นอนหนาวนับดาว ณ บ้านระเบียงดาว อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ (จ่าย 5 ร้อย วิว 5 ล้าน)



บ้านระเบียงดาว.. ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางในฝันของผมเช่นกันครับ ที่จะต้องไปเยือนให้ได้สักครั้งในชีวิต หลายคนก็คงจะพอได้ทราบเรื่องราวความสวยงาม และสงบของที่นี่ มากันบ้างแล้วนะครับ ตามข้อมูลที่แชร์ตาม Internet ต่างๆ ภาพความสวยงามที่น่าอยู่ น่าไปพักผ่อน ใช้ชีวิตช้าๆ ที่ใครๆ ก็ต่างถวิลหา ชมบรรยากาศที่สวยงาม และชวนให้เก็บภาพเป็นที่ระลึกกลับบ้านไป


ผมได้มีโอกาสได้ไปเยือนที่ "บ้านระเบียงดาว" แห่งนี้ .. ในช่วงเวลาที่เริ่มจะมีกลิ่นลมหนาวมาแตะจมูกบ้าง พอให้ได้ซึมซับความฟินที่ได้มาเยือนเมืองเหนือ การออกเดินทางมาในครั้งนี้ยอมรับว่ามีข้อมูลในการเดินทางก่อนมาน้อยมาก ภาพที่วาดไว้กับแผนการเดินทางที่ละเลงอยู่บนหัว เป็นภาพที่คิดว่าสถานที่นี้..คงจะต้องเดินทางไปลำบากอย่างแน่นอน น่าจะใช้เวลาในการเดินทางไกลและนานพอสมควร แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าลอง!! (...แต่ เมื่อกลับมาแล้ว คิดว่าเดินทางไปง่ายมากๆ กว่าที่คิดเลยนะครับ)


ด้วยระยะเวลาที่จำกัด การไปเยือนที่ "บ้านระเบียงดาว" ครั้งนี้ ผมจึงมาขออาศัยนอนที่นี่เพียงแค่ 1 คืน ก็น่าจะเพียงพอแล้ว ถึงใจจะอยากอยู่นานๆ กว่านี้ก็ตาม การได้ไปสัมผัสกับลมหนาว ทิวเขา และสายหมอก ตกกลางคืน นอนหนาว นับดาว - จึงเป็นความตั้งใจ และเป็นสิ่งที่ปรารถนาจะได้พบเจอที่สุดในการเดินทางครั้งนี้ ดังนั้น.. เพื่อเป็นการไม่เสียเวลา เก็บกระเป๋า แบกเป้ ตามผมไปเยือน "บ้านระเบียงดาว" กันเลยครับ.. !!


"บ้านระเบียงดาว" - ตั้งอยู่ อ. เชียงดาว จ. เชียงใหม่ เป็นโฮมสเตย์ไม้หลังเล็กๆ แบบเรียบง่าย มีระเบียงชมวิวดอยหลวงเชียงดาวที่มองเห็นได้จากบ้านพัก จุดเด่นอยู่ตรงที่ มีระเบียงใหญ่ส่วนกลาง ที่มองเห็นวิวทิวเขาทอดตัวยาวแบบพาโนรามา ได้อย่างชัดเจน คล้ายราวกับมีระเบียงที่ตั้งอยู่แค่เอื้อม เชื่อว่าเป็นอีกหนึ่งมุมที่หลายคนนั้นอยากมาถ่ายรูปอย่างแน่นอน การจะมาพักที่นี่ได้นั้น เป็นที่ทราบกันดีว่า..ควรติดต่อจองที่พักล่วงหน้า เนื่องจากที่พักจะเต็ม โดยเฉพาะช่วงหน้าหนาว หรือ วันหยุด และการติดต่ออาจจะโทรติดยากมาก เนื่องจากไม่มีสัญญาณ โทรศัพท์ ต้องหมั่นโทรซ้ำๆ ซึ่งก็ไม่เกินความพยายามครับ

การเดินทางสู่ "บ้านระเบียงดาว" - บ้านระเบียงดาว อยู่ห่างจาก ตัวเมืองเชียงใหม่ราวๆ เกือบ 100 กิโลเมตร ซึ่งถือว่าไม่ไกลเกินไปนัก สามารถแบ่งการเดินทางได้เป็น 2 ช่วง คือ


ช่วงที่ 1 จาก ตัวเมืองเชียงใหม่ - อำเภอเชียงดาว ประมาณ 72 Km. และ

ช่วงที่ 2 จาก อำเภอเชียงดาว - บ้านระเบียงดาว ประมาณ 20 Km. ซึ่งการเดินทางในช่วงแรกค่อนข้างสบาย เพราะ (สำหรับคนไม่มีรถส่วนตัว) จะมีรถโดยสารไปที่อำเภอเชียงดาว และรถโดยสารที่ผ่านอำเภอเชียงดาว ก็สามารถขึ้นไปได้ ในราคาที่ประหยัด


สำหรับเพื่อนๆ ที่ชอบท่องเที่ยวแบบประหยัด แวะมาทักทาย ติดตามกันได้นะครับ

CHAILAIBACKPACKER : https://www.facebook.com/chailaibackpacker



DAY 1 : 11.40 AM


(ผมขอตัดภาพมาที่การเริ่มต้นออกเดินทาง) - โดยจะเริ่มต้นออกเดินทางกันที่ สถานีขนส่งช้างเผือก ในตัวเมืองเชียงใหม่
สามารถนั่งรถเชียงใหม่-เชียงดาว (หรือสายที่จะผ่านอำเภอเชียงดาวก็ได้ เช่น เชียงใหม่-ท่าตอน) ค่ารถ 40 บาท (ระยะทาง 72 km) มีรถออกทุกชั่วโมง ผมมาขึ้นที่นี่ได้รอบรถเที่ยว 11.40 น. ซึ่งนับว่าออกเดินทางไปช้าพอสมควร สภาพรถเป็นรถหวานเย็น ตั๋วที่ซื้อระบุที่นั่ง แต่ขึ้นรถไปแล้วก็นั่งตามสะดวกกันเหมือนเดิม

รถมุ่งหน้าสู่อำเภอเชียงดาว ระหว่างทางก็รับผู้โดยสารเพิ่มเรื่อยๆ ตามรายทาง ทำให้การเดินทางค่อนข้างที่จะแออัดพอสมควร แต่ก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบ ช่วงเกือบถึงอำเภอเชียงดาว ถนนจะคดเคี้ยวเล็กน้อย และสัมผัสได้ถึงอากาศที่เย็นลง รวมแล้วนั่งกินลมชมวิวกันมาเป็นเวลา เกือบ 2 ชั่วโมง ก็มาถึงอำเภอเชียงดาว และ ผมก็ลงรถที่ โลตัสเชียงดาว



DAY 1 : 01.30 PM



หลังจากลงรถมาชวนให้เกิดอาการหลงทิศกันเล็กน้อย .. ตามประสาของคนมาครั้งแรก จึงยึดโลตัสเชียงดาวเป็นหลัก บริเวณ ใกล้ๆ นั้นก็จะมีร้านสะดวกซื้อ 7-11 ตั้งอยู่ใกล้เคียงกัน และน่าจะเป็นแหล่งตุนเสบียงอย่างดี ก่อนที่จะเดินทางต่อไปที่บ้านระเบียงดาว และถ้าเกิดท้องหิวแบบผมในขณะนี้แล้ว..ก็สามารถแวะทานข้าวที่อำเภอเชียงดาวนี้ก่อนได้ มี ร้านข้าวขาหมู ขึ้นชื่อ อร่อยๆ ให้ลอง ซึ่งผมก็ให้คะแนนความอร่อยไม่น้อยเลยล่ะ


ในเวลาประมาณ บ่าย 2 กว่าๆ หลังจากส่งข้าวขาหมูลงท้องเรียบร้อย ออกเดินทางกันต่อ จากเชียงดาวเดินไปรอขึ้นสองแถว

เชียงดาว- เมืองคอง 50 บาท เพื่อความแน่ใจ สามารถถามคนแถวนั้นก็ได้นะ ว่าวินรถอยู่ตรงไหน? (แต่รถมีอยู่แค่ 1-2 เที่ยวต่อวัน รอบรถไม่แน่นอน ไประเบียงดาวต้องเข้าไปอีกประมาณ 20 km แนะนำให้ไปถึงเชียงดาวช่วงเช้าๆ จะดีกว่า จะมีชาวบ้านลงมาซื้อของ) ก็เป็นที่แน่นอนว่ามาซะช่วงบ่ายแบบนี้ รถสองแถวไม่มีวิ่งแล้ว... แต่ก็ยังมีทางเลือกอื่นๆ ให้เดินทาง เช่น



  • ถ้ารถหมด จะเหมา รถสองแถว ขึ้นไปก็ได้ ราคาก็ 500-600 บาท (ตามตกลง)
  • มี วินมอเตอร์ไซค์ เหมาไปเหมือนกัน แต่ราคาก็สูงพอตัว สมกับสภาพเส้นทางที่ไป ถ้าไปกันเยอะ เหมาสองแถวดีที่สุด
  • สำหรับขาลุย การโบกรถ ขึ้นไป น่าจะเป็นคำตอบที่ดี! การขึ้นไปเส้นทางบ้านระเบียงดาว
  • หรือ การโบกรถขึ้นไป ค่อนข้างที่จะง่ายเหมือนกันนะ บางทีรถที่ผ่านมาจะจอดถามเองว่า.. จะไปไหน?
  • ถ้าโบกที่แถวปากซอยไม่ได้ ก็หารถ(วิน) ไปส่งหน้าด่านที่ทำการป่าไม้ ที่นั่นเจ้าหน้าที่เขาจะช่วยโบกรถให้เลย (พร้อมกับเสียค่าเข้า 20 บาท)


รู้ใช่มั้ย? ผมเลือกวิธีไหน.. ผมเลือก การโบกรถ ครับ หลังจากสอบถามข้อมูลคร่าวๆ กับคนแถวนั้น.. ผมแบกเป้ออกจากร้านข้าวขาหมู เดินไปไม่ไกล ก็ถึงปากซอยมีป้ายเขียนว่า 'ไปถ้ำเชียงดาว' ผมจะมาโบกรถตรงนี้ เพื่อต่อไปถึงบ้านระเบียงดาว แต่ทว่า... หลังจากเดินเลี้ยวเข้าซอยมา ไม่ทันได้จะเตรียมโบกรถ ก็เห็นมีรถกระบะจอดอยู่หน้าปากซอยแล้ว และพี่คนขับก็เปิดกระจกถามว่า จะไปไหนกัน? ซึ่งเมื่อได้ทราบคำตอบจากปากผมไปแล้ว พี่คนขับก็บอกจะอาสาไปส่งที่ หน้าด่านที่ทำการป่าไม้ เพราะจะผ่านไปทางนั้นพอดี .. ผมจึงได้ติดรถไปลงที่ทำการป่าไม้ แม้ระยะทางจะไม่ไกล แต่ก็ถือเป็นน้ำใจ เป็นความประทับใจที่ได้รับครับนั่งกระบะท้าย ให้ลมเย็นปะทะใบหน้าเล่นๆ จนรู้สึกชาไปครึ่งซีก เพียงไม่นานก็มาถึงหน้าด่านที่ทำการป่าไม้ ผมกระโดดลง ณ จุดตรงนี้ พร้อมกับไหว้กล่าวขอบคุณ พี่คนขับ ที่ใจดีให้ติดรถมาด้วย ก่อนจะเข้าไปข้างใน ก็ต้องเสียค่าเข้าอุทยานเสียก่อน ในราคา คนละ 20 บาท พร้อมกับลงชื่อเข้า



และ.. ตรงจุดนี้นี่เอง ที่การโบกรถจะค่อนข้างง่ายมากๆ เพราะเจ้าหน้าที่ จะเป็นคนโบกรถให้เอง โดยจะถามรถที่ผ่านเข้ามาว่า จะไปถึงบ้านระเบียงดาวมั้ย? และ พอจะรับให้ติดรถไปด้วยได้มั้ย?



ซึ่งเพียงแค่การโบกรถ คันแรกที่ผ่านเข้ามา .. ก็ได้ติดรถไปด้วยเลยครับ เป็นรถกระบะ ที่จะพาผมไปต่อ ตามเส้นทางต่อจากนี้ ที่ถือว่าค่อนข้างชันและคดเคี้ยว แต่บรรยากาศ และสภาพอากาศสดชื่นดีมาก ยิ่งลึกเข้าไป ยิ่งมีหมอกปกคลุม แทบจะมองทัศนวิสัยไม่เห็น ป่าสองข้างทางล้วนถูกปกคลุมไปด้วย ม่านหมอกหนาทึบ คลุมปกปิดเอาไว้ แต่ก็สัมผัสได้ถึง ความบริสุทธิ์ของธรรมชาติที่ จะได้พบเจอต่อจากนี้ไป..




DAY 1 : 03.15 PM


นั่งฟิน...เคลิ้มกับบรรยากาศรอบด้าน อยู่สักพัก รถก็มาจอดชะงักข้างทาง ความรู้สึกแรก ก็งุนงงว่า พี่เขาจะจอดทำไม? ด้วยความที่หมอกหนาจัดทำให้ไม่รู้ว่า ผมได้เดินทางมาถึง(ปากซอย) ทางเข้า บ้านระเบียงดาว แล้ว พี่คนขับรถ เปิดกระจก พร้อมตะโกนมาย้ำ ว่าถึงบ้านระเบียงดาวแล้วนะ .. ไม่รอช้าที่จะรีบลง และเสียเวลางุนงงไปมากกว่านี้ ลงรถ พร้อมกับไปกล่าว ขอบคุณสำหรับน้ำใจ ที่ใจดีให้ติดรถมาถึงที่นี่ ครับ ..ในเวลา บ่ายสามกว่าๆ

จากถนนเส้นหลัก ต้องเดินเข้าซอยไปอีก 200เมตรก็ถึง บ้านระเบียงดาว แต่ทัศนวิสัยในตอนนี้..มองไม่เห็นอะไรเลย นอกจากความขาวทึบแสง ของม่านหมอกรอบตัว 360 องศา



แม้แต่ทิวเขาดอยหลวงเชียงดาวทอดตัวยาวยิ่งใหญ่ ณ ปัจจุบันเวลานี้ ก็ถูกหมอกหนาทึบปกปิดเอาไว้ ไม่ให้เห็น.. รับรู้ได้เพียงแค่อากาศเย็นๆ และ ความชื้นที่ถูกลมพัดมาปะทะผิวกายเท่านั้น


จัดการเช็คอินเข้าพัก และเก็บสัมภาระต่างๆ เวลา เช็คอิน 13:00 น. เช็คเอาท์ 11:00 น. (งดใช้เสียงรบกวนตั้งแต่ 22:00 น. เป็นต้นไป) บริเวณพื้นที่ส่วนกลางสำหรับติดต่อสอบถามข้อมูล และบริการอาหารต่างๆ

สำหรับค่าบริการนั้น - บ้านระเบียงดาว จะคิดรวม ค่าที่พัก+อาหาร 2 มื้อ มื้อเย็นและเช้า คิดเป็นคน คนละ 500 บาท


ที่พัก "บ้านระเบียงดาว" จะเป็นกระท่อมแบบง่ายๆ มีตั้งแต่หลังเล็กๆ จนหลังใหญ่นอนได้หลายคน ภายในที่พักมีเครื่องนอน ฟูก ผ้าห่ม มุ้ง ให้ แต่ช่วงหนาวๆ ยังไม่เจอยุงรบกวนเลย มีห้องน้ำรวม (น้ำไหลใช้ได้ตลอดเวลา)

ด้านหน้าแต่ละหลังจะมีระเบียงเล็กๆ ยื่นออกไป ได้วิวสวยๆ เช่นกัน ส่วนระเบียงใหญ่ๆ ที่เห็นนั้น เป็นระเบียงของส่วนกลาง สามารถมานั่งเล่น ซื้ออาหาร เครื่องดื่ม ทานไป ชมวิวไปก็ได้



ที่สำคัญที่ควรทราบคือ .. ที่นี่มีไฟฟ้าใช้เฉพาะช่วงเวลากลางวัน โดยทีจุดบริการเติมไฟที่ส่วนกลาง


ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ และ Internet ทำให้ได้มาพักผ่อนกับธรรมชาติ อย่างแท้จริงเลยล่ะ !! (ถ้าอยากโทรฯ หรือติดต่อธุระสำคัญ ต้องเดินขึ้นไปอีกหน่อย ตรงทางเข้ามา ตรงนั้นจะมีสัญญาณอ่อนๆ อยู่ พอใช้ติดต่อโทรได้อยู่ครับ)



ถ้าไม่สามารถจองมาพักที่ระเบียงดาวนี้ได้ ยังมีอีก 2 โฮมสเตย์ ที่อยู่ติดๆ กัน วิวสวยเหมือนๆ กัน เผื่อเป็นอีกทางเลือก


บ้านระเบียงดาว : 089-998-0712 , 089-903-0083

บ้านวิวดอยหลวง : 089-559-8272

บ้านสายหมอก : 090-760-8819




DAY 1 : 04.30 PM


บรรยากาศในช่วงเวลาเย็นๆ แบบนี้ จึงรู้สึกเหมือนถูกห่อหุ้มด้วยหมอกสีขาว เมื่อพระอาทิตย์ไม่สามารถส่องแสงมาถึง ราตรีนี้ก็เหมือนจะคืบคลานมาไวกว่าปกติ

เพียงแค่ 4-5 โมงเย็น ก็เริ่มมืดมิดลงทุกทีๆ แล้ว อากาศเริ่มเย็นลงเรื่อยๆ ..จนต้องหยิบผ้าห่มจากที่พักไปนั่งคลุมกาย อยู่ที่ศาลาเล็กๆ ที่ระเบียงส่วนกลาง จิบชาร้อนๆ หรือ เบียร์สักขวด ก็ชวนให้ได้อารมณ์ชิลล์ไปอีกแบบ..!!



ไม่นาน.. ก็เป็นเวลาทานอาหารมื้อเย็นกันพอดี.. มีใครเคยบอกว่า เวลาอากาศหนาวๆ แล้วมักจะทานข้าวอร่อย ผมว่าก็มีส่วนจริงอยู่บ้างนะ! เพียงแค่เห็นอาหารที่ทยอยยกมาเสริฟนั้น กลิ่นที่พัดโชยมาตามลมล้วนชวนให้ลิ้มลองเสียจริงๆ โดยสามารถที่จะเลือกได้ว่า จะทานที่ ระเบียงส่วนกลางแบบนี้ หรือ จะให้ไปเสริฟ ตรงที่พักเลย ก็ตามแต่ความต้องการ



มื้อเย็น อาหารที่นี่ จะจัดมาให้เป็น Set อาหาร 4 อย่าง แบบขันโตกเมืองเหนือ เหมือนกันทุกวัน ดังนี้


1.ผัดผักรวมมิตร - ผักสดๆ ผัดได้รู้สึกถึงความกรอบ ความสดของผัก อร่อยดี เสริฟมาร้อนๆ ทุกจานเลย

2.ไข่เจียว - ทีเด็ดเลย..ไข่เจียวหอมๆ ร้อนๆ ทานกับข้าวสวย ในบรรยากาศแบบนี้นะ ฟิน!

3.ต้มจืดเต้าหู้ - อากาศหนาวๆ ซดน้ำร้อนๆ อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึงละ..!

4.ผัก+น้ำพริก - พระเอกเลยนะ เมนูนี้ ที่ต้องลอง .. หน้าตาน้ำพริกดูแห้งๆ ชวนให้รู้สึกคันคอ แต่เมื่อทานกับข้าวสวย และผักแล้ว แซ่บแบบไม่น่าเชื่อ (หลายคนแอบซื้อเป็นกระปุกกลับบ้านด้วย)

ทุกเมนูทานไม่อิ่มก็สามารถเติมได้ด้วยนะ.. และ มีหรือ? ที่ผมจะพลาด!! ทานไปได้สักพักความมืดมิด มาเยือนหนักขึ้น.. ! ผมได้รับแจกตะเกียง เทียนไข ไฟแช็ค ไว้ใช้ในการให้แสงสว่าง โดยเริ่มจุดที่วงทานข้าวนี้เลย ...เพราะเริ่มมองกันไม่เห็นแล้ว

และ ยังเก็บไว้ใช้สำหรับ ให้แสงสว่างในที่พัก สำหรับค่ำคืนนี้ด้วย ..เนื่องจากจะไม่มีไฟฟ้าใช้ในเวลากลางคืน เมื่อได้ลองชิมครบทุกเมนู ผมขอลงความเห็นว่าอร่อยทุกอย่างเลยนะ ไม่รู้อาจเพราะความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง หรือ ความหนาว หรือ ความหิว ...ก็ตามแต่ การได้มาทานอาหารนอกบ้านในบรรยากาศแบบธรรมชาติอย่างนี้สักครั้ง.. มันก็รู้สึกดีเกินบรรยายนะ!



นอกเหนือจากนี้ อาหารเมนูอื่นๆ ก็มีให้เลือกเหมือนกัน ตามวัตถุดิบที่มีแต่ละวัน


  • มาม่าคัพ เหมือนจะได้รับความนิยมสุดเข้ากับบรรยากาศ 25 บาท ซดน้ำร้อนๆ
  • คนชอบดื่ม มีเบียร์ ขายด้วย (ราคา 80-90 บาท)
  • อย่าเผลอวางอาหาร และขนมต่างๆ ทิ้งไว้เด็ดขาด!! ระวังสุนัขจะคาบไปกิน เป็นเรื่องจริงที่ได้พบเจอกับการล่องหนหายไปของเสบียงที่เผลอวางเอาไว้..


DAY 1 : 07.00 PM

เพียงเวลา 1 ทุ่ม ทุกอย่างรอบตัวก็ดูมืดมิด และเงียบสงบลงอย่างเห็นได้ชัด ได้ยินเพียงเสียงที่พูดคุยกันเท่านั้น
ณ เวลานี้สิ่งที่จะพอทำได้ก็คือ การนอน.. ความหนาวเย็น และ ความอ่อนเพลีย ชวนให้อยากไปซุกตัวใต้ผ้าห่ม
อาจเพราะอากาศหนาว ปัญหาเรื่องยุงที่กังวลแต่แรก ก็หมดไป.. สรุป มุ้งไม่ได้กาง เพราะคืนนี้ไม่มียุงรบกวน

ดูเหมือนว่าค่ำคืนนี้.. หมู่ดาวต่างๆ บนท้องฟ้า จะอดมาอวดโฉมกันซะแล้ว เมฆช่างเยอะมากเหลือเกิน.. มองไปตรงไหนของท้องฟ้าก็เจอกับความมืดมิด ทำให้การตัดสินใจนอนแต่หัวค่ำได้เร็วขึ้น!


  • กลางคืนอากาศค่อนข้างเย็น ผ้าห่มที่ให้มาบางๆ อาจจะไม่ช่วยอะไร ควรเตรียม เสื้อกันหนาว-กางเกงขายาวไว้ใส่นอนก็ดี
  • ไฟฉายสำคัญมากเลยนะ อย่าลืมพกติดเป้มา
  • กลางคืนเงียบมาก ได้ยินแม้แต่เสียงกรนของกระท่อมหลังข้างๆ
  • คืนที่ฟ้าเปิด จะมองเห็นดาวสวยมาก มานอนเล่นดูดาวที่ระเบียงได้เลย นี่ละ “ระเบียงดาว" ของจริง
  • ที่นี่ไม่ต้องกลัวตื่นสาย ไก่แข่งกันขันปลุกตั้งแต่ตี 3



ในเวลาตี 3 ต้องรู้สึกตัวตื่นขึ้นมากับเสียงไก่ขัน ที่พร้อมใจกันส่งเสียงขันระงม รับ-ส่ง กันไปมา จนต้องลุกตื่นขึ้นมา ใจนึงก็ยังเอนตัวนอนหลับต่อ อีกใจก็อยากลองชะเง้อหน้าไปดูที่นอกระเบียง .. ว่าจะมีดาวสักดวงโผล่มาให้เห็นบ้างไหม? จนรู้สึกว่าช่างโชคร้ายเหมือนกันนะ ที่มองไม่เห็นดาวสักดวงเลย แต่... เพราะบรรยากาศดีๆ ข้างนอก จึงตัดสินใจลากเสื่อไปปูนอนเล่นตรงนอกระเบียงเล็กๆ หน้าประตูที่พัก เอนตัวลงนอนหงาย หน้ามองขึ้นไปบนฟ้า"เมฆคืนนี้มันก็ช่างเยอะมากเสียจริงๆ" - บางทีก็ได้แต่แอบบ่นอย่างนั้นอยู่ในใจ ..นอนฟังเสียงความเงียบ สลับเสียงไก่ขัน ไป



หรือ สายลมจะได้ยินเสียงผมบ่นในใจ จึงช่วยพัดเอาเมฆ ก้อนใหญ่ ออกไป เผยให้เห็นกลุ่มดาว ที่เจิดจรัสแสงอย่างเห็นได้ชัด บนท้องฟ้าในเวลามืดมิดเช่นนี้ แม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาไม่นาน และเป็นเพียงเสี้ยวนึงของท้องฟ้า ไม่ได้ละลานตาอย่างที่ตั้งใจ แต่สำหรับผมที่คอยเฝ้าดูแบบนี้ ก็ถือว่า..คุ้มค่าแล้วล่ะ!





DAY 2 : 05.00 AM


มาถึงขนาดนี้.. ท่าทางจะไม่ได้เข้าไปนอนต่อ ณ ตอนนี้ผ่านมาถึงเวลา ตี 5 ใกล้จะสว่างแล้ว .. หยิบตะเกียง จุดไฟ แล้วเดินไปที่ระเบียงส่วนกลาง จะมารอชมพระอาทิตย์ขึ้น และ มารอทานอาหารเช้า จิบกาแฟ ท่ามกลางบรรยากาศยามเช้าของที่นี่ สายตาที่พยายามมองในความมืด ก็มองเห็นภาพข้างหน้าเป็นเงา ของทิวเขาขนาดใหญ่ ทำให้รู้สึกใจชื้นขึ้นมาอีกเยอะ ว่าเช้านี้ต้องได้เห็นทิวเขาดอยหลวงเชียงดาวแน่ๆ หลังจากที่วันแรกที่มาถึงนั้น มองอะไรไม่เห็นเลย.. ก็มาจับจองโต๊ะที่นั่ง ชมวิวกันแต่เช้ามากๆ เลย

ไม่นานแสงของวันใหม่ก็เริ่มแตะขอบฟ้า.. บอกเป็นความนัยว่า วันนี้จะได้พบกับอากาศสดใส แน่นอน...


เงาของทิวเขา ดอยหลวงเชียงดาว ที่เห็นลางๆ เมื่อคืน ก็เริ่มเด่นชัดขึ้น เผยให้เห็นสีเขียวธรรมชาติขึ้นทีละนิด ตามระดับความเข้มแสงที่ค่อยๆ เพิ่ม



บรรยากาศยามเช้า อากาศเย็นสบาย สายหมอกพาดผ่าน เลื่อนกาย.. ตามลมพัด ให้ได้ชมเป็นระยะๆ เป็นช่วงเวลาที่รู้สึกสดชื่นซะจริงๆ



ชา กาแฟ โอวัลติน เสริฟมาที่โต๊ะ ทันที ที่พระอาทิตย์โผล่หน้ามาให้เห็น


พร้อมกับอาหารมื้อเช้า ข้าวต้มหมู ร้อนๆ ที่เสริฟมาในหม้อเล็กๆ ไม่พอก็สามารถเติมได้เช่นกัน เป็นเมนูอาหารที่เหมาะมากๆ กับ ช่วงเวลา และ บรรยากาศแบบนี้



บรรยากาศยามเช้าแสงแดดอ่อนๆ วิวจากที่พัก

สายหมอก กับ แสงแดดสีทองยามเช้า


พื้นที่ระเบียงส่วนกลาง ที่หลายคนมารวมตัวกันชมพระอาทิตย์ขึ้น


ออกมาสูดอากาศดีๆ รู้สึกสดชื่น


นั่งจิบกาแฟก็มีมุมนั่งชมบรรยากาศสวยๆ


นั่งพักสายตา ชมบรรยากาศสบายตา กันสักนิด

จิบกาแฟ ชมบรรยากาศ.. ยามเช้า ฟิน!!

" มุมมหาชน" ที่ใครมาเยือนต้องมาถ่ายรูปเป็นที่ระลึก

ซุ้มเล็กๆ ไว้หลบแดด ที่ระเบียงส่วนกลาง


บรรยากาศวันนี้ท้องฟ้าสดใส


ไม่มีหมอกลงจัดเหมือนกับวันแรก


นักท่องเที่ยวแวะเวียนมานั่งเล่น จิบเครื่องดื่ม ชมบรรยากาศที่ระเบียงนี้




DAY 2 : 10.00 AM



ในช่วงสาย... แดดเริ่มทวีความร้อนเพิ่มมากขึ้น จึงเป็นช่วงเวลาที่จะหลบแดด เข้าไปนอนเล่นในที่พัก เพื่อ ..นอนงีบเอาแรงอีกสักพัก แต่ก็มีหลายคนที่เลือกจะอำลา "บ้านระเบียงดาว" ในช่วงเวลานี้ อันเนื่องมาจากช่วง 8-9 โมงเช้า รถของบ้านระเบียงดาว จะลงไปซื้อของที่ตัวอำเภอเชียงดาว ทำให้นักท่องเที่ยวที่มาพักที่นี่ สามารถติดรถไปลง ที่ตัวอำเภอเชียงดาวได้ .. แต่กระนั้น ผมก็เลือกอย่างแรก คือ ขอนอนเล่น ชิลล์เล่นที่นี่ให้คุ้มกับการมาเยือนเสียก่อน!

วันนี้นับได้ว่าอากาศดีมากๆ ฟ้าเปิด นึกย้อนเสียดายไปถึงสภาพอากาศเมื่อคืน แต่ก็คงทำอะไรไม่ได้.. นอกจากจะกลับมาเยือนใหม่อีกครั้ง และ ... ผมก็ตั้งใจจะมาเยือนอีกแน่นอน!! เดินกลับนอนเล่นในที่พัก เปิดประตูทิ้งไว้ รับอากาศดีๆ มองไปเห็นถึงยอดดอยหลวงเชียงดาวที่อยู่ข้างหน้า เหมือนจะใกล้แค่เอื้อมเลยเชียว เป็นช่วงที่เวลาเดินไปอย่างช้าๆ รู้สึกว่า.. ได้พักผ่อน และ ลืมเรื่องราววุ่นวายใจต่างๆ ได้อย่างดี




DAY 2 : 01.30 PM



นั่งเล่น นอนเล่น จิบเบียร์ ชมวิว ถ่ายรูป ..จนเวลาล่วงเลยเกือบบ่าย 2 โมง ก็ได้เวลาอันสมควรที่จะเดินทางกลับกันได้แล้ว เดินออกมาจาก "บ้านระเบียงดาว" แล้วลองหันหลังกลับไป ก็ทำให้พบว่า เมื่อวานที่มาถึงนั้น หมอกลงจัดจริงๆ จนตอนเข้ามาไม่เห็นวิวแบบนี้เลย!

ส่วนวิธีเดินทางกลับ.. ก็เดินไปรอที่ริมถนนเส้นหลัก ที่ลงตอนขามา จะมีเพิงเล็กๆ ให้นั่งรอรถอยู่ สามารถนั่งรอโบกรถ ขอติด ลงไปที่ตัวอำเภอเชียงดาวได้



การโบกรถนั้นไม่ยากเช่นเคย.. ส่วนใหญ่มีน้ำใจรับลงไป เพราะเป็นทางเดียวที่ลงไป บางคันไม่ทันโบก เห็นนั่งรอรถกัน เขาก็จอดถามเองเลยนะ ว่าจะลงไปข้างล่างมั้ย? ก็นับเป็นความประทับใจอย่างหนึ่งเช่นกัน แต่รถนานๆ ที จะผ่านมาสักคัน ทิ้งช่วง 10-20 นาทีเห็นจะได้ ผมรออยู่ประมาณเกือบครึ่งชั่วโมง จึงสามารถโบกรถกลับไปที่ตัวอำเภอเชียงดาวได้ พอถึงอำเภอเชียงดาวก็ง่ายแล้ว เพราะมีรถเข้าเชียงใหม่อย่างแน่นอน..!



ถาม-ตอบ

1. ขับรถไปเองได้มั้ย?

## สามารถขับรถไปเองก็ได้ครับ เพียงแต่ว่า สภาพรถต้องดี และต้องขับชำนาญ เพราะสภาพทางชันและคดเคี้ยว



2. ไม่ได้พักที่นี่ จะมาเที่ยวเล่น ถ่ายรูปเล่น ได้มั้ย?

## ได้สิครับ อาจจะช่วยอุดหนุนอาหาร เครื่องดื่ม มานั่งดื่ม ชมวิวเพลินๆ ได้ครับ



3. คำแนะนำเพิ่มเติม?

## ระหว่างเดินทางจาก เชียงใหม่ – บ้านระเบียงดาว ทั้งไปและกลับ ควรเผื่อเวลาที่ใช้ในการเดินทางสัก 3-4 ชั่วโมง อย่าให้ถึงเย็นมาก หรือกลับเย็นมาก เพราะนอกจากรถจะหายากแล้ว ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยในการเดินทางครับ



สุดท้าย.. ขอจบรีวิวสั้นๆ เที่ยว "บ้านระเบียงดาว" เพียงเท่านี้นะครับ หวังว่าจะเป็นข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ สำหรับผู้ที่สนใจวางแผนจะไปเที่ยว หรือผู้ที่กำลังจะไปเที่ยวในช่วงหนาวนี้ ไม่มากก็น้อยนะครับ ขอบคุณครับ



การท่องเที่ยวเชิงไฉไล | CHAILAIBACKPACKER

Fanpage : https://www.facebook.com/chailaibackpacker

Instagram : CHAILAIBACKPACKER

Twitter : @chailaibackpack / goo.gl/VIBXC9

ความคิดเห็น