Chapter 00
เหลาเหลียง??


เมื่อหลายเดือนก่อน ผมได้รับข้อวามทางเฟสบุ๊ค จากเพื่อนคนหนึ่ง (มันชื่อพี) ว่า

“เกียงๆ สนใจไหม เกาะเหลาเหลียง"

หลังจากที่ผมอ่านข้อความก็ งง ไปสักพัก อะไร ?? อะไรคือเกาะเหลาเหลียง เกาะเหลาเหลียงอยุ่จุดไหนของประเทศไทย แต่ไม่ทันจะได้ถามกลับ พี ก็ส่งภาพประกอบมาให้ดู

เป็นภาพที่มันหามาจาก google


“โอเค ไป!!" เป็นการตอบตกลงแบบรวดเร็วฉับไวซะจริงจริ๊งโดยยังไม่มีข้อมูลใดๆทั้งสิ้น ไม่ว่าจะ เกาะเหลาเหลียงอยู่ไหน งบประมาณเท่าไร แล้วจะชวนใครไปบ้าง

(ใจง่ายแท้ๆ) หลังจากที่ตอบตกลงไป ค่อยมานั่งหาข้อมูล ไอ้เจ้าเกาะเหลาเหลียงนี่ที่หลัง ได้ความว่า “เหลาเหลียง หรือ หลาวเหลียง หรือ เหล่าเหลียง ตั้งอยู่ในตำบลเกาะสุกร อำเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง เป็นหนึ่งในหมู่เกาะเภตรา กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพืชพันธุ์ ซึ่งเป็นหมู่เกาะที่มีความสวยงามของภูเขาหินปูนตามธรรมชาติสูงเสียดฟ้า .." (คำบรรยายจากในอินเตอร์เน็ต) แถมที่เกาะยังต้องนอนเต้นท์ด้วย โหยๆ เลือดนักเดินทางมันเดือดพร่าน

*สำหรับเกาะเหลาเหลียง season 58-59 เปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2558 ถึง 1 พฤษภาคม 2559 นะครับ

คำถามต่อมา… แล้วจะไปยังไง?? เหมือนเดิมครับตามสไตย์นกเดินทาง(ไปตาย)เอาดาบหน้า ไม่ได้หาข้อมูลใดๆ จะมีก็ไอ้เพื่อนพีเนี่ยแล่ะคอยจัดการให้ครับ เห็นมันเล่าให้ฟังว่า ต้องจองกับทางเกาะก่อนถึงจะไปได้ แล้วมันก็ส่ง ลิ้งค์สำหรับจองมาให้ผม พอกดเข้าไปจึงได้รู้ว่า เขาให้จองเป็น package จ้า มีแบบ 2 วัน 1 คืน กับ 3 วัน 2 คืน ราคาก็ 3,500 กับ 6,000 ตามลำดับ และก็เหมือนมนุษย์เงินเดือนทั่วไป วันหยุดน้อย ทุนน้อย เลยตกลงกันไว้เป็น package 3 วัน 2 คืน ใครสนใจก็ลองกดลิ้งไปดูได้จ้า

https://www.facebook.com/events/1593984327521126/



แต่เดี๋ยวก่อน ถึงจะไม่มีเงินพอให้ไป slow life บนเกาะนานๆ แต่เดินทางไกลทั้งที ต้องเต็มที่กันหน่อย ได้ข่าวมานานแล้วว่าเมืองตรังนี่แมร่ง สุดยอดของกิน ไหนจะหมูย่าง ไหนจะติ่มซำ จึงตกลงกับ พีว่า เราจะไปตะลุยกินกันก่อน 1 วัน

สรุปแล้วก็ทริป 16-17-18 ตค 58 16 ลุยกิน 17 นอนเกาะ 18 ค่อยกลับ โอ้วววว!! เก๋กู๊ด

ก่อนทุกอย่างจะลงตัว ผมก็นึกขึ้นมาได้ว่า มีพี่ชายสุดหล่ออยู่แดนใต้ จึงขอไอ้พีว่า จะขอให้พี่ชายของผมได้ไปร่วมทริปนี้ด้วยกัน โดยบอกไอ้พีไปว่า

“กูมีพี่อยู่ใต้คนหนึ่ง มันเชี่ยวววว!!! อยาก-ไรมันรู้หมด และที่สำคัญ มันมีรถ เราไปไหนก็สบาย" ชั่วช้าสมเป็นเราจริงๆ 555 ปากก็บอกว่าคิดถึงพี่ แต่ลึกๆอยากให้มันมาดูแลคอยไปรับไปส่ง โดยมีข้อแม้ หลังจากนั้นก็โทรไปหาพี่ชายสุดที่รักว่าผมและเพื่อนมีแผนจะลงไปท่องแดนใต้ มันก็โอเคตบปากรับคำว่าจะไปด้วย และตามภาษาคนรักครอบครัวแบบพี่ชายผม จึงขออนุณาตพาแฟนสาวไปด้วยคนหนึ่ง สรุปทริปนี้ 4 คนจ้า ลุยๆ!!



***สรุปค่าใช้จ่าย

-ทัวเกาะ 2 วัน 1 คืน 3,500 บาท/คน

-ทริปดำน้ำ 500 บาท/คน

-ค่าเครื่องบิน 2,400 บาท/คน (ไป-กลับ เฉพาะผมกับไอ้พี)



Chapter 01
ชิลล์ไปปะวะ


Day1


เรื่องราวความชิลล์ของทริปนี้จาก พ่อผมตื่นสาย นัดกันไว้ว่าจะไปส่งผมที่สนามบินตอน 6 โมงเช้า แต่ไปๆมาๆได้ออกบ้านตอน โมงครึ่ง ออกช้าไม่ว่ารถดันมาติดอีก ชิลล์จนขนาดที่ว่า ไอ้พีที่บ้านอยู่อยุธยามาถึงสนามบินก่อนผมที่บ้านอยู่กทม.

แต่ก็โชคดียังเข้าข้างเรา วันนี้คนที่สนามบินน้อยมาก ทุกๆขั้นตอนที่สนามบินจึงผ่านไปด้วยความรวดเร็ว ถึงแม้ Gate ที่เราจะต้องขึ้นเครื่องจะอยู่ไกลแสนไกล ผมกับพี ก็ยังเดินกันไปทันเวลา แถมยังมีเวลาได้นั่งคุยกันเรื่องแผนของวันนี้ว่าจะไปไหนกันบ้าง และแผนที่ได้คือ

-ร้านบัวบก (กินหมูย่างเมืองตรัง)

-โรงแรมธรรมรินทร์ (ขนมเปี๊ยะยิ้มธรรมรินทร์)

-ศาลเจ้าท่ามก๋งเยี่ย

-ร้านสีฟ้า (หมูเกาหยุก)

-โรงแรมธรรมรินทร์ธนา (ราดหน้าซุปเปอร์)

-ถนนคนเดินหน้าสถานีรถไฟ

**แรงบันดาลใจในการจัดทริปจาก พี่เรย์ แมคโดนัล (ตามลิสเมืองต้องห้ามพลาด)

สโลแกนของวันนี้คือ “พุงไม่แตกเราจะแหลกไม่หยุด" ถ้าพร้อมแล้ว ก็ลุยยยยยยย!!!

(งานเข้าแล้วสินะ) …. นี่คือความรู้สึกของผมหลังจากที่กัปตันประจำเครื่องประกาศว่า “เนื่องจากเครื่องของเรามีข้อขัดข้องบางประการและเพื่อความปลอดภัย เราจึงมีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนเครื่อง…"


เห้อ!! กว่าจะจบขั้นตอนการย้ายเครื่อง และกว่าเครื่องจะขึ้น ก็ปาไป 9 โมงครึ่งละ (โถ่…หมูย่างจ๋ารอพี่หน่อยนะ)



Chapter 02
ปฏิบัติการ(ไม่)ตามแผน



ถึงแม้ว่าผมจะเป็นนักเดินทางสายชิลล์แต่ผมก็มักจะวางแผนล่วงหน้า(แผนแบบกว้างงงงงง (งองูล้านตัว)) หลังจากลงเครื่องที่สนามบินตรังก็จัดการติดต่อรถเข้าเมืองกันเลย มุ่งหน้าเป้าหมายแรก โรงแรมบีบีตรัง (เช็คอินและวางกระเป๋า)



ถึงโรงแรมที่เรานอนพักจะอยู่ไกลจากตัวเมือง(ตามภาษาคนต่างถิ่น) แต่การเดินทางก็ไม่ยากอย่างที่คิด เราสามารถขอเบอร์รถตุ๊กๆหัวกบ ได้จากทางโรงแรมเลย เอาล่ะมุ่งหน้าไปตะลุยกินกันเลย ร้านแรก ร้านบัวบก


เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา สั่งเลยจ้า



**สำหรับใครที่อยากกินของอร่อยๆ แนะนำให้มาเช้าๆ นี่พวกผมมาถึงสาย ตัวเลือกเลยไม่มากนัก


รู้ตัวอีกทีก็งานเข้าสะแล้ว กินเยอะไปหน่อย แผนที่วางไว้ว่าจะตะลุยกินเป็นอันต้องพับไปก่อน แต่ปัญหาต่อมาคือ แล้วจะไปไหนต่อดี …. แบบนี้ก็ต้องหาที่พึ่ง เรื่องเมืองตรังก็ต้องถามคนเมืองตรังสิ และที่พึ่งเดียวที่ผมคิดออกตอนนี้คือ กลุ่ม“แบกเป้เที่ยว" ในเฟสบุ๊ค (ผมเคยไปโพสถามข้อมูลเมืองตรังไว้ก่อนจะมาไม่คิดว่ามาแล้วยังต้องพึ่งพี่ๆในกลุ่มนี้อีก แหะๆ) แล้วโชคดีก็ยังเป็นของผม พี่ที่เคยให้ข้อมูลเมืองตรังแกออนไลอยู่พอดี พี่เขาเลยแนะนำร้านกาแฟมาให้ ซึ่งชื่อของจุดหมายต่อไปของเราคือ “ร้านกาแฟทับเที่ยง" เปิดแผนที่ดูก็ไม่ไกลเท่าไร คุยกับพีแล้วว่า เราเดินไปกันเถอะ จะได้ซึมซับบรรยากาศของเมืองตรังไปในตัว



เดินเล่นไปสักพักก็ถึงร้านกาแฟ เป็นเล็กๆบรรยากาศน่ารัก โดยมีเมนูแนะนำเป็น “กาแฟทับเที่ยง" ก็จัดไปครับ ร้อน 1 แก้ว เย็น 1 แก้ว นั่งพักจิบกาแฟ พร้อมย่อยของในกระเพาะ ก่อนเข้าร้านแอบมองเห็นรางรถไฟ เลยชวนไปพีไปเดินถ่ายรูปเล่นที่สถานีรถไฟ



Chapter 03
ความเชื่อ


สาแก่ใจแล้วสำหรับรูปสถานีรถไฟ สถานีต่อไป ศาลท่ามก๋งเยี่ย การเดินทางก็ง่ายๆครับ หารถตุ๊กๆหัวกบที่หน้าสถานีรถไฟ (ใครมาแล้วก็ควรนั่งลองใช้บริการดูนะครับไม่งั้นเดี๋ยวจะโดนหาว่ามาไม่ถึงเมืองตรัง) ศาลท่ามก๋งเยี่ย กับ สถานีรถไฟ อยู๋ไกลกันพอสมควรดีนะที่ไม่บ้าเดิน

เข้ามาสำหรับคนที่ไม่มีเชื้อสายจีนอาจจะ งงๆ หน่อย ว่าต้องไหว้ตรงไหน จุดธูปยังไง ถามลุงๆป้าๆแถวนั้นได้เลยครับ สำหรับศาลท่ามก๋งเยี่ย ว่ากันว่าผู้คนส่วนใหญ่ที่มากราบไหว้ที่นี่มักจะขอพรเรื่องหน้าที่การงานกันครับ แล้วคุณลุงคนขับรถหัวกบก็แอบกระซิบมาว่าขออะไรก็ได้ท่านศักดิ์สิทธิ์จริงๆ ยกเว้นเรื่องเดียว ขอให้ถูกหวย !!



ขอพรกันเสร็จก็มาปรึกษาคุณลุงคนขับรถหัวกบต่อว่า เราพวกผมควรไปไหนกันต่อ คุณลุงก็สวมวิญญาณไกด์ท้องถิ่น ชี้เป้าเราว่าต้องไป ถ่ายภาพวาดผาผนัง + ย่านเมืองเก่า + บ้านท่านชวน และพิเศษสุดๆ วันนี้ที่ศาลเจ้าพ่อหมื่นราม มีพิธีแห่รอบเมือง มาแล้วควรไปดูให้ได้ โอครับในเมื่อเจ้าบ้านพูดอย่างนี้ก็ไปเลยครับ



ก่อนแยกกับลุงขับรถหัวกบที่บ้านท่านชวน แกก็จัดแจงชี้ทางไปศาลเจ้าพ่อหมื่นราม ที่อยู่หลังบ้านท่านชวน (ใกล้กันแบบไม่น่าเชื่อ) เดินตามฝูงชนเข้ามาในงานรู้สึกถึงคำว่าแกะดำในทันที เพราะทุกคนในงานใส่ชุดขาวกันหมด ที่ขนลุกคือพิธีแห่ ที่เคยเห็ยแต่ในทีวีวันนี้มาเห็นของจริงกับตา OwO



Chapter 04
ผู้นำเที่ยวชาวตรัง


ฝนตก!! งานเข้าอีกครั้ง พิธีแห่ก็เริ่มเดินขบวนกันออกไปแล้ว ที่ศาลคนเริ่มบางตาแต่ฝนไม่บางตาม ไม่รู้จะไปไหน สุดท้ายต้องหันไปพึ่งพี่ในเฟสบุ๊คเจ้าเก่า โดยพี่แกส่งข้อความที่อ่านแล้วน้ำตาแทบไหลมาให้ผม

“เห้ย!! แล้วนี่อยู่ไหน ฝนตกนิ มีที่ไปยัง งั้นเดี๋ยวพี่ไปรับได้นะ"

โอโห!! น้ำตาจะไหล ลึกๆก็เกรงใจพี่เขานะ ที่ต้องมาลำบากเพราะคนแปลกหน้า แต่ก็อยากให้แกช่วยเหมือนกัน

ไม่นานนัทพี่เขาก็มารับ เจอหน้ากันถึงได้มีโอกาสได้แนะนำตัวกันจริงๆจังๆ จึงได้รู้ว่า พี่เขาชื่อ นัท (ผมคิดว่าพี่เขาชื่อแนทมาตั้งนาน ก็แหม่พี่แกเล่นเขียนชื่อ Nat เพื่อนผมชื่อนัทมันเขียน Nut กันหมด) พี่นัทพาเราไปนั่งหลบฝนกันที่ร้านกาแฟ ซาริกาโน่



นั่งคุยกันตามภาษานักเดินทางกันอย่างเพินเพลิน เผลอแป๊บเดียวเวลาก็ล่วงเลยมากว่า 5 โมงเย็น พี่นัทก็บอกว่า เดี๋ยวจะพาไปถนนคนเดินที่หน้าสถานีรถไฟ มื้อนี้พวกเราขออนุญาติพี่นัทเลี้ยงตอบแทน แม้จะเป็นเงินเพียงเล็กน้อย แต่ความรู้สึกตอบแทนนี่จากใจล้วนๆ :3 วนรถในเมืองไม่นานก็มาถนนคนเดิน แต่ภาพที่เห็นคือ ตลาดยังตั้งไม่เสร็จ =3= แต่ไหนๆก็มาแล้วเดินถ่ายรูปเล่นกันหน่อยก็ได้



เสร็จแล้วพี่นัท ก็ไปส่งเราที่โรงแรม ขอกราบขอบพระคุณพี่นัท ณ กลุ่ม"แบกเป้เที่ยว"มา ณ ที่นี้ด้วยครับ




Chapter 05
ท่องราตรี



ณ โรงแรมบีบีตรัง เรานอนพักเอาแรง + รอเวลา จนตอนนี้พร้อมแล้วที่จะออกท่องราตรี เป้าหมายแรกคือ แก้มือ ไปถนนคนเดินอีกรอบ (เดินทางโดยรถตุ๊กๆหัวกบเหมือนเดิม) ตอนนี้ท้องฟ้ามึดแล้ว ผู้คนคับคั่ง ร้านค้าทั้งเสื้อผ้า อาหาร ของเล่น แต่ที่พลาดไม่ได้จริงๆคือโรตีกรอบ มีร้านหนึ่งครับเห็นชัดมาก บอกเขาเลยนะว่าขอกรอบๆ กินคู่กับชานม ชื่นใจจริงๆ



ต่อด้วยไปเดินชมเมืองยามกลางคืนแต่ก็ไม่ได้เดินไกลมาก เพราะมาจมอยู่ที่ร้านยา ไม่ได้ป่วยนะ แต่ไปขอพี่เจ้าของร้านเขาดูบอล 555 (คนตรังใจดีจุง)



ดูบอลเสร็จพี่ชายผมก็โทรมาพอดี มันบอกว่าใกล้จะถึงตรังแล้ว(มาจากหาดใหญ่) พร้อมนัดหมายว่าจะให้ไปเจอกันที่ร้าน The Boxx เป็นร้านนั่งชิลล์ครับ แต่ปัญหามันมีอยู่ว่า นี่มันหลัง 2 ทุ่มแล้ว รถกบหายากมาก สุดท้าย เดิน!! …. ขอข้ามช็อต ภาคกลางคืนนี้ไปเลยนะครับ (ไม่ได้เอากล้องไปถ่ายรูป)



Chapter 06
มื้อเช้าต้องติ่มซํา



เช้าวันที่ 2 ของการเดินทาง เรามีสมาชิกมาสมทบอีก 2 คน นั่นคือ พี่จิ๋ว(พี่ชายผม) กับฟา(แฟนพี่จิ๋ว) ถึงแม้ว่าเมื่อคืนพวกเราจะจัดหนักจัดเต็มกันมาแต่เพื่อของกินเราพร้อมเสมอ ออกสตาร์ท 7โมงเช้าเลย เป้าหมาย “ร้านเลตรัง"

เลตรังเป็นร้านที่พี่จิ๋วคุยนักคุยหนาว่าเด็ดจริงเด็ดจัง งานนี้ต้องจัดเต็มกินให้ราบ

.

.

.

อร่อยจริงแหะ ยอมๆ แต่อร่อยสุดผมเลือก “จ๊อปู" (ใครมาสั่งนะครับ รับรองไม่ผิดหวัง)



กินอิ่มกันจนพุงกาง แต่ยังไม่หนำใจอยากหาร้านอื่นกินต่ออีก เลยเดินไปถามพนักงานว่าปกติแล้ว คนตรังถ้ากินมื้อเช้าเสร็จเขาจะไปกินอะไรกันต่อ พนักงานทำหน้างงๆแล้วตอบกลับมาว่า “กลับบ้านอนค่ะ" ผมนี่ได้แต่ยิ้มแหยๆ หัวเราะกลบเกลื่อน (ก็จริงของน้องเขานะ กินเสร็จแล้วก็ต้องกลับบ้านสิ) แต่อย่าหวังว่าพวกเราจะยอมจบกันง่ายๆ วันนี้ยังมีพี่จิ๋วเป็นที่พึ่ง จริงๆเรียกว่ามีเพื่อนพี่จิ๋วเป็นที่พึ่งจะเหมาะกว่า เพราะคนที่ชี้ที่สว่างแนะนำร้านต่อไปให้เราคือเพื่อนของพี่จิ๋ว


ร้านที่เรามาต่อกันชื่อร้านกาแฟสวนจันทร์ ทีแรกกะว่าจะมานั่งจิบกาแฟชิลล์ๆ ที่ไหนได้พอเข้าร้านนั่งโต๊ะ คุณป้าก็ยกติ่มซำมาวางที่โต๊ะ บอกว่า กินก็ดีไม่กินก็ได้ อันไหนไม่กินไม่คิดตัง …. มีรึจะไม่กิน 555 แต่หลังจากร้านนี้ก็กินอีกไม่ไหวละ ยอมแพ้ขอกลับโรงแรมนอนพักก่อน :3



Chapter 07
มุ่งหน้าเกาะเหลาเหลียง



10โมงครึ่ง คือเวลานัดหมายของเรากับคนของ ที่จะมารับ จุดนัดหมายคือหน้าสถานีรถไฟ ที่นี่เราได้พบกับน้องมอสและอาลอง ผู้ที่รับหน้าที่มารับเราในวันนี้ เนื่องจากพวกผมมาเลทกันนิดๆ จึงต้องรีบกันนิดหน่อย เจอหน้ากันยังไม่ทันได้ทักทายอะไรกันดี ก็ช่วยกันโยนสำภาระขึ้นรถ



จากสถานีรถไฟเราจะใช้เวลาในการเดินทางกันประมาณ 50 นาที ช่วงนี้ก็เป็นช่วงเวลา"อยากรู้ต้องถาม" ถามนุ่นนั่นนี่ ทุกอย่างที่เกาะเหลาเหลียง ได้ข้อมูลกันตั้งแต่ อาลองเป็นเพื่อนของคุณพ่อน้องมอส คุณพ่อน้องมอส เป็นหัวเรือหลักสำหรับการพัฒนาเกาะเหลาเหลียงให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ ส่วนประวัติของเกาะอื่นๆยาวมากกกก(กอไก่ล้านตัว) ถ้าอยากรู้แนะนำให้มาฟังเอง แต่ที่พีคที่สุดคือ อาลองและน้องมอส บอกให้พวกเราได้ทราบว่า วันนี้ทั้งเกาะ จะมีนักท่องเที่ยวแค่กลุ่มเดียว คือพวกเรา 4 คน และที่สำคัญ ยังเป็นกลุ่มแรกในฤดูท่องเที่ยว ปี58 นี้ด้วย (แหม่ความรู้สึกการได้เปิดบริสุทธิ์ธรรมชาติ บทสนทนาผ่านไปอย่างสนุกสนาน เวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน


ในที่สุดเราก็มาถึงท่าเรือแล้ว ชักช้าอยู่ใย ช่วยกันโยนของขึ้นเรือ ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่เกาะเหลาเหลียงกันเลย gogogo!!



Chapter 08
โอ้โห!! เหลาเหลียง



เกาะเหลาเหลียงอยู่ไม่ไกลจากชายฝั่งเท่าไรนัก นั่งเรือกันมาประมาณ 40 นาทีก็ถึงแล้วครับ ระหว่างทางโกติ๊ง (พ่อน้องอส) เล่าให้เราฟังว่า “ทะเลแทบนี้ยังสมบูรณ์มากถ้าเราโชคดีจะได้เจอปลาโลมาด้วย #ตาวาวระดับ10

เหาะเหลาเหลียงเป็นเกาะเล็กๆขนาดกะทัดรัด แบ่งโซนออกเป็นโซนๆได้ดังนี้

1.โซนส่วนกลาง ประกอบด้วยโรงอาหาร/ห้องครัว/ที่นั่งเล่น

2.โซนที่พัก จะอยู่ติดชายหาด (เดินนิดเดียวถึงทะเล)

3.โซนห้องน้ำ (อยู่ถัดจากโซนที่พักไปนิดหน่อย)



หลังจากเดินสำรวจกันจนทั่วเกาะโกติ๊งก็เรียกเราไปทางอาหารกลางวันเติมพลังกันสะหน่อยก่อนออกเดินทาง ทานเสร็จก็ได้เวลานอน ทีแรกก็กะนอนเล่นๆสบายๆ แต่พอล้มตัวปุ๊บ หลับตา ธรรมชาติก็เริ่มทำหน้าที่ของมัน ลมทะเลเย็นๆ เสียงคลื่นกระทบฝั่ง ผลคือ หลับจริงจัง หลับไป 1 ตื่น โกติ๊งก็มาปลุกพวกเราไปทำกิจกรรมต่อไป “ตระเวนรอบเกาะ" . . . จุดแรก เกาะตะเกียง เสียดาย ถ่ายรูปมาได้ไม่เยอะ



จุดที่2 เดินเล่นเกาะเหลาเหลียงพี่



จุดที่3 ดำน้ำหน้าเกาะ (น้องปลาเยอะมาก) แต่แบตหมดไม่ถ่ายรูปมา


**หมายเหตุ สำหรับคนที่ว่ายน้ำไม่เป็นไม่ต้องกังวลนะครับว่าจะไม่ปลอดภัย เพราะทุกจุดที่จะต้องลงน้ำก่อนลงจะมีเจ้าหน้าที่ลงไปเช็คความปลอดภัยให้ก่อย ถ้าจุดไหนน้ำแรงเกินไป ก็จะเปลี่ยนจุดหาที่ใหม่ให้เราแทนครับ

Chapter 09
เรื่องหน้าเศร้าของปูแม่ไก่



หมดเวลาสนุกแล้วสิ หลังจากไปตะลอนเที่ยวทั่วเกาะมาแล้ว ก็ถึงเวลาอาหารเย็นสักที พี่พนักงานใจดีมาก พวกผมนั่งอยู่โต๊ะริมชายหาด(ที่ไม่ใช่โต๊ะอาหาร) ก็ยังยกอาหารเย็นมาวางจัดโต๊ะให้พวกเราถึงที่ เรียกว่า กินข้าวริมชายหาด นั่งดูน้องปลาโลมาด้วย แต่น่าเสียดายที่นั่งได้ไม่นานฝนเจ้ากรรมก็ลงเม้ด สุดท้ายก็ต้องย้ายกลับไปนั่งกินกันในโรงอาหารเหมือนเดิม



อิ่มข้าวกันแล้วก็ต่อด้วยนั่งบาร์ริมหาด ซึ่งมีพี่อกะเป็นคนคุมบาร์ (จริงๆแล้ว พี่แกะก็เป็นุกอย่าง ตั้งแต่ ไกส์ ช่างก่อสร้าง คนเก็บขยะชายหาด ฯลฯ) พี่แกะเป็นคนตลกมีเรื่องเล่าให้ฟังมากมาย คุยกันไปจนถึงเรื่องปูแม่ไก่ ที่ผมเคยได้ยินว่ามีที่เกาะตาชัย(และไม่เคยคิดว่าจะได้มาดูที่เหลาเหลียง) พี่แกะถามพวกเราว่าอยากดูไหมจะให้น้องๆไปหาให้ แล้วเดี๋ยวเราค่อยถามไปดูกัน (มีรึจะไม่อยากดู)



ไม่นานนักหลังจากพี่แกะฝากให้น้องๆไปเดินหาปูแม่ไก่ พวกเราก็ได้รับสัญญาณเรียก ที่บอกให้เรารู้ว่า เจอปูแม่ไก่แล้ว!! เดินตามเสียงเรียกไปไม่นานก็ได้เห็นปูแม่ไก่ตัวเป็นๆ (ไม่ใกล้ไม่ไกลจากบาร์ เพราะอยู่หลังเต้นท์เราเอง)



ในขณะที่พวกเรากำลังเพลิดเพลินกับการถ่ายภาพปูแม่ไก่ตัวใหญ่อยู่นั้น พี่แกะก็เล่าเรื่องปูแม่ไก่ ให้เราฟัง “ปูแม่ไก่นี่น่าสงสารนะครับอยู่บนเกาะกลางทะเลแต่ว่ายน้ำไม่ได้ แต่ในชีวิตก็ต้องลงทะเลไปวางไข่และก็ตายจากไป" #ข้อมูลนี้ผมก็ไม่มั่นใจว่าถูกต้องหรือเปล่า ถ้าผิดพลาดต้องขออภัยด้วยนะครับ


ถ่ายภาพปูแม่ไก่กันจนสาแก่ใจ ก็แยกย้ายกันกลับเต้นท์นอน



Chapter 10
ข้อความจากโกติ๊ง



ผมตื่นเช้ามาพร้อมกับเสียงเรือที่แล่นออกจากฝั่ง(ความจริงคือเสียงเรือปลุกให้ตื่น) ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณตี 5 ครึ่ง จะให้นอนต่อก็ไม่หลับเลยไปนั่งเล่นอยู่ริมหาด นอนฟังเสียงคลื่นทะเลยามเช้าเค้าเสียงปูแม่ไก่ พร้อมรอลุ้นว่าจะได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นแบบสวยๆไหม

ไม่เห็น!! คอตกกลับเต้นท์ขอนอนขดตัวอีกสักพัก ก่อนจะกั้นใจลุกขึ้นไปเดินสำรวจเกาะเป็นครั้งสุดท้าย



ก่อนกลับผมมีโอกาสได้นั่งคุยกับโกติ๊งเรื่องความเป็นมาและการดำเนินงานขอเกาะเหลาเหลียงแห่งนี้ โกติ๊งเล่าว่า “ เกาะเหลาเหลียงอยู่ในเขตอุทยานเภตรา เดิมเกาะแห้งนี้ใช้เป็นที่กำบังลมพายุของชาวประมง ส่วนเรื่องของการเปิดให้บริการ ทางเกาะไม่สามารถเปิดให้นักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมได้ตลอดทั้งปี เพราะจะมีการปิดเกาะในช่วงมีมีมรสุม และที่สำคัญที่เกาะแห่งนี้ไม่สามารถสร้างสิ่งก่อสร้างถาวรได้เพราะว่าอยู่ในเขตของอุทยาน เพราะฉะนั้นสิ่งก่อสร้างก็จะถูกรื้อถอนและก่อสร้างใหม่ทุกปี(นี่คือเหตุผลว่าทำไมเราถึงต้องนอนเต้นท์)"



ก่อนกลับโกติ๊งฝากไว้ว่า “ฝากประชาสัมพันธ์ บอกต่อเพื่อนๆด้วยนะ ให้มาเยี่ยมเกาะเหลาเหลียงกันบ้าง ที่นี่ธรรมชาติยังสมบูรณ์อยู่ อยากให้ทุกคนได้มาสมผัส"


ไอ้ผมก็ขี้สงสัย “แล้วโกติ๊งไม่กลัวว่าถ้าคนมาเยอะๆ แล้วธรรมชาติจะเสื่อมโทรมหรอครับ"

โกติ๊งหัวเราะและก็บอกว่า “มาเยอะแค่ไหน โกก็รับได้แค่ 60 คน/วันเท่านั้น มากกว่านี้ไม่ไหว"

ถึงตอนนี้ก็รู้แล้วว่า เหลาเหลียงแค่มีเงิน มีเวลาก็ไม่แน่ว่าจะได้ไปนะเนี่ย ดีใจครับที่ ที่นี่ไม่ได้รีดไถ ขุดรีดหากำไรจากธรรมชาติ

คุยกับโกเสร็จก็ได้เวลากลับแล้ว(ไม่อยากกลับเลย)

[ขอขอบคุณ โกติ๊ง อาลอง น้องมอส พี่แกะ ลี่ๆทุกคนบนเกาะเหลาเหลียง ที่ดูแลพวกเราเป็นอย่างดี ขอบคุณพี่แม่ครัวที่ทำอาหารอร่อยๆให้เรากินทุกมื้อ และสุดท้ายขอขอบคุณธรรมชาติที่สร้างสรรค์สิ่งที่สวยงามไว้ให้เราได้มาเยี่ยมชม]



*แล้วเจอกันใหม่นะ. . . เหลาเหลียง*



Chapter 11

ก่อนกลับ




ขากลับโกติ๊งขับรถไปส่งเราด้วยตัวเอง ที่สำคัญยังพาเราไปกินข้าวกลางวันก่อนจะแยกย้ายกันอีกด้วย เป็นร้านข้าวหมุแดงหมูกรอบ อยู่หน้าวัดน้ำผุด อร่อยมาก แนะนำว่าควรมาโดนโดยฉะเพราะ กุนเชียง (กระชิบบอกด้วยว่า ควรมาก่อนเที่ยงไม่งั้นอาจอดกิน)



กินข้าวเสร็จก็แยกย้าย ลาจากโกติ๊ง ก็มาต่อกันที่ขอฝาก ที่จะซื้อไปฝากคนทางบ้านกันเริ่มที่


ร้านแรก เค้กเบญจมิตร ของดีเมืองตรัง ร้านเล็กๆแต่ขายดีหมดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ ดีนะที่วันนั้นไปยังมีเหลือ



ร้านที่2 ขนมเปี๊ยะซอย9 ขายดีจนต้องจำกัดจำนวนซื้อ ต่อคนต่อกล่อง (วันที่ไปได้คนละ 1-2 กล่อง)



*ผมชิมแล้วอร่อยทั้ง 2 ร้านครับ



จบแล้วครับทริป “เดินเล่นเมืองตรัง ดำน้ำดูปะการังเกาะเหลาเหลียง ขอบคุณท่านผู้อ่านทุกท่านที่อดทนอ่านมาจนจบ หากมีข้อผิดพลาดประการใด ผมในฐานะผู้เขียน ขออภัยมา ณ ที่นี่ด้วยนะครับ



#haltenmoment

Haltenmoment

 วันศุกร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2559 เวลา 19.48 น.

ความคิดเห็น