สวัสดีค่ะ วันนี้มีนเอากระทู้เกี่ยวกับประสบการณ์เมื่อ2ปีที่แล้วที่ได้ไปโครงการวูฟ ประเทศญี่ปุ่นมาฝาก

เราไปกันสองคนกับเพื่อน คือไป วูฟ 10 วัน และอยู่เที่ยวโตเกียวต่ออีก 4 วัน รวมคืออยู่ญี่ปุ่นทั้งหมด 14 วัน

  • สวมบทเป็นชาวสวน ปลูกบลูเบอร์รี่ที่ฟาร์มญี่ปุ่น
  • เป็นพี่เลี้ยงจำเป็นให้เหล่าเด็กน้อย
  • ไปทำเกี๊ยวซ่ากันกับเด็กๆในศูนย์การเรียนรู้ของชุมชน
  • แวะเที่ยวปราสาท Matsumoto
  • กินอาหารญี่ปุ่นแบบเรียลๆ
  • วูฟเสร็จก็อยู่เที่ยวโตเกียวต่อฟินๆ 4 วัน

สำหรับคนที่ไม่รู้จักวูฟ อธิบายง่ายๆ วูฟคือโครงการที่เปิดโอกาสให้เราได้ไปสัมผัสวิถีชีวิตของคน ณ ประเทศนั้นๆ ใช้ชีวิตอยู่กับโฮส โดยจะเป็นการทำงานแลกที่พักและอาหาร ส่วนงานที่ทำนั้นส่วนใหญ่จะเป็นฟาร์ม แต่บางโฮสก็จะมีทำโรงแรม เรียวกัง คาเฟ่ หรือโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษเด็ก

ใครที่สนใจสามารถเข้าไปดูในเว็บไซต์
https://www.wwoofjapan.com/main/index.php?lang=en
ส่วนค่าใช้จ่ายในการสมัครโครงการคือ 5,500 yen หรือ ประมาณ 1,697.03 THB (5/5/2017) มีอายุ1ปี

หลังจากสมัคร กรอกนู่นนี่จ่ายตังเสร็จก็เลือกโฮสจากในลิสต์ แนะนำให้เลือกจากภูมิภาคหรือจังหวัดที่เราสนใจก่อน แล้วค่อยเข้าไปดูในลิสต์โปรไฟล์โฮสว่าเราอยากทำงานอะไร ในโปรไฟล์ของแต่ละโฮสก็จะบอกข้อมูลต่างๆเช่น ชื่อ ที่อยู่ ลักษณะงานที่ทำ ลักษณะวูฟเฟอร์(คนที่ไปวูฟ)ที่เขาต้องการ ระดับภาษาอังกฤษของโฮส รูปภาพ และรีวิวจากวูฟเฟอร์ อย่างเช่นของโฮสที่เราไป อยู่ที่เมือง Azumino จังหวัด Nagano ห่างจากโตเกียวประมาณ 3 ชม. โฮสมีฟาร์มและทำเกสเฮ้าส์เล็กๆ เราติดต่อโฮสไป แนะนำตัวและบอกจำนวนวัน และวันที่จะไป

ในระยะเวลาที่เราวูฟนั้น ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ อาหารก็กินกับโฮส ไม่เสียค่าที่พักค่ะ เพราะเราทำงานช่วยเขาแลกกับอาหาร และที่พัก ส่วนเรื่องอายุนั้น ในการไปวูฟต้องอายุ 16 ปีขึ้นไป ถ้าต่ำกว่าต้องมีผู้ใหญ่ไปด้วยค่ะ


สรุปค่าใช้จ่ายของเราที่ต้องเสีย

1. ค่าสมัครwwoof 5,500 yen

2. ค่าตั๋ว ค่าเดินทาง

3. pocket money อื่นๆเช่น ช้อปปิ้ง

หลังจากเคลียร์เรื่องโฮสเรียบร้อยก็มาดูเรื่อง ตั๋วเครื่องบินและการเดินทางค่ะ ครั้งนี้เราใช้บริการของสายการบินสีแดง ขึ้นเครื่องที่ดอนเมืองค่ะ จองได้ราคาประมาณ 14,000 บาท ไป-กลับ (ราคาแรงมากถ้าเทียบกับตอนนี้ที่มีโปรเยอะแยะเลย555)

ทางวันที่ 16 เมษายน 2560 ไฟลต์เวลา 23:45 น. ถึงสนามบินนาริตะเทอมินอล 2 เวลา 8:15 น. วันรุ่งขึ้น

หลังจากผ่าน ตม. เอากระเป๋าเรียบร้อยแล้วก็มาซื้อตั๋วรถบัสเข้าเมืองโตเกียวสารภาพว่าพึ่งเคยตกรถครั้งแรก เพราะไอเราก็มัวแต่ชะล่าใจดันไปตรงเวลาไม่เผื่อก่อน เลยได้สัมผัสเหตุการณ์ที่รถออกไปต่อหน้าต่อตา ณ ตอนนั้นคือช็อคมาก ไม่คิดว่าเขาจะออกตรงเวลาเป๊ะๆขนาดนี้ เราเลยเดินไปถามเจ้าหน้าที่ที่เคาท์เตอร์ แล้วเขาก็ให้เอาตั๋วเดิมมาเปลี่ยนเป็นขึ้นรอบถัดไปได้ค่ะ5555

ราคาค่ารถบัส 1,000 yen ใช้เวลาประมาณ 1ชม.นิดๆก็มาถึงหน้าสถานีโตเกียว แล้วก็ต่อรถไฟจากสถานีโตเกียวไปลงสถานีชินจูกุ

จากสถานีชินจูกุเดินไปสถานีรถบัส Shinjuku Express Bus Terminal ซื้อตั๋วรถบัสไปเมือง Matsumoto ราคา 3,050 yen ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชม.ครึ่ง เนื่องจากสถานีที่ใกล้บ้านโฮสที่สุดคือสถานี Hitoichiba เราเลยต้องต่อรถไฟจากสถานี Matsumoto ไปสถานี Hitoichiba ใช้เวลาประมาน 15 นาที

จากนั้นโบซัง โฮสของเราก็ขับรถมารอรับเราที่สถานี Hitoichiba เราทักทายและแนะนำตัวกันเล็กน้อย จากนั้นก็ขึ้นรถ จากสถานีถึงบ้านโบซังขับรถไปอีกประมาณ 10 นาที

วิวรอบๆข้างทางจะเป็นภูเขาวิวสวยมากก มีบางช่วงที่ผ่านเป็นถนนที่มีต้นซากุระทั้งเส้น แล้วก็วิวของฟาร์มญี่ปุ่น คนที่นี่เขาปลูกฟาร์มส่วนใหญ่เป็นออร์แกนิค เน้นปลูกกินเอง
อันนี้เป็นป้ายหน้าโฮมสเตย์ของโบซัง ที่ๆเราจะพักตลอด 10 วัน ใครอยากมาลองพักแบบโฮมสเตย์ที่นี่ก็แนะนำเลยค่ะ เมืองสงบแล้วก็สวยมากๆ



บ้านที่เราอยู่เป็นบ้านเก่าๆสไตล์ญี่ปุ่นขนาดไม่ใหญ่มาก มี 2 ชั้น ชั้นล่างมีห้องสำหรับแขก 3 ห้อง ห้องทำงานโบซัง 1 ห้อง โต๊ะอุ่น หรือโคะตะทสึ สำหรับนั่งเล่นและกินข้าว เตาผิง มีส่วนพื้นที่ทำอาหาร ถัดไปข้างหลังเป็นห้องน้ำ และห้องอาบน้ำ ส่วนชั้นบนมีห้องนอน 2 ห้อง ซึ่งพวกเราได้นอนข้างบน บ้านนี้เวลาพูดหรือคุยจะได้ยินชัดมากๆ ขนาดกระซิบเบาๆยังได้ยินกันหมด5555

ที่พักของเราเองง อยู่ชั้น 2 ของบ้านเลยต้องปีนบรรไดขึ้นกันทุกวัน ปลายเตียงมีฮีตเตอร์อยู่ ไม่มีไม่ได้จริงๆเพราะกลางคืนหนาวมาก บางคืนอากาศติดลบ แทบจะนอนไม่ไหวจนโบซังต้องเอาถุงน้ำร้อนมาให้วางใต้ผ้าห่ม

วิวที่สวนด้านหลังโฮมสเตย์ของโบซัง สวยมากจนอยากจะตื่นมาแล้วเห็นวิวนี้ทุกวัน วิวหลักล้านมากก

พวกเรามาถึง โบซังก็แนะนำตัวพวกเราให้แขกรู้จัก ซึ่งวันนั้นมีแขกมาพักอยู่ 2 ครอบครัว ครอบครัวแรกเป็นครอบครัวที่มาอยู่ยาว อยู่เกือบเดือน มีพ่อคือ โอซามุซัง เป็นชาวญี่ปุ่น แม่คือโอลิเวียซัง เป็นชาวอเมริกัน มีลูกสาวตัวน้อย 2 คน ส่วนอีกครอบครัว เป็นชาวญี่ปุ่นมีพ่อแม่และลูกสาวตัวน้อย 1 คน ครอบครัวนี้มาพักแค่ 2 คืน นอกจากแขกก็มีสตาฟที่ดูแลที่นี่ 1 คน ชื่อ ไทสุเกะซัง

สาวน้อยเรนจังกับแพนเค้กของเขา

อาหารของญี่ปุ่นที่เราได้กินคือเรียกได้ว่า ราเมง ยากิโซบะ ซูชิ ที่เราคิดว่าต้องได้กินแน่ๆ เอาจริงๆคือไม่ได้กินเลย! ฮ่าๆ เพราะว่าเอาจริงๆคนญี่ปุ่นเวลาเขาทำอาหารที่บ้านส่วนใหญ่จะเป็นแบบมินิมอล เน้นผักและเต้าหู้เป็นหลัก ที่นี่ไม่ค่อยกินเนื้อสัตว์เท่าไหร่ อย่างที่เห็นในภาพคือทุกมื้อจะมีกับประมาณสามสี่อย่างและซุปมิโซะตลอด โดยเฉพาะเต้าหู้และเห็ดคือมีทุกมื้อจริงๆและอร่อยมากก


ชีวิตประจำวันและการทำงานในฟาร์ม
ทุกๆเช้าจะตื่นมากินข้าวเช้าเวลา 8:00 น. ที่ไทสุเกะซังทำ เราก็ช่วยเตรียมจาน จัดโต๊ะล้างจาน

งานช่วงเช้าและบ่ายจะไปที่ฟาร์ม ซึ่งต้องเดินจากบ้านไปประมาณ 5 นาที เราปลูกต้นอ่อนบลูเบอร์รี่ มีผสมปุ๋ยกับดิน แล้วก็ขุดหลุม ช่วงนี้คือช่วงปลูก ส่วนช่วงเก็บเกี่ยวจะเป็นช่วงมิถุนายน เสียดายมากๆที่เป็นคนปลูกเองแต่ไม่มีโอกาศได้กิน โบซังบอกให้กลับมาอีกรอบแล้วจะให้กินฟรี5555


ทุกๆวันเราจะต้องออกไปปลูกบลูเบอร์รี่กัน โดยการเดินบ้างหรือติดรถโบซังออกไปบ้าง เพราะสวนของโบซังอยู่ห่างจากบ้านไปอีกหน่อย

ใน 10 วันที่ไปวูฟนั้น บางวันหลังจากทำงานเสร็จโบซังหรือไทสุเกะซังก็จะพาไปเที่ยวบ้างพาไปซุปเปอร์มาเก็ตบ้าง

ในวันที่ 3 โบซังพาขับรถไปปราสาทมัตสึโมโต้ ตอนที่ไปนั้นเป็นช่วงซากุระบาน

จากที่เราบ่นๆกันว่าอยากไปลองเข้าออนเซ็น ไทสุเกะเลยพาเราไปออนเซ็นใกล้ๆบ้าน ออนเซ็นนี้ไม่มีชาวต่างชาติเลยซักคนเดียวคนญี่ปุ่นล้วนๆ แต่แยกชายหญิงนะคะ นี่เข้าไปครั้งแรกก็เขิลมากกกก แทบไม่กล้าสบตาใคร รีบวิ่งลงน้ำอย่างไว ฮ่าๆ

มีวันนึงเราออกไปทำสวนตอนเช้าแล้วตอนบ่ายกลับมาที่บ้าน โบซังบอกว่าพอดีบ้างข้างๆเขาจะไปทำธุระเลยจะฝากให้ช่วยดูแลหลานของเขาให้หน่อย ทีนี้เลยได้เป็นพี่เลี้ยงจำเป็นของเด็กน้อยๆ ไอเราก็พูดภาษาญี่ปุ่นได้นิดๆหน่อยๆบวกกับหนูน้อยที่ไม่พูดภาษาอังกฤษเลย ก็ต้องใช้ภาษามือกันเยอะหน่อยฮ่าๆ แต่เป็นอีกประสบการณ์นึงที่สนุกมากๆ


โอโตะคุงกับหนังสือแผนที่โลกของเขา เป็นเด็กที่เห็นลูกโลกปุ้ปวิ่งไปเอามาถือไว้กับตัวตลอดเลย ยังจำได้เลยว่าโอโตะคุงจะเอานิ้วจิ้มๆชี้ที่ลูกโลกแล้วถามเราว่า "ที่นี่ที่ไหน?" จิ้มถามทุกที่เลย

อีกหนึ่งกิจกรรมที่รู้สึกชอบมากๆคือเราได้มีโอกาสไปทำเกี๊ยวซ่า เหมือนเป็นกิจกรรมชุมชน แม่ๆก็พาลูกๆเด็กๆมาทำเกี๊ยวซ่าและแฮมเบอร์ เมื่อทำเสร็จเราก็มานั่งกินข้าวด้วยกัน กินเสร็จก็ช่วยกันล้างจานเช็ดโต๊ะ เป็นกิจกรรมชุมชนที่น่ารักและอบอุ่นมากๆ


ส่วนในวันอาทิตย์ โบซังให้เป็นวัน free day
เราสองคนตัดสินใจจะกลับไปเดินเล่นที่เมือง Mastumoto
เมือง Mastumoto จะมีสถานที่ท่องเที่ยวเด่นๆคือ ปราสาทมัตสึโมโต้ แต่โบซังพาเรามาแล้วคราวก่อน ครั้งนี้เราเลยเลือกไปเดินเล่นรอบๆเมือง

เมืองนี้เป็นเมืองที่สะอาด บรรยากาศชิวมาก คนไม่พลุกพล่านขนาดว่าเป็นวันอาทิตย์ เอาจริงๆเราแทบไม่เห็นนักท่องเที่ยวเดินในเมืองเลย ส่วนใหญ่เขาจะไปปราสาทกัน

เราเแวะไปเดินเล่นที่ถนนโบราณ Nawate Street จะมีรูปปั้นกบอยู่หัวมุม และอยู่ใกล้ๆศาลเจ้า


วันก่อนกลับโบซังพาเราสองคนไปที่บ้านของเขาอีกหลังไปทานข้าวกับครอบครัว เป็นบ้านที่อบอุ่นมากๆ ดีใจมากๆที่เราได้มาเจอโฮสที่น่ารักแล้วก็ใจดีกับเราขนาดนี้


10 วันที่ได้มาอยู่ที่นี่ ได้มาวูฟ เราได้มีโอกาสทำอะไรหลายๆอย่างที่ไม่เคยทำ ได้เรียนรู้วิถึชีวิตแบบคนญี่ปุ่น ได้เรียนรู้ภาษา แม้จะยังพูดไม่ได้เยอะแต่ก็ได้คำศัพท์เล็กๆน้อยๆที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ถ้าถามว่าคุ้มค่ามั้ยกับการเดินทางมาที่นี่ เราว่าสำหรับเรามันคุ้มค่ามาก ทั้งประสบการณ์ ความรู้ใหม่ๆ แต่สิ่งที่เราว่าเราได้มากที่สุดคือ มิตรภาพ อาจจะฟังดูน้ำเน่าแต่จากที่อยู่ที่นี่มา แม้จะไม่กี่วัน ทำให้เราเห็นว่าคนญี่ปุ่นเป็นคนที่ชอบช่วยเหลือและแบ่งปัน เขาจะถามเราตลอดว่าโอเคมั้ย เหนื่อยมั้ย หิวมั้ย ไหวมั้ย คำที่เราพูดบ่อยที่สุดคือคำว่า ขอบคุณ ถึงเขาจะพูดอังกฤษไม่ได้แต่เขาก็พยายามที่จะสื่อสารกับเรา เราพึ่งอายุ 18 ปี(ในตอนที่ไป) การที่เราตัดสินใจเลือกมาที่นี่มันเปิดโลกของเรามากๆ มันสอนอะไรหลายๆอย่าง ทั้งการรับผิดชอบตัวเอง ความอดทน ความทุ่มเทในการทำงาน การรู้จักเสียสละช่วยเหลือคนอื่น และการเรียนรู้ที่จะอยู่กับคนอื่น แม้จะมีความแตกต่างกัน


หวังว่ากระทู้นี้จะมีประโยชน์กับทั้งคนที่สนใจจะไปวูฟและคนอื่นๆไม่มากก็น้อยนะคะ


ความคิดเห็น