ไปเที่ยวภูเขามาหลายที่ เลยแอบรู้สึกผิดที่ไม่เคยมาลองเที่ยวลองฝังตัวซึมซับภูเขาที่ไทยเลย ปลายปี 2015 มีโอกาสได้มาฝังตัวที่เชียงใหม่ 2-3 เดือนเลย เลยอยากลองใช้ชีวิตแบบเนิบๆ วันไหนว่างไปไหนก็ได้ ขึ้นดอย เที่ยวฟาร์ม กินองุ่น เก็บสตรอเบอร์รี่ เที่ยวน้ำตก หรือแม้แต่ไปเล่นกับแมว >.<


:: Chiang Mai Wishes List ::


ขึ้นดอยสุเทพ – ดอยปุย แต่งชุดชาวเขา

เดินเล่นชมดอกไม้ที่พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์

ชมธรรมชาติ วิถีชาวบ้าน ที่แม่ออน แม่กำปอง

แช่เท้าผ่อนคลาย แต่ไม่ต้มไข่ที่น้ำพุร้อนสันกำแพง

นั่งเล่นที่อ่างเก็บน้ำห้วยตึงเฒ่า

ม่อนแจ่มม่วนใจ๋ แวะซื้อองุ่นที่ไร่เอเดน แวะม่อนวิวงาม

เดินเที่ยวออกกำลังที่น้ำตกแม่สา : สูง 10 ชั้น

เก็บสตรอว์เบอร์รีสดๆจากไร่แถวสะเมิง

เล่นกับแมวที่ค่าเฟ่แมว : Something Like Cat Cafe

แวะหาของกินถนนนิมมาน ต่อด้วยร้าน iberry

วัดใจที่แกรนด์แคนยอนเชียงใหม่ (หางดง)

ล่าเสือที่ขุนช่างเคี่ยน


วันแรกที่มาถึงเชียงใหม่ก็เย็นแล้ว นั่งรถตู้ (Airport shuttle bus) ที่จอดรอรับผู้โดยสารอยู่หลังทางออก 9 เข้ามาส่งในเมือง ราคา 40 บาทต่อคนเอง^^ จากสนามบินเข้ามาย่านประตูท่าแพ บอกคนขับว่าลงหน้าวัดโลกโมฬี เพราะจองที่พักไว้ใกล้ๆแถวนั้น เลยได้แวะชมวัดโลกโมฬีช่วง Golden time วัดเล็กๆ แต่สวยมากๆ

และอีกอย่างที่ทำตั้งแต่วันแรก คือ ไปกินข้าวที่ร้านโจ๊กสมเพชร ถนนศรีภูมิ เพราะอยู่หน้าปากซอยที่พัก อร่อยทุกอย่างที่สั่งมาลองเลย เมนูโปรดที่ชอบสั่ง คือ ข้าวหมูอบ ราคาก็ไม่แพง ประทับใจเลย



พักแถวถนนศรีภูมิแค่ 3-4 วัน ระหว่างนั้นก็มองหาที่พักระยะยาวใหม่ ที่ไม่พลุกพล่าน แต่หาของกินสะดวก ที่พักส่วนใหญ่ที่เป็นอพาร์ทเม้นเป็นสัญญาระยะยาวซึ่งก็ปกติ แต่ก็ยังลองพยายามไปสอบถามดูหลายๆที่ เผื่อมีที่ไหนอนุญาตให้เราพักได้แบบ 2-3 เดือน มองไปมองมาอยู่ 2 วันแหน่ะ สุดท้ายก็ได้ที่พักแถวๆเจ็ดยอด ห้องพักที่อยากได้กำลังซ่อมเตียงอยู่ แต่พี่เจ้าของอพาร์ทเม้นเห็นว่าอยากได้ห้องนี้เพราะมีหน้าต่าง 2 ด้าน ด้านหัวนอนเป็นวิวภูเขา (ดอยสุเทพ) ส่วนอีกด้านเป็นวิวหมู่บ้าน พี่เค้าเลยบอกว่า งั้นพี่จะเอาเตียงออกแล้วซ้อนที่นอน 2 ลูกให้ เลยโอเค(มาก) ห้องพักกว้าง มีโต๊ะ เก้าอี้ ตู้เย็น ให้ แต่ต้องไปซื้อผ้าห่มผ้าปูเตียงเอง ซึ่งไม่ใช่ปัญหาเลย เพราะชอบห้อง อ้อ แถมยังมีเครื่องซักผ้าบนดาดฟ้า และได้ดูวิวรอบตัวแบบฟรีๆด้วย และที่สำคัญราคาถูกกว่าที่เตรียมไว้เท่าตัวเลย ^___^


พอย้ายมาอยู่แถวเจ็ดยอด เลยชอบไปหาอะไรทานที่เจ็ดยอดพลาซ่า เพราะตรงนั้นมีอะไรให้เลือกทานหลากหลาย ข้าวมันไก่ ไก่ทอด ก๊วยเตี๋ยว ส้มตำ ตามสั่ง ขนมจีน ข้าวซอย เครื่องดื่ม ตรงข้ามก็มีตามสั่ง ส่วนข้าวซอยเครื่องปรุงมีหอมแดงซอย พริกคั่วน้ำมัน ผักกาดดอง ใครมาก็ต้องลองอยู่แล้ว :)

เช่ามอไซค์ Yamaha GT 125 cc. ไว้ขับไปเที่ยวทั้งบนดอย ทั้งไกลๆ ขึ้นไปดูวิวเมืองเชียงใหม่ตั้งแต่วันแรกๆที่ย้ายมาอยู่ฝั่งเจ็ดยอดเลย ฟ้าที่นี่... บางวันใสมากๆ บางวันเมฒอลัง บางวันก็น่ารัก



"วัดพระธาตุดอยสุเทพ"

วัดพระธาตุดอยสุเทพเคยขึ้นมาที่วัดพระธาตุดอยสุเทพครั้งนึงเมื่อ 3-4 ปีที่แล้ว ครั้งนั้นมาเที่ยวบ้านเพื่อนที่ฝาง แล้วเพื่อนก็พาขับรถมาเที่ยวเชียงใหม่กัน จำได้ว่าเป็นช่วงเทศกาลปีใหม่ คนเยอะมากๆ รถติดมากๆ เลยสัญญากับตัวเอง ว่าต่อไปจะพยายามไม่ไปไหนช่วงเทศกาลอีกแล้ว!!! ฮ่าๆ คราวนี้ขึ้นมาแบบโล่งๆ ช่วง พย. อากาศก็เย็นสบายแล้ว แถมหว่างทางขึ้น กลิ่นดอกไม้นาๆพันธ์ุตลบอบอวน หอมหวานมากๆ



"หมู่บ้านม้งดอยปุย"

เลยวัดพระธาตุไปอีกราวๆ 8 กม. ก็เป็นหมู่บ้านม้งดอยปุยแล้ว ไม่ได้ขึ้นมาที่นี่วันเดียวกับวันที่มาวัดพระธาตุหรอก เพราะบางทีก็ชอบออกมาเที่ยวเย็นๆ ตอนเช้าชอบนั่งทำงานมากกว่าและก็คิดว่าไม่รีบร้อน เลยเก็บไว้มาวันหลัง อันที่จริงเพราะชอบบรรยากาศระหว่างทางขึ้นมาข้างบนนี้ด้วย เลยคิดว่ามาบ่อยๆก็ดีนะ แล้วก็อันที่จริง(อีกที) อยากแวะชมดอกไม้ที่พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวชด้วย แต่เก็บไว้วันหลัง(อีกแล้ว) เพราะดันขึ้นมาเย็นแล้วเหมือนเดิมนั่นแหละ เลยไม่ได้แวะเพราะที่นี่เค้าปิดให้เข้าชมตอนบ่ายสามครึ่ง

วิวที่บ้านม้ง ดอยปุย คิดว่าไม่ได้อลังการเว่อวังอะไรมาก แต่ที่เห็นแล้วนึกสนุก คือ การลองแต่งชุดชาวเขา สารภาพตามตรงเลยว่า... ชุดหนักใช่ย่อย คนที่เคยลองแล้วคงจะเข้าใจเหมือนกัน


"อ่างเก็บน้ำห้วยตึงเฒ่า"

อ่างเก็บน้ำห้วยตึงเฒ่า (Huay Tueng Tao) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ที่นี่เป็นทะเลสาบน้ำจืดที่โอบล้อมด้วยภูเขา ขับล่องถนนคันคลองชลประทาน ผ่านสนามกีฬาสมโภช 700 ปี ผ่านโรงเรียนนวมินทร์ สถานีพัฒนาที่ดินเชียงใหม่ เลี้ยวซ้ายข้ามสะพานคลองชลประทาน ต่อไปอีก 500 เมตรก็ถึงแล้ว ผู้คนมาที่นี่ส่วนใหญ่จะนั่งคุยกัน ทานอาหาร มีร้านอาหารริมน้ำค่อนข้างเยอะ บางคนก็มาตกปลา แคมป์ปิ้ง ส่วนแอนก็มาดูวิว มาหามุมนั่งเล่น ติดขนมกับชามาทานเอง


"แม่กำปอง"

ขับมอไซค์ออกจากเชียงใหม่ ไปเที่ยวสูดอากาศที่แม่กำปอง ระยะทางกว่า 50 กม. ทำเอาปวดก้นจี๊ดเลยทีเดียว ระหว่างทางช่วงบ้านโป่งกุ่ม ก่อนถึงแม่กำปองราวๆซัก 15 กม. ได้เห็นภาพนี้ก็รีบจอดรถลงมาด้อมๆมองๆ มันเป็นซีนในฝันเลยก็ว่าได้


ภาพชวนจินตนาการอีกภาพ : 4-5 กม. ก่อนถึงแม่กำปอง เหลือบไปเห็นบ้านริมน้ำ / รีสอร์ท เล็กๆ เลยเดินลงไปมโนภาพตัวเองกำลังนั่งเขียนอะไรเรื่อยเปื่อย / ทำงาน ที่ระเบียงบ้านหลังนี้ ยืนยิ้มนิ่งๆ ดูภาพนี้ตรงหน้าอยู่นาน..

ตั้งแต่เส้นทางก่อนเข้ามู่บ้านก็สัมผัสได้ถึงความสดชื่นเย็นสบาย พอเข้าหมู่บ้านแม่กำปองปุ๊ป เริ่มรู้สึกถึงความขลัง เคยอ่านเรื่องราวของแม่กำปองซึ่งเป็นหมู่บ้านที่มีวิถีชุมชนแข็งแกร่ง รายล้อมไปด้วยธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ถึงแม้วันนี้หมู่บ้านจะคับคั่งไปด้วยนักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศ แต่ภาพต่างๆที่เห็นก็ยังคงทำให้เชื่อสนิทใจ ว่าแม่กำปองจะเข้มแข็งอยู่ได้ไปพร้อมๆกับการพัฒนาการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน


ภาพนี้ถ่ายจากร้านชมนกชมไม้ ช่วงบ่ายๆ ซึ่งไม่เวลานี้ไม่เหมาะจะถ่ายรูปเอาซะเลย แต่ภาพนี้ก็ทำหน้าที่เป็นภาพความทรงจำที่งดงามได้ไม่แพ้กัน

ชา กาแฟ ขนม ที่ร้านชมนกชมไม้อร่อยมากๆ ไม่ได้เชียร์แบบหน้าม้า แต่อร่อยจริงๆ

น้ำตกแม่กำปอง น้ำตกสายเล็กๆ ร่มรื่นเย็นสบาย ใกล้ๆหมู่บ้าน ใครขึ้นมาที่หมู่บ้านแม่กำปองก็คงอดที่จะขึ้นมาเที่ยวน้ำตกต่อไม่ได้ มาถึงแล้วต้องเดินขึ้นไปอีกหลายขั้นบันได ได้ออกกำลังกายขา ตอนที่แอนมาถึงทางขึ้นไปที่ชั้นสูงสุดถูกปิด อาจจะเพราะเรื่องความปลอดภัย เลยทำให้ขึ้นมาได้แค่นี้ เพื่อนที่เคยมาบอกว่า ข้างบนมีศาลาให้นั่งเล่นด้วย อดขึ้นไปเลย



"กิ่วฝิ่น"

ตัดสินใจขับมอไซค์ปีนขึ้นไปจากน้ำตกแม่กำปองขึ้นไปอีก 2 กม. เส้นทางค่อนข้างชัน บางช่วงต้องกระโดดลงเข็น แล้วลืมตัววิ่งไปขำไปหัวเราะไปรู้ตัวอีกทีโลกหมุนละ นี่แค่ระดับความสูงแค่นี้นะเนี่ย แต่วิวข้างบนนี่คุ้มนะ กิ่วฝิ่นที่ระดับความสูงจากน้ำทะเล 1,517 เมตร รู้สึกหัวโล่งดี มีศาลาให้นั่งเล่นด้วย แอนนั่งเล่นไปตั้งนานแน่ะ



"น้ำพุร้อนสันกำแพง"

จากแม่กำปองกลับเข้าเมืองเชียงใหม่โดยไม่อยากกลับทางเดิม โดยที่ขามาขับมอไซค์โดยใช้ทางหลวงหมายเลข 118 ขากลับเลยลองวนลูปไปที่เส้น 1317 ขับมา 20 กว่า กม. ผ่านน้ำพุร้อนสันกำแพง ถ้ามาจากตัวเมืองเชียงใหม่ก็น่าจะ 40 กิโลได้


ที่นี่ได้รับการสนับสนุนและปรับปรุงโดยความร่วมมือระหว่างการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และสหกรณ์การเกษตรหมู่บ้านสหกรสันกำแพง ร่มรื่น กว้างขวาง มีที่กางเต๊นท์ บ้านพัก นวดแผนไทย ฯลฯ เปิดไห้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่ เวลา 8.00น – 21.00น. แวะเดินเล่น แถมมีบ่อแช่เท้าด้วย ร่มน่ารักดี^^

ค่าบำรุง :

ไทย 30 บาท

ต่างชาติ 100 บาท

สระที่เห็นไม่ใช่สระว่ายน้ำน๊ะ เป็นสระให้เอาไข่ลงไปต้ม แต่ไม่ได้ลองต้มหรอก เพราะอิ่มมาก ต้มไม่ไหว เพราะต้มแล้วต้องทาน ^^

ด้านหลังก็เป็นน้ำพุร้อนที่พวยพุ่งมาจากเบื้องล่าง ลองเข้าไปยืนแถวนั้น ร้อนเหงื่อตกทีเดียว


"ม่อนแจ่ม"

วันนี้ปวดก้นอีกแล้ว เพราะจากเชียงใหม่ไปแม่ริมก็ราวๆ 50 กว่า กม. แน่ะ แต่ขึ้นมาถึงเห็นวิวก็ค่อยๆหายนอยด์ ตรงนี้หลายคนนั่งทานอะไรไปได้อารมณ์ชมวิว แต่ตอนที่แอนมาถึงดันมาถึงพร้อมกับน้องๆกองทัพนักเรียน เลยไม่ได้นั่งทานตรงนี้ ตัดสินใจออกไปเดินเล่นรอบๆต่อ อ้อ...ห้องน้ำที่นี่สะอาดดี^^

อย่างนึงที่อยากมาดู คือ ขึ้นมาดูดอกฝิ่นแดงๆ งามๆ เอาจริงๆ ไม่เคยได้สัมผัสแบบใกล้ๆแบบนี้มาก่อน (ไปอยู่ที่ไหนมา..) ถึงแม้จะแค่หย่อมเล็กๆ แต่ภารกิจก็ถือว่าลุล่วง ฮ่าๆ


ที่นี่เต็มไปด้วยแปลงพืชผักแปลงน้อยๆหลายแปลงเลย อากาศดีๆ ก็เดินเล่นได้นานอยู่นะ มีโซนสำหรับแคมป์ปิ้ง ซึ่งต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ถ้าอยากลงไปดู ได้ยินว่าตอนกลางคืนดวงดาวเต็มท้องฟ้า สวยอย่าบอกใครเชียว

.

.

ดอกบัวตองที่ม่อนวิวงาม ตรงข้ามม่อนแจ่ม เห็นมาแต่ไกล ตรงนี้เหมาะมากที่จะกางเต๊นท์ชมวิวนะ ดูสงบดี ถ้าเอามอไซค์ขึ้นมาเที่ยว ต้องขับวนเที่ยวให้ทั่ว มีวิวสวยๆให้เสพย์เยอะเลย #ม่อนวิวงาม


"น้ำตกแม่สา"

ไปเดินออกกำลังที่น้ำตกแม่สา ขากลับจากม่อนแจ่ม น้ำตกมี 10 ชั้น จอดรถไว้ตรงชั้นสาม แถมชั้นนั้นดันมีร้านขายของกินเพียบ เลยจัดส้มตำไก่ย่างซะก่อนออกเดิน ค่อยๆเดินไม่จุกหรอก ฮ่าๆๆ น้ำตกแต่ละชั้นห่างกัน 300-500 เมตร ส่วนใหญ่จะเดินขึ้น กว่าจะถึงก็หมดแรงตามระเบียบ ชั้นที่คิดว่าสวยที่สุดคือชั้น 8

‪#‎รูปนี้แค่สร้างภาพ‬ ‪#‎ที่จริงเข่าอ่อน

ค่าบำรุง

ไทย 20.-

ต่างชาติ 100.-


"พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์"

วกกลับมาขึ้นดอยใกล้สุเทพ-ดอยปุยอีกแล้ว ฮ่าๆ ก็แต่ละที่มันต้องใช้เวลาดื่มด่ำกับธรรมชาติหรือสถานที่ ไม่ว่าที่ไหนก็อยากจัดสรรค์เวลา ไม่อยากให้เร่งรีบมากไป อยากให้ทันได้ดู ทันได้รู้สึก พระตำหนักตั้งอยู่ระหว่างวัดพระธาตุดอยสุเทพ กับ หมู่บ้านม้งดอยปุย (เลยวัดพระธาตุไปราวๆ 5 กม.) ที่พระตำหนักมีแปลงดอกไม้เมืองหนาวนาๆพันธุ์ รวมทั้งกล้วยไม้ อากาศค่อนข้างเย็นสบาย ขับมอไซค์ขึ้นไป เสื้อกันหนาวต้องพร้อม แต่เวลาเดินเล่นถ้าแดดแรงๆ ก็ร้อนพอตัวเลย

ค่าเข้าชม : ไทย 20.- , ต่างชาติ 50.-


"หางดง"

สถานที่แห่งนี้คือบ่อดินเก่าซึ่งบังเอิญมีคนดันมาค้นพบว่า มันก็สวยดี จนได้ชื่อว่าเป็น แกรนด์แคนยอนเชียงใหม่ มีประวัติทั้งดีและร้ายมากมาย เป็นที่หมายของคนใจกล้าบ้าบิ่น แต่สำหรับแอนแล้ว ถ้าถามว่ากล้ามั๊ย? ตอบเลย ป๊อดมาก ไม่กล้าโดดหรอก วังเวงที่ใจยังไงชอบกล ฮ่าๆ ความลึกนี่เปรียบได้กับเมืองบาดาล 20-50 เมตรเลยหละ ณ วันนี้มีเจ้าหน้าที่คอยควบคุมดูแลอยู่ในน้ำ พร้อมเสื้อชูชีพ แต่..ยังไงก็แล้วแต่ 555 ถ้าให้โดด skydive / Bunjy jump อะไรพวกนี้ พร้อมโดดทันที แต่อันนี้พี่ขอบายยยยย แต่สถานที่ยอมรับเลยว่า เฮ่ยยย...สวยอ่า

ค่าเข้าชม : 50.- แลกเครื่องดื่มได้ 1 แก้ว


"ไร่สตรอเบอร์รี่ไผ่สีทอง"

ต้องแว๊นมอไซค์ไปตั้ง 50 กว่ากิโลแนะ เพราะไร่ไผ่สีทองอยู่แถวๆสะเมิง แต่ช่วงกลางธันวาอากาศเริ่มเย็นลงเยอะแล้ว ค่อยๆเป็นค่อยๆไปอีกตามเคย ระหว่างทางแวะทานข้าวเช้าตอนสายๆ ที่ "ร้านเก๊าเดื่อวิวงาม" วิวงามอร่ามใจจริงๆ (เลยกาดนัดชุมชนบ้านเก๊าเดื่อไป 100 เมตรเอง)

ส่วนงานเก็บสตรอเบอร์รี่นี้ไม่ง่ายเลย ลมแทบจับ 555

สตรอเบอร์รี่บ้านเราน่าสงสารมาก พอจะแดงหน่อย มดแมลงก็แย่งดูดทันที เหลือไว้ให้แต่ลูกส้มๆเปรี้ยวๆ (ตัวเราที่พยายามเก็บก็น่าสงสารไม่แพ้กัน) กว่าจะเลือกแดงๆไม่ส้มไม่เสียได้ ปาไปชั่วโมงกว่า แล้วปกติพอลูกค้าเก็บเสร็จ คุณยายที่รอชั่งให้ จะเลือกเสียๆออกอีกที (กก. ละ 250 บาท) บอกคุณยายว่าหนูเอาหมดนี่เลยไม่ต้องเลือก เพราะหนูเลือกมาแล้ว เกือบโดนเทรวมกับคนอื่นแน่ะ

กฎการเก็บสตรอเบอร์รี่ :: จะเล็กจะใหญ่ ขอให้เก็บสีแดงเข้ม ‪ย้ำ อยากได้หวานฉ่ำๆ อย่าเก็บสีส้ม^^


"Something Like Cat Cafe"

ที่ Something like cat cafe ~ เค้ก บราวนี่ เครื่องดื่ม อร่อยมากๆ ถึงแม้น้องเหมียวจะไม่ค่อยหลากพันธุ์มากแต่ก็เยอะพอจนแบ่งเป็นสองฝ่ายได้แต่ไม่เสียหลัก เพราะหัวโจกไม่ถูกกัน 555 เค้าบอกมาอีกที แต่น้องก็ลุกมาชวนเล่นมาหยอกกันดี แต่ถ้าตัวไหนไม่อยากเล่นด้วยแอนก็จะไม่ไปตื้อนาง กลัวนางจะรมบ่จอย / ร้านอยู่ฝั่งตรงข้ามเยื้องๆเจ็ดยอดพลาซ่านะเมี๊ยวว

“คั่วไก่นิมมาน ซอยนิมมานเหมินทร์ 17 ติดร้าน iberry"

มาเชียงใหม่เมื่อไหร่ สิ่งที่พลาดไม่ได้ คือ การไปตะลอนกินแล้วก็กินแถวนิมมาน ส่วนร้านอร่อยของแอน คือ คั่วไก่นิมมาน มันเป็นคั่วไก่ที่อร่อยที่สุดในชีวิตที่กินมา ฮ่าๆ ไม่ได้เว่อร์ชริงๆนะ เส้นเหนียวนุ่ม นอกจากไก่ ยังใส่ไข่ ใส่หมึก ทานไปก็มีความสุขไป อย่างอื่นก็หน้าตาน่ารัก รสชาติก็น่ารักเหมือนหน้าตานี่หละ

ทั้งโต๊ะนี่เสนอราคาที่ 320.- ถ้วนจร้า ;P


“iberry by พี่โน๊ต ซอยนิมมานเหมินทร์ 17 ถัดจากร้านคั่วไก่นิมมาน"

ร้านไอติมของพี่โน๊ต อุดม ทานของคาวเสร็จ ถ้าไม่รีบไปไหนก็แวะมาทานของหวานต่อที่ร้าน iberry อันที่จริงแอนไม่ค่อยถนัดมุ้งมิ้งอะไรแบบนี้มากนัก (หราาา) ราคาของหวานอาจจะไม่ค่อยหวานมาก แต่กล้อมแกล้มได้ ^^ ไหนจะตุ๊กตาตัวใหญ่ที่ใครๆมาแล้วก็อดไม่ได้ ต้องถ่ายรูปด้วย เอาเป็นว่าวันไหนมาย่านนิมมาน เตรียมกระเพาะดีๆ เพราะหันไปทางไหนก็มีแต่อะไรน่ากิน ;P


“ขุนช่างเคี่ยน"

ก่อนอื่น ขอโทษด้วยที่วนกลับมาที่ดอยลูกเดิม ที่เพิ่มเติมคือไปต่อถึงขุนช่างเคี่ยน เพราะช่วงก่อนๆ ที่ขึ้นดอยสุเทพ-ดอยปุย ก็ไม่ได้ขึ้นไปสุดขุนช่างเคี่ยน เพราะคิดว่าอยากขึ้นไปดูดอกนางพญาเสือโคร่งด้วยเลย ซึ่งกะว่าปลายธันวา แอนอาจจะโชคดี (แอนอยู่เชียงใหม่ถึงปลายธันวาเท่านั้น ใกล้จะต้องบอกลากันแล้ว…) เลยจะไม่รีบขึ้นไปแต่เนิ่นๆ และแล้วปลายธันวาที่ว่าก็มาถึง บึ่งมอไซด์ขึ้นไปถ้าใครจำดอยปุยได้ ระหว่างทางขึ้นไปขุนช่างเคี่ยน เลยหมู่บ้านม้งดอยไปซักราวๆ กิโลนึงจะถึงจุดชมวิว บรรยากาศน่ารักเลยแหละ มองลงไปข้างล่างโน้นเป็นวิวหมู่บ้านม้งดอยปุย ข้างบนหนี้มีขายพวกผ้าพันคอ ถุงมือ กระจุ๊กกระจิ๊กพอเป็นกระสัย อากาศบนนี้ค่อนข้างเย็น แม้ว่าแดดจะเปรี้ยงก็ตาม เพราะฉนั้นเสื้อกันหนาวต้องพร้อม^^

ถัดมาอีกหน่อย อีกราวๆกิโลครึ่ง จะถึงลานกางเต๊นท์ดอยปุย บรรยากาศเมี๊ยวๆ มุ๊งมิ๊งมาก จนทำให้แอนแวะนั่งเล่นที่นั่นนานพอสมควร ในใจพลางก็คิดไป ทำไมไม่ขึ้นมาตั้งแต่เนิ่นๆนะ อยากมานอนกางเต๊นท์ที่นี่จัง แต่กำลังจะเซย์กู๊ดบายเชียงใหม่ใน 2-3 วัน เฮ่อ ;O แย่จัง บลา ๆ ๆ และหลังจากนั้นอีก 3 วิ สวรรค์ก็พลันบรรไล –" เมื่อมีนักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศกลุ่มใหญ่มาถึง คุยกันเสียงดังโขมงโจ๋งครึ่ม จนฝันสลายไปในพริบตา ฮ่าๆ

แต่เอาจริงๆ บรรยากาศน่านอนเล่นมาก ;)

และแล้ว… ไปต่อกันให้สุดที่ขุนช่างเคี่ยน

วันนี้ถือเป็นวันดีของแอน… บานแล้วไง ดอกซากุร๊ะะะะ ทันทีที่ไปถึงสถานีวิจัยเกษตรที่สูงขุนช่างเคี่ยน ดอกนางพญาเสือโคร่งก็บานอยู่ 2-3 ต้นน่าจะได้ คือปลายๆธันวา บานได้ไง มันไม่ได้อลังกงอลังการอะไรเลย แต่มันรู้สึกอิ่มใจที่สุดท้ายชั้นจะได้เห็นดอกนางพญาเสือโคร่งตัวเป็นๆซักที

ดอกบ๊วยก็มีนิดหน่อย ค่อยๆพากันเบ่งบานอยู่เลย แต่แอนดีใจ ที่ได้เห็นอะไรแบบนี้ มันเล็กๆน้อยๆ แต่มันงอกเงยในใจยังไงก็ไม่รู้ อันที่จริงแอบดราม่าอยู่ในใจคนเดียวว่า ไม่รู้เมื่อไหร่จะมาเชียงใหม่อีก Y_Y แต่วันนี้เป็นการทิ้งทวนอำลาที่ดีกับจิตใจมากๆเลย

แอนไปนั่งจิบกาแฟต่อที่บ้านกาแฟสดในหมู่บ้านขุนช่างเคี่ยน (เลยสถานีวิจัยเกษตรที่สูงขุนช่างเคี่ยนเข้าไปในหมู่บ้านซัก 5-600 เมตรได้) นั่งจิบกาแฟ คุยเล่นเรื่องเก็บกาแฟ คั่วกาแฟกับพี่สาวที่ดูแลร้านอยู่นาน แต่ดันลืมถามชื่อพี่เค้าซะงั้น แอนจำใบหน้ายิ้มแย้ม ตื่นตัว โชว์กาแฟคั่วหลายๆแบบให้ดู


จบวันนี้ไปแบบอิ่มเอมใจ ประทับเชียงใหม่ในทุกมุม…

หลังจากฝังตัวสัมผัสธรรมชาติ วัฒนธรรม สถาปัตยกรรม อาหารอร่อยๆ อีกสิ่งสำคัญที่ประทับใจมากๆ คือ ผู้คน

ผู้คนที่นี่พร้อมจะยิ้มให้ และร่ำรวยน้ำใจจริงๆ นี่แอนไม่ได้จะมาโม้หรือเข้าข้างแบบข้างๆคูๆ อย่างแม่ค้าพ่อค้าในตลาดไม่เห็นมีฟาดงวงฟาดงา ทุกคนดูมี Service Mind กันถ้วนหน้าจริงๆ คืออยู่มาเกือบ 3 เดือน ไม่เคยหงุดหงิดใจกับแม่ค้าพ่อค้าเลย^^ ไปไหนมาไหนบางที Google Map ก็พาไปมั่วๆ หรือบางทีแอนก็กด Map แบบมั่วๆ อยากไปอีกที่ แต่ดันหลงไปอีกที่ ถามทางกี่ที คนที่นี่ก็มีน้ำใจให้เสมอ บางทีวางงานที่ตัวเองทำ แล้วหากระดาษปากกามาวาดแผนที่ให้เลย

เห็นแบบนี้ใครที่หลงเข้ามาอ่านคงเข้าใจ ว่าทำไมแอนถึงชมเชียงใหม่นักหนา ;) สำหรับคนอื่นไม่รู้ว่าเป็นยังไง แต่สำหรับแอน เชียงใหม่เป็นเมืองน่าอยู่มากๆอีกเมืองนึงเลย ^^


Anne Niparat

 วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 12.49 น.

ความคิดเห็น