ครั้งแรกที่ได้ไป สิงคโปร์ เมื่อประมาณเกือบ 10 ปีที่แล้ว เราแทบไม่มีความทรงจำอะไรหลงเหลือกลับมาเลย อาจจะเป็นเพราะจำนวนวันที่ไปน้อย บวกกับความสนใจในประเทศสิงคโปร์ช่างมีน้อยเหลือเกิน ทำให้เมื่อพูดถึงสิงคโปร์ทีไร สิ่งที่ผุดขึ้นมาในหัวก็คงจะมีแค่ ความร้อนอบอ้าว แดดที่เผาจนแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนี กับประเทศอะไร แปลกชะมัด ใช้ภาษากันตั้ง 4ภาษา

ครั้งนี้เมื่อเราตัดสินใจอยากจะไปเดินเตร็ดเตร่ นอกบ้านคนเดียวซัก 4-5 วัน จึงลองหาประเทศที่ไม่ต้องขอวีซ่าให้ยุ่งยาก และมีความปลอดภัยสำหรับผู้หญิงเดินทางคนเดียว ก็เลยนึกถึงประเทศที่ไม่ได้อยู่ในกระแสซักเท่าไรอย่าง สิงคโปร์ ขึ้นมา เมื่อตัดสินใจได้แล้วก็หาข้อมูล จองตั๋วเครื่องบิน hostel และออกเดินทางกันเลยค่ะ

กระทู้นี้ อาจจะไม่ได้มีข้อมูลจำเป็นในการเดินทาง มาแนะนำกันซักเท่าไร แต่สิ่งที่อยากจะให้สัมผัสกัน คือความสวยงามของประเทศ ที่สามารถหาได้ตลอดการเดินทาง ตามถนนหนทางที่เดิน หวังว่าอาจจะทำให้ใครบางคน คิดอยากจะไปเดินตากแดดที่สิงคโปร์ เหมือนกันบ้างนะคะ




// วันที่ 1 //

ออกเดินทางจากดอนเมือง เวลาประมานตี1 มาถึงสิงคโปร์ก็ประมาณตี4กว่าๆ ของเวลาสิงคโปร์
ระหว่างรอขึ้นรถเข้าเมืองรอบแรก ประมาน 6โมงเช้า สิ่งที่ทำได้ก็คือ เดินวนไปวนมา ชมสนามบิน จนถึงเวลาซักประมาณ ตี 5.30 ตู้ขายตั๋วที่ MRT ก็เปิดทำการ สามารถซื้อบัตร EZ-LINK ได้ที่นี่เลยค่ะ บัตรใบนี้ สามารถใช้ขึ้นรถเมล์ รถไฟ ซื้อของใน 7-11 เพียงแค่แตะบัตร เรารู้สึกว่ามันสะดวกมากกว่า งมหาเศษเหรียญในกระเป๋าเยอะเลยค่ะ


เราเลือกที่จะนั่งรถเมล์เข้าเมือง เพราะเวลาเราไม่ได้เร่งรีบอะไร อีกอย่างระหว่างทาง เราก็สามารถนั่งชมเมืองไปด้วยได้ รถเมล์สายที่นั่งเข้าเมือง คือ เบอร์36 บรรยากาศตอนประมาณ 6โมงเช้า พระอาทิตย์เริ่มจะขึ้น รู้สึกสดชื่นดีเหมือนกันค่ะ


เมื่อฝากกระเป๋าที่ Hostel เรียบร้อยแล้ว เราก็เริ่มออกเดินดูเมืองกันเลยค่ะ ที่พักเราอยู่บริเวณถนน Lavender street ค่ะ บริเวณนี้ก็จะมีถนนย่อยๆแยกออกไป มีตึกสวยๆ ให้เดินดูเพลินๆ กันเยอะอยู่เหมือนกันค่ะ

บริเวณถนน Tyrwhitt road




ถนนตรงนี้ชื่อ Petian road ค่ะ มีตึกที่เป็นตึก heritage สีสวยยาวเรียงอยู่ริมถนน


เดินจนหิว ก็ต้องหาอะไรลงท้องละล่ะค่ะ
อาหารเช้ามื้อแรก เราเลือกที่จะมาฝากท้องแถวบริเวณ Botanic Garden ค่ะ บริเวณนี้ มีตึกโบราณที่ถูกดัดแปลงเป็นตึกที่รวมร้านอาหารชิวๆ ซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านขายของจุกจิก เรียกว่า Cluny Court เป็นที่รวมของชาวต่างชาติเยอะทีเดียวค่ะ

ร้านอาหาร Simply bread ที่มีคนบอกกันมาว่าอร่อย เราก็เลยต้องขอมาลองซักครั้ง เราเลือกสั่ง All day breakfast ลักษณะก็จะเหมือน breakfast ทั่วๆไป เพียงแต่ขนมปังกรอบมาก omelette ก็รสชาตินวลๆดีค่ะ ไม่เลี่ยน บรรยากาศในร้านเหมือนนั่งอยู่บ้านดีค่ะ


อิ่มท้อง ก็มาเดินย่อยในสวนต่อเลยค่ะ
สวนนี้มีชื่อว่า Bonatic Garden จะเรียกว่าเป็นปอดของคนสิงคโปร์ก็ไม่ผิดค่ะ เพราะสวนนี้กินพื้นที่เกือบ 420ไร่เลยทีเดียว สำหรับเรา เราเรียกสวนนี้ว่า ป่า ค่ะ เพราะต้นไม้อัดแน่นเกือบทุกอณู และไม่ใช่เป็นต้นไม้ที่ปลูกแค่พอสวยงาม แต่เค้าเล่นปลูกกันจริงจัง เอาต้นไม้จากทั่วทุกมุมโลก มาลงที่นี่ เพื่อให้คนในประเทศได้มาสูดอากาศกันได้ง่ายๆทุกวัน จนได้รับการประกาศให้เป็น มรดกโลก เมื่อไม่นานมานี้เองค่ะ

บรรยากาศ ร่มรื่น สีเขียวสุดๆ มีคนมานอนรับแดดกันกลางสนามหญ้ากันเลยทีเดียว


เด็กฝรั่งวิ่งเล่นรอบถังขยะกันอย่างมันส์




หลังจากสูดออกซิเจน เผื่อสำหรับ 4วันข้างหน้า ได้เต็มปอดแล้ว เราก็นั่งรถเมล์ มาลงแถว Little India ค่ะ ย่านนี้เป็นย่านที่มีคนอินเดียอยู่หนาตา มีร้านขายของจากอินเดีย ทั้งเสื้อผ้า อาหารแห้ง อาหารกิน วัดวาอาราม เต็มบริเวณเลยค่ะ ถนนบริเวณนี้ สามารถเดินทะลุกันได้ทั่ว มีมุมสวยๆ น่าสนใจ ให้เก็บรูปกันเพียบเลยค่ะ


ย่านนี้สำหรับเรา ถือว่าเป็นย่านสีสัน จัดจ้านมาเลยค่ะ เดินแล้วเพลินตาสุดๆ

วัฒนธรรมผสมผสานของประเทศสิงคโปร์


เดินๆอยู่ก็เจอกลุ่มเด็กนักเรียนมาขอทำให้ survey ค่ะ


จบวันนี้ ด้วยวิหารฮินดูสีสด ตั้งเด่นอยู่ริมถนน Serangoon ชื่อ Sri Veeramakaliamman ค่ะ




// วันที่ 2 //

วันนี้ แพลนที่ตั้งใจที่จะทำเป็นอันดับแรกคือ การไปกิน cupcakes ที่ร้าน Plain Vanilla Bakery
ร้าน cupcakes ร้านนี้ ถือว่ามีชื่อมากๆในสิงคโปร์ร้านนึง มีสาขาทั้งหมด 3สาขา ในย่านดังๆ ของสิงคโปร์
แต่สาขาที่ตั้งใจจะไปชิม คือ สาขาที่อยู่ที่ Holland Village ที่เลือกสาขานี้ เพราะ ชอบชื่อสถานที่ค่ะ ไม่มีอะไรมาก 555
พอค้นหาสายรถเมล์ได้แล้ว ก็ออกเดินทางกันเลยค่ะ

วันนี้รถเมล์ที่เราขึ้น เป็นรถ2ชั้น เราเลือกนั่งชั้น2 แถวหน้าสุดเลย เพื่อที่จะได้ดูวิวระหว่างทางได้อย่างเต็มที่


Holland Village เป็นเหมือน village ที่รวมร้านอาหารหลากหลายชาติ อยู่ในบริเวณเดียวกัน ร้าน cupcake สาขานี้ที่เราตามหา มันแทรกตัวอยู่บนชั้น2 ของร้านอาหาร mexican ร้านนึง กว่าจะเจอ ก็เดินวนไปหลายรอบอยู่เหมือนกันค่ะ


หน้าตา cupcakes มัน plain สมชื่อร้านจริงๆค่ะ แต่รสชาตินั้นบอกเลยว่า คุ้มค่ากับการเดินวนหามากกกกกก เราเลือกกินอยู่ 2 รส ไม่ผิดหวังจริงๆ ถึงแม้สาขานี้จะไม่มีที่นั่ง แต่ไม่ทำให้รู้สึกผิดหวังที่มาเลยจริงๆ


กินหวานต่อ ก็ต้องตบด้วยคาวค่ะ
บริเวณ Holland Village มี food court ขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ตรงกลาง อาหารมื้อนี้ ถือเป็นอาหาร local มื้อแรกในทริปนี้เลยค่ะ

อาหารชามนี้ เป็นบะหมี่ ใส่ซอส ใส่หมูแดง เกี๊ยวกรอบ แล้วก็ผัก รสชาติถือว่า ไม่ได้แปลกลิ้นสำหรับคนไทย กินได้ อร่อยดีเหมือนกันค่ะ


ออกจาก Holland Village เราก็ข้ามถนนมาฟากตรงข้าม เพื่อจะนั่งรถเมล์ต่อไปลงที่ Victoria Lane
แต่เราก็เจอป้ายนึง เขียนว่า Chip Bee Garden เลยลองแวะเข้าไปดูข้างในหน่อย ว่ามีอะไรบ้าง


พื้นที่บริเวณนี้ เป็นหมู่บ้าน ที่มีบ้านหลังเล็กๆ รวมกัน ค่อนข้างสงบเลยทีเดียว โดย Chip Bee Garden นี้จะอยู่บริเวณด้านหน้า เป็นบริเวณแนวยาว ที่รวมร้านอาหาร ร้านขายของจุกจิกเล็กๆเอาไว้

ออกจาก Chip Bee Garden ก็ขึ้นรถเมล์เพื่อไปลงแถว Victoria Lane

บริเวณนี้จะติดกับย่าน Arab street , Bali lane , Haji lane ที่ทุกคนต้องไป ถนนบริเวณนี้ สามารถเดินเชื่อมต่อกันได้หมด

ด้านริมถนน Victoria Lane บนผนังกำแพงของตึกต่างๆ จะมีภาพศิลปะวาดไว้อยู่โดยทั่ว เรียกได้ว่าเป็นความสวยงามของถนนเส้นนี้เลยค่ะ


บริเวณนี้ เป็นอีกย่านของชาวมุสลิมในสิงคโปร์


เดินเข้ามาใน Arab Street ก็จะเชื่อมต่อไปยังถนนย่อยๆ อีกหลายถนน ระหว่างทาง จะมีตึกสวยๆให้เก็บภาพกันเพลินเลยทีเดียว

เดินเจอตึกนึง ชื่อ Independent Archive ตึกสไตล์แบบนี้ ชอบมากกก เลยถ่ายไว้หลายมุมหน่อย



รูปถ่ายตัวเอง รูปแรกของทริป


เดินเลาะมาเรื่อยๆ จนมาเจอ Sultan Mosque งามสมคำรำ่รือ จริงๆ


ด้านหลังของ Sultan Mosque จะมี musuem เล็กๆนึง ชื่อ Children Little Musuem เป็นพิพิธภัณฑ์เล็กๆของคุณลุงคนนึง ที่เอาของสะสมของตัวเองที่สะสมมาตั้งแต่เด็ก มารวบรวมแล้วเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ ช่วงเวลาสั้นๆที่ได้อยู่ในที่นี้ เหมือนหลุดกลับไปในวัยเด็กอีกครั้ง ยังไง ยังงั้น เลยค่ะ


จบวันด้วยอาหารมุสลิมอร่อยๆ ง่ายๆ ริมถนน North Bridge Road ค่ะ



// วันที่ 3 //


แพลนวันนี้ตั้งใจจะไปแถว China Town ยาวไป Tiong Bahru ค่ะ ย่านฮิปๆ ของชาวสิงคโปร์

วันนี้ก็นั่งรถเมล์อีกเหมือนเดิมค่ะ ลง China Town เป็นจุด start ของการเดินวันนี้ค่ะ



เดินลัดเลาะเข้าไปด้านใน ก็เจอฝูงชนชาวจีน ชุมนุมกันอยู่ที่ complex ด้านในค่ะ

เดินเอาบรรยากาศได้ซักพักนึง ก็วก กลับออกมาถนนใหญ่เหมือนเดิม เพื่อจะเดินต่อไปช่วงถนนที่เรียกว่า Tanjong Pagar

บริเวณนี้ จะมี Musuem ระดับโลก ที่ชื่อว่า Red Dot Musuem ตั้งอยู่ เลยว่าจะโฉบไปดูหน่อยว่าเป็นยังไงบ้าง

แต่ก่อนจะไปนั้น คงต้องแวะหาอะไรรองท้องก่อน เลยขอฝากท้องที่ Maxwell Food Centre ซึ่งอยู่เยื้องๆ กับพิพิธภัณฑ์ Red Dot นี่เองค่ะ


มื้อนี้กิน หมี่เป๊าะ ค่ะ คนที่นี่เค้าก็เรียก หมี่เป๊าะเหมือนกัน เห็นคนเค้าต่อคิวร้านนี้กันเยอะ เลยไปต่อคิวบ้าง รสชาติก็อร่อยดีค่ะ เผ็ดซอสนิดๆ


มาถึง Red Dot ละค่ะ แต่มาแค่โฉบๆนะคะ เก็บบรรยากาศรอบๆ กันไป

ถนนบริเวณนี้ ก็เหมือนถนนหลายๆสายในสิงคโปร์ ที่สามารถเดินทะลุตรอกซอกซอยได้อย่างไม่น่าเบื่อ

คนที่ชอบหลงทางอย่างเรา เดินวกไปวนมา เดี๋ยวก็กลับมาที่เดิมเองค่ะ

เราเดินไปเรื่อยๆ แถวๆ ถนน Duxton Hill มีตึกสวยๆ เรียงกันอยู่ ตลอดทาง


เจอพนักงานพักเที่ยง เล่นหลับกันใต้ต้นไม้แบบนี้เลย

จาก Tanjong Panga เราสามารถเดินต่อไปที่ Tiong Bahru ได้เลย ถ้าไม่เมื่อยขาซะก่อน แต่เราเลือกขึ้นรถเมล์ค่ะ ออมแรงไว้หน่อย

ถนนระหว่างเดินไปขึ้นรถเมล์ ก็สวยงามเหมือนเดิม


บริเวณแถว Tiong Bahru นั้น ก็จะมี market ท้องถิ่น สำหรับคนที่อาศัยอยู่แถวนั้นอยู่แล้ว แต่หลายปีหลัง ก็จะมีร้านใหม่ๆ มากระจายเปิดตามตึกต่างๆ ทำให้บริเวณนี้ กลายเป็นที่ที่มี วัยรุ่นชอบมาเดินเยอะอยู่เหมือนกัน


ร้าน Plain Vanilla Bakery ก็มีอีก 1 สาขาที่ย่านนี้เหมือนกันค่ะ



แวะกิน scone ที่ร้าน Drips แต่วันที่ไปเป็นวันเสาร์ คนแน่นมากค่ะ เลยต้องนั่งตากลมธรรมชาติ นอกร้าน



เต็มอิ่มกับย่านนี้ ก็ถึงเวลากลับโรงแรม แต่ก่อนกลับ ก็ขอจบวันแบบอาร์ตๆ ด้วยการไปเดินเล่นแถว National Design Gallery ตรงถนน Queen Street ค่ะ



// วันที่ 4 //


วันนี้เป็น shopping day ค่ะ เพราะว่าเราจะไปถนน Orchard กัน แต่เราจะเริ่มวันด้วยการไป กินลม ชมแม่น้ำ แถวๆ Clarke Quay ค่ะ

บริเวณริมแม่น้ำแถวนี้ เป็นอีกหนึ่งแหล่งที่รวมร้านอาหารมากมาย มาตั้งอยู่ริมน้ำ วันที่เราไปเป็นเช้าวันอาทิตย์ แต่ก็มีคนมานั่งกินข้าว ดื่มเบียร์กันบ้าง โดยเฉพาะชาวต่างชาติ ซึ่งมีเยอะมากบริเวณนี้ บางบ้านก็หิ้วลูกๆ มาออกกำลังกาย ปั่นจักรยานกันก็มีค่ะ


พนักงานเก็บขยะในแม่น้ำ



เราทานมื้อ brunch ที่ร้าน Pizza Art ตรงบริเวณ Robinson Quay ค่ะ ซึ่งเป็นช่วงต่อมาจาก Clarke Quay สามารถเดินเลียบแม่น้ำ มาได้เรื่อยๆเลย ร้านนี้พิซซ่าอร่อยมากกกกค่ะ มีฝรั่งพาลูกมากินกันเต็มไปหมด

อื่นท้องแล้ว ก็ถึงเวลาไปยล Orchard ซักที

สิ่งที่ทำให้เราชอบถนนเส้นนี้ ไม่ใช่เพราะห้างสรรพสินค้าที่ขึ้นกันเต็มถนน แต่เป็นความสวยงามของต้นไม้ ที่เรียงกันแน่น ตลอดช่วงถนนมากกว่า ต้นไม้ที่ประเทศนี้ เค้าน่าจะตั้งใจ ปลูกให้สูงแข่งกับตึก เพราะมองตึกทีไร ต้องมีภาพต้นไม้ติดมาทุกที


Display สวยๆ จากห้างดัง อย่าง Tang และ Paragon


บริเวณรถไฟฟ้าใต้ดิน ใต้ตึก Ion Orchard คนเยอะพอสมควรเลยค่ะวันนี้



ที่ชั้น4 ของ Ion Orchard มี Gallery ที่จัดงาน exhibition อยู่พอดี เลยแว๊ปเข้าไปดูนิดหน่อย


เดินเล่นเรื่อยๆ จนหลงมาทาง ถนน Devonshire Road มีตึกโบราณสวยๆ กับสวนสาธารณะใกล้ๆ ให้มานั่งพักผ่อนได้

เดินวกไปวนมา จนฟ้ามืด เค้าก็เริ่มเปิดไฟ ตามตึกต่างๆ

วันนี้คงจบวัน ด้วยความสวยงามบนถนน Orchard แห่งนี้ค่ะ



// วันที่ 5 //


วันนี้เตรียมตัวกลับบ้าน คงไม่ได้ไปไหนไกลนอกจาก กินข้าวแถวๆ hostel และไปสนามบิน

โชคดีใกล้ๆ hostel มีร้านอาหารเล็กๆ ขายอาหารฝรั่ง อร่อยๆอยู่ร้านนึง เลยได้ลองชิมเป็นมื้อสุดท้ายก่อนกลับบ้าน



// จบทริป //


มาสิงคโปร์ครั้งนี้ ประทับใจกว่าเมื่อ 10 ปีที่แล้วเยอะเลยค่ะ มีความทรงจำดีๆ แบกกลับมาเพียบ ที่รู้สึกประทับใจ คือ การจราจรที่เอื้อให้กับคนเดินเท้าก่อนเสมอ พนักงานบริการที่ไม่หยิ่ง ไม่โวยวาย ความสวยงามของบ้านเรือนที่ต้องขอบคุณรัฐบาลที่อนุรักษ์ไว้อย่างดี ให้คนรุ่นหลังอย่างเราๆได้เห็น และความสดชื่นจากต้นไม้ทั่วประเทศ ที่อยากจะยกกลับมาไว้ที่กรุงเทพบ้างจริงๆ

...

Rawinview

 วันพุธที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 23.00 น.

ความคิดเห็น