เมื่อถึงช่วงฤดูกาล ที่ลมหนาวพัดผ่านเข้ามา
ทำให้ผมจินตนาการภาพขึ้นมาว่า
อยากไปอยู่บนภูเขา สัมผัสอากาศเย็นๆ
เคล้าคลอกับไอหมอก
หยิบกล้องคู่ใจ ออกไปเก็บภาพ
ปลีกตัวออก ไปใช้เวลาแบบ Slow life มีกาแฟอร่อยๆดื่ม
สถานที่ที่ผม เลือกไป นั่นก็คือ " เขาค้อ " จังหวัดเพชรบูรณ์ นั่งเอง
หลังจากนัดแน่ะรวมตัว
กับเพื่อนๆได้ทั้งหมด 4 คน
เราก็ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่
จังหวัด เพชรบูรณ์กันทันที
เรามีการเตรียมตัววางแผน เตรียมความพร้อมกันค่อยข้างเป็นอย่างดี
โดยเราวางแผนว่า เราจะต้องไปถึงจุดชมวิวกันก่อนฟ้าจะสว่าง
เพื่อจับจอง มุมเเหมาะๆ ตั้งกล้อง
ตามคำพูดที่ว่า
"นกที่ตื่นก่อนย่อมได้ตัวหนอนที่ตัวใหญ่เสมอ"
เราไปถึง จุดชมวิวบริเวณร้านกาแฟที่ชื่อว่า "Pino Latte" เวลาประมาณตี 5
ระหว่างทางขึ้น เราขับรถผ่าน
"วัดพระธาตุผาซ้อนแก้ว"
เห็นพระพุทธรูป "พระพุทธเจ้าห้าองค์"
สีขาวตระหง่าน
ในช่วงเวลาทีฟ้ายังไม่สว่าง
เราเลยเก็บภาพมาด้วย
เราได้มุมกางขาตั้งกล้อง ในจุดที่ต้องการ
คิดในใจว่าไม่เสียแรงทีมาตั้งแต่เช้ามืด 555
เราตั้งกล้องเตรียมถ่ายรูปพระอาทิคย์ขึ้นในตอนเช้า
ภาพที่เราเห็นคือ
ท้องฟ้าเปล่งประกายสีทองตัดกับเส้นขอบฟ้า
มีแนวเขา สลับซ้อนกันเป็นฉากหน้า
มันเป็นภาพที่สวยงามมากเลยทีเดียว
เสียดายที่เช้าวันนี้
น้องหมอกมาอวดโฉมให้เราเห็นบางตามาก
พวกเราเก็บภาพกันซักแปป
แสงแดดเริ่มมากขึ้น
พอดีกับร้านกาแฟ "Pino Latte"
ก็เปิดให้บริการนักท่องเที่ยว
เวลาในตอนนี้
ยังมีนักท่องเที่ยวมากันยังไม่มาก
บรรยากาศค่อนข้างเงียบ ไม่พลุกพล่าน
ที่ร้านกาแฟแห่งนี้ ค่อนข้างมีพื้นที่กว้าง
สามารถรองรับ
นักท่องเที่ยวได้มากเลยที่เดียว
โดยทางร้านได้ปลูกดอกไม้หลากหลายชนิด
ตกแต่ง ไว้ค่อนข้างสวยงาม
พวกราอยู่ทำตัว ชิลๆ
กันจนแแสงแดดเริ่มมากขึ้น
ได้เวลาเดินทางไป
จุดต่อไปของพวกเราที่ แพลนไว้
ที่นี่ก็คือร้าน "Tak Moh"
ร้านใหม่ที่สร้างขึ้นมาไม่นาน บรรยากาศในร้าน
ก็ตาม Concept ของชื่อร้าน โดยตกแต่งแนว แบบโรงเตี้ยมจีน
มีที่นั่งทั้งด้านในและด้านนอก ค่อนข้างมาก
ร้านแห่งนี้ตั้งอยู่บนจุดที่มีระดับความสูงกว่า ร้าน "Pino Latte"
ภายในร้าน มีโคมไฟ สีสันสดใส ตกแต่งแขวนเรียงเป็นแนวยาว
ขอแน่ะนำว่า ถ้าใครได้มาถึงร้าน "Pino Latte" แล้ว
ไม่ควรพลาดที่จะขับรถขึ้นมาลองนั่งชมวิวที่ร้าน "Tak Moh"
ขนมและ เครื่องดื่มที่นี่ ราคาแรงนิสสนึง แต่ได้แลกกับ วิว
และความอร่อย รวมถึงการตกแต่งร้าน ก็ถือว่าคุ้มเลยทีเดียว
พอเริ่มสายๆ เราก็ได้เดินทางที่จะมุ่งหน้า ไป "พระตำหนักเขาค้อ"
ระหว่างทางเราผ่านร้าน อีกหนึ่งร้าน ที่ไม่แว่ะ คงไม่ได้ เพราะอะไรดูภาพนี้ แล้วจะเข้าใจ
ที่นี่คือร้าน "Piney Bristro Cafe"
พวกเราสั่งเครื่องดื่มมาคนละชนิด
เพื่อลองชิม
ทุกเมนู พวกเราลงความเห็นว่า
อร่อย ทุกอย่าง
ที่ร้านยังมี เมนูอาหาร ไว้คอยให้บริการอีกด้วย
ภายในร้าน ตกแต่งแบบ ผนังปูนเปือย ใช้ไม้ขัดมัน ประกอบการตกแต่ง
หลังจากที่พวกเราใช้เวลา ครึ่งวัน อยู่กับแต่ร้านกาแฟแล้ว
ได้เวลาที่ต้องเดินทางไปยังที่พัก
ในคืนนี้ ของพวกเรา นั่นคือ
" พระตำหนักเขาค้อ "
ที่พักในค่ำคืนนี้ของพวกเรา ไม่ได้มีค่าตัวสูง
แต่บรรยากาศและความ ฟิน
บอกเลยว่าสูง 555
ใช่แล้วครับ คืนนี้ พวกเรา เลือกนอน เต้นท์
ครั้งแรก กับการนอน เต้นท์ ของผม
เป็นธรรมดาที่ผมกางเต้นท์ ไม่เป็น
เลยขอความช่วยเหลือ จากน้องๆทหาร
ที่ประจำการอยู่ที่ พระตำหนัก มาช่วยจัดการให้ ต้องขอบคุณ อีกครั้งน่ะครับ
เราเลือกตำแหน่งกางเต้นท์
ได้พอดีเลยทีเดียว
รับรองว่า เช้านี้ ตื่นขึ้นมา ฟิน แน่ๆ
หลังจากพระอาทิตย์ ลาลับขอบฟ้าไป
อากาศเริ่มเย็นลง
พวกเรานั่งคุยกันเรื่อยเปื่อย
ในบรรยากาศความมืด
และเสียงร้องของจิ้งหรีด
ดูเวลาประมาณ 4 ทุ่มพวกเราก็แยกย้ายกันเข้านอน
ผมตื่นขึ้นมากลางดึก เลยมานั่งนับดาว ท่ามกลางความเงียบของอุทยาน
ช่วงเวลาของความสุขมักผ่านไปเร็วเสมอ
เสียงนกร้องยามเช้า
บริเวณอุทยาน เขาพระตำหนัก
ปลุกผมให้ตื่นขึ้นมายามเช้า
พอผมเปิดเต็นท์ ออกมา
เห็นแสงของดวงอาทิตย์ โผล่พ้นขอบฟ้า บวกกับความหนาวในตอนเช้า
เช้าวันนี้ท้องฟ้า สดใสมากเลยทีเดียว
พวกเราเลยรีบจัดการ อาบน้ำ แต่งตัว มานั่งชิล ที่จุดชมวิวของทางอุทยาน
บอกได้เลยว่า มันเป็นช่วงเวลา ของ ความสุข จริงๆเลย
ที่นี่ มีอาคารห้องพัก ไว้รองรับนักท่องเที่ยว
เป็นตัวอาคาร 2 ชั้น มีอยู่ 2 อาคาร
สำหรับคใครที่ต้องการความสะดวกสบาย ห้องน้ำในตัว
ก็สามารถ จองห้องพักประเภทนี้ได้
พวกเราขับรถ ลงมาจากที่พัก สังเกตุเห็น
อ่างเก็บน้ำที่อยุ่ใกล้ๆกับเส้นทางที่รถวิ่งผ่าน
ไม่รอช้า จับกล้อง หามุม เก็บภาพ ทันที
วันนี้พวกเรามีแพลน เดินทางไปเที่ยวบริเวณสถานที่ ที่ใกล้เขาพระตำหนักเขาค้อ
ในระหว่างเส้นทางขับรถของเรา
พวกเราโชคดี ได้เห็นทะเลหมอก
ที่แรกของเราก็คือ "ทุ่งกังหันลม"
บริเวณทุ่งกังหันลม กินพื้นที่กว้างขวางมาก มีกังหังลม เรียงรายอยู่ ตั้งสูงสง่า
ใกล้ๆกันยังมี Landmark ที่น่าสนใจ
สำหรับมาถ่ายรูป ได้ภาพมุมเก๋ๆ
ขากลับพวกเราขับรถลงมาจากทุ่งกังหันลม
ระหว่างทางเรา แว่ะ ทุ่งดอกไม้คอสโม่
ที่นี่มีการเก็บค่าบริการชมสวนดอกไม้
20บาทต่อคน
หลังจากที่เพลินเพลินกับสีสันของดอกไม้แล้ว
พวกเราออกเดินทางไปยัง
"The Blue Sky Khao Kho"
พวกเราไม่ได้พักที่นี่ แต่เรามาชมความสวยงาม
เพื่อตั้งใจเก็บภาพ ภายใน รีสอร์ท
ที่ "The Blue Sky Khao Kho"
มีการตกแต่งแบบ แนวสวนแบบอังกฤษ
สำหรับนักท่องเที่ยวที่ไม่ได้เข้าพักที่นี่ ถ้ามีความต้องการ
ที่จะมาชมสวน จะมีค่า บริการ 150 บาทต่อคน
พวกเราใช้เวลา ที่นี่ค่อนข้างนานมาก
เพราะที่รีสอร์ท มีพื้นที่กว้างมาก และยังมีมุมถ่ายรูปสวยๆเพรียบ
หลังจากอ่อนล้า
กับการถ่ายรูปเกือบตลอดทั้งวัน
พวกเราเดินทางกลับที่พัก เพื่อพักผ่อน
ที่สำคัญพรุ้งนี้เราต้องตื่นตั้งแต่เช้ามืด
เพื่อเดินทางไปดูหมอก ที่ "ภูทับเบิก"
เช้ามืดวันถัดมา
พวกเราออกเดินทาง มาถึงภูทับเบิก
แต่แอบผิดหวังเพราะ หมอกมีเย่อะมา
แต่ลมก็แรงเช่นกัน
ทำให้หมอก ฝุ้งกระจาย ภาพที่ได้
เลยไม่ใช่ทะเลหมอก 555
เราใช้เวลา รอ แอบหวังลึกๆว่า
มันอาจจะสวย แต่ก็ได้แค่หวัง
พวกเราเลยตัดสินใจกลับกัน
เพื่อเดินทางกลับ ชลบุรี
ขากลับก็จะผ่านไร่กระหล่ำปลี
ที่ขึ้นชื่อที่ ภูทับเบิก
ทริปนี้ พวกเราใช้เวลากันทั้งหมด 3 วัน 2 คืน
ค่าใช้จ่ายตลอดทริปถื่อว่าไม่สูงมาก เพราะเราเซฟค่าที่พักไปได้เย่อะเลยทีเดียว ส่วนเรื่องอาหารการกินก็ ราคา ทั่วๆไป แต่ประสบการณ์ที่ได้มันตรงข้ามกับค่าใช้จ่ายเลยจริงๆ เราได้ใกล้ชิดธรรมชาติ ได้เจอรอยยิ้มของเพื่อนๆ ได้เปิดมุมมองใหม่ๆ ในระหว่างเดินทาง ได้สัมผัสอากาศเย็นๆ สดชื่นจากควาเขียวขจีของต้นไม้ นี่แหล่ะที่เขาพูกันว่า การเดินทาง คือ การได้อ่านหนังสือ เล่มใหญ่ เพราะโลกใบนี้ มันกว้างใหญ่ยิ่งนัก
เพื่อเป็นกำลังใจ ให้ผม สามารถ กดติดตามได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/MongTravel/
IG : cappuccino_prince9
มี รีวิว อีกหลายตัวเลยครับ ที่รอคิวอยู่ แล้วเจอกันใหม่น่ะครับ
Email : [email protected]
MongTravel
วันพฤหัสที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2562 เวลา 07.33 น.