาประมาณ 1 ชม.ก็เดินทางถึงกรุง Bern เมืองหลวงของประเทศซึ่งตั้งอยู่ตรงกลางของประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ซึ่งเราจะเดินทางไป จุด checkpoint ของเมืองนี้ ที่ใครมาก็ต้องไปกัน ซึ่งก็คือ Rosegarden
บน Rosegarden นี้เรามาสามารถมองเห็นพื้นที่เมืองเก่าของ Bern จากมุมสูง ซึ่งถูกโอบล้อมด้วยแม่น้ำ
ถ่ายรูปเสร็จแล้ว ก็ออกเดินทางไปสนามบินกัน ถึงเวลากลับไทยแล้วครับ
******
สำหรับทริปสวิสฯ นี้ก็ขอจบแต่เพียงเท่านี้ครับผม
ในเว๊บพันทิปแห่งนี้มีรีวิวมากมายที่พาเพื่อนๆ ไปเที่ยวสวิสฯ ซึ่งการท่องเที่ยวประเทศนี้ นั้นสามารถทำได้ทั้งการนั่งรถไฟ และการขับรถ แต่ละวิธีก็มีเสน่ห์ และการเตรียมตัว มีสิ่งที่ได้เรียนรู้ที่แตกต่างกัน จริงอยู่ที่จุดหมายคือปลายทางที่เราจะไป แต่ประสบการณ์ที่ได้มันอยู่ระหว่างเส้นทางที่เราพบเจอ และการมาเที่ยว 10 วันในยุโรปครั้งนี้ก็เป็นประสบการณ์ที่ดีให้กับตัวผมเองมาก
*****
สรุปเรื่องค่าใช้จ่าย ต่อคน ไม่รวมชอปปิ้ง คนละประมาณ 87,000 บาท หรือ 532,000 บาท รวมทั้งทริป (ออสเตรียเยอรมัน 4 วัน/ สวิส 6 วัน)
1) Pocket Money 20,000 บาท
2) ค่าตั๋วเครื่องบิน 25,000 บาท
3) Swiss Half Fare Pass 4,300 บาท
4) ค่าเช่ารถ 10,000 บาท
5) ค่าน้ำมัน 2,000 บาท
6) ค่าจอดรถ 600 บาท
7) ค่าเดินทาง
- Titlis 2,300 บาท
- Jungfrau 3,500 บาท
- Matterhorn 2,800 บาท
8) ค่าเข้าสถานที่
- Neuschwanstein 600 บาท
- Schillon Castle 400 บาท
- Salzburg Fortress 700 บาท
- St.Pierre 200 บาท
9) ค่าที่พัก
- St.Gallen 1,600 บาท
- Obertraun 1,200 บาท
- Schwangau 1,000 บาท
- Luzern 2,700 บาท
- Interlaken 3,200 บาท
- Zermatt 2,900 บาท
- Lausanne 1,700 บาท
- Rumlang 2,200 บาท
แล้วเจอกันใหม่ในรีวิวทริปหน้าครับผม โดยผมจะพาขับรถเที่ยว 7 วัน ในเมือง Cape Town ประเทศแอฟริกาใต้ จะเป็นอย่างไร ที่เที่ยวน่าสนุกไม๊ มีอะไรให้ดูบ้าง รอติดตามชมครับ
เที่ยวตามทาง
วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2564 เวลา 13.42 น.