ช่วงนี้ใครๆก็เลือกที่จะไปเที่ยวเมืองรอง

ครั้งนี้ เราจะพาทุกคนไปรู้จักกับหนึ่งจังหวัดที่จะไม่เป็นแค่ทางผ่านอีกต่อไป

อุทัยธานี’ จังหวัดนี้มันมีอะไร เรามาพิสูจน์กัน ..

จังหวัดอุทัยธานี’ จังหวัดเล็กๆที่หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าจังหวัดนี้มีอะไรให้เที่ยวบ้าง มีอะไรให้ทำบ้าง รีวิวนี้เลยขอพาเพื่อนๆไปซึมซับบรรยากาศใช้ชีวิตแบบ slow life ริมแม่น้ำสะแกกรัง ในตัวเมืองอุทัย หากมาเยือนด้วยตัวเองรับรองจะหลงใหล ถ้าไม่เชื่อก็ตามมาดูได้เลย


วันแรกของการเดินทาง : 27 กรกฎาคม 2562

การเดินทางของเราในครั้งนี้ เป็นทริปสั้นๆ 2 วัน 1 คืน ที่เรากับเพื่อนๆเกิดอยากไปพักผ่อนเปลี่ยนบรรยากาศ ซึ่งจุดมุ่งหมายของเราในทริปนี้มาลงล็อคกันที่จังหวัดอุทัยธานี .. จังหวัดที่มีแต่คนตั้งคำถามว่า ‘ไปอุทัย ไปทำไม’ วันนี้เรากับเพื่อนๆจะพาทุกคนมาพิสูจน์กันว่า ‘อุทัยมีอะไร’ .. เราเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว เริ่มต้นออกเดินทางกันประมาณ 10 โมง ไม่มีการแพลนเป็นกิจลักษณะใดๆทั้งสิ้น ปรับเปลี่ยนแพลนตามสถานการณ์ .. เราออกจากกรุงเทพใช้ถนนสายเอเชียผ่านจังหวัดอยุธยา อ่างทอง สิงห์บุรี ชัยนาท ก่อนจะเลี้ยวซ้ายเข้าสู่จังหวัดอุทัยธานี ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง (แต่วันที่เราเดินทางนั้นเป็นหยุดยาวรถติดช่วงอยุธยาเลยทำให้เราใช้เวลาเดินทางเกือบ 4 ชั่วโมงได้)

พอเลี้ยวเข้ามาสู่ตัวเมืองอุทัย ก่อนที่จะเข้าที่พักเราขอแวะเติมพลังกันก่อนที่ร้านบะหมี่ฮ่องเต้ ต้นตำรับบะหมี่ไข่ทำเอง .. ที่จังหวัดอุทัยธานี ขึ้นชื่อเรื่อง ‘เส้น’ เป็นอย่างมาก เพราะ เป็นเมืองที่ผสมผสานวิถีชีวิตไทย-จีน เค้าเชื่อว่า หากใครได้ทานก๋วยเตี๋ยวจะมีอายุมั่นขวัญยืน การงานยั่งยืน โชคลาภยั่งยืน เลยทำให้จังหวัดนี้มีร้านก๋วยเตี๋ยวที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นกันอยู่หลายร้าน

ที่ร้านมีเมนูเกี๋ยวเตี๋ยวหลากหลาย เช่น บะหมี่ต้มยำไข่, เย็นตาโฟ, เกี๊ยวน้ำ, เกี๊ยวกุ้ง, เกี๊ยวหมู, เกี๊ยวปลา, ก๋วยเตี๋ยวหมูตุ๋น, บะหมี่หมูย่าง เป็นต้น ซึ่งแต่ละเมนูจะมีราคา 40-50 บาทเท่านั้นเอง .. มื้อนี้โดนค่าเสียหายไป 280 บาท สำหรับก๋วยเตี๋ยวต้มยำไข่ 4 ก๋วยเตี๋ยวหมูตุ๋น 1 ลูกชิ้นรวมลวกจิ้ม 1 รสชาติเราให้ผ่าน โดยเฉพาะเส้นบะหมี่ที่มีความเหนียวนุ่มละมุนละไม

บรรยากาศของร้านมีการตกแต่งด้วยของสะสม ทั้งเก่าและใหม่ มองแล้วเพลินตา มีความคลาสิคอยู่ในตัว ร้านจะเปิดขายทุกวัน เวลา 11.00 น. - 16.00 น. เฉพาะวันจันทร์จะเปิดถึงแค่ 14.00 น. ร้านตั้งอยู่ใกล้ๆสวน 200 ปี

จากนั้นเราออกเดินทางต่อไปยังที่พักซึ่งอยู่ใกล้ๆกับตรอกโรงยา ที่พักของเราชื่อ SolarCell Uthai Thani Homestay .. เราไปพัก 5 คน เลยต้องจอง 2 ห้อง ราคาห้องพักรวมกัน 1,600 บาท หากต้องการจองที่พักสามารถเข้าดูรายละเอียดได้ที่ Facebook : SolarCell Uthai Thani Homestay ได้เลยค่ะ

หลังจากที่เราเก็บสัมภาระเรียบร้อย เราจะเริ่มสำรวจเมืองอุทัยกัน ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสามโมงเย็น ที่แรกที่เราจะไป คือ วัดสังกัสรัตนคีรี เป็นวัดที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักในเรื่องประเพณีตักบาตรเทโว ซึ่งจะจัดขึ้นในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ของทุกปี ถือเป็นประเพณีสำคัญของจังหวัดอุทัยธานี ภายในวัดสังกัสรัตนคีรี ยังเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมือง พระพุทธรูปสำริดปางมารวิชัย "พระพุทธมงคลศักดิ์สิทธิ์" และยังเป็นที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทจำลองอีกด้วย


ทางขึ้นวัดสามารถขึ้นไปได้สองทาง คือ ทางรถยนต์ ทางขึ้นจะอยู่ทางด้านข้างของสนามกีฬาจังหวัด จะมีป้ายบอกทางว่า ‘ทางขึ้นเขาสะแกกรัง’ และอีกทางนึง คือ ทางเท้า จากบริเวณลานวัดจะมีบันได 449 ขั้นให้เดินขึ้น แต่เราขอเลือกเป็นทางรถยนต์นะคะ ถ้าเดินขึ้นสังขารไม่ไหวจริงๆ .. จากบริเวณที่เป็นลานจอดรถ จะมีจุดชมวิว เราสามารถมองวิวที่เห็นตัวเมืองอุทัยธานีได้กว้างสุดลูกหูลูกตา

หากเดินย้อนกลับมาอีกทางนึงจากวัดสังกัสรัตนคีรีจะมีพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก .. ในวันที่ 6 เมษายน ของทุกปี จะมีพิธีถวายสักการะพระราชานุสาวรีย์แห่งนี้ซึ่งตรงกับช่วงที่ดอกสุพรรณิการ์ ดอกไม้ประจำจังหวัดอุทัยธานีบานสะพรั่งอยู่ทั่วไปบนยอดเขาสะแกกรัง

จากตรงจุดนี้ เราจะพาทุกคนเดินต่อไปยังยอดเขาสะแกกรัง ซึ่งมีระยะทาง 850 เมตร ฟังดูอาจจะเดินไม่เยอะเท่าไหร่ แต่เส้นทางคือเดินขึ้นเขา ทางเดินล้อมรอบด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ อาจจะร้อนและมีหอบเล็กน้อย เมื่อเดินทางถึงยอดเขาจะได้พบกลับวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม และที่นี่ยังเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกดินที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของอำเภอเมืองอุทัยธานี

ความสำคัญบนยอดเขาสะแกกรังยังไม่หมดเพียงเท่านี้ บนยอดเขาสะแกกรังยังเป็นที่ตั้งของ ‘หมุดโลก’ 1 ใน 3 ของเอเชีย ใช้สำหรับคำนวณและแบ่งแนวเขต เพื่อลงพิกัดแผนที่โลก เป็นหลักฐานสำคัญในการสำรวจแผนที่ทางการทหาร โดยหมุดโลกในเอเชียมีอยู่ด้วยกัน 3 ที่ คือ

จุดที่ 1 หลักหมุดที่ 90 อยู่ที่เขากาเรียนเปอร์ ประเทศอินเดีย

จุดที่ 2 หลักหมุดที่ 91 อยู่ที่เขาสะแกกรัง อ.เมือง จ.อุทัยธานี

จุดที่ 3 หลักหมุดที่ 92 อยู่ที่ประเทศเวียดนาม

สถานที่ต่อมา สาย cafe hopping ไม่ควรพลาด .. ร้านมุมสะแก ร้านกาแฟริมแม่น้ำสะแกกรัง มี 2 ชั้น สามารถเลือกได้ว่าจะนั่งโซนห้องแอร์ หรือ โอเพ่นแอร์ ร้านเปิดเวลา 7.00 น. - 18.00 น. หยุดทุกวันพุธ


เมนูแนะนำ ก็คงเป็น ‘โรตีแป้งมาเลย์’ เราลองสั่งมาทาน แต่ก็รู้สึกเฉยๆนะ .. ส่วนเครื่องดื่มที่สั่งส่วนใหญ่จะเป็นอิตาเลี่ยนโซดาค่ะ ก็จะมี บลูเบอรี่โซดา, สตอเบอรี่โซดา, ชามะนาว, น้ำผึ้งมะนาว, ลิ้นจี่ปั่น ค่าเสียหายมื้อนี้อยู่ที่ 310 บาทค่ะ

ไม่ใกล้ไม่ไกลจากร้านกาแฟ ข้ามสะพานมาอีกฝั่งแม่น้ำก็จะเจอกับวัดอุโปสถาราม (วัดโบสถ์) เป็นวัดสำคัญคู่บ้านคู่เมือง แต่เดิมวัดอุโปสถาราม ชื่อว่า วัดโบสถ์มโนรมย์ ชาวบ้านมักเรียกว่า วัดโบสถ์ สร้างขึ้นในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น

เจดีย์ 3 องค์ ตั้งอยู่หลังพระอุโบสถและพระวิหาร มีสถาปัตยกรรมที่ต่างกัน องค์ทางทิศเหนือเป็นเจดีย์ทรงหกเหลี่ยมแบบอยุธยา องค์กลางเป็นเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองแบบรัตนโกสินทร์ ส่วนองค์ด้านทิศใต้เป็นเจดีย์ทรงลอมฟางแบบสุโขทัย มักเรียกกันว่า ‘เจดีย์สามสมัย’

มาถึงสถานที่ไฮไลต์ของทริปนี้แล้วค่ะ มาถึงอุทัยต้องมาเดินถนนคนเดินตรอกโรงยาเซ็กเกี๋ยกั้ง เปิดทุกวันเสาร์ ตั้งแต่เวลา 15.00 น. - 20.00 น. ถนนคนเดินที่นี่วายเร็วเพราะคนอุทัยนอนกันเร็วค่ะ 2 - 3 ทุ่ม ก็ปิดบ้านนอนกันหมดแล้ว คนกรุงเทพอย่างเราไม่คุ้นชินเลยค่ะ ^^

เหตุผลที่เรียกถนนคนเดินนี้ว่า ‘ตรอกโรงยา’ มาจากแต่ก่อนตรงพื้นที่นี้เป็นที่ตั้งของโรงยาฝิ่น (สมัยก่อนสูบฝิ่นไม่ผิดกฏหมาย) พอถึงสมัยจอมพลสฤษฎ์ ธนรัตน์ประกาศยกเลิกโรงฝิ่นและให้ฝิ่นเป็นสิ่งผิดกฏหมาย โรงฝิ่นแห่งนี้จึงปิดตัวลง .. ปัจจุบัน ถนนคนเดินยังมีตรอกของโรงฝิ่นให้เราได้เข้าไปศึกษาและเยี่ยมชม

มาถึงที่จะไม่แนะนำขนมหรืออาหารก็กระไรอยู่ .. ทีเด็ดจริงๆต้องมาต่อคิวรอทานหมูสะเต๊ะ คุณอ้อ หรือที่เรียกกันว่า หมูสะเต๊ะร้อยคิว เนื่องจาก ร้านนี้จะมีบัตรให้ลูกค้าจำนวน 100 คิว เมื่อครบคิวที่ 100 แล้วก็จะวนมาแจกบัตรใหม่แบบนี้เรื่อยๆ หมูสะเต๊ะไม้ละ 5 บาท เราจัดมา 30 ไม้ ในราคา 150 บาท เอาให้คุ้มกับที่รอคิว หมูสะเต๊ะงานดีมาก ไม้นึงเนื้อหมูเยอะมาก ไม่จิ้มน้ำจิ้มก็อร่อยแล้ว หมูนุ่มลิ้น ฟินสุดๆ .. คุ้มค่าแก่การรอคอยแน่นอน

บรรยากาศของถนนคนเดินยิ่งเย็นยิ่งคึกคักด้วยคนในพื้นที่และนักท่องเที่ยวที่เดินจับจ่ายซื้อหาของกินอร่อยๆ มานั่งทานและซื้อกลับไปทาน มีทั้งอาหารคาวหวาน ของฝากของที่ระลึกมากมาย ราคาของกินที่นี่เป็นมิตรกับนักท่องเที่ยวอย่างเรามาก เราเลยจัดของกินไปอีก 2-3 อย่าง ; ยำผักกูด ราคา 40 บาท เฉาก๊วยโบราณ 20 บาท ข้าวเกียบงาธัญพืช ถุงละ 25 บาท


ผ่านไปไม่นานเราก็เต็มไม้เต็มมือไปด้วยของกิน ที่นั่งทานที่นี่มีน้อย เราเลยปิ๊งไอเดียมานั่งย้อนวัยกับกิจกรรมวาดภาพระบายสีของครูเจี๊ยบ ที่เค้าจัดให้เด็กๆมาแสดงฝีมือและความคิดสร้างสรรค์กันได้ฟรีๆ .. เอาจริงๆก็คือ พวกเราเด็กโข่งอยากมาหาที่นั่งทานดีดีเนี่ยแหละค่า แต่ก็จะเกร็งหน่อยๆเพราะจะมีเด็กๆที่พ่อแม่พามานั่งวาดภาพระบายสีกัน ฮ่าๆ

ระหว่างทางที่เดินเล่นในถนนคนเดินตรอกโรงยาก็จะเตะตากับบ้านไม้สุดคลาสสิคที่เก็บสะสมภาพเก่าๆของเมืองอุทัยธานี รวมทั้งของใช้และสิ่งของที่ทุกคนเคยใช้กันในอดีต บ้านหลังนี้เรียกว่า บ้านนกเขา เจ้าของบ้านเปิดให้ชมฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย

ปัจจุบันตึกรามบ้านช่องต่างๆ ร่วมใจกันทาสีม่วง เพื่อเป็นการร่วมกันถวายพระพรในวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระเทพฯ เนื่องในโอกาสเจริญพระชนมายุครบ 5 รอบ 60 พรรษา เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2558

สำหรับอาหารเย็นตอนค่ำๆ ในขณะที่เมืองอุทัยกำลังหลับใหล ดังนั้น หากใครเกิดหิวยามดึกให้นึกถึง ร้านเจ๊ดาปลาลวก เป็นร้านอาหารที่ตั้งอยู่ริมทาง ที่เปิดทุกวัน ตั้งแต่ 16.30 น. - 23.00 น. ทีเด็ดก็อยู่ที่ปลาลวกตามชื่อร้าน แต่โดยส่วนตัวชอบยำปลาลวกมากกว่า ส่วนเมนูอื่นๆ ก็เด็ดไม่แพ้กัน ทั้งต้มยำรวมมิตร ผักหวานไฟแดง กุ้งแช่น้ำปลา ยำต้นอ่อนทานตะวัน จะทานกับข้าวต้มหรือข้าวสวยก็เลือกทานได้เลย มื้อนี้เราจ่ายไป 840 บาท แต่อิ่มและอร่อยมากๆ


เสร็จจากการทานอาหาร เราก็มาใช้ชีวิตสโลวไลฟ์ยามค่ำคืน ด้วยการปั่นจักรยานชมเมืองกัน .. อุทัยยามค่ำคืนก็สวยไปอีกแบบนะคะ คืนนี้ ราตรีสวัสดิ์ จ้า


วันสุดท้ายของการเดินทาง : 28 กรกฎาคม 2562

อรุณสวัสดิ์จ้า ~ จากความตั้งใจในตอนแรกจะตื่นไปเดินตลาดเช้า พอตื่นมาเกิดเปลี่ยนใจไม่ไปซะอย่างงั้น .. เลยจัดการโทรจองขนมปังสังขยาร้านไพพรรณ จากการอ่านรีวิวควรโทรมาจองก่อน เราโทรไปประมาณ 7 โมงแต่ไม่มีใครรับสาย โทรติดอีกทีตอน 7.30 น. ปลายสายแจ้งว่าจองตอนนี้ได้คิวช่วงบ่าย o[]o .. ฮอตฮิตอะไรจะปานนั้น สุดท้าย ได้แต่เอ่ยกลับไปว่า “งั้นไม่เป็นไร ขอบคุณมากค่ะ” .. เราต้องตอบปฏิเสธไปเพราะเรามีแพลนที่จะออกเดินทางช่วงสายๆ อดกินขนมปังเจ้าเด็ดเลย


แต่ไม่ต้องเสียใจไป ยังมีร้านขนมปังเจ้าเด็ดอยู่อีก 1 ร้าน อยู่ตรงหัวมุมตรอกโรงยา นั่นคือ ร้านสิริกุลเบเกอรี่ เราสั่งมา 1 กล่อง มีทั้งหมด 10 ลูก มี 2 ไส้ คือ ไส้สังขยาและไส้ชาเย็น กล่องละ 70 บาท .. ขนมปังอร่อยสมชื่อ ไส้หวานโอเคเลย ไม่หวานเลี่ยนจนเกินไป

สำหรับมื้อเช้า เรามาฝากท้องที่ร้านเจ้โหนกก๋วยเตี๋ยวไก่ .. เป็นเจ้าเก่าแก่ที่สืบทอดเคล็ดลับสูตรเด็ดจากรุ่นสู่รุ่นมานานกว่า 30 ปี อร่อยแบบไม่ต้องปรุงรสกันเลยทีเดียว สำหรับราคาคงที่ราคาเดียวแค่ชามละ 40 บาทเท่านั้น

ฝั่งตรงข้ามร้านก๋วยเตี๋ยวเราพบเข้ากับขนมถ้วยแคะป้าเตียง หรือที่เรียกว่าขนมจุ๋ยก๊วย คือ ขนมของคนจีนแคระ เชื่อว่าคนรุ่นใหม่คนไม่รู้จักกับขนมชนิดนี้ซึ่งเราก็เพิ่งจะทำความรู้จักก็ที่นี่เนี่ยแหละ ราคาแสนถูกชุดละ 20 บาท เวลาทานจะโรยหน้าด้วยไชโป๊วหวานสับ ตั้งฉ่าย ผัดกะเทียม ราดซีอิ๊วหวาน ใส่กับแป้งข้าวจ้าวนึ่งในถ้วยตะไลชิ้นพอดีคำ .. เราไม่รู้จะให้คำนิยามของขนมชนิดนี้ว่ายังไงจะเป็นของหวานก็ไม่ใช่จะของคาวก็ไม่เชิง ใครมาอุทัยแล้วลองมาชิมดูนะคะ


ที่สุดท้ายของเมืองอุทัยที่เราจะแวะ คือ วัดจันทราราม (วัดท่าซุง) เป็นวัดที่มีชื่อเสียงมากในจังหวัดอุทัย .. หากมาเที่ยวอุทัยแล้วไม่ได้มาวัดนี้เหมือนมาไม่ถึงนะคะ ฉะนั้นเป็นหนึ่งวัดที่ไม่ควรพลาด ภายในจะมีวิหารแก้วที่ยาวกว่า 100 เมตร วิหารแก้วจะเปิดให้ชมเป็นเวลานะคะ รอบเช้า 9.00 น. - 11.45 น. รอบบ่าย 14.00 น. - 16.00 น.

พอเข้ามาด้านใน จะพบกับความสวยงามของวิหารแก้ว และสังขารที่ไม่เน่าเปื่อยของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ จึงมีการเก็บรักษาบรรจุไว้ในโลงแก้วบนบุษบกทองคำ

ภายในวิหาร สร้างด้วยโมกเสกแก้วแผ่นเล็กๆประกอบกันจนเป็นวิหารที่สวยงามขนาดนี้ และยังมีพระพุทธรูปจำลองพระพุทธชินราชซึ่งเป็นพระประธานในวิหารอีกด้วย

หลังจากนั้น เราก็นั่งรถไปที่ปราสาททองคำ ค่ารถคนละ 5 บาทเท่านั้นเองค่ะ ถ้าใครไม่นั่งรถก็สามารถเดินมาได้แต่เราว่าก็ไกลอยู่นะ ประมาณ 800 เมตร หรือหากใครนำรถยนต์ส่วนตัวมา ก็สามารถขับรถเข้ามาจอดใกล้ๆได้ค่ะ

ปราสาททองคำ อยู่ในบริเวณของวัดท่าซุง สร้างเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ ร.9 ในวาระที่ทรงเสวยราชย์เป็นปีที่ 50 ปิดทองคำเปลวรอบนอกปราสาท มีลวดลายไทยสวยงาม ใช้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปที่ญาติโยมนำมาถวาย .. ปราสาททองคำ เปิด 8.00 น. - 16.00 น.


หลังจากนั้น เราก็มุ่งหน้าเพื่อกลับกรุงเทพ แอบแวะจังหวัดสิงห์บุรี เพื่อที่จะไปวัดค่ายโพธิ์เก้าต้นและตลาดย้อนยุคค่ายบางระจัน แต่พอไปถึงคนเยอะมาก มีนักเรียนมาทัศนศึกษาด้วย เราจึงไปแค่สักการะอนุสาวรีย์วีรชนชาวค่ายบางระจันแทน

สุดท้ายนี้ เราขอปิดทริปอุทัยธานี ด้วยการทานอาหารกลางวันยามบ่ายสามโมง กันที่ ตลาดกลาง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา แต่เพียงเท่านี้นะคะ ขอบคุณทุกๆคนที่เข้ามารับชมค่ะ ^^

อุทัยธานี เป็นจังหวัดในภาคกลางตอนบนภาคเหนือตอนล่างที่มักถูกมองว่าเป็นแค่ทางผ่าน แต่ครั้งนี้พวกเราพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าจังหวัดอุทัยธานีเป็นจังหวัดที่ไม่ควรปล่อยให้เป็นทางผ่านอีกต่อไป .. แม้ในครั้งนี้เราจะมาเที่ยวอุทัยแค่ในตัวเมือง แต่อุทัยยังมีที่เที่ยวสำคัญๆอีกหลายแห่งต่างอำเภอออกไป หากมีโอกาสเราจะกลับมาที่อุทัยอีกครั้ง เพราะ จังหวัดนี้ยังมีอะไรที่รอเราเข้าไปสัมผัสและเรียนรู้อีกเยอะเลย

ขอบคุณ SONY A6500 + Lens 16-70mm F/4
ที่ทำให้เราได้ภาพสวยๆตลอดทริปนี้

แต่งภาพโดยโปรแกรม Lr และ Snapseed

ขอบคุณทุกๆคนที่ติดตาม หากผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย ยินดีน้อมรับทุกคำติชม

สามารถติดตามการเดินทางของเราได้อีกหนึ่งช่องทาง
PAGE : https://www.facebook.com/KeepGoingThailand

และฝากกด LIKE และกด SUBSCRIBE เพื่อเป็นกำลังใจให้การทำวีดีโอการเดินทางของเราในครั้งต่อๆไปด้วยนะคะ
YOUTUBE : https://www.youtube.com/channel/UC8BYq-uSUDO23GYAQ-Ck3kQ

.. เจอกันการเดินทางครั้งต่อไป ..

สรุปค่าใช้จ่าย สำหรับทริปนี้ (สำหรับ 5 คน)

ค่าที่พัก 1,600 บาท

ค่าน้ำมันรถ 840 บาท

ค่าทางด่วน 30 บาท

ค่าบะหมี่ฮ่องเต้ 280 บาท

ค่านำ้มุมสะแก 310 บาท

ค่าเฉาก๊วย 65 บาท

ค่ายำผักกูด 50 บาท

ค่าหมูสะเต๊ะ 150 บาท

เจ๊ดาปลาลวก 840 บาท

สิริกุลเบเกอรี่ 70 บาท

ก๋วยเตี๋ยวไก่ 200 บาท

จุ้ยก๊วย 20 บาท

ค่ารถสามล้อ 50 บาท

รวมทั้งสิ้น 4,505 บาท (ตกคนละ 901 บาท)

ความคิดเห็น