ก่อนอื่น ขอกล่าวคำว่า สวัสดีทุกท่านครับ ที่หลงเข้ามาในบันทึกการเดินทางของผม ทริปนี้เกิดขึ้นได้ เนื่องจากเป็นวันเกิดของภรรยาครับ
ซึ่งเราเดินทางมาฉลองวันเกิดที่เชียงใหม่เป็นปีที่4 ติดต่อกันครับ การมาเยือนเชียงใหม่แต่ละครั้งไม่เคยทำให้ผม ผิดหวังสักครั้ง
ถึงจะมาทุกปี แต่ก็ไม่เคยเบื่อเลยครับ มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว มาแต่ละครั้ง ตื่นเต้นทุกครั้งครับ ทริปนี้ผมจะพาทุกท่านไปเที่ยว
ดอยอินทนนท์ และไปตามรอยละคร ตามรักคืนใจ ที่ขุนวาง และขอแนะนำที่พักแห่งใหม่The Core hotel Chiang mai
ซึ่งอยู่ใจกลางเมืองและพาไปชิมอาหารที่กาแล ตบท้ายด้วย โรตีกู ทั้งหมดที่กล่าวมา ค่าเสียหายคนละ 3500+บาท
ผมจะขอเล่าเป็นส่วนๆไปน่ะครับ อาจจะไม่ต่อเนี่ยงจากบ้าง แต่ตอนท้ายจะเขียนเป็นแพลนให้เพื่อนๆ
ได้เก็บเป็นข้อมูลไว้ครับเผื่อมีประโยชน์สักนิดหนึ่ง



อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์


การเดินทาง


ผมออกเดินทางจากกรุงเทพประมาณ สามทุ่มครับ เปิด google mapไป แวะพักรถและทานข้าวที่ ตาก ไปโดย google map มีสองทางให้เลือกคือ เส้นทางแรกใกล้กว่า 70 กม ผ่านตัวอำเภอเถิน ลี้ จอมทอง ขอบอกเลยว่าอย่าได้ไปเส้นทางนี้เด็ดขาดครับ ทางนี้เป็นถนนไม่ดีแถมขรุขระ เปลี่ยวมากครับ ระหว่างทางเป็นเขาลาดชันและเนินระยะทางเกือบ 40กม. ขับมาจากที่ง่วงนอน หายง่วงเลยครับ เตือนเพื่อนๆไว้เลยให้ไปทางลำปาง ลำพูน เชียงใหม่ จอมทอง แทนครับถึงแม้จะไกลกว่าแต่ขับสบายกว่ามากครับ ส่วนการขับรถขึ้นยอดดอย ให้ขับขึ้นช่วงตี 4 เป็นต้นไปขับ ถ้าหลังจากนั้นอาจจะมีรถขึ้นมาเยอะทำให้ขับไม่ค่อยสะดวก ผมขึ้นตอนตี 4 ขับตามกันมา สามคัน สบายๆไม่มีรถสวนเลยครับ ให้ขึ้นไปที่ยอดดอยก่อนครับเพราะที่ พระธาตุนภเมทนีดลและพระธาตุนภพลภูมิสิริ เปิดให้เข้าไป 8 น.ครับ หรือใครไม่ขึ้นไปยอดดอยก็ได้ มีลานจอด ฮอลิคอปเตอร์ อยู่ขึ้นไปหน่อยจากพระมหาธาตุ มาจอดรถ ชมพระอาทิตย์ขึ้นได้ครับ




มาถึงยอดดอยประมาณ ตี 5

เปล่งแสงกับดาว


แสงแรกของวันมาแล้ว


จุดสูงสูดแดนสยาม


เป็นจุดที่อยู่เหนือสุดและสูงสุดของประเทศไทย ระยะทางจากพระธาตุขึ้นมาที่จุดสูงสูด เป็นทางลาดชันมาก ประมาณ 5กม.ได้ครับและถนนจะไปสุดทางที่ หอดูดาว มีลานจอดรถจอดได้ประมาณ 50 คัน ส่วนการเดินขึ้นไปถ่ายรูปคู่กับป้ายจุดสูงสุดแดนสยาม เดินจากลานจอดรถระยะทาง ประมาณ 50 เมตร ขึ้นได้ 2ทางครับ วันที่ผมไป อากาศ 5 องศา ลมเย็นและหนาวมากครับ ข้อควรประปฎิบัติเลย เตรียมตัวสู้กับความหนาว เสื้อกันหนาว สาทชั้นได้ยิ่งดีครับ ถุงมือ ถุงเท้า ผ้าพันคอ หมวกต้องพร้อม ถ้าคุณไม่เตรียมไปรับรองกรเที่ยวของคุณจะไม่สนุกแน่นอนครับ ยิ่งคนกรุงเทพไปเที่ยวด้วยควรเตรียมไปเพราะเราอยู่ที่อากาศร้อน แล้วไปเจออากาศที่หนาวเย็นมากๆจะทำให้ไม่สบายแน่นอน ผมกลับมาน้ำมูกใหลเลยครับ

จุดชมวิว กม.41


ลงมาจากจุดสูงสุดแดนสยาม ประมาณ5 กม. จุดชมวิวจะอยู่ด้านซ้ามือครับ ห้ามจอดน่ะครับ อ่อลืมบอกไปอีกอย่างระหว่างทางลงมา

ช่วง กิโลเมตรที่ 42 จะมีรถนักท่องเที่ยวจอดทั้งสองข้างทาง ไม่ต้องสงสัยน่ะครับ เค้าลงไปถ่ายรูปน้ำค้างแข็งกันครับ

หลังจากจุดนั้นประมาณ 1 กม. ก็ถึงจุดชมวิวแล้วครับ ให้เลี้ยวขวาไปจอดรถฝั่งขาขึ้นน่ะครับ ขาลงไม่ให้จอด ถ้าจอดจะมีเจ้าหน้าที่มาไล่ครับ

หรือถ้าขยันเดิน ลงไปจอดที่ลาน ฮอลิคอปเตอร์ได้ครับ เดินเหนื่อยเหมือนกัน แวะถ่ายรูป15นาที หลังจากนั้นลงมาจุดต่อไป

ข้อควรระวังที่จุดนี้คือการข้ามถนนครับ และไม่ควรถ่ายภาพกลางถนน เห็นนักท่องเที่ยวบ้างท่านทำแล้ว กลัวอุบัติเหตุแทน



วันที่ไปลมแรงมากครับเลยไม่มีน้ำข้างแข็ง

มาดูจุดชมวิวกันดีกว่าครับ สวยมาก


ภรรยาอดใจไม่ไหว ขอลงมาเก็บภาพบ้าง


ถ้าได้อะไรร้อนๆมาทานจะฟินมาก


ขับรถลงเนินไปหน่อย จะเจอลานจอฮอลิคอปเตอร์ครับ ส่วนมากจะมีแต่รถตู้กับรถเหลืองมาจอดรอนักท่องเที่ยว


เดินไปหน่อยจากที่ลานจอดรถครับ จะเห็นวิวนี้


พระธาตุนภเมทนีดลและพระธาตุนภพลภูมิสิริ


ลงมาจากจุดชมวิวที่ 41 ทางเข้าและที่จอดรถจะอยู่ฝั่งขาขึ้นหรือขวามือ ให้เลี้ยวรถเข้าไปจอดด้านในได้เลยครับ นอกเสียจากด้านในเต็ม

เจ้าหน้าที่จะไล่ให้ไปจอดด้านนอก ต้องระมัดระวังรถที่ขึ้นมาด้วยน่ะครับเพราะรถกำลังใช้ความเร็วและแรงจำนวนมากในการไต่เนินขึ้นมา

พระธาตุจะอยู่ 2ฝั่งครับ มีบันไดเลื่อนให้ขึ้นไปได้และมีดอกไม้ไว้สักการะบูชา หยอดตู้ตามศรัทธาครับส่วนขาลงต้องเดินลงครับ

ส่วนประวัติผมไม่ขออธิบายน่ะครับ เนื่องจากข้อมูลไม้แน่น ขอพูดโดยรวม มีจุดให้ถ่ายรูปเยอะมาก ทั้งดอกไม้ หรือจะเป็นวิวด้านหลัง

เป็นทิวเขาและด้านบนลมเย็นมาก ควรเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อสู้กับลมหนาว ผมใช้เวลาอยู่ที่นี้ประมาณ 1 ชม ครับ

ขอแนะนำครับ


ถ้าอยากได้ภาพที่เห็นองค์พระมหาธาตุ ด้านหลังมีทิวเขา และท้องฟ้าสวยๆ ให้สังเกตป้าย ทรงพระเจริญ จะมีทางเล็กๆให้เดินขึ้นไปครับ โปรดระมัดระวังด้วยน่ะครับเนื่องจากทางลาดชันและเล็ก



ถ้าขึ้นไปก็จะได้รูปแบบนี้

ลงมาถ่ายด้านล่างกันเหมือนคนปรกติเค้าดีกว่าครับ 55


ถ่ายให้นางแบบ


ด้านหลังนางแบบ


สถานีเกษตรขุนวาง



ขับรถลงมาเรื่อยๆ สังเกตป้าย หมู่บ้านขุนกลาง หรือป้ายสถานีเกษตรขุนวาง ระยะทางจากทางเข้าจนถึงสถานี ระยะทางประมาณ 15 กม ครับ ทางค่อนข้างแคบและโค้งหักศอก สลับกับทางลาดชัน มีช่วงหนึ่งกำลังทำถนนอยู่ระวังด้วยน่ะครับ ขับช้าๆดีกว่าไม่ต้องรีบครับ เพราะที่นี้เที่ยวได้ทั้งวัน อากาศเย็นสบาย ถึงแม้จะมีแดดก็ตาม พอขับไปถึงสถานีแล้วแนะนำให้นำรถเข้าไปจอดด้านใน หรือถ้าเต็มให้จอดฝั่งซ้ายมือครับ บริเวณที่ขายของ อย่าไปจอดฝั่งขวาเด็ดขาดเนื่องจากเป็นทางต่างระดับ รถเก่ง รถตู้ สเกิตท์พังกันเป็นแทบๆ ด้านในจะมีร้านอาหาร ร้านกาแฟ รวมถึงลานกางเต้นท์ บ้านพัก ผมไม่ทราบข้อมูลเหมือนกันว่าติดต่อที่ใหน เดินลงเนินไปก็จะเจออุโมงค์พญาเสือโคร่งหย่อมๆระยะสั้น ต้องเดินไปอีกประมาณ 400เมตร ด้านซ้านมือจะเป็นอุโมงค์สีชมพู ที่ณเดช กับ มิว ไปถ่ายละคร เรื่องตามรักคืนใจ ระยะของอุโมงค์ ยาวประมาณ 4-500 เมตร เป็นทางลาดชันต่ำๆ จุดนี้ถ่ายรูปให้เต็มที่เลยครับ สวยมาก ช่วงผมไปวันที่ 29 มกราคม 59 ยังไม่บานเต็มที่ คลาดวันช่วงตรุษจีนนี้จะบานแบบพีคสุดๆ แนะนำเลยครับที่นี้ต้องไปให้ได้ สวยมากครับ ผมใช้เวลากับที่นี้นานมาก 2 ชม. เห็นจะได้ทั้งทานข้าว ซื้อสตอเบอร์รี่ ร้านข้าวที่อยู่ด้านนอก อร่อยมากครับผัดผักไม่ว่าจะผัดผักอะไร เพราะผักสดมาก ผมสั่งร้านที่อยู่ใกล้กับร้านข้าวขาเจียว สั่งผัดผักรวมกับผัดยอดซาโยเต้หรือยอดแม้ว ข้าวสองจาน น้ำอัดลม ทั้งหมด 135 บาท เป็นมื้อที่อร่อยที่สุดและประทับมากครับ ส่วน สตอเบอรี่ผมซื้อจากที่นี้ไปลูกเล็ก กิโลละ 140 บาทถ้าจะทานเลยให้ซื้อลูกใหญ่กิโลละ 250 บาท หวานฉ่ำมากครับเพราะมันสุกคาต้น ไม่แนะนำให้ซื้อแล้วค้างไว้หลายวันมันเสียเร็วมาก ถ้าจะซื้อกลับบ้านให้ซื้อยกลัง ลังละ 1100 บาท ต่อราคาได้แค่นี้ครับ เพราะยกลังจะเป็นสตอเบอร์รี่ใหม่และสดอยู่ให้เลือกซื้อลุกเล็กไปและซื้อสตอเบอร์รี่สีขาวไปเลยมาถึงกรุงเทพจะแดงพอดีพร้อมทาน หลังจากนี้ก็ตรงดิ่งเข้าที่พักเลยครับ ตั้งแต่เมื่อคืนยังไม่ได้นอนเลย ลืมบอกไปครับ ผมใช้เส้นทางเข้าเชียงใหม่-หางดง ช่วงแรกถนนดีมากครับ ขับไปได้สักพักถนนจะเหลือสองเลนท์ ขับระวังนิดหนึ่งน่ะครับ ข้อดีของทางนี้คือมันจะไปโพล่ที่ถนนเลียบคลองชลประทาน ที่นี้จะไปใหนก็สะดวกแล้วครับ

ข้อปฎิบัติ ผมว่าเรื่องนี้ไม่รู้จะพูดยังงัยครับว่าอย่าโน้มกิ่งหรือเด็ดดอกมาถ่ายรูปคู่กับมันเลย เราตก็รู้กันทุกคนแต่ก็ยังมีคนทำ นักท่องเที่ยวที่ดีควรปฎิบัติตามกฎเค้าน่ะครับ



สีชมพู เห็นได้ตั้งแต่ทางเข้าเลยครับ

จากจุดที่เห็นซากุระ ให้เดินไปอีกประมาณ 300 เมตรครับแล้วจะกับต้นพญาเสือโคร่งสีขาว


หลังจากเจอพญาเสือโคร่งสีขาวแล้ว ให้เดินต่อไปอีก 200 เมตร แล้วคุรจะได้พบกับสิ่งที่คุณตามหา


ด้านล่างคนจะเยอะนิดหนึ่งครับ แนะแนำให้เดินไปด้านบนคนจะน้อยกว่า


ถ้ามองจากด้านล่างขึ้นไป เห็นมั้ยครับคนแทบไม่มี


มาดูดอกพญาเสื้อโคร่งใกล้ๆกันครับ


ถอยออกมาดูห่างนิดหนึ่ง


โดยรวมกันบ้าง


ทิ้งท้ายด้วยรูปนี้กับพญาเสือโคร่ง กับ พญาเสือดาว


ขากลับเดินขึ้นเนินเหนื่อยมากครับ ไปหาอะไรตรงตลาดทานกันดีกว่า ผัดผักรวมครับ


ผัดซาโย่เต้ หรือยอดฟักแม้ว


อิ่มแล้วไปหาซื้อของฝากกันดีกว่า


สตอเบอร์รี่ลูกเล็ก ซื้อมาสีขาวๆไปถึงกรุงเทพ สีแดงพอดีเลยครับ กิโลละ 140 บาท


มาดูลุกใหญ่กันบ้าง ลูกใหญ่แดง กิโลละ 250 บาท ถ้าลูกใหญ่ขาว 380 บาท

ลูกสีแดงใหญ่จะหวานกว่าสีขาวใหญ่ ซื้อขาวใหญ่มาทานที่กรุงเทพ รสชาติ ออกเปรียวๆ

ลา ขุนวางกันด้วยภาพนี้ครับ


The Core Hotel, Chiangmai


ที่ตั้ง


โรงแรมเปิดใหม่ซึ่งอยู่ใจกลางเชียงใหม่ครับ เดินทางสะดวกมากไม่ว่าจะไปดอยสุเทพ สวนสัตว์เชียงใหม่ หรือจะออกนอกตัวเมือง สะดวกทั้งนั้น และยังติดกับกาดมารินทร์ แหล่งชอปปิ้งหน้า มช ห้างเมย่า ติงค์พาร์ค หรือย่านนิมมานที่มีทั้งที่กิน ที่เที่ยวครบครันเรียกได้ว่าเป็นทำเลที่ตั้งที่ดีมากจริงๆครับ

ห้องพัก


โรงแรมเปิดใหม่ ข้าวของเครื่องใช้ยังสะอาดมากครับ หมอนเยอะสะใจ มีทั้งแบบนิ่มและแน่น ยังไม่พอมีหมอนใบเล็กลายผ้าย้อมให้อีก ห้องพัหมีอยู่ มี 4ประเภทครับ คือ ดีลักซ์เตียงเดียว ดีลักซ์เตียงคู่ และดีลักซ์สามเตียง ประเภทสุดท้ายคือ แฟมิลิรูม คือการนำห้องดีลักซ์เตียงเดียวและเตียงคู่มาไว้ด้วยกันโดยมีห้องนั่งเล่นไว้คั่นกลางครับ ห้องเลยใหญ่มาก จำนวนห้องพักทั้งหมด 56 ครับ ส่วนมากจะเป็นดีลักซ์เตียงเดียวและคู่ ห้องแฟมิลี่มีอยู่แค่ชั้น 2 และ ชั้น 4 ส่วนตัวผมชอบห้องแฟมิลี่มากกว่าครับ ถ้ามากลับครอบครัวแนะนำเลย ส่วนห้องที่ผมพักจะเป็นห้องดีลักซ์เตียงเดียว ห้องใหญ่พอประมาณ มีโต๊ะทำงาน ตู้เย็น ตู้เซฟ ระเบียงด้านนอก โดยรวมถือว่าโอเครมากครับสำหรับความคุ้มค่ากับราคา ทีเด็ดจริงๆอยู่ที่เตียงนอน นุ่มมากครับ เพราะมีฟูกปูให้อีกชั้นเลยทพให้นอนสบาย ส่วนห้องน้ำเป็นสิ่งที่ขัดใจมาก ออกจะแคบไปหน่อย ถูสบู่ที แขนชนกระจกต้องระวังเพื่อไม่ให้ชนครับ ถ้าคนตัวใหญ่อาจมีปัญหาได้ น้ำแรงและอุ่นกีครับแต่ต้องใช้เวลานิดหนึ่งเพราะเป็นน้ำร้อนจากส่วนกลาง อาบไประวังอย่าปรับไปสุดน่ะครับ ค่อยๆปรับให้อุณภูมิคงที แล้วค่อยอาบ อีกอย่างที่ชอบคือ มินิบาร์ฟรี ครับ น้ำเปล่า 2 ขวด Est 2 กระป๋อง ส่วนตัวชอบทานน้ำอัดลมครับ เลยฟินมากแล้ว

สิ่งอำนวยความสะดวก มีครบครันครับ


เตียงนอน หลับสบายมาก


หมอนเยอะสะใจดีครับทั้ง แบบนุ่มและแบบแน่น


ส่วนนั่งเล่นของห้อง แฟมิลี่ ขอเข้าไปถ่ายมาครับ


Lobby


พูดได้คำเดียวว่า เหมาะแก่การถ่ายรูปมากครับ ออกแนวฮิปสเตอร์ ลอบบี้ไม่กว้างมากแต่ออกแบบและตกแต่งได้ดีเลยทีเดียวครับ พื้นที่ไม่มากแต่สามารถสร้างจุดแตกต่างได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็น ฉากถ่ายรูปด้านในสุด โต๊ะทำงาน ชิงช้า สามจุดนี้ถ้ามีคนถ่ายรูปไป ใครเห็นคงเดาได้ไม่อยากเพราะมันเป็นเอกลักษณ์สะเหลือเกิน ทั้งพี่ม้านครพิงค์ชื่อนี้ผมตั้งเองครับ ชิงชาพาฝัน หรือโต๊ะกรรมกร ฮ่าๆ ความจริงมันไม่ได้ชื่อแบบนี้น่ะครับ ผมตั้งเอาเอง สาวๆที่มาพักที่นี้รับรองได้รูปสวยๆไปโพสอวดเพื่อนในโซเชียวเยอะแน่ๆครับที่ลอบบี้ยังมีตู้ขายเครื่องดื่มทั้งน้ำอัดลม และแอลกอแฮอล์ มีให้เลือกเยอะ

ชิงช้าพาฝัน

โต๊ะกรรมกร


สระว่ายน้ำ


สระขนาดไม่กว้างแต่ทำออกมาได้ดูดีมากครับ เพราะมีเจ้าหงษ์ขาว เป็นตัวชูโรงสระว่ายน้ำ ช่วงนี้คงได้พักมากถึงมากที่สุด อากาศเย็นไม่มีใครลงไปว่ายแน่นอน แต่ถ้าน่าร้อนคงขายดีมากครับ ยิ่งช่วงสงกรานต์นี้ กลับจากเล่นน้ำ

มาว่ายน้ำต่อได้เลยครับ ข้อเสียของสระ คงเป็นความเป็นส่วนตัว เพราะมันใกล้ลอบบี้ และคนเดินผ่านได้ทั้งสองทาง เล่นไปอาจมีเขินอายได้ แต่ทางโรงแรมได้นำต้นไม้มาบังไว้ป้องกันได้ส่วนหนึ่ง แต่อีกด้านที่ติดกับฝั่งห้องน้ำยังโล่งอยู่เลยครับ ถ้าแก้ปัญหาตรงนี้ได้จะดีมากครับ

มีพี่หงษ์ขาวเป็นไอเทมเด่น


ห้องอาหาร


สำหรับผมคือเป็นจุดไฮไลท์ของผมเลย ชอบส่วนนี้เป็นพิเศษครับ อย่างแรก บรรยากาศกินขาดอร่อยมากครับ มีที่ทานแบบโต๊ะและหลุมไล่ระดับลงไปแถมเห็นวิวดอยสุเทพ อย่างที่สอง มีอาหารเช้าเป็นอาหารเหนือส่วนตัวไม่เคยเจอเลยครับในการพักโรงแรมในภาคเหนือมา มาเจอที่นี้ที่แรก ฟินเลยครับได้ทาน น้ำพริกพนุ่ม แกงฮังเล แคปหมุ ใส้อั่ว มาเหนือต้องได้ทานอาหารเหนือสิครับ ถามพนักงานบอกว่าจะมีหมุนเวียนสับเปลี่ยนตามเทศกาลไป เดือนกุมภาพันธ์ จะเปลี่ยนเป็นติ่มซำ ยังงัยลองสอบถามดูน่ะครับ ว่าจะมีอาหารเหนืออีกหรือเปล่า ส่วนอาหารอื่นๆ มีบาร์สลัด ข้าวผัด ข้าวต้ม ไข่ดาว แฮม ใส้กรอก น้ำผลไม้ ชา กาแฟ อีกอย่างที่เด็ดคือพนักงานบริการดีมากครับ สุภาพ อ่อนน้อม แถมหล่อด้วยครับ ฮ่าๆ

ห้องอาหารตอนกลางวัน


ห้องอาหารตอนเย็นนี้แหละครับ ที่ผมว่าเด็ดที่สุด


อากาศเย็นๆนั่งชิวสบายๆแถมไม่มียุงด้วย


ด้านในของห้องอาหาร


นั่งด้านนอกรับลมหนาวดีกว่าครับ สั่งอะไรมาทานหน่อย


ย้ายมานั่งเก้าอี้ด้านบนดีกว่า เห็นแสง สี ดูเพลินตาดี


มาแล้วครับน้ำแอปเปิ้ล


นั่งทานสักพัก ผมก็ออกไปทานข้าวที่ร้าน กาแล


อีกด้านหนึ่งของห้องอาหารจะมี ที่นั่งเล่นชิวๆไว้ให้ด้วย


อาหารเช้ากับรรยากาศยามเช้าของเชียงใหม่


ห้องอาหารเปิด 6.30 น. รีบขึ้นมาถ่ายก่อนคนจะเยอะครับ ไลน์อาหาร


อาหารที่นี้ผมประทับใจมาก มีอาหารเหนือด้วยครับ ปลื้มปริม


บาร์สลัด ผักมีให้เลือกไม่เยอะ แต่เติมตลอดครับ


ซีเรียล เห็นแล้วก็นึกถึงลูกสาว นางชอบมาก


ผลไม้ มีแตงโม สัปปะรด แคนตาลูป ในส่วนนี้น่าจะมี สตอเบอรี่ หรือลำใย ผลไม้ตามฤดูกาลด้วย


เครื่องดื่ม มีทั้ง ร้อนเย็น ชา กาแฟ น้ำผลไม้


มาดูอาหารที่ตักไปทานกันครับ


นั่งทานกันในหลุม ถ้าอยากนั่งตรงนี้ รีบมาน่ะครับ โต๊ะขายดีมาก


ทานเสร็จ มานั่งย่อยอาหาร รับแดดอ่อนๆอุ่นดีครับ


ก่อนกลับขึ้นมาถ่ายรูปที่ห้องอาหารอีกครั้ง


ที่จอดรถ


คงเป็นจุดด้อยของที่นี้ เพราะที่จอดรถน้อยไปหน่อย มีด้านหน้าโรงแรมที่สามรถจอดได้ 15 คัน และด้านข้างกาด มารินทร์ห่างออกไประยะทาง 300 เมตรครับ ผมขับมาจากอินทนนท์ ไม่ได้ออกไปใหนเลย เช่ามอไซค์ครับ เดินทางสะดวกกว่า เชียงใหม่รถติดใช่ย่อยเลยครับ บางทีกรุงเทพสู้ไม่ได้ เวลาไปใหนผมแนะนำเลยครับเช่ามอไซค์ หรือปั่นจักรยานมีให้ยืมครับ ส่วนมอไซค์ เช่าวันละ 250 บาท ถ้าไปนิมมานขับมอไซค์ไปประมาณ 15 นาที ขับรถยนต์ไปนิมมาน คงเป็น ชัวโมงครับ แถมหาที่จอดรถยากมากถึงมากที่สุด แต่อย่างน้อยทางโรงแรมก็มีที่จอดให้น่ะครับ บ้างที่ในเมืองใหญ่ๆยังไม่มีที่จอดให้เลย

การบริการ


พนักงานหน้าเคาน์เตอร์ให้การช่วยเหลือเป็นอย่างดีครับ ทั้งติดต่อเรื่องเช่ารถมอไซค์ แนะนำที่เที่ยว ถ่ายรูปให้ ยิ้มแย้มแจ่มใสดีครับ

บริการกับผมเหมือนเป็นแขกที่เข้ามาพักไม่ได้มีการเอาใจใส่เป็นพิเศษแต่อย่างใด ทำให้ผมถ่ายรูปสบายเลยครับ

บ้างทีก็เกรงใจที่ต้องมีคนมาดูแล ทำให้ผมถ่ายรูปได้เต็มที่

สิ่งอำนวยความสะดวกและภาพรวม


มีฟิตเนสอีกตึกหนึ่งครับ ซึ่งผมขอไม่พูดถึงน่ะครับไม่ได้ไปใช้บริการ มาพูดถึงสัญลักษณ์ของที่นี้บ้าง นั้นก็คือ ม้านครพิงค์ของผม และก็แผ่นสีขาวๆที่หุ้มตึกนี้ไว้ คล้ายๆกับห้างเมย่า ส่วนตัวผมว่าคนออกแบบทีนี้เก่งมากครับที่รวมถึงผู้บริหารที่กล้าลงทุนทำให้ตึกสี่เหลี่ยมรูปตัว แอล โด่ดเด่นมาก ลองคิดดูว่าถ้าไม่มีแผ่นหุ้มนี้คงเป็นตึกโรงแรมธรรมดามาก และอีกส่วนที่ออกแบบได้สวยจับใจผมคือส่วนของห้องอาหาร ที่เห็นวิวดอยสุเทพ และหันไปในทางที่เหมาะสมมากครับ และสามารถทำลอบบี้เล็กๆให้มีมุมถ่ายรูปสวยๆเยอะมาก สระว่ายน้ำก็นำหงษ์ขาวมาเป็นจุดขายได้ดีเลยครับ และที่สำคัญการเดินทางสะดวกมากครับไม่ว่าจะเดินทางไปใหน ทีนี้ผมขอแนะนำเลยครับสำหรับวัยรุ่น คู่รักหนุ่มสาว ควรค่าแก่การมาพักเป้นอย่างยิ่ง ชอบแสง สี เสียงยามค่ำคืนและเดินชอปปิ้งที่ตลาด และเที่ยวกลางคืน หรือต้องการ อาหารการกิน แหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ และที่สำคัญมีจักรยานให้ปั่นฟรี ขอย้ำว่าฟรี!!!

ร้านกาแล


ร้านนี้ผมแนะนำใหมาแค่ถ่ายรูปตอนเย็นกับดอกไม้และอ่างเก็บน้ำพอครับ รสชาติของอาหารผมว่าไม่ผ่าน ทำรสชาติได้ธรรมดามาก มีดีที่สวนดอกไม้และเดินทางไม่ไกล ถ้ามาที่นี้สั่งเบียร์พร้อมกับแกล้มเล็กๆน้อยๆทานพอครับ ถ้าจะจัดหนัก ผมว่าร้านริเวอร์ไซด์ รสชาติดีกว่ามากครับ

สวนดอกไม้สวยมากครับ โดยเฉพาะ ทิวลิป


ส่วนอาหาร รสชาติธรรมดามากครับ ปลาทับทิมทอดสมุนไพร


ออเดริฟเมือง


โรตีกู


เป็นโรตีฟิวชั่น ที่นำโรตีมาดัดแปล่งให้เข้ากับ อาหารประเภทอื่น ที่ผมสั่งมาเป็นโนตีกล้วยหอม ไอศรีม และโรตีทิชชู โรตีฝอยทอง ไมได้ถ่ายรูปมาครับรสชาติส่วนตัวผมว่าธรรมดาแต่มีจุดเด่นที่ความแปลกใหม่และความคิดสร้างสรรค์ บริการที่ตอบสนองรวดเร็ว ใครผ่านไปแถวนิมมานลองแวะไปชิมครับ

โปรแกรมเที่ยวและค่าใช้จ่าย 2 วัน 1 คืน


Day 1


21 น. ออกเดินทางจากรุงเทพสู่ดอยอินทนนท์ (960)

(ให้แวะเติมน้ำมันก่อนขึ้นดอยอินทนนท์ แถวลำปาง หรือลำพูน ก็ได้)

Day 2


5 น. นอนพัก

6 น. จุดสูงสุดแดนสยาม (130 บาท)

7.30 น. แวะชมวิวที่ กม.41

8 น. พระธาตุนภเมทนีดลและพระธาตุนภพลภูมิสิริ (80บาท)

9.30 น. สถานีเกษตรขุนวาง (400)

10 น. ทานข้าวซื้อสตอเบอร์รี่ (อาหาร 135 บาท สตอเบอรรี่ 1100 บาท)

13 น. เข้าที่พัก นอนพัก (1500 บาท ช่วงโปรโมชั่น)

17 น. ขึ้นไปถ่ายรูปบรรยากาศยามเย็นที่ห้องอาหาร

18 น. ร้านกาแล (1200 บาท เช่ารถ 250 บาท)

20 น. โรตีกู (310 บาท)

20.30 น. เดินชอปปิ้งกาด รินทร์

22 น. ราตรีสวัสดิ์

Day 3


9 น. อาหารเช้า

12 น. check Out

13 น.ออกเดินทางกลับกรุงเทพ (1100 บาท)

21 น. ถึงกรุงเทพโดยสวัสดิภาพ

ค่าใช้จ่ายทั้งหมด
7000 บาท เฉลี่ยคนละ 3500 บาท


ความคิดเห็น