ตอนที่ 1

สู่นครโฮจิมินห์ - มุ่ยเน่

สวัสดีครับทุกคนครั้งนี้ผมจะพาทุกคนไปเวียดนามใต้กันครับ หลังทริปก่อนหน้านั้นพาทุกคนไปตะลอนและปั่นจักรยานที่ฮ่องกงกันมาแล้ว โดยครั้งนี้ผมได้นัดแนะกับเพื่อนอีกคนว่าจะไปไหนดีที่เป็นประเทศใกล้ ๆ ประกอบกับสายการบินนกแอร์เปิดรูทเส้นทางใหม่ ดอนเมือง (DMK) - โฮจิมินห์ (SGN) พอดีเลยได้โอกาสไปเยือนเมืองนี้กัน หลังจากอ่านมาหลายรีวิวเหลือเกินว่าสักวันหนึ่งจะขอไปทะเลทรายแบบใกล้บ้านเรา (ไม่มีปัญญาไปซาฮารา) เลยทำการจองตั๋วไปครับ และระหว่างนั้นก็ทำการศึกษาสถานที่ที่จะไป รวมถึงที่พักก็ให้เพื่อนทำการจองให้ โดยวันที่เดินทางคือ 1 - 5 ตุลาคม 2558 ที่ผ่านมา แต่ปรากฏว่าก่อนหน้าวันออกเดินทาง 4-5 วัน เพื่อนได้ทำการอินบ็อกมาบอกว่า ไม่สามารถไปได้แล้วเนื่องจากติดทำธุระที่ประเทศจีน ไอ้เราก็ใจแป้วเลยครับว่าจะเอาไงกับชีวิตดี เดินหน้าหรือถอยหลัง คิดจนกระทั่งถึงเที่ยงคืน ตีหนึ่งของวันที่ 1 ตุลาคม เครื่องออกจากสนามบิน 7.30 น. สักพักเลยตัดสินใจไปก็ไป ตายเอาดาบหน้า (ใจจริงกลัวอ่านรีวิวว่า โดนโกงบ้าง ชิงทรัพย์บ้าง แล้วไปตัวคนเดียวจะรอดไหมเพิ่งจะไปประเทศนี้ครั้งแรก)


เส้นทางจากดอนเมืองไปโฮจิมินห์ ผมและเพื่อนได้จองกันตั้งแต่เดือนกรกฏาคม แปบนะเพิ่งจองฮ่องกงไปหยกๆๆ มาจองเวียดนามอีก อาลัยแปบ ซึ่งไปวัน 1 - 5 ตุลาคม 2015 ครับ (เส้นทางบินแรกของน้องนกไปโฮจิมินห์)

บรรยากาศบริเวณเคาเตอร์เชคอินไฟล์ทไปโฮจิมินห์

ยืนมองป้ายแล้วทำตาปริบ ๆ เนื่องจากง่วงนอนมากถึงมากที่สุด

บรรยากาศภายในเกท 23 ของเส้นทางการบินไฟล์ทปฐมฤกษ์ ดอนเมือง - โฮจิมินห์ ส่วนใหญ่จะเยอะเพราะทัวร์คนไทยนี่แหละ

ผู้ที่จะพาเราลัดฟ้าไปนครไซกอนครั้งนี้ คือ นกร่าเริง นั่นเอง ขอเรียกนกนีโม นะ

บรรยากาศภายในเครื่องเจ้านกร่าเริง เต็มไปด้วยกลุ่มทัวร์คนไทย

ในเที่ยวบินไฟล์ทปฐมฤกษ์ของนกแอร์ไปนครโฮจิมินห์นั้น ก็จะมีการแจกแผนที่ท่องเที่ยวโฮจิมินห์รวมถึงขวดลูกอม (น่ารักมากมาย) ขณะนั่งเครื่องแอร์โฮสเตสและกัปตัน พูดผิดบ่อยมาก ว่าย่างกุ้ง ไปพม่าบ้าง (ตกลงนิผมจะไปพม่า หรือไปเวียดนามกันแน่) สร้างเสียงหัวเราะให้กับผู้โดยสารภายในเที่ยวบินนี้ได้อย่างดี

และแล้วภายในระยะเวลา 1 ชั่วโมง 30 นาทีจากดอนเมืองก็เข้าสู่นครโฮจิมินห์ เมืองที่ตั้งอยู่ทางใต้ของเวียดนามแล้วครับ

ป้ายต้อนรับแสดงความยินดีไฟล์ทบินปฐมฤกษ์ของนกแอร์ครับ


หลังจากนั้นก็ทำพิธีการผ่านตม. แล้วทำการแลกเงินดอลลาร์เป็นดองเวียดนามและซื้อซิมบริเวณภายในสนามบินครับ พอเสร็จก็ออกทางประตู ชะงักแปบคือคนรอเยอะมาก นี่ถ้ามีป้ายไฟ ป้ายชื่อนะ คิดว่าตัวเองเป็นซุปตาร์เกาหลีเลย อิอิ


รถเมล์ที่เห็นไกล ๆ นั่นคือสาย 152 ครับสายจากสนามบินเข้าไปยังบริเวณเมืองโฮจิมินห์ ค่าใช้จ่ายคนละ 5000 ดองเวียดนามครับ

บรรยากาศภายในรถค่อนข้างแออัด เนื่องจากสัมภาระนักท่องเที่ยวแต่ละคนใช่ว่าจะน้อย ซึ่งตอนขึ้นรถผมยินดีจะจ่าย 10000 ดองเวียดนามเพื่อเอาเก้าอี้สองตัว เลยไปบอกคนขับรถ คนขับรถตรงมายังที่ที่ผมนั่งแล้วก็บอกว่า คิด 5000 ดองเวียดนาม ขนาดเราชี้ว่าเอาสองที่ ลุงก็ยืนยันว่า 5000 ดอง (ขอบคุณครับลุง) ไม่ได้มีผมคนเดียวนะ คนอินเดีย (มั้ง ) กะคนจีนหรือฮ่องกงก็คิด 5000 ดองเวียดนามเหมือนกัน งงกันทั้งไทย จีน อินเดีย ????

หลังจากนั้นรถสาย 152 ก็จะมาจอดตรงตลาดเบนถันครับ จุดสังเกตคือ เห็นวงเวียนครับ แล้วจะมีป้ายรถเมล์ที่เหมือนศูนย์รวมรถเมล์แบบในภาพครับ (คล้าย ๆ อนุสาวรีย์บ้านเรา) ลงตรงนี้ครับ แต่แต่ ผมยังไม่ลงป้ายนี้ครับ เพราะผมจะไปย่านฟามงูเหลา เพื่อไปเวียตซีเลยลงอีกป้ายถัดไปครับ (ซึ่งใกล้กว่ากันมาก) จากนั้นก็เดินไปตามทาง ตามนักท่องเที่ยวคนอื่นไป จนเจอเวียตซีครับ

ผมได้ทำการติดต่อเวียตซีทัวร์ตั้งแต่อยู่ประเทศไทยครับ ว่าผมมีโปรแกรมไปเวียตนาม 1 -5 ตุลาคม 2558 โดยต้องการจัดทัวร์มุยเน่ครึ่งวัน และดาลัดหนึ่งวัน พร้อมรถบัสจากไซกอนไปมุยเน่ จากมุยเน่ไปดาลัทและจากดาลัทกลับไซกอน โดยตอนแรกผมคิดจะซื้อทัวร์ที่โรงแรมที่ตัวเองจองไว้ครับ เลยถามรอบการเดินรถ และราคา ตามภาพด้านล่างครับ

ข้อมูลการเดินทาง (สำหรับติดต่อจากไทยไป)

หมายเหตุ : จริง ๆ สามารถซื้อตั๋วทัวร์ได้จากโรงแรมที่พักได้เลยครับ

รายละเอียดตารางเดินรถและราคา ที่สอบถามเวียตซีครับ ส่วน Shin cafe หรือ Futa bus ผมไม่ได้สอบถามครับ (ขออภัยครับ) และรายละเอียดข้อมูลที่ให้ทางเวียตซีจัดทัวร์ ซึ่งการจัดทัวร์ผมแพลนให้เวียตซีจัดดังนี้

1. รถบัสสำหรับไปกลับจาก ไซกอน - มุยเน่ รถจากมุยเน่ - ดาลัด และสุดท้ายจากดาลัด - ไซกอน

2. ทัวร์สำหรับมุยเน่ครึ่งวัน และทัวร์ดาลัดเต็มวัน ส่วนโฮจิมินห์ผมตัดออกเพราะผมขอออกเดินทางเองครับ

3. ที่พักผมทำหน้าที่จองเองครับ แล้วให้เวียตซีติดต่อให้รถมารับ (555)

ราคาที่ผมบอกถ้ารวมทัวร์ที่ไซกอนด้วยครึ่งวันจะราคา 67 USD ถ้าตัดทัวร์ครึ่งวันที่ไซกอนออกเหลือ 57 USD แต่ผมตัดทัวร์ไซกอนออกแต่พอไปจ่ายที่เวียตซีจริงจ่ายแค่ 55 USD งงแปบ ถูกลงตั้ง 2 USD แหนะ อิอิ

ถามว่าทำไมจองเวียตซีเลย ผมอยากจัดการให้มันเสร็จสรรพรวดเดียวครับ เพื่อความสบายใจแต่ไม่ได้ผมก็ไม่กังวลครับ เดี๋ยวให้ที่พักติดต่อให้มีหลายทางเลือก

หลังจากเสร็จสิ้นธุระการติดต่อกับเวียตซีแล้ว ตอนนี้ก็รอเวลาออกเดินทางคือ 15.00 น. เลยเดินออกไปชมเมืองสักหน่อยดีกว่า

แวะเข้าแฟมิลิมาร์ทเพื่อซื้อน้ำดื่มไว้กินบนรถกับขนม ตุน ๆๆๆ

ซื้อขนมเสร็จหาข้าวกินก็มานั่งพักผ่อน ตรงสวนสาธารณะครับร่มรื่นมาก ๆ สวนสาธารณะนี้ตั้งอยู่ตรงฟามงูเหลา (ตอนแรกที่อ่านรีวิว ฟามงูเหลา เราก็คิดทำไมต้องฟาร์มงูด้วยฟระ มันเหมือนฟาร์มงูของสภากาชาดไทยรึป่าว )

เดินเล่นไปเรื่อย ๆ ชมเมืองครับรอเวลา พอใกล้เวลาผมกลับไปรอที่เวียตซีครับ สักพักก็มีน้องผู้หญิงจากบริษัท Hanh cafe เดินมารับผมและส่งให้ผมรอรถ


นี้คือรถบัสแบบ sleep bus ผมจะได้ขึ้นไปนอนกันครับ (หลายคนบอกว่าถ้าไปเวียดนามแล้วไม่ได้ขึ้นรถแบบนี้ เหมือนไปไม่ถึงเวียดนาม ตื่นเต้น)

บรรยากาศภายในรถครับ ซึ่งผมได้นอนชั้นบน (ชั้นสอง) ตื่นเต้นได้ปีนป่ายกะไดแล้ว หลังจากนั้นรถก็ออกเดินทางจากไซกอนมุ่งหน้าสู่มุ่ยเน่ เวลาเดินทางจากไซกอนถึงมุ่ยเน่ใช้เวลา 5 ชั่วโมง (รถที่ผมนั่ง เอ้ย นอนไปออก 15.00 น. ถึงมุยเน่ 20.00 น.)

นั่งไปเรื่อย ๆ จนท้องฟ้ามืดครึ้มและฝนตกพรำ สร้างบรรยากาศในการนอนเป็นอย่างมาก


เนื่องจากที่ผมที่ผมพักอยู่ไกลจากบริเวณแหล่งชุมชนที่ค่อนข้างพลุกพล่านในมุยเน่ ดังนั้นในรถบัสเลยมีคนเหลือ 5 คน โดยพนักงานเดินรถได้บอกให้ผมไปนั่งเบาะตัวหน้าเลยครับเพื่อสะดวกในการลง และพนักงานจะได้เคลียร์เบาะด้านหลัง เลยให้ผู้โดยสารไปนั่งเบาะหน้า ๆ กันหมด

ที่พักที่ผมพักในมุยเน่คือ Hoang Nga Guesthouse ครับ ราคาต่อคืนไม่แพงมาก มาถึงเกือบ ๆ สามทุ่ม รถบัสเลยหน้าที่พักแล้วเค้าบอกให้ผมเดินย้อนกลับไป แต่ดีนะครับย้อนกลับแค่ 5 นาทีถ้ามากกว่านั้นนี่มีเคือง


อันนี้สภาพภายในห้องพักครับ โอเคมากเลยครับ รวมถึงเจ้าของเกสท์เฮาส์ก็ให้การต้อนรับเหมือนอยู่ในบ้าน ซึ่งคนที่ต้อนรับน่าจะเป็นลูกชายเจ้าของเกสท์เฮาส์ ครับ รู้สึกแบบความเหนื่อยหายไปเพราะเจอเจ้าบ้านทักทายอย่างดี หลังจากนั้นก็พักผ่อนแปบ แล้วผมก็เดินออกสูดอากาศข้างนอกเกสท์เฮาส์ ขณะเดินอยู่ลูกชายเจ้าของก็วิ่งมาหาผม และคุยเรื่องประเทศไทย สถานที่ท่องเที่ยว รวมถึงให้ผมสอนพูดสวัสดีครับ สวัสดีค่ะ รวมถึงยกมือไหว้แบบไทย เค้าก็สอนผมพูดภาษาเวียดนาม คุยไปคุยมาก็แยกย้ายไปนอนครับ เพราะพรุ่งนี้เช้าตีสี่ครึ่ง ผมมีภาระกิจตะลุยมุยเน่


รถที่จะพาไปทัวร์มุยเน่จะมารับประมาณตี 4.30 น. ผมตื่นเต้นเลยตื่นตั้งแต่ตีสามเพราะอากาศมันเย็นมากครับ เพราะฝนตกตอนประมาณเที่ยงคืน อาบน้ำแต่งตัวแล้วไปรอหน้าเกสท์เฮาส์ เลยถ่ายป้ายเกสท์เฮาท์มาให้ดูครับ ซึ่งรถมารับเกือบตี 5 ในใจคิด (โดนทิ้งรึเปล่าเนี่ยเรา) 555

ทะเลทรายขาว

WHITE SAND DUNES

ใกล้ถึง white sand dunes หรือทะเลทรายขาวฟ้าก็เริ่มสว่างแล้วครับ ในใจคิดจะได้ทันถ่ายพระอาทิตย์ขึ้นไหมเนี่ยยย

ใกล้เข้ามาอีกนิด ฟ้าอีกด้านหนึ่งพระอาทิตย์เริ่มส่องแสงรำไรรำไร

มาถึงแล้วทะเลทรายขาว อ่านจากรีวิวมาตั้งนาน แต่เกิดปัญหาว่าตรงทางเข้าทะเลทรายขาวมีคนเก็บตังค่าเข้าทะเลทรายขาวครับ แต่คนในรถผมไม่ยอมโดยมีฝรั่งผู้หญิงเป็นแกนนำ เธอบอกว่า ฉันไม่จ่ายเพราะมันรวมในค่าทัวร์แล้ว ทุกคนในรถทั้งฝรั่ง คนจีน รวมถึงคนไทย (ตัวผมเอง) ต่างใช้วิธีสงบนิ่งหยุดการเคลื่อนไหว จนคนเก็บตังไม่เก็บตัง 5555 หลังจากนั้นก็เข้ามาในทะเลทรายขาว ซึ่งพอได้มาเห็นด้วยตาและที่โชคดีคือเมื่อคืนฝนตก ทำให้อากาศตรงทะเลทรายเนี่ยเย็นมากกกก ฟินนาเร่ มะละกอ


พื้นที่เต็มไปด้วยทราย ทราย มันช่างวิเศษนักสำหรับคนไม่มีตังไปซาฮาราแบบผม 5555

ทิ้งฉันไว้กลางทะเลทรายเถิดดดด ไม่ไม่ อากาศเริ่มร้อนแล้ว พระเหม่งกำลังมา

พระอาทิตย์ขึ้นแล้วครับ สิ้นสุดการรอคอยกับการตื่นแต่ตีสามมม รอรถอีก ซึ่งในทริปทัวร์คนขับให้เวลาพวกเราตรงทะเลทรายขาว 40 นาที จากนั้นพอใกล้เวลาก็เดินไปขึ้นรถตรงโชว์รูมโชว์รถกัน

อันนี้เป็นรถจิ๊ปที่พาเราทัวร์มุยเน่ครึ่งวันครับ แต่คันนี้ไม่ใช่คันของผม อิอิ

ต่อไปมุ่งหน้าสู่ทะเลทรายแดง Read sand dunes ซึ่งตอนขึ้นรถจิ๊ปไปทะเลทรายแดง ผู้หญิงจีนที่นั่งข้างหน้าข้างคนขับบอกให้ผมไปนั่งข้างหน้าแทนเธอครับ ผมก็ได้แต่ thanks you very much ที่ทำให้ผมได้ถ่ายภาพตรงหน้ารถได้สะดวกมากขึ้น ขอบคุณหญิงจีนคนนั้นด้วยครับ (ลืมถามชื่อ)

ภาพด้านบนเป็นเส้นทางไปทะเลทรายแดงครับ เตรียมลุย

ต่อมาเราก็ถึงทะเลทรายแดง หรือ Read sand dunes แล้วครับ พอไปถึงก็เจอแก๊งค์เด็กตามรีวิวเป๊ะ พอรถมาจอดปุ๊บวิ่งกรูกันเข้ามา ดีนะไม่มาทางผม จากนั้นก็เดินขึ้นเนินไปเพื่อถ่ายรูปทะเลทรายแดงครับ แต่รู้สึกว่าตอนเช้า ๆ ไม่ค่อยเจอแก๊งค์เด็กกับแม่ค้ามารบกวนนักท่องเที่ยวสักเท่าไหร่นะ ??? ก็ดีครับ ไม่รำคาญใจดี อิอิ

เขตแดนแห่งทะเลทราย คิดถึงฟ้าจรดทรายในบัดดลใส่ผ้าคลุมหน้าแบบอาหรับนะ คิดว่าซาฮาราน้อย ๆ เลยทีเดียว

ตอนไปทะเลทรายแดงก็เกือบประมาณเจ็ดโมง แดดเริ่มแรงแล้วครับ อากาศเริ่มไม่เย็นเหมือนตอนอยู่ทะเลทรายขาว พอมาทะเลทรายแดง แม่ค้ากับเด็กก็เริ่มมาขายของรวมถึงกระดานสไลด์ (แต่ผมไม่หลงกลหรอก 555)หลังจากอยู่ทะเลทรายแดงสักพักหนึ่ง จากนั้นก็เดินทางไปหมู่บ้านประมง ให้รูปในเน็ตดูสวยงาม ไหนลองไปดูของจริงดีกว่าาาา

ระหว่างรอคนร่วมรถ ถ่ายรูปรถจิ๊ปสีเขียวที่มารับผมครับ คนข้างหน้าที่นั่งในรถคือคนที่เปลี่ยนที่นั่งให้ผมไปนั่งข้างคนขับแทนเธอครับ พอรถใกล้ออกเธอก็ลุกให้ผมไปนั่งแทนครับ (อันนี้ให้เค้าไปนั่งพักก่อน) 555

เห็นบรรยยากาศ สงบนิ่งแปบ 555 ทำไมความรู้สึกผมมันช็อคนิด ๆ มันดูแบบรกสายตา 555 แตกต่างจากหมู่บ้านประมงไท่โอ ฮ่องกงที่ผมได้ไปตะลอนมา แต่ให้อภัยเพราะที่น้ำทะเลฟ้าสดใสให้อภัยได้ เราใช้เวลาตรงนี้ประมาณ 10 นาทีครับ จากนั้นก็นั่งรถไปต่อที่ Fairy steam ต่อครับ

รถจิ๊ปจะมาจอดตรง Fairy steam ครับจากนั้นก็ต้องลงบันได ตามภาพ


เมื่อลงบันไดมาแล้วก็จะเจอธารน้ำน้อย ๆ ตรงนี้ทุกคนเตรียมตัวถอดเกือกกันดีกว่า ผมว่าเดินตีนเปล่าดีกว่านะครับ (ขอใช้คำนี้นะมันฟินกว่า) เห็นคนบางคนใส่รองเท้า ผมคิดว่ามันลำบากกว่าเดินเท้าเปล่าอีกนะ


เดินตามผู้หญิงจีนเสื้อแดง 555 น้ำเย็นเชียบ ไม่เห็นตัวปลา เห็นแต่ปลาตีนของเรา เอ้ย ยังไง


เดินไปเรื่อย ๆ ในใจคิด ไหนรีวิวหลายรีวิวบอกจะเจอแก๊งค์หลอกนักท่องเที่ยว ไหงผมไม่เจอเลย ในใจคิดว่า มาถูกที่แล้วช่ายไหม แต่มองโลกในแง่ดีว่า เฮ้ย !นี่วันศุกร์เด็กคงไปเรียนหนังสือมั้ง แต่แต่ ไหงทะเลทรายแดงมีเด็กมาชวนไปเล่นกระดานโต้ทราย คิดแปบ เออ ช่างเถอะไม่มารบกวนจิตใจ โชคดีจริง ๆ ที่ไม่เจอแก๊งค์พวกนี้ รอดดดด


เริ่มเห็นอะไรแดง ๆ ขาว ๆ ด้านหน้าที่เคยอ่านเจอในหลายรีวิวแล้ว ฟินนาเร่


ลุยกันเลยดีกว่า ฮุยเลฮุยยยยย สีน้ำในลำธารออกน้ำตาลเหลือง เดินด้วยเท้าเปล่านี่มันให้ความรู้สึกดีนะครับ เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ แต่ก็ลำบากเวลาถือรองเท้าจริง ๆ ดังนั้นควรพกถุงใส่รองเท้าด้วยก็จะดีมากเลย


ถ่ายรูปไปมา แดดก็ไม่ร้อนไม่ร้อนมากเท่าไหร่ (กระทู้นี้เน้นภาพถ่าย ไม่เน้นแต่งรูปเอาตามจริงและฝีมือถ่ายเลยนะครับ) 555 แบบว่าขี้เกียจว่างั้น

หลังจากดื่มด่ำกับธรรมชาติพอสมควรเดินทางกลับไปรถจิ๊ปดีกว่าาาา

โชว์รูมรถชัด ๆๆ แต่พอขึ้นบันไดมาปุ๊บก็มีชายผู้ต้องสงสัยมาสะกิดผม ไอ้เราก็คิดว่าจะมาหลอกลวงเราแน่ ๆ (อ่านหลายรีวิวมา หยิ่งไว้หยิ่งไว้) ปรากฏสักพักคนขับรถเดินมาสะกิดว่า น้อง ๆ ไม่ต้องขึ้นรถจิ๊ปนะ (ในใจ อ้าว นิจะทิ้งตรูไว้กลางมุ่ยเน่เหรอ ทิ้งตรูไม่เอาตรูกลับที่พักเหรอฟระ นี่หลอกลวงชัด ๆ ) ต่อมาคนขับบอกว่า น้องเดินไปที่พักน้องแค่ 5 นาทีก็ถึงที่พักน้องแล้ว (ในใจอีกแล้ว เฮ้ยมันใกล้ขนาดนั้นเลยเหรอจากลำธารนี้อ่ะ) แต่แต่ คนขับบอกทางผิด ที่พักผมต้องไปทางซ้ายจาก Fairy steam แต่เค้าบอกผมไปทางขวา ไอ้ผมก็ใสซื่อเดินตามเฮ้ยที่พักตรูไหงบอก 5 นาที นี่มัน 10 กว่านาที บอกอากูเกิลแมปอ้าวเดินผิดทาง คนขับบอกทางสับกันคนจีนที่มาด้วยกันกับผมครับ 5555 จากนั้นผมก็เดินกลับที่พัก ปรากฏว่าเฮ้ย ลำธารนี่มันใกล้ที่พักเองเหรอ 5 นาทีถึงแล้ว รู้งี้อยู่ต่อดีกว่า

ที่พักที่ผมพักที่มุยเน่เป็นแบบเกสท์เฮาส์ครับ บรรยากาศเหมือนครอบครัวครับ เจ้าของน่ารักมากชวนคุยนั่นคุยนี่ เรื่องประเทศไทย สภาพอากาศ ให้สอนพูดทักทายภาษาไทย รวมถึงยกมือไหว้แบบไทย เรานี่ปลื้มครับ คนที่ดูแลเป็นลูกชายเจ้าของเกสท์เฮาส์ ชื่อ ทอม อายุ 23 ปีครับ ดูแลดีมาก


ที่พักที่ผมพักคือ Hoang Nga Gueshouse ครับ ตัวเองเพิ่งได้เห็นสภาพที่นอกห้องนอนตัวเองตอนนี้แหละ เพราะเมื่อคืนมาถึงสามทุ่ม แถมตอนไปตะลอนทริปก็ออกตั้งตี 4 ครึ่ง 555 เพิ่งเห็นสภาพที่พักตอนนี้เองครับ (อายจุง) ราคาต่อคืนตอนที่ผมไปพักคืนละ 362 บาท หรือ 10 USD ครับ

เอาภาพบรรยากาศเกสท์เฮาส์ที่ผมพักมาฝากครับ ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าใกล้ Fairy steam เพียงแค่ 5 นาที แต่แหล่งของกินเยอะ ๆ ต้องขอยืมมอไซค์เจ้าของไปนะครับ เจ้าของใจดีให้ยืม อิอิ

สรุปความประทับใจในการมาเวียดนามใต้ครั้งแรก โฮจิมินทร์-มุยเน่

1. เจ้าหน้าที่เวียตซีให้ความช่วยเหลือเป็นอย่างดี รวมถึง MS. Hanh ที่ผมติดต่อทางอีเมล์ตั้งแต่ประเทศไทย

2. เกสท์เฮาส์ที่ผมพักที่มุยเน่ เจ้าของที่พักให้การช่วยเหลือ รวมถึงความเป็นกันเองและมีความกระตือรือร้น ทำให้ผมกล้าที่จะเดินทางไปเวียดนามต่อในวันต่อไป

3. ขอบคุณความโชคดีในวันแรกที่ผมไม่เจอโกง เจอแต่คนดี ๆ มีน้ำใจที่ช่วยเหลือผมตอนอยู่ไซกอนและมุยเน่

ปอลิง พี่วินที่ไซกอนหรือโฮจิมินทร์ตามตื้อเก่งมา ขนาดโบกมือก็แล้ว โนว ก็แล้วยังตื้ออีก เพลียรีวิวตอนต่อไป ดาลัด กับการเดินทางตามลำพังพร้อมมิตรภาพ (อีกแล้ว)

เพราะโลกนั้นกว้าง

 วันเสาร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 16.06 น.

ความคิดเห็น