----- ครั้งนี้เป็นการเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นเป็นครั้งที่ 3 ของเรา ครั้งแรกที่โตเกียว ครั้งที่ 2 ที่โอซากาและบริเวรคันไซ ทริปนี้เป็นการไปเที่ยวด้วยตัวเองครับ ใช้เวลาแบบพอดีๆ 6 วัน 7 คืน ผมจึงอยากจะเก็บรีวิวนี้ไว้เป็นบันทึกความทรงจำในการเดินทาง และทำไว้สำหรับเพื่อนๆที่ต้องการจะเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่น ได้ลองเอาไปปรับใช้กับแผนการเดินทางของแต่ละท่าน แอบหวังลึกๆว่ากระทู้นี้จะเป็นแรงบันดาลใจเล็กๆให้กับการเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศของเพื่อนๆนะครับ

----- เราไปเที่ยวโตเกียวในช่วง วันที่ 12 – 19 มีนาคม ผมจองตั๋วได้ของการบินไทย ฟูลเซอร์วิซ รวมทุกอย่าง ไปกลับ เชียงใหม่ – สุวรรณภูมิ – นาริตะ ที่ราคาคนละ 16000 บาท โดยจองผ่าน Traveloka ที่ตั๋วถูกลงเยอะ อาจจะเป็นเพราะ

1.ผมใช้โค้ดส่วนลด ของตัวแอพเองด้วย ซึ่งลดไปได้ 3000 กว่าบาทเลยทีเดียว นี่แหละสาเหตุของอาการการมือลั่นจองตั๋วอย่างไว

2.เป็นช่วงที่ โตเกียวซากุระยังไม่บาน หรืออาจจะมีบานบางจุดแล้วเล็กน้อย หรือเรียกว่าเป็นช่วง หลังหน้าหนาวก่อนช่วงซากุระนั่นเองครับ อาจจะทำให้ยอดจองไม่เต็ม ไม่พีคมาก ราคาเลยถูกลงรึเปล่าไม่แน่ใจเหมือนกัน

----- หลายๆคน อาจไม่มั่นใจในการจองตั๋วและที่พักผ่านเอเย่นแบบนี้ ผมก็เป็นคนนึงเหมือนกันครับที่กลัวๆอยู่เหมือนกัน แต่วิธีป้องกันที่ดีที่สุดก็คือ การยืนยัน คอนเฟิร์มการจองต่างๆของเราให้ชัดเจนครับ จองตั๋วเสร็จผมก็โทรไปย้ำกับการบินไทยเลยว่ามีการจองมาจริงมั๊ย การจองสมบูรณ์แล้วรึเปล่า แล้วกับทางโรงแรมที่ญี่ปุ่น ผมก็เมล์ไปเพื่อให้โรงแรมยืนยันการจองของเรากลับมาครับ ง่ายๆแค่นี้ก็ทำให้เรามั่นใจในการจองผ่านเอเย่นต่างๆเหล่านี้แล้วครับ จากการที่ดูตั๋วและราคาโรงแรมมาตลอด ยืนยันอีกครั้งครับว่าได้ราคาที่ถูกกว่าจริงๆ

----- ผมทำคลิปเที่ยว โตเกียวด้วยตัวเองไว้ทางยูทูปครับ บอกการเดินทางทุกอย่างโดยละเอียด ถ้าใครไม่อยากอ่านกระทู้ยาวๆ ก็เข้าไปดู วีดีโอสนุกๆ แทนได้ครับ ถ้าเห็นว่าวีดีโอสนุกและมีประโยชน์ ช่วยกด ติดตาม Subscribe เป็นกำลังใจด้วยนะครับ ขอบพระคุณล่วงหน้าเลยครับ



----- เรามีเวลาวางแผนอยู่ 2 อาทิตย์ก่อนเดินทาง เราทำการบ้านกันอย่างหนัก อ่านกระทู้ ดูยูทูป อย่างบ้าคลั่ง จนได้แผนที่สมบูรณ์แบบอย่างที่เราต้องการออกมา การเดินทางทุกครั้งผมและภรรยาจะจดแผนการเดินทาง ประเภทตั๋ว ประเภทรถไฟที่ใช้ สถานีรถไฟและทางออกต่างๆ ซึ่งมันอาจจะดูเยอะจนเกินจริงไปมาก แต่เอาเข้าจริงๆแล้ว ที่ญี่ปุ่น ถ้าคุณขึ้นรถไฟผิดขบวน หรือออกทางออกผิดทางละก็ วันนั้นทั้งวันของคุณอาจจะรวนไปเลย ทำให้เสียเวลา เสียเงิน และเสียอารมณ์ในการท่องเที่ยวด้วยครับ

***ค่าใช้จ่าคร่าวๆในทริปนี้ครับ***

1.ค่าตั๋วเครื่องบิน 2 คน จากเชียงใหม่ ถึง นาริตะ ด้วยสายการบินไทยฟูลเซอร์วิซ 32,000 บาท
2.ค่าโรงแรม WBF ASAKUSA 5 คืนเป็นเงิน 15,000 บาท
3.ค่าโรงแรมโทบุนาริตะ 1 คืน เป็นเงิน 1,600 บาท

4.ค่าเปิด โรมมิ่ง AIS 10 GB 1790 บาท/10 วัน / 1คน รวมเป็นเงิน 3,580 บาท
5.ค่าบัตร TOKYO METRO แบบ 48 ชั่วโมงใบละ 340 บาทรวมเป็นเงิน 680 บาท
6.ค่าบัตร JR TOKYO WIDE PASS ใบละ 2,865 บาท รวมเป็นเงิน 5,730 บาท
7.บัตรเติมเงิน SUICA แรกซื้อ 430 บาท 2 ใบเป็นเงิน 860 บาท
8.เติมเงินบัตร SUICA ประมาณคนละ 1450 บาทรวมเป็นเงิน 3,900 บาท
9.ค่าใช้จ่ายที่ กาล่ายูซาว่า ค่าตั๋วเข้า ค่าเช่าชุดกันหนาวและค่าเช่าล๊อกเกอร์คนละ 1,860 บาทรวมเป็นเงิน 3,720 บาท

***รวมทั้งหมด 67,070 บาทสำหรับ 2 คนครับ ทั้งหมดนี้ยังไม่รวมค่าอาหารทุกๆมื้อและค่าช๊อปปิ้งซื้อของนะครับ***

----- แผนการของเราทั้งหมดมีดังนี้ครับ ใครจะไปเที่ยวโตเกียวกับกาล่ายูซาว่า คุณก๊อบปี้ตรงนี้ไปปรินท์ได้เลยครับ หรือจะเอาแผนนี้ไปปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมก็ตามสะดวกเลยครับ แผนนี้เราคำนึงถึง การเดินทางที่ต่อเนื่องในโซนเดียวกันด้วยครับ เพื่อที่จะได้วางแผนใช้ค่าใช้จ่ายในการเดินทางและใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุดครับ

----- Day1 -----

(ใช้บัตร SUICA เดินทางทั้งวัน)

ซื้อบัตร SUICA - ซื้อ Tokyo Metro Subway – เข้าอาซากุสะด้วย Narita Sky Access – เอากระเป๋าฝากที่โรงแรม - WBF Hotel Asakusa – ซูชิซันมัย – วัดอาซากุสะ – ไอศกรีมชาเขียว 7 ระดับ – ห้างโซระเมจิ โตเกียวสกายทรี – ชมซากุระ – สะพานอาซุมะบาชิ – เดินเลียบน้ำชมซากุระ สกายทรี ตึกอุนจิ – กลับไปเช็คอินโรงแรม – ไปอุเอโนะ ซื้อบัตร JR Tokyo Wide Pass – เดินเล่นอุเอโนะ – กลับที่พัก

----- DAY2 -----

(ใช้บัตร SUICA และ Tokyo Wide Pass )

สถานีโตเกียว – ราเมงสตรีท – คาแรคเตอร์สตรีท – พระราชวังอิมพีเรียล – คิชิโจจิ – ร้านเนื้อดิบ โอโนะเทย์ – กลับที่พัก

----- DAY 3 -----

(ใช้บัตร SUICA และ Tokyo Wide Pass )

กาล่ายูซาว่า เมืองนีงาตะ – สถานีอิชิโกะ นีงาตะ – กลับมาอุเอโนะ – อากิฮาบาร่า – อิโซมารุซุยซัน อาซากุสะ มันปูย่าง - กลับที่พัก

----- DAY 4 -----

(ใช้บัตร Tokyo Metro)

ตลาดปลาซึกิจิ – วัดโซโจจิ – ศาลเจ้าเมจิ – สถานีฮาราจูกุ – โอโมเตะซานโด – ห้าแยกชิบูย่า – หมาน้อยฮาจิโกะ – กลับที่พัก

----- DAY 5 -----

(ใช้บัตร Tokyo Metro)

ราเมงข้อสอบ อาซากุสะ – นากาเมกุโระ – ไดคันยาม่า – กินซ่าปิดถนนวันอาทิตย์ – อุเอโนะ ร้าน Hobby – Off กลับที่พัก

----- DAY 6 -----

(ใช้บัตร SUICA)

เช็คเอาท์ที่พัก – เดินเล่นย่านอาซากุสะ – บ่ายไปสนามบินนาริตะ เทอร์มินอล 1 – บัสฟรีของโรงแรมไปที่พัก – เที่ยวตัวเมืองนาริตะ วัดนาริตะซัง – กลับที่พัก

----- DAY 7 -----

เช็คเอาท์ – บัสฟรีไปสนามบินาริตะ เทอร์มินอล 1 – เดินทางกลับ ประเทศไทย


----- เอาละ วันเดินทางจริงๆก็มาถึงซะที เตรียมตัวเตรียมใจกับการเดินทางอันแสนยาวนาน ออกจากเชียงใหม่ ประมาณ 5 โมงเย็นถึงนาริตะ 7 โมงเช้าของอีกวัน โชคดีที่จองได้การบินไทยในราคาสุดประหยัด ทำให้การเดินทางครั้งนี้ไม่อ่อนเพลียจนเกินไป เหยียบแผ่นดินญี่ปุ่นเมื่อไหร่ก็พร้อมเที่ยวทันที ไม่ได้ค่าโฆษณาจากการบินไทยนะครับ รู้สึกประทับใจจริงๆ


----- เมื่อถึงสนามบินนาริตะ สิ่งแรกที่คุณต้องทำก็คือ การซื้อบัตรในการเดินทาง และพาสต่างๆที่คุณต้องใช้ โดยครั้งนี้ผมวางแผนจะไปสัมผัสหิมะที่ Gala Yuzawa ซึ่งอยู่จังหวัดนีงาตะ ไม่ไกลจากโตเกียวมากนัก ผมจึงวางแผนจะซื้อ Tokyo Wide Pass ในราคา 10000 เยน ซึ่งจะสามารถ ใช้รถไฟชินคังเซนไปบริเวรใกล้ๆโตเกียวได้ ใช้รถไฟ JR ได้ ติดต่อกัน 3 วัน ซึ่งเอาเข้าจริงๆ แล้วแค่นั่งรถไฟไปกลับ Gala Yuzawa – Tokyo ก็ปาเข้าไป 13000 เยนแล้ว พาสนี้คุ้มยิ่งกว่าคุ้มครับ


----- รับกระเป๋าเสร็จให้มองหา จุดขายบัตร ตามภาพเลยครับ ที่นี่จะมีบัตรประเภทต่างๆขาย ทั้งรถบัส รถไฟเข้าเมือง เยอะแยะมากมาย ที่เราต้องการจากจุดขายตั๋วนี้คือ Tokyo Subway Ticket ซึ่งมีทั้งหมด 3 แบบ คือ

24ชั่วโมง(800 เยน) / 48ชั่วโมง(1200 เยน) / 72ชั่วโมง(1600 เยน)

Tokyo Subway Ticket จะทำให้คุณสามารถนั่งรถไฟ ของ subway ได้ทั้งหมด แบบไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่มอีก ในระยะเวลาของตั๋วที่คุณซื้อไป เช่น 48 ชั่วโมงที่เราจะซื้อในครั้งนี้ ก็สามารถใช้ได้ติดต่อกัน 48 ชั่วโมง นับตั้งแต่มีการใช้บัตรนี้ครั้งแรก เป็นต้น แต่ว่า Tokyo Subway Ticket ไม่สามารถใช้รถไฟของ JR ได้นะครับ ใช้ได้เฉพาะกับ Subway เท่านั้น



----- ตอนนี้ผมมี Subway แล้ว 2 วัน JR จาก Tokyo Wide Pass 3 วัน ขาดอีกนิดๆหน่อยๆ เราใช้บัตรเติมเงินเอาครับ IC Card แบบเติมเงินก็มีหลายแบรนด์ แต่เราเลือกใช้ Suica เพราะว่าเค้ามีส่วนลดในสถานที่ท่องเที่ยว หรือกิจกรรมต่างๆให้สำหรับนักท่องเที่ยวด้วยครับ อย่างเช่น นั่งรถไฟ Narita Sky Access เข้า อาซากุสะ ราคาปกติ 1330 เยน ถ้าใช้ Suica ก็ลดลงไปเหลือ 1000 เยนนิดๆ เท่านั้นเอง ไม่แน่ใจราคา แต่ว่าได้ส่วนลดจริงๆครับ



----- ดังนั้น วันที่ใช้ Subway ไม่ได้ ใช้ Tokyo Wide Pass ไม่ได้ เราก็หันมาใช้ Suica แทน ซึ่ง มันเป็นบัตรเติมเงินสารพัดประโยชน์ นั่งรถไฟได้ทุกบริษัท นั่งบัสได้ แท็กซี่ได้ ซื้อของร้านสะดวกซื้อได้ และใช้จ่าเงินได้ในอีกหลายๆสถานที่อีกด้วย พกไว้ ไม่เสียใจแน่นอน

----- แค่ซื้อพาส และบัตรต่างๆก็ปาเข้าไป หลายย่อหน้า แต่ว่ามันเป็นเรื่องสำคัญจริงๆครับที่ผมจะละเลยไม่อธิบายไม่ได้เลยจริงๆ ถ้าคุณวางแผนดีๆ ก็จะช่วยประหยัดไปได้เยอะมากๆ ในทางกลับกัน ถ้าคุณวางแผนมาหลวมๆก็อาจจะเสียเงินซ้ำซ้อนและพลาดส่วนลดต่างๆไปอย่างน่าเสียดายครับ

----- เอาละครับ ใช้เวลากับการเตรียมความพร้อมที่สนามบินนาริตะอยู่ประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าๆ ก็ถึงเวลาเข้าเมือง เราพักที่โรงแรม WBF Hotel Asakusa ก็อยู่ย่านอาซากุสะ ใกล้ๆกับวัดโคมแดงนั่งเองครับ ที่เลือกพัก อาซากุสะเพราะว่า การเดินทางจาก สนามบินนาริตะมายังอาซากุสะนั้นสะดวกสบายมากๆ โดยใช้ Narita Sky Access สายเดียว ยิงตรงยาวๆ ถึงสถานีอาซากุสะเลยทีเดียว มันสะดวกตรงที่เราไม่ต้องเปลี่ยนขบวน ไม่ต้องลากกระเป๋าไปมา สำหรับการบินดึก ถึงจุดหมายปลายทางเช้าๆแบบนี้ เราต้องเซฟแรงกันไว้ก่อนเยอะๆครับ



DAY 1

----- ประมาณ 10 โมงครึ่งก็มาถึงสถานีอาซากุสะ ลากกระเป๋าไปเก็บที่โรงแรม WBF Hotel Asakusa ซึ่งอยู่หลังวัดอาซากุสะ ประมาณ 800 เมตร ซึ่งก็เป็นระยะทางที่ไกลพอสมควร แต่โรงแรมอื่นๆเต็มหมดเลย นี่คือใกล้ที่สุดที่เราหาได้แล้วหละ แต่เอาเข้าจริงๆ 800 เมตรมันก็ไม่ได้ไกลมาก สำหรับเมืองที่เดินสบาย อากาศดีๆ แบบนี้ ติดกังวลแค่สัมภาระที่อาจจะขยายตัวมากขึ้น มากขึ้นในแต่ละวันเท่านั้นแหละ ที่เราจะต้องลากกลับไปสถานีอาซากุสะอีกครั้งในขากลับ

----- ไปถึงโรงแรม หาไม่ยาก เพราะเราเคยพักย่านอาซากุสะมาแล้วในทริปก่อนหน้านี้ ยังพอมีอะไรคุ้นๆตาอยู่บ้าง เจอโรงแรมเช็คอินไม่ได้ตามระเบียบครับ โรงแรมญี่ปุ่นให้เช็คอินได้ บ่าย 3 โมงเป็นต้นไป เราเอากระเป๋าฝากไว้ ขอใช้ห้องน้ำ ล้างหน้าล้างตา ทางโรงแรม WBF Hotel Asakusa เจ๋งมากๆครับ คือเค้ามีเลาจน์รับรองลูกค้า ให้ทานอาหารว่างของทางโรงแรมได้ฟรีๆ มีทั้งชา กาแฟ ขนมกรุบกริบ ซุบเต้าเจี้ยว ซึ่งยังไม่ทันจะเข้าถึงห้องพัก ก็เริ่มเกิดความประทับใจในตัวโรงแรมซะแล้ว

----- ล้างหน้า ล้างตา คว้ากล้องออกมาแบบตัวเบาๆ เอากระเป๋าฝากไว้แล้ว ท้องก็เริ่มหิวขึ้นมาทันที เวลาประมาณ เที่ยงนิดๆ เราตั้งใจไว้ว่าจะเปิดประเดิมมื้อแรกเหมือนทริปก่อนหน้านี้ ที่ร้าน ซูชิซันมัย คราวก่อนประทับใจมาก เดินเล่นไปถ่ายรูปไป ไม่นานก็ถึงร้านซึ่งตั้งอยู่บริเวรหน้าวัด จัดซูชิที่หากินได้ยากๆราคาแพงๆในเมืองไทยกิน เช่นพวกซูชิหอย ซูชิโอโทโร่ ชูโทโร่ มีเชฟมาปั้นให้ทานสดๆตรงหน้าเราเลย สามารถสั่งเป็นเซ็ทหรือสั่งเป็นคำๆก็ได้ ทานกันไป ฟินกันไป อร่อยทุกคำจนต้องสั่งเพิ่ม โดนไป 4313 เยน ก็ตกพันกว่าบาทนิดๆสำหรับซูชิที่อร่อย สดใหม่แบบนี้ ถือว่าคุ้มค่าคุ้มราคามากๆ


----- อิ่มท้องแล้วเราก็เข้าไปในวัดอาซากุสะ สักการะขอพรเพื่อเป็นศิริมงคลกันซักหน่อย ขอให้ได้กลับมาอีกบ่อยๆนะครับ วัดอาซากุสะหรือวัดโคมแดงที่คนไทยเราเรียกกัน ยังคงคับคั่งไปด้วยนักท่องเที่ยวทั้งญี่ปุ่นเองและชาวต่างชาติ ร้านขายของฝากของที่ระลึก อาหารขนมมีมากมาย ประตูหน้าวัดเป็นจุดตัดกับถนนย่านการค้าทำให้คงความคึกคักได้ตลอดทั้งวัน เช้ายันค่ำเลยจริงๆ เดินไป ถ่ายรูปไป เจอเข้ากับร้านขนมมันจูร้านดัง สังเกตง่ายๆร้านมันจูร้านสุดท้ายก่อนถึงประตูวันชั้นใน ร้านนี้ สมเด็จพระจักรพรรดิของญี่ปุ่นทรงเคยเสด็จมาเสวยถึงที่ร้านด้วยพระองค์เองมาแล้ว ว่าแล้วต้องลองซะหน่อย ซื้อมาชิม 2 ชิ้นราคารวม 370 เยน รสซากุระกับฟักทอง อร่อยมากเลยทีเดียว ทานร้อนๆ บรรยากาศหน้าโคมแดง ยิ่งอร่อยขึ้นไปอีกหลายเท่า เดินผ่านหน้าวัดลองแวะชิมกันดูครับ




----- หยุดกินซักพักเหอะ แล้วเข้าไป ล้างมือ จุดธูปไหว้พระขอพร คนเยอะมากทำให้เราอยู่ในวัดแค่แป๊บเดียว ยังไงก็พักแถวนี้อยู่แล้ว ไว้แวะเข้ามาถ่ายรูปอีกบ่อยๆก็ได้ จากนั้นเราเดินออกทางข้างวัดด้านขวา มันคือทางกลับโรงแรมเรานั่นแหละ ทางนี้มีร้านไอศกรีมชาเขียว 7 ระดับ หลายๆท่านคงเคยเห็นผ่านตากันมาเยอะแล้วจากวีดีโอมากมายในยูทูป ว่าแล้วก็ต้องมาลองชิมซักหน่อย ร้านชื่อเสียงโด่งดังคนเยอะมาก เข้าคิวซื้อไอศกรีมกันไม่ขาดสาย แต่ก็ต่อคิวไม่นานนัก เราก็ได้ไอศกรีมชาเขียวระดับ 3 และระดับ 7 มาลองชิม ราคารวม 930 เยน ระดับ 3 อร่อย มีความหอมนม ไม่หวานมาก ระดับ 7 เข้มข้น แทบจะไม่หวานเลย อร่อยไปคนละแบบ ถือว่าคุ้มค่าที่ได้มาลองชิม



----- เราได้ข่าวแว่วๆมาว่าหน้าห้างโซระเมจิ โตเกียวสกายทรี แถวๆนั้นมีต้นซากุระที่ออกดอกแล้ว เป็นโอกาสอันดีที่เราจะได้ไปชม เราเดินจากร้าน ZUZUKIEN ไอศกรีมชาเขียว ไปยังห้าง Matsuya เพื่อใช้รถไฟสาย Skytree Tobu Line ใช้ บัตร Suica เข้าไปได้เลยครับ สถานีเดียวก็ถึงห้างโซระเมจิเลยทันที ในห้างโซระเมจิ มีอาหารอร่อยมากมาย ฟู้ดคอร์ด อควาเรียม ร้านของ Studio Jibli ร้าน Moomin Café และสามารถขึ้นลิฟท์ไปชมวิวมุมสูงบนสกายทรีได้อีกด้วย ส่วนตัวแล้วชอบห้างนี้มากๆ เพราะตอนค่ำๆของในซุปเปอร์ลดราคา มาหาของราคาย่อมเยาประหยัดงบประมาณไปได้ไม่น้อยเลยทีเดียว เดินออกมาหน้าห้างก็จะเจอกับ คลองเล็กๆที่มีสะพานให้คนข้ามไปมา จุดนี้เป็นอีกจุดนึงที่สามารถถ่ายรูปกับสกายทรีสวยๆได้ มองไปตามคลองก็จะเห็นต้นซากุระ สีชมพูสวยงามอยู่ริมคลองทั้งหมด 2 ต้น แปลกมากที่ 2 ต้นนี้ออกดอกก่อนใครเพื่อน ทำให้นักท่องเที่ยวและแม้แต่กระทั่งชาวญี่ปุ่นเองก็ไปมุงถ่ายรูปกันเต็มไปหมด นี่แค่ 2 ต้นยังสวยมากขนาดนี้ แล้วถ้าบานชมพูทั้งคลอง นึกภาพไม่ออกเลยว่าจะสวยมากขนาดไหน




ได้เห็นซากุระสมใจ นั่งรถไฟสายเดิม กลับไปห้าง Matsuya อีกครั้ง เดินออกมาหน้าห้าง ข้ามถนนไป ก็จะเจอกับสะพานแดง Asuma Bashi จุดนี้เป็นจุดที่ผู้คนนิยมมาถ่ายรูปกันมาก เพราะมองข้ามแม่น้ำสุมิดะไป ก็จะเห็นกับ ตึกอุนจิ หรือตึกอาซาฮี และเมืองเห็นสกายทรีแบบสวยๆไม่ต้องแหงนหน้ามอง ริมแม่น้ำสุมิดะ มีทางเดินเลียบแม่น้ำลงไป ชาวญีปุ่นหนุ่มสาว ใส่ชุดกิโมโนเดินคลอเคลียกัน ยามเย็นแบบนี้ก็ได้บรรยากาศดีไม่น้อย เราเดินเล่นตรงนี้ซักพักก็เดินกลับไปเช็คอินที่โรงแรม และเอาของไปเก็บในห้องพัก



----- WBF Hotel Asakusa เป็นโรงแรมใหม่มากๆ เราจองห้องแบบกว้างกว่าปกตินิดหน่อย จาก 12 ตรม. เป็น 16 ตรม. และจองแบบเตียงแยกไว้ เพราะว่าเคยเจอห้องพักของญี่ปุ่นค่อนข้างจะเล็กมากๆ และเตียงใหญ่ของเค้าก็แค่ 4 ฟุตครึ่ง ทำให้คนอวบอ้วนแบบผมนอนลำบากมากๆ คราวนี้จองเตียงแยกซะเลย จะได้นอนสบายๆ ห้องพักถือว่ากว้างแล้วสำหรับโรงแรมญี่ปุ่น กางกระเป๋าแบบล้อลากได้ 2 ใบพร้อมกัน ถือว่าโอเค ห้องน้ำดีมาก สะอาด แน่นอนว่ามีระบบอัตโนมัติและอ่างแช่น้ำสไตล์ญี่ปุ่น ค่อนข้างพอใจมากเลยทีเดียวสำหรับโรงแรมนี้ที่เราจะอาศัยเป็นที่พักถึง 5 คืนในโตเกียว เสียดายผมลืมถ่ายรูปไว้ ถ้าอยากดูภายในห้อง เข้าไปดูในคลิปยูทูปได้ครับ

----- ล้างหน้าล้างตาสำรวจห้องพักกันเรียบร้อย เราออกไปทำภารกิจสำคัญ อย่างที่ได้กล่าวไปตอนต้น ว่าเราจะไปกาล่ายูซาว่า และจำเป็นต้องใช้ JR Tokyo Wide Pass ซึ่งจะต้องไปซื้อที่ JR East Travel Service Center ที่สถานี Ueno ตั๋ว JR Tokyo Wide Pass ราคา 10000 เยน ใช้ JR ได้ 3 วัน โดยเราจะต้องระบุวันเริ่มใช้งานให้กับพนักงานตอนซื้อตั๋วเลย อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น ว่ามันคุ้มสุดคุ้มจริงๆ ซื้อเสร็จสรรพก็จองที่นั่งไว้สำหรับไปกาล่ายูซาว่าในวันพรุ่งนี้เอาไว้เลย

----- ไหนๆก็อยู่ Ueno แล้ว ลองแวะเข้าไปเดินเล่นกันหน่อยดีกว่า ผู้คนคึกคัก มีสินค้ามากมายให้เลือกซื้อ วันนี้หนาวมากๆ เราเข้าไปหลบหนาวในร้านอาหารประเภทอิซากายะร้านหนึ่ง ชื่อร้านว่า Kushiyaki เป็นร้านขายเครื่องดื่มและกับแกล้ม แต่จะเข้าไปทานอาหารก็ได้ไม่ว่ากัน เนื้อย่าง อุด้ง ปลาทอด ค่าเสียหาย 2000 กว่าเยน กินกันจนอิ่มและอร่อยมากจริงๆ ร้านนี้แนะนำเลยครับ




DAY 2

----- จริงๆแล้ววันนี้เราจะไปกาล่ายูซาว่าแต่เช้าเลย แต่ว่าผมมีอาการเป็นหวัด เป็นไข้อ่อนๆ เพราะปรับตัวกับความหนาวไม่ทัน ดูพยากรณ์อากาศบอกว่าประมาณ 10 - 14 องศา แต่เอาเข้าจริงๆแล้ว ความหนาวบวกกับลมแรง ทำให้รู้สึกหนาวมากกว่าเดิม อาการหวัดเลยถามหาเอาง่ายๆ ไม่เป็นไร เพราะ JR Tokyo Wide Pass ที่ใช้นั่งชินคังเซนไป กาล่ายูซาว่า ใช้ได้ ต่อเนื่อง 3 วัน เราปรับแผน ยืดหยุ่นได้ เลื่อนการไป กาล่า ไปเป็น DAY 3 ละกัน วันนี้จะไปหาซื้อเสื้อกันหนาวอุ่นๆตุนไว้ก่อน เที่ยวในโตเกียวละกันนะวันนี้


----- เช้านี้เราออกกันสายๆ นั่ง Subway ไปสถานีอุเอโนะ แล้วเปลี่ยนไปใช้ JR มุ่งหน้าไปยังสถานีโตเกียว โดยใช้ JR Tokyo Wide Pass ยื่นให้นายสถานีดู แล้วเราก็เข้าใช้บริการได้เลย ไม่ต้องสอดบัตรเข้าเครื่องเหมือน ตั๋วรถไฟ หรือ Suica




----- สถานีโตเกียวเป็นสถานีที่ใหญ่มากๆ กว่าจะหา Ramen Street เป้าหมายในมื้อเช้าของเราเจอ ก็เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกัน Ramen Street อยู่ในห้าง โตเกียวไดมารู เป็นศูนย์รวมร้านราเมง ที่ทางห้างคัดมาแล้วว่าเด็ดจริงๆจากทั่วญี่ปุ่นมาไว้รวมกันถึง 9 ร้าน ภายในบรรยากาศคึกคักมาก มีคนต่อคิวแน่นขนัดทุกร้าน เราเลือกร้าน Nippon ร้านน่ารักๆ บริการดีเยี่ยม และที่สำคัญราเมงก็อร่อยมากๆ หมูชาชูนุ่มลิ้น น้ำซุบเข้มข้น ในราคา ประมาณ 1000 เยน ซึ่งก็ถือว่าเป็นราคาปกติของราเมงทั่วไป



----- อิ่มแล้วเราเดินเล่น ช๊อปปิ้งย่อยอาหารกันที่ Character Street แหล่งรวม การ์ตูน ของเล่น ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Studio Gibli , Moomin , Ultraman , One Pieces , Dragonball, Rilakkuma และอื่นๆอีกมากมาย การซื้อของที่ห้างไดมารู เราสามารถขอ Tax Free ได้ครับ โดยไปที่เค้าเตอร์ Tax Free แล้วไปขอเอกสารแผ่นพับมา พอเราซื้อของที่ร้านค้าต่างๆ เค้าจะเอาใบเสร็จเย็บติดกับแผ่นพับนั้น พอช๊อปปิ้งเสร็จแล้วก็กลับเอาแผ่นผับนี้มาที่เค้าเตอร์อีกทีเพื่อขอเงินภาษีคืน ซึ่งเราจะได้คืนเป็นเงินสดเลยครับ อย่าลืมนะครับ ขั้นตอนนี้สำคัญมากๆ ตั้ง 8% นะ ไม่น้อยเลยนะครับ ขอให้ช๊อปิ้งกันให้สนุกครับ จุด จุดนี้ ผมได้ อุลตร้าแมนกับเหล่าร้ายมาตั้ง 4 ตัวแนะ ชอบใจจริงๆ



----- เดินเล่นกันเพลิน เราออกไปถ่ายรูปกันที่หน้าสถานีโตเกียว ซึ่งเป็นตึกใหญ่สไตล์ยุโรปเก่าๆ สีอิฐคลาสสิคมากๆ ถือเป็นจุดเช็คอื่นที่สำคัญอีกจุดหนึ่งของโตเกียวเลยนะ จากนั้นเราเดินไปอีกประมาณ 800 เมตรก็จะถึง พระราชวัง อิมพีเรียล ซึ่งเป็นอีกจุดหนึ่งที่เมื่อมาโตเกียวแล้วไม่ควรพลาด



----- เราเที่ยวย่านสถานีโตเกียวอยู่ครึ่งวัน จากนั้นเรานั่งรถไฟสาย Chuo Line Rapid (ใช้บัตร JR Tokyo Wide Pass) จากสถานีโตเกียวไปยัง Kichijoji ซึ่งที่ คิชิโจจินี้ ได้รับรางวัลว่าเป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในญี่ปุ่นมาหลายปีติดต่อกัน เราก็อยากไปให้เห็นกับตา แล้วเราก็มีเป้าหมายเป็นอาหารเย็นมื้อเด็ดของเราในวันนี้ด้วย

----- ถึงสถานีคิชิโจจิ เดินข้ามถนนมายังย่านการค้า Sun Road มองหาร้านที่มีชื่อว่า โอโนะ เทย์ ที่ขายสเต๊คและข้าวหน้าเนื้อดิบๆ เราดูจากยูทูปเบอร์คนไทยที่อยู่ในญีปุ่นคนหนึ่ง (คุณบิวซังจากช่อง ninebeerjp) แล้วอยากกินร้านนี้เอามากๆ ทีแรกก็ไปไม่ถูกหาร้านไม่เจอ ไปถามคุณตำรวจแถวๆนั้น คุณตำรวจเค้าก็ใจดี พาเราไปส่งถึงหน้าร้านกันเลยทีเดียว

----- เข้าไปในร้าน สั่งอาหารที่เป็นเมนูเด่นคือข้าวหน้าเนื้อวากิวดิบๆราดมากับไข่ดิบ ราคา ราคา 1680 เยน เจาะไข่ให้แตกแล้วกินเนื้อ ไข่ พร้อมกับข้าว มันอร่อยสุดยอดไปเลยครับ อีกเมนูที่สั่งมาก็คือ สเต๊คเนื้อวากิว (วากิว คือ คำเรียกวัวสายพันธ์ญี่ปุ่น ซึ่งจะมีคุณภาพและราคาสูงกกว่าเนื้อวัวนำเข้า) ซึ่งก็เสริฟมาบนกระทะร้อน เนื้อด้านในยังแดงๆ อร่อยนุ่มลิ้นมากๆ ในราคาประมาณ 1200 เยน มื้อนี้ถือว่าฟินมาก อร่อยมากๆ เวลาดูยูทูปของคนอื่นแล้วเราได้มากินตามเค้าจริงๆนี่มันให้ความรู้สึกที่เยี่ยมจริงๆเลยครับ





----- จ่ายเงินเสร็จสรรพ ก็ออกมาช๊อปปิ้งกันต่อที่ย่านการค้า Sun Road สินค้าในย่านนี้จะเป็นแบรนด์ของดีไซน์เนอร์ญี่ปุ่นเอง ซึ่งก็สวยงามและเรียบงาย สีคุมโทนในสไตล์ญี่ปุ่นแท้ๆ ราคาก็สมเหตุสมผล มันดีตรงที่เมื่อเค้าออกสินค้าตัวใหม่ออกมาก สินเค้าแบบเก่าเค้าก็จะลดราคาซึ่งก็เป็นโอกาสของนักท่องเที่ยวงบน้อยอย่างเราจะได้ช๊อปปิ้งกันบ้างครับ





DAY 3


----- วันนี้เราตื่นแต่เช้า เพราะจองที่นั่งรถไฟชินคังเซนไว้รอบ 8:10 เพื่อเดินทางไปเล่นหิมะที่กาล่ายูซาว่า ที่อันที่จริงต้องไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วหละ แต่ร่างกายมันไม่ไหวจริงๆ เราไปจองที่นั่งกันใหม่อีกรอบที่สถานีอุเอโนะตั้งแต่เมื่อวาน เพื่อให้มีที่นั่งชัวร์ๆ แต่ถ้าหากไม่จองก็ไม่เป็นไรครับเราสามารถจะนั่งตรงไหนก็ได้ที่ว่างอยู่ เราไปถึงสถานีอุเอโนะตั้งแต่ไก่ญี่ปุ่นยังไม่ตื่น ทำให้มีเวลาเตรียมตัวหาจุดขึ้นรถไฟ หาอะไรรองท้อง และไม่ลืมที่จะซื้อข้าวกล่องรถไฟ เอกิเบน ขึ้นไปกินบนชินคังเซนด้วยครับ เราซื้อ ข้าวหน้าไข่ปลาแซลม่อน ราคา 1200 เยน และ แซนวิซทงคัทสึไส้ชีส ในราคา 700 เยน ทั้ง 2 อย่างดูดี และอร่อยกว่าที่คิดไว้มากๆ แม้จะเย็นๆแต่ก็อร่อยในแบบเย็นๆนะ กินเสร็จปปุ๊บผมก็หลับไปเลย รู้ตัวอีกที่ก็ถึงสถานีกาล่ายูซาว่าซะแล้ว ตั้งใจว่าจะกินขนมชมวิวหิมะ ดันหลับซะงั้น การเดินทางครั้งนี้ใช้เวลาเพียง 90 นาทีเท่านั้น จาก อุเอโนะ โตเกียว ถึง ยูซาว่า จังหวัดนีงาตะ สะดวกและรวดเร็วมากๆ



---- ชินคังเซน ไปจอดที่สถานี กาล่ายูซาว่าเลย คือลงรถไฟแล้วขึ้นบันไดเลื่อนไปก็จะถึงจุดซื้อตั๋วเข้าไปเล่นหิมะเลยทันที ซึ่งทราบมาว่า ชินคังเซนแบบนี้จะเปิดเฉพาะช่วงหน้าหนาวหรือช่วงที่มีหิมะเท่านั้น และมีชินคังเซน 2 แบบคือ แบบที่ไปถึงที่เล่นหิมะ กาล่ายูซาว่าเลย และอีกแบบคือไปถึงสถานี ยูซาว่า คุณต้องเลือกขบวนดีๆนะครับ แต่ถ้าขึ้นผิดก็ไม่เป็นไร เพราะระหว่าง 2 สถานีนี้จะมีรถ ชัตเติ้ลบัสฟรีคอยบริการรับส่งนักท่องเที่ยวอยู่แล้วครับ



----- ตื่นเต้นสุดๆ ผมจะได้เห็นหิมะครั้งแรก จะได้จับหิมะครั้งแรกในชีวิต หลับไปพึ่งตื่น ยังมึนๆอยู่เล็กน้อย ขึ้นไปถึงจุดจำหน่ายบัตรเข้ากาล่ายูซาว่า จะมีเจ้าหน้าที่ ทั้ง ญี่ปุ่น ฝรั่ง และบางครั้งก็มีคนไทยด้วย (คุณจักรและเชฟเอ็มจากช่อง japanmase ก็เป็นสตาฟและครูสอนสกีคนไทยที่นี่ครับ) ตั๋วตรงนี้ราคา 3000 เยนต่อ 1 ท่าน เราจะได้ขึ้นกระเช้ากอนโดล่าไปยัง สเตชั่นจุดเล่นหิมะด้านบน จะได้เล่นรางเลื่อนหิมะ ได้ถุงมือ 1 คู่ซึ่งเอากลับบ้านได้เลย และได้เช่ารองเท้าบูธด้วย ในราคา 3000 เยน ซื้อบัตรเสร็จ หาจุดขึ้นกระเช้า ไปถึงสเตชั่น ตอนนั่งกระเช้านี้ก็รู้สึกดีมากๆแล้วหละครับ วิวสวยงามคุ้มค่ากับการเดินทางมาจริงๆ ภูเข้าหิมะสุดสายตา ตัดกับท้องฟ้าและต้นสน มันเป็นวิวที่ไม่เคยเห็นกับตาตัวเองมาก่อนในชีวิต




----- ถึงจุดเล่นหิมะ ถ้าใครไม่ได้เตรียมชุดกันหนาวหนาๆมาก็มีให้เช่าอีก ในราคาคนละ 3000 เยน เพียงแค่กรอกไซส์ ไปในเอกสารและยื่นให้เจ้าหน้าที่ก็จะได้ชุดมาแล้วครับ (ถ้าใครจะเช่าอุปกรณ์สกีหรือสโนวบอร์ดก็สามารถเช่าได้ตรงนี้ครับ) รับชุดมา รับรองเท้าบูธมา ก็ไปที่ล๊อกเกอร์ครับ ค่าเช่าล๊อกเกอร์อีก 1000 เยน เปลี่ยนชุดให้เรียบร้อยแล้ว เอาคูปองไปรับรางเลื่อน แล้วเดินออกประตูสู่ลานหิมะได้เลย






----- ตื่นเต้นมากๆ ได้เจอหิมะครั้งแรก วันนี้แดดดี อากาศสดใส ไม่มีฝน หิมะสีดขาวเมื่อโดนแดดแล้วอาจจะแสบตาบ้าง ควรพกแว่นกันแดดไปกันด้วยนะครับ เราถ่ายรูปกันซักพักแล้วตัดสินใจไปนั่ง สโนวโมบิล รถเลื่อนหิมะ ในราคา 500 เยน ต่อ 1 ท่าน ถ้าจ่ายด้วยบัตร SUICA จะลดเหลือ 400 เยน นั่งไปกลับประมาณ 10 นาที ไปดูจุดอื่นๆในกาล่ายูซาว่า วิวสวยงามมาก เจ้าหน้าที่จะพาเราไปจุดถ่ายรูป เดินเล่นซักแป๊บก็จะพากลับมาที่จุดเดิมครับ สำหรับคนที่เล่นสกีไม่เป็นเลย ได้ลองนั่งสโนวโมบิลแล้วมันก็สนุกไปอีกแบบครับ





----- กลับมาที่จุดเดิม เรารับรางเลื่อนมาแล้วก็จะลองเล่นซะหน่อยละกัน รูปร่างมันเหมือนรางเลื่อนของเด็กๆ ดูไม่เท่ไม่คูลเหมือนคนอื่นที่เค้าเล่นสกี เล่นสโนวบอร์ดกันเลย ไหนๆก็ไหนๆลองหน่อยละกัน ขึ้นไปสไลด์ลงมารอบเดียวเท่านั้นแหละ ติดใจเลยครับ มันสนุกจริงๆนะ เล่นไป 10 กว่ารอบได้ ตรงทางเดินขึ้นไปจุดปล่อยตัวเค้าทำทางเลื่อนแบบบันไดเลื่อนเอาไว้ด้วย ทำให้เราเล่นได้หลายรอบแบบไม่เหนื่อยมาก ใครไปแล้วก็ลองเล่นดูครับ ผมเข้าใจเลยว่าคนที่เค้าเล่นสกี สโนวบอร์ดเป็นมันสนุกยังไง คราวหน้ามาใหม่ จะลองฝึกเล่นสกีดูบ้างครับ สนุกยังไงตามไปดูในคลิปยูทูปได้เลยครับ



----- เล่นกัน ถ่ายรูปกันจนหนำใจ ใช้เวลาตรงนี้ประมาณ 3 – 4 ชั่วโมง เราเปลี่ยนชุด เอาอุปกรณ์ที่เช่ามาไปคืน แล้วนั่งชัตเติ้ลบัสฟรีไปเที่ยวเล่นที่สถานี อิชิโกะ ยูซาว่า ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ ที่ขึ้นชื่อเรื่องข้าวและสาเก รถบัสไปส่งที่สถานีเราเดินถ่ายรูปเล่นในเมือง เป็นเมืองที่เงียบมากจริงๆ หิมะปกคลุมหลังคาและพื้นถนน ทำให้ถ่ายรูปสนุกไปอีกแบบ เดินไปซักพักเห็นคุณลุงขับรถขายมันเผา เราเลยจัดมา 1 อันในราคา 300 เยน คุณลุงใจดี อารมณ์ดี และมันเผาญี่ปุ่นนี่มันหวานอร่อยมาก มันอุ่นๆท่ามกลางบรรยากาศหิมะมันช่างเข้ากันจริงๆ




----- เราเดินเล่นซักพักก็กลับมาที่สถานี อิชิโกะ ยูซาว่า เพื่อนั่งชินคังเซนกลับ อุเอโนะ ภายในสถานีมีจุดจำหน่ายสินค้า ของฝากของที่ระลึกที่ใหญ่โตเอามากๆ มีจุดขายสาเกและให้ชิมสาเก ซึ่งถ้าไม่ติดว่าเป็นหวัด จะจัดให้ซักหน่อย ในนี้มีร้านข้าวปั้นยักษ์ มีขนมมากมายให้ชิมฟรี ถ้าไม่ตั้งสติดีๆ ตรงจุดนี้คุณอาจจะหมดเงินได้หลายพันเยนเลยครับ ของต่างๆมันช่างน่าซื้อน่ากินไปหมด และเราก็ซื้อขนมแปลกๆมาชิมบนรถไฟขากลับเล็กน้อยด้วยครับ



----- นั่งชินคังเซนกลับมาถึงสถานีอุเอโนะ แล้วนั่ง JR Yamanote Line ไปยังย่านในฝันของผม อากิฮาบาร่า อาการหวัดของผมเริ่มรุนแรงขึ้น ออกจากสถานีอากิฮาบาร่า แวะซื้อยาแก้หวัดที่ร้านขายยาญี่ปุ่น แล้วเข้าตึกโยโดบาชิ อากิบะ เพื่อช๊อปิ้งของเล่นที่อยู่ชั้น 6 – 7 เราขึ้นไปที่ชั้น 8 เพื่อหาอาหารรองท้องก่อน เจอเข้ากับร้านซูชิ มากุโระ บิโตะ เดินเข้าไปแบบไม่ลังเล ร้านนี้เป็นซูชิแบบสายพาน แต่ก็สามารถสั่งเมนูที่เราต้องการได้ทางแทบเล็ท จัดซูชิมา 5-6 ชุดกับซุบร้อนๆแล้วกินยาแก้หวัด ซักหน่อย ซูชิที่นี่อร่อยมาก ปลาสด หอยใหญ่ มันปู มันเยี่ยมจริงๆครับ อร่อยไม่แพ้ซูชิซันมัยเลยทีเดียว มื้อนี้หมดไป 1700 เยน เท่านั้นเอง ประทับใจในรสชาติและราคาครับร้านนี้




----- ได้เวลาเด็กอ้วนช๊อปปิ้งของเล่นกันแล้ว แปลกมากที่อาการหวัดของผมแทบจะหายเป็นปลิดทิ้ง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอยู่ท่ามกลางของเล่นหรือเพราะได้กินยาแก้หวัดไปกันแน่ เราเดินดูของเล่นและซื้อบ้างเป็นบางอันที่เค้าลดราคา ตามประสานักสะสมเบี้ยน้อยหอยน้อย เอาจริงๆแค่เดินดูก็เพลินแล้วหละครับ นอกจาก โยโดบาชิอากิบะแล้ว ย่านนี้ก็อย่างที่ทราบกันว่ามีร้านขายของเล่น ของสะสมทั้งมือ 1 และ มือ 2 เครื่องใช้ไฟฟ้า การ์ตูน ดีวีดี มากมายนับไม่ถ้วนจริงๆ เราเดินเข้าตึกโน้นออกตึกนี้ เล่นตู้คีบตุ๊กตา หาของเล่น ซะเพลินจนเกือบ 3 ทุ่ม จึงเดินทางกลับ อาซากุสะ



----- ลืมไปว่าหิวข้าว เราเข้าไปกินมื้อดึกกันที่ อิโซมารุ ซุยซัน ย่านอาซากุสะมีถึง 2 สาขา และทั่วญี่ปุ่นมีมากกว่า 100 สาขา ร้านนี้ก็คือร้านปิ้งย่างอาหารทะเลและมันปู ที่คนไทยนิยมไปทานกันนั่นแหละครับ มันดีตรงที่ราคาไม่แพง ได้กินอาหารทะเลสดๆ และเปิดตลอด 24 ชั่วโมง ชาวญี่ปุ่นก็เข้ามาปาร์ตี้ปิ้งย่างกันตลอดไม่ขาดสาย เราจัด หอยเชลล์ตัวใหญ่ มันปูพร้อมเนื้อปู (755 เยน) ไก่ทอด และข้าวหน้าปลาดิบ(800 เยน) ปิ้งย่างกันไปเพลินมากและก็อร่อยมากจริงๆครับ เมนูอาหารและเครื่องดื่มเค้าหลายหลายมากครับ ไม่ได้จำกัดว่ามีแต่อาหารทะเลอย่างเดียว ถ้ามาญี่ปุ่นแล้ว ยังไงก็ต้องโดนครับ



DAY 4

----- เราออกจากที่พักสายๆ ใช้ Subway Asakusa Line จาก Asakusa (A18) ไปยังสถานี Kureme (A17) แล้วเปลี่ยนสายเป็น Subway Oedo Line จาก Kurame(E11) ไปยังสถานี Tsukijijo (E18) (ใช้บัตร Tokyo Subway Ticket )เพื่อไปเดินกินอาหารสตรีทฟู้ดที่ตลาดปลาซึกิจิ ไปถึงสถานี Tsukijijo (E18) ออกทางออก Aแล้วเดินตามฝูงชนไปเลยครับ ไม่ยาก เราประเดิมด้วยหอยเชลล์ย่างตัวใหญ่ ตัวละ 500 เยน อร่อยมาก ใหญ่มาก แล้วไปต่อที่ ปลาไหลเสียบไม้ย่าง ไม้ละ 500 เยน อันนีก้อร่อย เสียดายที่มันไม่ร้อนแล้ว ไม่งั้นน่าจะอร่อยกว่านี้ ต่อด้วยสตรอเบอรี่ไม้ละ 800 เยน กับขนมไดฟุกุ 300 เยน แต่ที่ผมว่าเด็ดมากๆ คือซูชิเนื้อวากิวย่างราดด้วยไข่หอยเม่นที่ส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วดึงดูดให้นักท่องเที่ยวมาต่อคิวซื้อกันไม่ขาดสาย เราลองต่อแถวซื้อมาชิม แค่ดูวิธีการทำก็เพลินแล้วครับ และมันก็อร่อยมากจริงๆ ในราคาคำละ 500 เยน เดินจนทั่ว ชิมอะไรไปหลายอย่างซักพักเราจึงบอกลาตลาดซึกิจิแล้วมุ่งหน้าไปจุดหมายต่อไปของเรา นั่นคือ วัดโซโจจินั่นเอง


----- เราใช้ Subway สาย Oedo Line จาก Tsukijijo (E18) ไปลง Daimon (E20) ออกทางออก A6 เดินไปตามถนนก็จะเจอซุ้มประตูใหญ่ นั่นแหละครับ วัดโซโจจิ ที่นี่เป็นจุดชมซากุระยอดนิยมอีกจุดหนึ่งของชาวญี่ปุ่น มันพิเศษตรงที่หลังวัดจะเห็น โตเกียวทาวเวอร์ตั้งตระหง่านเป็นแบคกราว อยู่ด้านหลัง แต่เสียดายช่วงที่เราไป ซากุระยังเป็นดอกตูมๆอยู่ แต่ได้มาเห็นภาพ วัดรับกับโตเกียวทาวเวอร์แบบนี้ก็สวยมากแล้วหละครับ นี่ถ้าซากุระสีชมพูบานสะพรั่งไปทั้งวัด ไม่รู้ว่าจะสวยมากขนาดไหน ลืมบอกไปว่ามีถนนด้านข้างวัด มุ่งหน้าไปสู่โตเกียวทาวเวอร์ ตองนี้ถ้าซากุระบาน จะสวยมากๆเลยครับ



----- ออกมาหน้าวัดเราเริ่มหิวกันอีกแล้ว หิวบ่อย หิวง่ายกันจริงๆ มื้อนี้จะลองชิมอาหารแบบฟาสท์ฟู้ดญี่ปุ่น หรือพวกอาหารชุดญี่ปุ่นที่ร้าน Matsuya ก็คล้ายๆกับร้าน Yoshinoya ที่มาเปิดบ้านเราหลายสาขานั่นแหละครับ เข้าไปก็ไปหยอดเหรียญกดสั่งอาหารที่ตู้อัตโนมัติ ชุดข้าวหน้าหมู ไข่ดิบ พร้อมสลัดและซุป 450 เยน ข้าวหน้าแกงกะหรี่เนื้อ 500 เยน อร่อย ได้เยอะ ราคาถูกคุ้มค่ามากๆครับ

----- เราไปกันต่อที่ศาลเจ้าเมจิ ใช้ Subway เหมือนเดิมไปลงที่สถานี Meiji Jingu (C03) ออกทางออก Exit 2 เดินไปไม่นานก็จะเจอกับเสาโทริอิ ไม้ใหญ่ยักษ์สวยงาม อยู่หน้าสวนสาธารณะ ก่อนเข้าไปเราเห็นร้านกาแฟน่านั่ง เลยนั่งจิบกาแฟชมบรรยากาศหน้าศาลเจ้าเมจิอยู่พักหนึ่ง แล้วเข้าไปเดินเที่ยวในศาลเจ้าเมจิ ที่นี่เป็นสวนสาธารณะใหญ่ เป็นป่าใหญ่ใจกลางโตเกียว






----- วันนี้โชคดี เจอพิธีมงคลสมรสของชาวญี่ปุ่นที่มาจัดงานที่นี่พอดีเลย กลายเป็นสักขีพยานรักให้คู่บ่าวสายไปโดนปริยาย ศาลเจ้าเมจิค่อนข้างกว้างครับ ใช้เวลาเดินเกือบๆชั่วโมงแล้วเราก็ออกมาที่ สถานี ฮาราจูกุ ถ้าไปทางขวาจะไปถนน ทาเคชิตะสตรีท แหล่งรวมวัยรุ่นญี่ปุ่น ถ้าไปทางด้านซ้ายจะเป็น ถนนโอโมเตะซานโด แหล่งช๊อปปิ้งที่คึกคักเอามากๆในวันเสาร์แบบนี้

----- สถานีฮาราจุกุ มีความพิเศษตรงที่ เป็นตัวสถานีเป็นอาคารแบบเก่า มีความคลาสสิค สวยงาม จึงเป็นจุดเช็คอินอีกจุดหนึ่งที่หลายๆคนนิยมมากันครับ เสร็จแล้วเราเลี้ยวซ้าย มุ่งหน้าสู่ถนนโอโมเตะซานโด ข้ามถนนไปนิดเดียวก็จะเจอกับห้าง โตคิว ที่ยูทูปเบอร์หลายๆคนนิยมไปถ่ายรูปกัน ห้างที่ตรงทางเข้าบันไดเลื่อนเป็นอุโมงค์กระจก สวยงามไปอีกแบบครับ เราเดินถนนโอโมเตะซานโดไปเรื่อยๆ ประมาณ 1.5 กิโลเมตร ก็จะไปถึงห้าแยกชิบูย่าครับ ตอนนี้เวลาประมาณ 6 โมงเย็นแล้ว อากาศเริ่มหนาวเย็นลงอีกครั้ง ตรงย่านนี้เป็นแหล่งช๊อปปิ้งย่านการค้าใหญ่โตมากๆอีกแห่งหนึ่งของโตเกียว GU Uniqlo H&M ZARA มีให้ช๊อปปิ้งกันเพียบ เราเดินข้ามถนนไปมา ตรงที่เป็น 5 แยกวุ่นวายนั่นแหละครับ ที่ดูพิเศษก็เพราะว่าตรงนี้ทั้ง 5 แยกจะเปิดเป็นไฟแดงพร้อมกันทั้งหมด เพื่อให้คนข้าม ทำให้ภาพคนข้ามถนนตรงนี้ดูวุ่นวายและคนเยอะมากจริงๆครับ




----- ข้ามถนนเล่นซะเพลิน แบบว่าข้ามเอาบรรยากาศอะครับ ฮ่าๆๆๆ ก็มาถึงหน้ารูปปั้นเจ้าหมาน้อยฮาจิโกะ หมาน้อยผู้มารอเจ้าของที่สถานีชิบูย่าจนถึงวาระสุดท้ายของตัวเองโดยไม่รู้เลยว่าเจ้านายของมันนั้นได้จากโลกนี้ไปแล้ว และนั่นก็เป็นสาเหตุให้มีการสร้างประติมากรรมเจ้าหมาน้อยฮาจิโกะไว้ตรงนี้เพื่อเป็นอนุสร และตั้งชื่อทางออก ฝั่งนี้ว่า Hajigo Exit ด้วยนะ เดินเยอะ หิวอีกแล้ว ตั้งใจจะหาร้านลิ้นวัวย่างแต่หาไม่เจอ มาลงเอยที่ร้านซูชิเวียน Sushi Go Round อยู่ในซอยหลังเจ้าหมาน้อยฮาจิโกะนั่นเองครับ เราไม่รู้จักร้านนี้มากก่อน เจอร้านก็เข้าไปกินเลย ไม่ได้คาดหวังอะไรมากมาย ปรากฏว่าร้านนี้ราคาค่อนข้างจะเป็นมิตรกับกระเป๋าเงินครับ และรสชาติก็ถือว่าดีใช้ได้เลยอีกด้วย ซูชิไข่หอยเม่น 2 คำ ราคา 590 เยน หรือ 180 บาท ซึ่งราคานี้หากินที่เมืองไทยไม่ได้อย่างแน่นอน ซูชิหอยเชลคำใหญ่ๆ 2 คำ เพียงแค่ 190 เยน ซูชิขาปูเนื้อแน่นๆ 2 คำ 490 เยน เรากินไป 10 กว่าจานก็อิ่ม ของสดดีใช้ได่ รสชาติดี แต่ไม่อร่อยถึงกับซูชิซันมัย หรือ มากุโระบิโตะ สำหรับราคานี้ทำให้เราได้ชิมซูชิแปลกๆที่ไม่เคยชิมได้หลายคำเลยครับ ถือว่าเป็นร้านอาหารที่ประทับใจมากๆอีกร้านนึงในทริปนี้ครับ



----- เสร็จแล้วกลับมายังย่านอาซากุสะอีกครั้งเพื่อกลับโรงแรมพักผ่อน แต่ทว่า จะลองแวะห้าง ดองกี้ โฮเต้ สาขาอาซากุสะซักหน่อยครับ สาขานี้เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง บ้าแล้วครับ สินค้าให้เลือกซื้อเยอะมากๆ มี 6 ชั้นเหมือนสาขาอื่นๆ สินค้าก็ราคาถูกมากๆ ทั้งเครื่องสำอาง ประทินผิว ปลอบประโลมผิวสารพัดสิ่งที่คุณผู้หญิงจะซื้อกัน ทั้ง ขนม อาหาร เครื่องดื่ม อาหารแห้ง ของเล่น กันดั้ม ของสะสม มีหมดครับ เข้าไปประมาณ 4 ทุ่ม ได้กลับออกมาอีกที ตี 2 เลยครับ ที่นี่สามารถทำ Tax Free ได้ด้วยครับ อย่าลืมพกพาสปอร์ทไปด้วยละ




DAY 5

----- เช้าวันนี้เป็นวันอาทิตย์ เดินออกมาจากที่พักผ่านวัดอาซากุสะ ที่วัดมีงานอะไรซักอย่าง มีการออกร้าน ขายอาหารกันเยอะแยะบรรยากาศคึกคักไปอีกแบบครับ มีอาหารแปลกๆตามงานวัดญี่ปุ่นให้ชิมกันเพียบ พวก ของเสียบไม้ย่าง ปลาอายุ เนื้อย่าง มันฝรั่งย่าง แต่เช้านี้เราตั้งใจจะไปทานราเมงข้อสอบครับ


----- ย่านนี้มีสาขาอยู่ตรงข้ามกับห้าง Matsuya หาไม่ยากครับ เข้าไปถึงเป็นเวลาประมาณ 11 โมง คนค่อนข้างเยอะ แต่ยังพอมีที่นั่งอยู่ ถ้าไปถึงเที่ยงรับรองว่าคุณต้องต่อคิวอย่างแน่นอน เราติดใจราเมงข้อสอบตั้งแต่ทริปก่อนๆ ถึงขั้นซื้อแบบกึ่งสำเร็จรูปกลับมาทำกินเองที่เชียงใหม่เลยครับ ซึ่งเมื่อลองทำกินเองแล้วรสชาติก็ใกล้เคียงกับทานที่ร้านเลยครับ (ห้างดองกี้ มีขายครับ ราเมงข้อสอบกึ่งสำเร็จรูปแพค 5 ซอง 2000 กว่าเยน) แล้วครั้งนี้ก็ไม่ผิดหวังรสชาติดี น้ำซุปเข้มข้น อร่อยเหมือนเดิมชามละ 890 เยน เพิ่มเติมท๊อปปิ้งเป็นไข่ต้ม(130เยน) กับหมูชาชู(250เยน)เพิ่ม อิ่มอร่อยกันไปครับมื้อนี้ ขอบอกเลยว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ทำไข่ต้มได้อร่อยมากๆ ต้องลองครับ




----- จากนั้นเราใช้ Subway Asakusa Line (A18) ไปลง Higashi Ginza (A11) แล้วเปลี่ยนเป็นสาย Hibiya Line จาก Higashi Ginza (H09) ไปยัง Naga-Meguro (H01) เพื่อไปเดินเล่นย่านนากาเมกุโระ ไปจนถึงย่าน ไดคันยามา ย่านนากาเมกุโระมีจุดเด่นอยู่ที่ สะพาน ลำคลอง ที่มีต้นซากุระตลอดสองฝั่ง ซึ่งนึกดูแล้วกันครับว่าเมื่อซากุระสีชมพูบานสะพรั่ง ลำคลองสายนี้จะสวยงามมากขนาดไหน เราเดินชมบ้านเมืองไปเรื่อยๆ ส่วนมากจะเป็นบ้านคนและด้านล่างเป็นร้านค้าขายพวกงานศิลปะ ของแต่งบ้าน ซึ่งถ้าใครจิตไม่แข็งละก็ผมว่าอาจจะช๊อปปิ้งกันเป็นหมื่นๆเยนได้เลยครับ




----- เดินไปเรื่อยๆจนถึง ต้นดอกทานตะวันสีเขียวสดใหญ่เท่าตึก 3 ชั้น ก็แสดงว่าเราเดินมาถึงย่านไดคันยามาแล้วหละครับ ย่านนี้ก็เป็นย่านที่อยู่อาศัย แล้วเปิดร้านค้าขายกันด้านล่าง สินค้าเป็นเสื้อผ้า งานดีไซน์ ร้านอาหาร ร้านกาแฟ และร้านขนม






----- ว่าแล้วก็ได้กลิ่นหอมโชยมาเลยครับ เราดันไปยืนอยู่หน้าร้านขนมปังที่ คุณอุ้ม พิธีกรสุดน่ารักในรายการ มาจิเดะเจแปน เคยไปถ่ายทำ มีเหรอเราจะพลาด เดินเข้าไปหอมฟุ้งทั้งร้าน เลือกขนมที่คุณอุ้มแนะนำมา 1 อย่างและอย่างอื่นอีก 2 – 3 อย่าง มานั่งทางที่มานั่งข้างร้าน ผู้คนเดินไปมาประปราย นั่งทานขนมปัง อร่อยมากๆครับร้านนี้ ภรรยาผมเป็นคนไม่ชอบทานขนมปัง ทานจนหมด 3 ชิ้นแล้วเดินกลับเข้าไปซื้อเพิ่มอีก จนเจ้าของร้านยิ้มกรุ้มกริ่มด้วยความดีใจเลยทีเดียวครับ โดยเฉพาะขนมที่มีรูปร่างเหมือนมันปิ้งที่คุณอุ้มแนะนำนั่นแหละครับ อร่อยจริงๆ เชื่อเลยว่ารายการมาจิเดะเจแปนแนะนำแต่อาหรอร่อยจริงๆ เราเดินเล่นแถวนี้ซักพัก สินค้าหลายอย่างน่าซื้อมากๆ ดีไซน์สวยดีไม่ซ้ำใคร แต่มีความเรียบง่าย สุขุม ไม่ฉูดฉาดในแบบของญี่ปุ่น รีบไปต่อก่อนจะเสียเงินช๊อปปิ้งกันดีกว่าครับ ฮ่าๆๆ





----- เราใช้ Subway Hibiya Line จากสถานี Ebisu(H02) ไปลง Ginza (H08) วันนี้วันอาทิตย์ ถนนหลักของกินซ่าจะทำการปิดถนนเพื่อให้คนเดินในช่วงบ่ายถึงเย็นๆครับ ผู้คนมากมาออกมารับแสงแดดเดินช๊อปปิ้ง จิบกาแฟกันตามประสาวันหยุดสุดสัปดาห์ มีศิลปินอิสระมานั่งเล่นดนตรี โปรโมทผลงานของตัวเองกลางถนน ดูมีเสน่ห์มากครับ ที่นี่มีสินค้าแบรนด์เนมมากมาย สายช๊อปก็เช็คราคากันดีๆครับ หลายๆอย่างถูกกว่าเมืองไทยมากโดยเฉพาะแบนด์ญี่ปุ่น อย่าง Shiseido เป็นต้นที่ภรรยาผมยืนยันหนักแน่นว่าถูกกว่าที่ดิวตีฟรีเยอะเลย นะแหละครับ พนักงานเอาครีมอะไรป้ายแขน ภรรยาผมก็ซื้อหมดเลย ฮ่าๆๆๆ




----- และแล้วก็ถึงเวลาของผมบ้างครับ ผมตั้งใจจะไปร้าน Hobby Off ซึ่งอยู่ที่อุเอโนะ เราจึงใช้ Subway จาก Ginza(G09) ไปยัง Ueno(G16) ร้านในเครือของ Hobby Off ก็จะเป็นสินค้ามือ 2 ครับ มีทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้า(Hard Off) เสื้อผ้า(Mode Off) หนังสือ(Book Off) เป็นต้น แต่ร้าน Hobby Off ที่ขายของเล่นของสะสม ในโตเกียวเหมือนจะมีแค่ 3 ที่เท่านั้นเอง แหละหนึ่งในนั้นก็อยู่ที่ Ueno ถนนคู่ขนานกับตลาด Ameyoko นี่เองครับ สิ่งที่ผมต้องการอยู่ชั้น 3 – 4 ครับ มีของเล่นของสะสม มือ 2 มากมาย แต่เอาเข้าจริงๆคนที่ช๊อปปิ้งกลับกายเป็นภรรยาผมไปซะได้ครับ ไม่เป็นไรครับ ได้มาที่นี่ผมก็มีความสุขมากแล้ว ไม่จำเป็นต้องซื้อกลับไปก็มีความสุขแล้วหละครับ




----- ย่านนี้มีร้านอาหารแนวอิซากายะเยอะมากๆ วันก่อนที่เรามาก็โดนไปร้าน Kushiyaki ที่อร่อยมากๆมาแล้ว วันนี้เกิดอยากลองร้านอื่นบ้าง แต่จำชื่อร้านไม่ได้แล้วครับ รสชาติอร่อยสู้ร้านแรกไม่ได้ แต่ก็พอทานได้ครับ ราคาค่อนข้างสูงกว่า และที่ไม่ประทับใจเลยก็คือทุกคนในร้านสูบบุหรี่กันหมดเลยครับ นี่คือข้อเสียหนึ่งของร้านอิซากายะ หากใครแพ้กลิ่นบุหรี่ กรุณาพิจารณาดีๆก่อนจะเข้าร้านนะครับ


----- ด้วยความที่ไม่ค่อยอิ่มจากร้านอิซากายะที่อุเอโนะ ท้องมันยังหิวๆอยู่ กลับมาที่ย่านอะซากุสะ ผมเห็นร้านเนื้อวัวญี่ปุ่นย่างอยู่ร้านนึง ใกล้ๆกับโรงแรม WBF เลยแหละ ทริปนี้ตั้งใจไว้ว่าจะลองชิมร้านประเภท ยากินิกุ ให้ได้เลย ก็เลยเข้าไปลองครับ ชื่อร้านว่า Yakiniku Kemuri Grand สั่งเนื้อเป็นเซ็ทมา 1300 เยน มีข้าว มีซุป มีสลัดผัก และมีเนื้อสันนอก ที่นุ่มมากๆ หมักมากำลังพอดี ย่างกินแล้วอร่อยมากๆ อีกจานหนึ่งคือ เนื้อ คารุบิ มีมันแทรกทั่วชิ้น 1 จาน 1000 เยน และปิดท้ายด้วย ลิ้นวัว 1 จาน 1000 เยน ได้กินยากินิกุสมใจ ร้านอร่อยอยู่ใกล้ที่พักเรานี่เอง เป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจอีกร้านนึงครับ






DAY 6

----- เช้านี้เราต้องเช็คเอาท์จากโรงแรม WBF และย้ายไปพักที่ โรงแรม นาริตะ โทบุ เพื่อที่จะได้ไม่พลาดไฟลท์บินเช้าในวันกลับ ลงมา 10 โมงกว่า เช็คเอาท์เรียบร้อยฝากกระเป๋าไว้ก่อนนะ จะออกไปเดินเล่นย่านอาซากุสะซักหน่อย ก่อนจะบอกลาโตเกียวในทริปนี้ เดินเล่นย่านอาซากุสะก็สนุกแล้วนะฮะ แวะชิมขนมปังปลาใส่ถั่วแดง ไส้มันหวานญี่ปุ่น ไทยากิ ชิมซักหน่อย ร้านนี้เห็นคนมากินตลอดตั้งแต่เช้ายันดึกเลยทีเดียว กินร้อนๆก็อร่อยดีครับ ราคาชิ้นละ 200 เยน


----- ยังไม่หายหิวเดินเล่นย่านการค้า ไปเจอเข้ากับร้านอาหารสไตล์ครอบครัว ร้าน Wasyoku หาไม่ยากครับเป็นร้านใหญ่ใกล้ๆกับทางเดินออกไปห้างดองกี้ย่านอาซากุสะนั่นแหละครับ ที่นี่มีบริการอาหารชุด เหลืออาหารญี่ปุ่นอีก 2 อย่างที่เรายอยากกินแล้วยังไม่ได้กิน นั่นก็คือ เทมปุระ กับข้าวหน้าปลาไหล ว่าแล้วก็สั่งเลยครับ ระหว่างรออาหารมองไปรอบๆร้าน ไม่มีนักท่องเที่ยวซักคน เห็นแต่ผู้สูงอายุญี่ปุ่น กับชาวญี่ปุ่นเป็นครอบครัวเข้ามาทานกัน สันนิษฐานได้ว่าอาจเป็นร้านเก่าแก่ของย่านนี้ก็ได้ครับ อาหารมาเสิร์ฟโดยพนักงานสูงวัยของร้าน หน้าตาหาอาหรชุดน่าทานมากๆ ชุดเทมปุระมี กุ้งตัวยาวใหญ่ กับหอยนางรมชุบแป้งทอด 3 ตัว ราคาเซ็ทละ 1180 เยน ชุดข้าวหน้าปลาไหล ที่มาทั้งแบบต้ม 1 ชิ้นใหญ่ๆ กับแบบย่างอีก 1 ชิ้นใหญ่ๆ ราคาชุดละ 2200 เยน อร่อยและประทับใจอีกแล้วครับมื้อนี้ ราคาไม่แพงมาก ถ้าเทียบกับคุณภาพและปริมาณของอาหาร




----- ก่อนกลับโรงแรม อยากจิบกาแฟซักหน่อย ยังไม่ได้ชิมกาแฟญี่ปุ่นแบบจริงๆจังๆ เพราะว่าเห็นราคาแต่ละร้านแล้วก็ไม่กล้าดื่มจริงๆครับ วันก่อนที่ไปกินซ่า ถือว่าได้กินกาแฟ 1 แก้วในราคา 310 เยน นั่นคือที่ร้านสตาร์บั๊คครับ ถือว่าราคาค่อนข้างถูกเมื่อเทียบกับร้านอื่นๆที่ผมเห็นมา วันนี้จะลองชิมกาแฟสดของร้าน Family Mart ครับ เราต้องบอกพนักงานว่าจะรับเครื่องดื่มอะไร แล้วก็จ่ายเงินไปตามราคา เค้าจะให้แก้วมา กับซองเครื่องดื่มแบบผงมาครับ แล้วแต่ชนิดเลย เราสั่ง มัจฉะลาเต้ กับกาแฟลาเต้ อย่างละ 1 แก้ว ราคารวมกันแค่ 300 เยนเท่านั้นเอง รถชาติก็ถือว่าดีใช้ได้ครับ แต่ก็อย่างว่าละครับ กาแฟเกรดต่างกัน ชนิดต่างกัน ราคาย่อมจะต่างกันเป็นธรรมดา สำหรับกาแฟที่ Family Mart ถือว่าใช้ได้ครับ คุ้มค่าคุ้มราคาดีทีเดียว



สตรอเบอรี่ญี่ปุ่นนี่ พลาดไม่ได้เลยครับ อร่อยมากๆ ผมมาเจอแบบนี้ในห้างที่ไทย แพคละ 500 บาทเลยทีเดียว ที่ญี่ปุ่นคูณซื้อกินได้ในราคา 200 บาทเท่านั้น ผมซื้อกินแทบทุกวันเลยครับ


----- เดินกลับโรงแรม ถึงเวลาทีเราหวาดกลัวที่สุดในทริปนี้ นั่นก็คือการลากกระเป๋า ที่แตกตัวจาก 2 ใบ เป็น 7 ใบ (เพื่อนๆกระเป๋าแตกตัวกันมากสุดคนละกี่ใบกันครับ) ต้องลากจากโรงแรม WBF ผ่านวัดอาซากุสะ ไปยังสถานีอาซากุสะ ซึ่เอาเข้าจริงๆมันก็ไม่ได้ยากหรือเหนื่อยอะไรมากมายครับ พื้นถนนของญี่ปุ่นค่อนข้างเรียบ ลากกระเป๋าไปได้เรื่อยๆ จะหนักหน่อยก็ตรงต้องยกกระเป๋าลงบันไดสถานีนั่นแหละครับ แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดีครับ

----- เรานั่งรถไฟ Narita Sky Access ยิงตรงยาวๆ ไปยังสนามบินนาริตะ Termimal 1 เลยครับ ไม่ต้องเปลี่ยนสายให้วุ่นวายเหมือนขามานั่นแหละ ถึงที่หมายก็ ลากกระเป๋าลงเดินไปหาชานชาลารถชัตเติ้ลบัสของโรงแรมได้เลย ส่วนมากโรงแรมที่นาริดะจะมีรถบัสฟรีมารับลูกค้าอยู่แล้วครับ โรงแรมที่เราพัก นาริตะโทบุก็เช่นกัน ไปรอขึ้นรถฟรีที่ชานชาลาหมายเลข 16 ได้เลย รถจะวนมารับทุกๆครึ่งชั่วโมงครับ ประมาณ 10 นาทีก็ถึงโรงแรม ใกล้มากๆ โรงแรมนี้เราเคยมาพักแล้วครั้งหนึ่ง ก็เลยมั่นใจว่าห้องกว้างขวาง สะอาด และใกล้สนามบิน




----- เอาของพะรุงพะรังเก็บไว้ที่ห้องแล้วไปเที่ยวกัน ที่ตัวเมืองนะริตะ ซึ่งจะมีถนนคนเดินและวัดนาริตะ วิธีการเดินทางก็เหมือนเดิมครับ ใช้รถบัสฟรีของโรงแรมไปส่งเราที่สถานี JR Narita ลงรถบัสข้ามถนนไป ก็เข้าสู่ย่านถนนคนเดินเลย ยาวเรื่อยไปจนถึงวัดนาริตะประมาณ 1 กิโลเมตร แต่น่าเสียดาย ที่เรามาค่ำเกินไป วัดนาริตะปิดไปตั้งแต่ 5 โมงเย็นแล้ว ร้านรวงตามถนนคนเดินก็ทยอยปิดตามๆกันไปด้วย เสียดายมากจริงๆเพราะขนาดเย็นย่ำค่ำมืดแล้ว แถวนี้ยังสวยงาม บรรยากาศน่าเดินมากครับ แต่วันนี้หนาวเกินไปหนาวไปถึงขั้วหัวใจ เราจึงตัดสินใจกลับไปทานอาหารดินเนอร์บุฟเฟ่ของโรงแรมครับ หัวละ 2900 เยน อาหารก็หลายหลายทั้งคาวหวาน สเต๊คเนื้อ สปาเก๊ตตี้ เค้ก ไอศกรีม ราคาอาจจะสูงไปซักนิด แต่คุณภาพก็คุ้มราคาครับ แถวนี้ก็หาอะไรกินไปไม่ได้แล้วหละ นอกจากอาหารในร้านสะดวกซื้อ






Day 7

----- เราตื่นแต่เช้า เช็คเอาท์เรียบร้อยก็มารอขึ้นรถบัสฟรีของทางโรงแรมเพื่อไปยัง สนามบินนาริตะ เทอร์มินอล 1 ถึงสนามบินก็เข้าไปเช็คอินฝากสัมภาระ ตรวจ ตม. แล้วก็เข้าเกตไปได้เลย สะดวกสบายและรวดเร็วมากๆ ทั้งหมดนี้ใช้เวลาไม่ถึง 15 นาทีก็เสร็จเรียบร้อย


เข้าไปที่แล้วก็พบกับสวรรค์ของนักช๊อป สินค้าปลอดภาษีมากมาย ตลอดทาง เราแวะซื้อขนมช๊อคโกแลตขึ้นชื่อของญี่ปุ่น นั่นคือ Royce นั่นเอง ราคาที่นี่จะถูกมากๆ ถูกกว่าที่บ้านเราเยอะเลย นอกจากนี้ก็ยังมีขนมแบรนด์ญี่ปุ่นอีกมากลองเลือกซื้อกันดูครับ


----- สุดท้ายก็คือภารกิจ ใช้เหรียญให้หมด และใช้เงินในบัตร SUICA ให้หมดครับ ในนี้มีร้านสะดวกซื้อเล็กๆ อยู่ และมีร้านขายอาหารและเครื่องดื่มมากมายในราคาที่ไม่สูงเกินไปนัก ไว้สำหรับละลายเหรียญและเงินที่เหลือในบัตรได้ จริงๆบัตรจะเอาคืนก็ได้นะครับ แต่ถ้าใครคิดว่าจะกลับมาญี่ปุ่นอีกแน่ๆละก็เก็บเอาไว้ก็ได้ครับ เอาไว้เป็นเชื้อไฟในการมาเที่ยวญี่ปุ่นอีกครั้ง

----- ขากลับเราบินกลับด้วยสายการบินไทย ที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยอาหารและเครื่องดื่ม การบริการดีเยี่ยม เก้าอีกนั่งสบายแถมยังไม่ หนังให้ดู มีเพลงให้ฟัง มีเกมให้เล่นเพลินๆอีกด้วยครับ

----- ออกจากนาริตะ 11 โมง กลับถึงเชียงใหม่อีกที ก็ 2 ทุ่มเลยครับ ทริปนี้สนุกมากๆ แม้จะเคยมาญี่ปุ่นแล้ว 2 ครั้ง ครั้งนี้มันก็ยังสนุกเหมือนเดิม หรืออาจจะมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ ปัญหาอย่างหนึ่งของการไปเที่ยวญี่ปุ่นก็คือ พอกลับมาได้ไม่นานก็อยากกลับไปเที่ยวอีกแล้ว...เพื่อนๆเป็นเหมือนผมมั๊ยครับ

ติดตามการท่องเที่ยวกับครอบครัวเล็กๆของเราได้ที่เพจเฟสบุ๊ค "คุณนายตื่นสาย"
https://www.facebook.com/happylazylady/

ช่องทาง YouTube คุณนายตื่นสาย happylazylady
https://www.youtube.com/channel/UCbH9FK3FGnS4zb2Ncw61R5w

สุดท้ายนี้ ขอให้ท่องเที่ยวกันให้สนุก มีความสุขกับคนที่คุณรักครับ


คุณนายตื่นสาย happylazylady

 วันศุกร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2562 เวลา 14.25 น.

ความคิดเห็น