การเดินทางครั้งนี้เกิดจากการที่เราอยากไปเที่ยวท่ามกลางธรรมชาติป่าไม้ และได้เรียนรู้วิถีของชาวบ้าน เราเลยหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต แล้วไปเจอกับหัวข้อที่สะดุดตา “ป่า สายน้ำ และ กาแฟ บ้านแม่กลองน้อย” ในเว็บไซต์ของมูลนิธิสืบนาคะสเถียร เลยคลิกเข้าไปดูข้อมูลเพื่อศึกษาลายระเอียด ก็พบว่าหมู่บ้านแม่กลองน้อย ยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักสำหรับใครหลายๆคน เนื่องด้วยหมู่บ้านแม่กลองน้อยไม่ได้มีสถานที่ท่องเที่ยวโด่งดังเป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆที่ตั้งอยู่ระหว่างทางไปน้ำตกทีลอซู นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่มาเยือนอำเภออุ้มผาง ต่างก็มุ่งไปยังน้ำตกทีลอซู แต่ใครบ้างจะรู้ว่าหมู่บ้านเล็กๆแห่งนี้ มีความน่าสนใจอยู่ไม่น้อย เราเลยคิดว่าไหนๆหมู่บ้านแม่กลองน้อยก็เป็นทางผ่านไปทีลอซู เราเลยคิดว่าจะแวะเที่ยวหมู่บ้านก่อน แล้วค่อยไปต่อกันที่ทีลอซู
วันที่ 17 ตุลาคม 2562 เวลา 22.20 น.
เราเดินทางจากสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯหมอชิต 2(จัตุจักร) มุ่งหน้าไปสู่อำเภอแม่สอดจังหวัดตาก มีผู้เดินทางทั้งหมด 2 คน คือเรา และเพื่อนผู้หญิงอีกหนึ่งคน เราที่เลือกเดินทางกันในตอนกลางคืนเพื่อจะไปถึงแม่สอดกันในตอนเช้า...
เราเลือกใช้บริการรถทัวร์ของ บขส. ชั้น ม.1ก(VIP) ราคา 630 บาท ของที่ให้มามีขนมปังสองชิ้น กาแฟซองน้ำปลา 1 ขวด พร้อมกับคูปองอาหารไว้แลกรับบริการอาหารที่จุดจอด
06.50 น. วันที่ 18 ตุลาคม 2562
เราเดินทางกันมาถึงสถานีขนส่งแม่สอด จังหวัดตากจากขนส่งแม่สอด เราจะต้องต่อรถสองแถวเพื่อไปยังอำเภออุ้มผาง เราเลยพากันสอดส่ายสายตา หารถที่เขียนว่าอุ้มผาง เลยไปเจอเข้ากับรถสองแถว แม่สอด-อุ้มผาง เราสองคนมองไปลังเลใจเพราะในรถที่นั่งเหมือนจะเกือบเต็มแล้ว แต่แล้วพี่คนขับสองแถวก็เข้ามาจัดที่จัดทางให้นั่ง จากรถแน่นๆก็ปรากฏที่ว่างสองที่ให้เรากับเพื่อนได้เข้าไปนั่ง เราบอกกับพี่คนขับว่าจะลงที่หมู่บ้านแม่กลองน้อย
รถสองแถวที่เรานั่งเต็มตั้งแต่ออกจากขนส่งแม่สอด ระหว่างทางที่จากแม่สอดไปยังอุ้มผาง ก็มีคนโบกรถให้เห็นอยู่ตลอดทาง ถึงแม้รถสองแถวจะเต็มแต่คนขับก็จอดรับตลอดทุกครั้งที่มีคนโบก ผู้โดยสารชายหลายๆคนเลือกปีนขึ้นไปนั่งบนหลังคารถเป็นอะไรที่ดูแปลกตา และน่าหวาดเสียว พอรถวิ่งไปสักระยะนึงก็ถึงจุดที่เริ่มขึ้นภูเขา มีป้ายบอกถึงโค้งที่เราต้องเผชิญตลอดเส้นทาง ทั้งหมดถึง 1219 โค้ง
พอรถขับไปสักพักทางก็เริ่มชัน และสูงขึ้น เผยให้เห็นวิวภูเขาเขียวชอุ่มดูสวยงาม พอรถวิ่งมาประมาณเกือบสองชั่วโมงก็ถึงจุดพักรถให้เราได้ออกมายืดเส้นยืดสายหลัง ตรงนี้มีร้านข้าว ร้านขายของ ไว้คอยให้บริการ ระหว่างที่รถจอดพักเราเลยเดินเก็บภาพบรรยากาศวิวข้างทางซึ่งเป็นภาพบ้านหลังน้อยที่โอบล้อมไปด้วยภูเขา มองดูแล้วแล้วรู้สึกหายจากอาการเหนื่อยล้า ประกอบกับอากาศเย็นสบายราวกับเปิดแอร์อยู่ตลอดเวลา...
หลังจากพักรถ 20 นาที ก็ได้เวลาที่ต้องไปกันต่อ พี่คนขับก็บอกเราว่า “น้องจะลงแม่กลองน้อย อีกประมาณ 15 นาทีก็ถึงแล้ว” พอเราฟังก็เริ่มรู้สึกตื่นเต้น เพราะเราไม่ได้ติดต่อกับทางนั่นไว้ก่อนไม่รู้ว่าไปถึงจะต้องไปพักที่ไหน อะไร ยังไง เรียกว่าไปเผชิญเอาข้างหน้า มัวแต่คิดอะไรเพลินๆ
รถก็มาจอดลงตรงหน้าสาธารสุขชุมชนร่มเกล้า 5 มีป้ายโรงเรียนบ้านแม่กลองน้อย ทำให้เรารู้ทันทีว่าถึงที่หมายแล้ว เราก็จัดแจงรับสัมภาระที่อยู่บนหลังคารถจากพี่คนขับ การเดินทางมายังหมู่บ้านแม่กลองน้อยโดยรถสองแถว มีค่าใช้คนล่ะ 100 บาท เนื่องด้วยเส้นทางที่ค่อนข้างชัน และระยะทางก็ไกล ก็ถือว่าเป็นราคาที่สมเหตุสมผล
นี้คือสภาพรถสองแถวที่เรานั่งมาลงที่หมู่บ้านแม่กลองน้อย
พอพวกเรามาถึง ก็ตรงเข้าไปที่หน้าสาธารณะสุขเพื่อสอบถามข้อมูลจากคุณน้าท่านหนึ่ง เพื่อถามทางไปร้านกาแฟ Teelorsu coffee กาแฟรักษ์ป่าต้นน้ำของพี่ซ้ง(ณรงค์ศักดิ์ มาลีศรีโสภา) เจ้าหน้าที่มูลนิธิสืบนาคะเสถียร ตามที่เราอ่านข้อมูลจากในเว็บ เมื่อไปถึงควรไปติดต่อกับพี่ซ้งที่นั่นก่อน เมื่อเราไปถึงร้านกาแฟ Teelorsu coffee พี่ซ้งมีท่าทีแปลกใจเล็กน้อยว่ามาถึงนี้กันได้ไง เราก็อธิบายว่าเห็นข้อมูลมาจากเว็บไซต์ สืบนาคะเสถียร แล้วเกิดความสนใจเลยลองมาดู อยากจะมาเที่ยวชมและขอเก็บข้อมูลในครั้งนี้ ซึ่งทางพี่ซ้งก็ยินดี และให้เราพักอยู่กับครอบครัวของพี่ซ้ง พี่ซ้งได้ทำกาแฟดริปมาต้อนรับพวกเรา ทำให้พวกเราได้เห็นขั้นตอนการทำกาแฟที่แสนสดใหม่ ส่วนเรื่องรสชาติกาแฟก็ไม่ต้องพูดถึงให้ความรู้สึกไม่เหมือนกาแฟทั่วไป ที่เราเคยทานมีความหอมกรุ่นแต่ยังคงเอกลักษณ์ของรสชาติกาแฟอาราบิก้า ที่รสชาติละมุนไม่ขมบาดปาก ให้ความรู้สึกว่าสามารถจิบได้เรื่อยๆ เสมือนจิบชาร้อนๆท่ามกลางวิวภูเขา
ขณะที่เราก็นั่งจิบกาแฟไป พี่ซ้งก็บอกว่ากับเราว่าเดี๋ยวเวลาบ่ายสองโมงกว่า จะพาพวกเราไปเที่ยวชมสวนกาแฟ และเที่ยวชมการทำสวนผสมผสานโดยปลอดการใช้สารเคมี เป็นการทำสวนควบคู่กับการปลูกป่า เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว และเวลาสี่โมงเย็นจะพาพวกเราไปเที่ยวชมวังปลา ทั้งหมดคือกำหนดการของวันนี้
สวนบ้านสวนรัฐและภู (สวนเกษตรผสมผสานตามแนวพระราชดำริของพี่รัฐบาล)
นั่งกันไปเพลินๆก็ได้เวลาบ่ายสองโมงกว่าถึงเวลาไปเที่ยวชมสวน ซึ่งทางพี่ซ้งก็พาเรานั่งกระบะไปที่สวน ไม่กี่อึดใจก็มาถึง เรามองเข้าไปในสวนมีสภาพร่มรื่นมีต้นไม้ใหญ่น้อยขึ้นเขียวขจีอยู่ทั่วทั้งสวน ผิดกับสวนเกษตรที่เราเคยเห็นที่จะมีแค่พืชชนิดเดียว ปลูกในที่โล่งๆ
แล้วพี่ซ้งก็พอเราเดินดูนู่นนี้กันอย่างเพลิดเพลิน และพาเราไปรู้จักกับพี่รัฐบาล และพาเดินเที่ยวชมสวนของพี่รัฐบาล ซึ่งสวนของพี่รัฐบาลก็มีต้นหม่อน หรือมัลเบอรี่ คอยต้นรับเราอยู่หน้าสวนพี่รัฐบาลก็ให้เราหยิบชิมฟรีได้อย่างไม่มีท่าทีว่าจะหวงแต่อย่างใด พี่รัฐบาลบอกให้เราหยิบชิมฟรีเยอะๆเลย ไม่เสียตัง ฮ่าๆ ลาภปากแล้วเรา
เมื่อเที่ยวชมสวนกินผลหม่อนกันอย่างเอร็ดอร่อย พี่รัฐบาลก็เล่าความเป็นมาของสวนนี้ให้เราได้เพลิดเพลินกันไปด้วย แต่มีข้อความนึงที่น่าสนใจที่พี่รัฐบาลและชาวหลายๆคนหันมาทำเกษตรอินทรีย์ เพราะบริเวณหมู่บ้านแม่กลองน้อย เป็นป่าต้นน้ำถ้าชาวบ้านเกษตรกรทำการเกษตรโดยพึ่งสารเคมี จะทำให้สารเคมีไหลลงสู่แม่น้ำเจือปนและไหลลงไปสู่คนปลายน้ำอาจจะได้รับผลกระทบ แต่การปลูกป่าผสมการทำเกษตรที่พี่รัฐบาลทำอยู่เป็นการคืนพื้นที่ป่าให้กับป่าต้นน้ำ และเป็นการทำเกษตรพอเพียงตามแนวพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9
จากนั่นพี่รัฐบาลก็แนะนำให้เรารู้จักกับต้นกาแฟ และบอกว่าลองชิมผลกาแฟได้น่ะ เราก็แปลกใจว่าผลกาแฟสดๆกินได้ด้วยหรอ? พี่รัฐบาลก็บอกว่ากินได้ ลองชิมดู เมื่อเราลองชิมผลกาแฟสุกๆดู ก็พบว่ามีรสหวานเหมือนผลไม้ แล้วเมล็ดข้างในก็ค่อนข้างใหญ่ นั่นคือเมล็ดกาแฟที่เอามาทำกาแฟให้เราดื่มนั่นเอง
หลังจากชมสวนของพี่รัฐบาลเสร็จ พี่ซ้งก็พาเราไปเที่ยวชมวังปลากันต่อ ซึ่งวังปลานี้อยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านมากนัก ประมาณ 3-5 กิโลเมตร พี่ซ้งก็พาเรานั่งรถกระบะออกไปยังวังปลา
วังปลา
เมื่อรถจอดลงเราก็เห็นคล้ายซุ้มขายสินค้า พี่ซ้งก็บอกว่านี้คือตลาดขายสินค้าที่เป็นผลผลิตทางการเกษตรของชาวเขามีผักผลไม้ชนิดต่างๆให้เราได้เลือกซื้อ แต่พวกเราไม่ได้มีรถส่วนตัวมาเลยได้แต่เดินชม
พอเดินชมตลาดจนทั่ว เราก็ไปเดินชมวังปลากันต่อ โดยวังปลาจะอยู่ด้านหลังตลาดจะมีทางเดินเล็กๆเดินลงไป หากหาไม่เจอสามารถสอบถามพี่ป้าน้าอาแม่ค้าที่ขายของอยู่แถวนั่นได้ ว่าวังปลาเดินไปทางไหน
หากจะพูดถึงวังปลา แล้วให้คิดต่อว่าวังปลาคืออะไร? คงตอบในใจว่าวังปลาน่าจะเป็นที่อยู่ของปลาจำนวนมาก แต่มันก็น่าจะมีอะไรมากกว่านั่น เราเลยถามพี่ซ้งว่าวังปลาคืออะไร ก็ได้คำตอบกลับมาว่าวังปลา คือแหล่งเพาะพันธุ์ปลา คือห้ามให้ชาวบ้านจับปลาบริเวณวังปลา เพื่อให้ปลาไปวางไข่ขยายพันธุ์
จากที่เราเดินชมวังปลาก็พบว่าวังปลา นั่นเป็นสถานที่ที่มีความร่มรื่นอุดมสมบูรณ์ไปด้วยธรรมชาติ น้ำในลำธารก็ใสสะอาด พืชพรรณก็เขียวขจี อากาศรอบบริเวณวังปลานั่นก็เย็นสดชื่น มีเสียงจากน้ำไหลสลับกับเสียงนกร้องฟังดูแล้วไพเราะ เพราะวังปลายังไม่ได้เป็นที่ท่องเที่ยวที่คนรู้จักมากนักความอุดมสมบูรณ์ยังมีให้ได้ชม หากเพื่อนๆคนไหนจะแวะมาที่วังปลาโปรดช่วยกันรักษาความสะอาด และรักษาธรรมชาติให้คงอยู่แบบนี้ให้คนที่มาเยี่ยมชมต่อๆไปได้เห็นความงดงามของวังปลา
หลังจากที่ชมวังปลากันเรียบร้อย พี่ซ้งก็พาเรากลับบ้านเพื่อเตรียมตัวทานอาหารค่ำและพักผ่อนกัน ซึ่งอาหารที่เราทานกันในเย็นวันนี้นั่นดูจะเป็นอาหารที่เรียบง่าย แต่รสชาตินั่นแสนอร่อย เราทานอาหารร่วมโต๊ะกับครอบครัวพี่ซ้งเลยทำให้อาหารมื้อนี้เป็นมื้ออาหารที่แสนอบอุ่น
ท้องฟ้าหมู่บ้านแม่กลองน้อยยามค่ำคืน
พอทานอาหารกันเสร็จ เราก็วางแผนที่จะถ่ายรูปดวงดาวในค่ำคืนนี้กัน พี่ซ้งบอกกับเราว่าหน้าบ้านพี่ซ้งสามารถมองเห็นทางช้างเผือกได้น่ะ พวกเราก็พากันตื่นเต้นยกใหญ่ที่จะได้เห็นทางช้างเผือก โดยเฉพาะเพื่อนเราที่มาด้วยกันนางไม่เคยเห็นทางช้างเผือกมาก่อน...
นี้เป็นภาพทางช้างเผือกที่เราถ่ายได้ กว่าที่เราจะถ่ายได้สักภาพก็เล่นเอาเหนื่อยเลยทีเดียว ซึ่งตอนที่ออกมาถ่ายรูปทางช้างเผือกพี่ซ้งก็ออกมาถ่ายด้วย ถ่ายเสร็จก็มาดูกันว่าถ่ายมุมไหนสวย เลยกลายเป็นคลาสเรียนถ่ายรูปให้ได้สนุกสนานกัน เราถ่ายรูปเล่นกันสักพักก็เป็นเวลาสามทุ่มถึงเวลาที่ต้องนอนพักผ่อนเอาแรง เพราะพรุ่งนี้เราต้องเดินศึกษาเส้นทางธรรมชาติ เป็นการเดินป่าซึ่งต้องใช้แรงกายพอสมควร...
เช้าวันที่ 19 ตุลาคม 2562
ตอนเช้าหลังจากล้างหน้าแปรงฟัน เราก็พากันออกไปเดินยืดเส้นสาย รับสายลมแสงแดดยามเช้าเลยพากันเดินออกไปตามทางของหมู่บ้าน เดินมาได้สักหน่อยก็เห็นทุ่งกว้างอยู่ทางซ้ายมือ มีชาวบ้านจูงน้องวัวออกมาเล็มกันหญ้า เราเลยขอเก็บภาพไว้สักหน่อย
ภาพดอกไม้สีชมพูมีให้ชมอยู่ทั่ว...
เดินเล่นกันมาสักพักก็ได้เวลาเดินกลับไปเพื่อเตรียมตัวออกเดินทางไปศึกษาเส้นทางธรรมชาติ ก่อนออกเดินทางก็ต้องเติมกำลังกันด้วยมื้ออาหารเช้าเพื่อให้มีแรง เช้านี้ก็ยังเป็นมื้ออาหารเลิศรสฝีมือภรรยาพี่ซ้งอีกเช่นเคย พี่ซ้งพาเราขึ้นรถกระบะไปส่งที่จุดเดินศึกษาธรรมชาติ วันนี้เรามีผู้นำทางคือพี่รัฐบาล และครอบครัวน่ารักๆ พาเราออกเดินทางผจญภัยในเส้นทางธรรมชาติแม่กลองน้อย
เส้นทางศึกษาธรรมชาติแม่กลองน้อย
พี่ซ้งพาเรามาส่งเสร็จแล้วก็กลับไปดูร้านกาแฟต่อ ให้พี่รัฐบาลเป็นคนนำทาง จุดแรกที่พี่รัฐบาลจะพาเราไปคือน้ำตกแม่กลองน้อยเป็นต้นน้ำแม่กลอง การเดินทางเพื่อชมน้ำตกแม่กลองน้อย ค่อนข้างจะมีความชันและลื่นมากกกกกกก ต้องใช้ความระมัดะวังในการเดิน แต่พวกเราต่างพากันลื่นไปหลายที
โดยเฉพาะจุดที่จะข้ามไปยั่งน้ำตก ยิ่งเข้าใกล้น้ำตกมากเท่าไหร่ระดับความลื่นก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
แต่พวกเราก็ผ่านบทสอบระหว่างทางกันมาได้ รางวัลที่ได้ก็คือการนั่งชมน้ำตกพร้อมลมเย็นๆ ที่มองดูแล้วหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง
เมื่อนั่งกินลมชมวิว พักกันให้หายเหนื่อยแล้วพวกเราก็ออกลุยกันต่อ เดินกันมาได้สักพัก พี่รัฐบาลก็ยื่นถุงที่ข้างในมีผงสีขาวคล้ายแป้ง แล้วบอกให้พวกเราทาตามแขนขาและเท้าเพื่อเพิ่มความลื่น ป้องกันตัวทากดูดเลือดไม่ให้มาเกาะ เพราะป่าที่เราเดินเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติให้ครั้งนี้ค่อนข้างเป็นป่า มีความอุดมสมบูรณ์และความชื้นสูง จึงทำให้เจอทากดูดเลือดได้อย่างไม่ยาก พี่รัฐบาลจับตัวทากมาให้เราดูกันอย่างใกล้ๆ เป็นยังไงน่ารักมั้ย อิอิ
เดินไปเรื่อยเราก็พบเห็ดขนาดใหญ่ อยู่ระหว่างทางที่เดินเราจึงถามพี่รัฐบาลว่าเห็ดชนิดนี้คือเห็ดอะไร ก็ได้คำตอบกลับมาว่าเห็ดที่เราเห็นได้ทั่วไปในผืนป่าแห่งนี้ คือเห็ดหลินจือ
โดยเห็ดหลินจือที่ชาวบ้านเก็บได้ จะเอาไปตากแดดและเอาไปต้มดื่ม หรือที่เหลือก็นำไปขายกิโลละ 200 บาทเพื่อสร้างรายได้เสริม
ยิ่งเดินก็ยิ่งเพลิดเพลิน เราได้เจอหลายๆสิ่งที่หาไม่ได้ในชีวิตเมืองกรุง ต้นไม้ดอกไม้สีสันแปลกตา ด้วยความชื้นบวกกับอากาศเย็น ต้นไม้เลยเต็มไปด้วยมอสขึ้นตามต้นไม้และพื้นดิน เพิ่มความเขียวชอุ่มอุดมสมบูรณ์ เรียกว่ามองไปทางไหนก็มีแต่ความเขียว เป็นที่ท่องเที่ยวที่ชาวสายเขียวไม่ควรพลาด
พี่รัฐบาลบอกกับเราว่าในป่าแห่งนี้ในตอนกลางคืน จะมีเห็ดบางชนิดที่สามารถเรืองแสงได้ ซึ่งเราไม่แน่ใจว่าเป็นภาพเห็ดชนิดไหนที่เราถ่ายมา แต่เราขอลงภาพของเจ้าเห็ดต้นเล็กๆมากมายที่ขึ้นตามขอนไม้ ขนาดตอนกลางวันไม่เรืองแสงยังดูสวยงาม ลองจินตนาการดูว่าถ้ามันเรืองแสงได้ในตอนกลางคืนคงดูแฟนตาซีน่าดู ><
การเดินป่าทำให้เราได้ใช้เวลาอยู่กับธรรมชาติ และมองเห็นสิ่งต่างๆรอบตัวได้มากขึ้น
เมื่อเดินกันมาสักพัก ก็ถึงเวลาเที่ยงที่ต้องพักทานข้าวเพื่อเอาแรง พี่รัฐบาลก็จัดแจงหาที่นั่งพักให้พวกเราได้กินข้าวกัน ซึ่งอาหารมื้อนี้ก็เป็นอาหารง่ายๆ ข้าวสวย หมูทอด น้ำพริก และไข่ต้ม แต่ด้วยการที่เดินกันมาเหนื่อยๆล้าๆ อาหารมื้อธรรมดาท่ามกลางสายน้ำและวิวธรรมชาติ ความสุขที่ได้ไม่ต่างจากการที่ได้ทานอาหารเลิศรสในภัตรคาร
พอทานข้าวเสร็จ ก็กินน้ำต่อแต่น้ำในขวดก็หมดพอดี เพราะจิบน้ำกันมาตลอดทาง พี่รัฐบาลบอกกับเราว่าเอาขวดน้ำไปเติมน้ำในลำธารได้เลย เราเลยถามย้ำว่า "น้ำในลำธารนี้ดื่มได้เลยหรอค่ะ" ก็ได้คำตอบกลับมาว่า "น้ำในลำธารนี้ใสสะอาดดื่มได้เลยไม่ต้องกลัว ยิ่งน้ำจากป่าต้นน้ำน่ะดื่มได้เลย" เราได้ยินดังนั่นเลยลองดื่มดู
ปรากฎว่ารสชาติของน้ำนั่นเหมือนน้ำเปล่าที่เราดื่มๆกันเลย มีความเย็นสดชื่นโดยไม่ต้องแช่ตู้เย็น ไม่มีกลิ่นความใสก็ใสแจ๋วไม่มีสิ่งเจือปนใดๆ
เมื่อเติมพลังกันแล้วก็ต้องไปกันต่อ เดินไปเรื่อยๆก็เห็นสิ่งต่างๆมากมาย เสียงนกร้อยเจื้อยแจ้วฟังแล้วไพเราะเพลิดเพลิน ชมนกชมไม้ ตักตวงอากาศบริสุทธิ์ให้เต็มปอด เก็บเกี่ยวบรรยากาศไว้ด้วยสายตาและความทรงจำ สุดท้ายการเดินทางย่อมมีจุดสิ้นสุด แต่ความประทับใจนี้จะเก็บไว้ในใจไม่มีวันสิ้นสุดอย่างแน่นอน...
ภาพผีเสื้อระหว่างที่เราเดินทางกลับไปยังบ้านพี่ซ้ง
เมื่อจบทริปเดินศึกษาเส้นทางธรรมชาติแม่กลองน้อย ก็ถึงเวลาที่ต้องร่ำลาพี่ซ้ง และพี่รัฐบาล เพราะเราต้องไปต่อกันที่ ทีลอซู ร่ำลากันเรียบร้อยร้อยแล้วพี่รัฐบาลก็ทิ้งท้ายว่า "ไปแล้วก็กลับมาเยี่ยมกันใหม่น่ะ อย่าให้ครั้งเป็นครั้งสุดท้าย" เราเลยตอบกลับไปว่า ถ้ามีโอกาสจะกลับเที่ยวที่นี้อีกแย่างแน่นอน...
มุ่งหน้าสู่ทีลอซู
เมื่อร่ำลา และขอบคุณพี่ซ้งเรียบร้อยแล้วเราก็พากันเดินออกมายังถนนใหญ่หน้าปากทางเข้าหมู่บ้านแม่กลองน้อย เพื่อรอรถสองแถวไปตัวอำเภออุ้มผาง สองแถวก็เป็นสองแถวแม่สอด-อุ้มผาง ที่เรานั่งกันมาลงที่หมู่บ้านแม่กลองน้อยแห่งนี้นั่นเอง รอกันไปสักพักจนรอกันมาได้ครึ่งชั่วโมงแล้ว ก็ยังไม่มีวี่แววว่ารถสองแถวจะมาให้เห็น เรากับเพื่อนก็ปรึกษากันว่ารึรถสองแถวหมดแล้ว เพราะเวลาที่เรารอรถอยู่ตอนนี้เป็นเวลาสามโมงครึ่งเกือบสี่โมง เลยคิดว่ารึจะเดินกลับไปพักบ้านพี่ซ้งต่ออีกคืน ขณะที่กำลังปรึกษาคุยๆกันอยู่ ก็ได้ยินเสียงรถกระบะขับออกมาจากหมู่บ้าน พร้อมด้วยเสียงตะโกนถามออกมาว่า "น้องๆจะไปไหนกันค่ะ" เรามองไปยังต้นเสียงก็พบว่าเป็นพี่สาว มาพร้อมน้องผู้หญิงที่คาดว่าน่าจะเป็นลูกสาว "เราเลยตอบกลับไปว่าจะไปที่อำเภออุ้มผางค่ะ เผื่อจะไปเที่ยวทีลอซู" พี่สาวใจดีก็ตอบกลับมาว่า ขึ้นรถมาเลยเดี๋ยวพี่ส่งที่ตัวอำเภออุ้มผาง เราเลยขอบคุณยกใหญ่ และขอนั่งกระบะหลังรับลมเย็นๆชมวิว
ในที่สุดเราก็เดินทางมาถึงยังตัวอำเภออุ้มผาง...เราก็ทำการขอบคุณพี่สาวใจดีที่เมตตาให้พวกเราติดรถมาลงที่อำเภออุ้มผางแห่งนี้ ตอนนี้เป็นเวลาหกโมงเย็นซึ่งเราอยู่กันหน้าสถานีตำรวจอุ้มผาง และงงว่าจะต้องทำอะไรกันต่อไปดี เพราะไม่ได้จองที่พักไว้ ซึ่งพี่ซ้งก็ได้ให้เบอร์ที่พักและแพ็คเกจทัวร์ทีลอซูไว้ แต่เมื่อโทรติดต่อไปพี่เขาบอกว่าโปรแกรมทัวร์ต้องจองล่วงหน้า และมาเป็นหมู่คณะ ซึ่งพวกเราเลยเหวอกันเล็กน้อยว่าจะทำอย่างไรต่อ แต่พี่ที่เราติดต่อไปก็อาสาว่าจะหาที่พักให้ เราเลยได้พักที่อิงดอยรีสอร์ท ค่าห้องพักคืนล่ะ 400 บาท นอนได้ 4 คน แต่เรามากับเพื่อนกันแค่ 2 คน เลยนอนเกลือกกลิ้งได้อย่างสบาย
เมื่อเราเข้าพักเราก็ถามกับทางที่พักว่า "จากตรงนี้ไปทีลอซูยังไงคะ" ที่พักก็ตอบกลับมาว่าทางที่พักมีแพ็คเกจราคาพิเศษ เหมาเที่ยวทีลอซู แถมดอยหัวหมด ได้ในราคา 1,500 บาท เพราะเรามากันสองเลยทำให้ตัวหารน้อย จึงได้ในราคาสูง แต่เราก็ตอบตกลงเพราะไหนๆก็มาถึงแล้ว ทางที่พักบอกพรุ่งนี้เช้าออกเดินทางกันหกโมงเช้าน่ะ หลังจากพูดคุยรายละเอียดกันเรียบร้อยแล้ว เราเลยเข้าไปนั่งเล่นพักผ่อนกันในห้อง
พอได้เวลาทุ่มนึง เป็นเวลาของข้าวเย็น เราสองคนเลือกเดินออกไปยังจุดแถวหน้าสถานีตำรวจเพื่อหาของกิน เราเลยเดินไปเรื่อยๆก็พบว่ามีคนเดินกันอย่างคึกคัก เพราะด้วยวันที่เราไปเป็นวันเสาร์ อาทิตย์พอดีเราเลยตามคนเหล่านั่นไป เพราะคิดว่าน่าจะมีของกินขายอย่างแน่นอน 555 เดินไปสักพักก็เจอกับเซเว่น จากตรงเซเว่น(หันหน้าเข้าเซเว่น)เรามองไปทางขวามือเห็นโคมไฟหลากหลายสีอยู่ข้างหน้าเลยสงสัยว่าตรงนั่นคืออะไร จึงพากันเดินไป เลยพบกับตลาดคล้ายกับถนนคนเดินขนาดย่อม เราเลยไปรอช้าตรงเข้าไปหาของกิน สุดท้ายเราก็ได้ส้มตำ หมูปิ้ง ข้าวเหนียว กับไปกินที่พัก ต้องขออภัยที่ไม่ได้เก็บภาพเพราะตอนนั่นกำลังหิวพอได้ของกินก็รีบเดินกลับที่พักเลยค่ะ ขอโทษจริงๆนะคะ หากเพื่อนๆจะไปที่ตลาดหรือถนนคนเดินอุ้มผาง ก็มาได้นะคะ หากมาไม่ถูกลองถามชาวบ้านหรือนักท่องเที่ยวแถวนั่นดูก็ได้นะคะ เมื่อได้ของมากินเพื่อเติมพลังงานกันแล้ว ก็ได้เวลาพักผ่อน... เราพากันนั่งเล่นอยู่พักนึงก็ได้เวลาเข้านอนเพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นเช้า...
ดอยหัวหมด
เช้าวันที่ 20 ตุลาคม 2562 เวลา 6.00 น.
เวลา 6.00 น. เราตื่นมาเตรียมตัว อาบน้ำแต่งตัวและออกมารอรถจากทางที่พักเพื่อไปยั่งดอยหัวหมด เราออกนั่งรอกันหน้าห้องพัก และเดินทางไปยังดอยหัวหมดกันต่อไป
ดอยหัวหมดวันที่เราไปเป็นวันที่หมอกไม่หนา ทำให้เราเห็นวิวทิวเขาสวยงามไปอีกแบบ
ชมดอยหัวหมดกันมาได้สักพัก...ก็ได้เวลานั่งรถกลับไปยังที่พัก วิ่งระหว่างทางกลับนั่นหมอกลงเยอะมาก อากาศหนาวมาก ยิ่งกว่าตอนอยู่บนดอยหัวหมดเสียอีก 555
เมื่อถึงที่พัก พี่คนขับรถบอกกับเราว่า ให้เวลาเตรียมตัวก่อนออกเดินทาง 15 นาที แล้วเดี๋ยวจะพาไปร้านข้าวเพื่อทานอาหารเช้า ก่อนออกเดินทางทีลอซู เราเลยเลือกเดินสำรวจรอบๆบริเวณที่พัก
เราเจอกับสวนต้นไม้ ซึ่งเราไม่รู้ว่าเป็นต้นอะไรอยู่หน้าที่พัก เราเห็นว่าเป็นต้นไม้ต้นใหญ่ดูสวยงามร่มรื่น เราเลยเดินเข้าไปเยี่ยมชม
เดินเล่นกันมาสักพัก ก็ถึงเวลาที่ต้องกลับไปขึ้นรถเพื่อไปทีลอซู ก่อนไปทีลอซูพี่คนขับรถก็จอดให้เรากินข้าวเช้ากันก่อน ร้านข้าวในตัวอำเภออุ้มผางก็มีให้เลือกหลายร้าน อันนี้แล้วแต่เพื่อนๆพอใจจะเลือกร้านไหน เราขอไม่รีวิวนะคะ พอทานข้าวเสร็จเรียบร้อยเราก็ขึ้นรถเพื่อไปยั่งทีลอซู
ระหว่างทางไปทีลอซู มีหมอกลงหนาตลอดทาง อากาศก็หนาวเย็นจนเราที่นั่งอยู่กระบะหลังปากสั่นกันเลยทีเดียว...
นั่งปากสั่นกันประมาณเกือบสองชั่วโมงสักพักก็รู้สึกเหมือนว่ารถกำลังชะลอ พอเรามองออกไปก็พบป้ายเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง พี่คนขับก็จอดรถและไปติดต่อเจ้าหน้าที่ พร้อมทั้งเอาใบกรอกข้อมูล ชื่อ-นามสกุล เบอร์โทร พวกเราก็กรอกข้อมูลและส่งให้เจ้าหน้าที่ จากนั่นก็นั่งรถเพื่อเข้าไปต่อ เพื่อไปให้ถึงน้ำตกทีลอซู(นี้เพิ่งถึงหน้าทางเข้าน่ะ)
ไปกันต่อจ้าาา...อีก 25 โลเอง...
ทางที่ไปยั่งน้ำตกทีลอซูนั่นเป็นเส้นทางค่อนข้างลำบาก น่าจะต้องใช้รถกระบะ 4WD ในการขับเข้าไป เพราะทางทั้งชัน และทางลูกรังสลับทางปูน กว่าจะผ่านเส้นทางเข้าไปยั่งทีลอซูนั่นเป็น 25 กิโลที่ช่างยาวนานและระบมก้นที่สุดดดดด 555 ผ่านไปเกือบสองชั่วโมง เราก็มาใกล้ความจริงคือตอนนี้เราเข้ามาด้านในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และการที่จะไปถึงน้ำตกทีลอซูเราต้องเดินกันต่ออีก 1.5 กิโลเมตร...
เส้นทางเดินเข้าไปยังน้ำตกทีลอซู เป็นทางปูนเดินง่ายๆสบายๆ มีธรรมชาติให้ชมตลอดทาง มีน้ำตกสายเล็กๆระหว่างทางให้ชมกันเพลินก่อนจะไปเจอของจริงอย่างน้ำตกทีลอซู
ระหว่างทางมีแผ่นป้ายให้อ่านกันเพลินๆ
และแล้วในที่สุดหลังจากที่เราเดินกันมา 1.5 กิโลเมตร ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมง เราก็ได้ยินเสียงน้ำตกอยู่ข้างหน้าดังมาก เรารู้เลยว่าข้างหน้านั่นต้องเป็นน้ำตกที่ลอซูแน่ๆ รู้ตื่นเต้นเพราะทีลอซูเป็นน้ำตกที่สวยที่สุดในประเทศไทย และใหญ่เป็นอันดับที่ 6 ของเอเชีย
ซึ่งทีลอซูก็สวยสมคำล่ำลือจริงๆ จากนั่นเราก็เล่นน้ำตกทีลอซูกันอยู่ประมาณชั่วโมงนึง ซึ่งน้ำตกทีลอซูก็มีจุดที่สามารถลงเล่นน้ำได้ นั่งชิวๆเอาขาจุ่มน้ำเก็บบรรยากาศ
หลังจากอยู่กันมาชั่วโมงนึง เราก็ต้องลาทีลอซูและเดินทางกลับไปขึ้นรถที่เหมาะมาจากทางที่พัก หากถามว่าทำไมมีเวลาเล่นน้ำน้อยจัง? ที่พวกเราอยู่ที่ทีลอซูเพียง 1 ชั่วโมงหน่อยๆ เพราะว่าเราต้องเดินทางกลับในวันนั่น รถสองแถวออกจากอุ้มผางหมดบ่ายสองโมง เราเลยต้องเผื่อเวลาเพื่อให้ทันรถสองแถว รถที่เราเหมาเขานัดเรา 11 โมง ประมาณ 10.45 เราจึงเดินออกจากทีลอซูกัน ถึงเวลาจะน้อยแต่ก็เก็บภาพธรรมชาติสวยๆระหว่างที่เดินกลับมาให้ได้ดูกัน
ส่งท้ายทีลอซูด้วย ภาพธรรมชาติจากนั่นรถก็พาเราไปส่งที่พักเพื่อเก็บกระเป๋า และทางที่พักก็ติดต่อกับรถสองแถวแม่สอดให้มารับเราถึงที่พัก
ในที่สุดเราก็มาถึงบขส.แม่สอด เพราะคิดว่าจะเดินทางกลับกรุงเทพฯกันต่อ แต่พอสอบถามรอบรถกลับกรุงเทพฯก็ปรากฏว่ารถทุกรอบเต็มหมดแล้ว ไม่มีรถกลับกรุงเทพฯจ้า T T เราเลยคิดว่าคงจะต้องนอนพักต่ออีก 1 คืนในแม่สอด เราก็จัดการหาที่พักในแอป Booking แล้วคืนนี้ก็ตัดสินใจเข้าพักที่ GG Sweet Home ข้างหน้าเป็นสวนอาหารกวางตุ้ง จากนั่นเราก็นั่งสามล้อรับจ้างจาก บขส.ไปยั่งที่พัก สนนราคาคนล่ะ 50 บาท
สามารถเข้าไปดูข้อมูลที่พักได้ตามลิ้งที่แปะไว้นะคะ(ไม่ได้มีค่าโฆษณาจ้า) หรือใครสะดวกจะเลือกพักที่ไหนก็ตามสบายเลยนะคะ ในตัวเมืองแม่สอดมีที่พักเยอะอยู่ เราจองที่พักของ GG Sweet Home ในราคา 450 บาทรวมอาหารเช้า(ข้อมูล ณ วันที่ 20 ตุลาคม 2562) ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงนะคะ https://www.booking.com/hotel/th/gg-sweet-home.th.html
เราเข้าพักตอนเวลา 6 โมงเกือบทุ่มนึง จากนั่นเราก็หาข้อมูลถนนคนเดินแม่สอด เพราะคิดว่าเป็นสถานท่องเที่ยวน่าจะมีถนนคนเดิน ก็พบว่าแม่สอดมีถนนคนเดิน ถนนคนเดินแม่สอดตั้งอยู่ข้างสำนักงานเทศบาลแม่สอด เราก็หาข้อมูลว่าจากที่พักไปสำนักงานเทศบาลแม่สอดอยู่ห่างกันประมาณกี่กิโลเมตร ก็พบว่าอยู่ห่างออกไป 2.4 กิโลเมตร ในกูเกิ้ลแมพบอกว่าใช้เวลาเดินประมาณ 24 นาที เราก็เดินสิค่ะ 555
ในที่สุดก็มาถึงสำนักงานเทศบาลแม่สอดกันแล้ววว...
ยิ่งเข้าใกล้ถนนคนเดินยิ่งรู้สึกว่า มีบรรยากาศของงานวัดมาให้เห็นมีของขายในตลาดก็เมืองกับในงานวัดมากๆ แน่นอนค่ะของกินเพียบบบบบ
หลังจากเดินทัวร์ตลาดได้ของกินติดไม้ติดมือกันเป็นที่เรียบร้อย เราก็เดินทางกลับที่พักเช่นเคยค่ะเพื่อทำการพักผ่อนเพื่อพรุ่งนี้จะได้ลุยต่อ และเดินทางกลับกรุงเทพฯกัน
เช้าวันที่ 21 ตุลาคม 2562
ในที่สุดก็ถึงเวลาเช้าหลังจากพักผ่อนกันมาเต็มอิ่ม ก็ได้เวลาเตรียมตัวเก็บของและอาบน้ำ จากนั่นก็ลงไปทานอาหารเช้าที่ทาง GG Sweet Home เตรียมให้ มีขนมปัง ไส้กรอก และไข่ดาว มีกาแฟชงร้อนๆไว้คอยบริการ และของหวานเป็นผลไม้ เรียกว่าก็คุ้มค่าสมราคา หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้วเราก็ขึ้นไปเอาสัมภาระ และเช็คเอาท์กับทางที่พัก
ก่อนกลับเราเลยคิดว่าจะแวะเดินเที่ยวเล่นตลาดแม่สอดกันก่อน ซึ่งเราจำได้ว่าไม่ไกลจากที่พักมีตลาดอยู่เราเลยพากันเดิน(เดินอีกละ)ไปตลาด เมื่อไปถึงตลาดเราก็พบกับร้านโรตี ชื่อร้าน Lucky Tea Shop พอเห้นแล้วรู้สึกหิวขึ้นมาทั้งๆที่เพิ่งกินข้าวเช้ามา 555
มาดูเมนูที่ของทางร้าน Lucky Tea Shop
ซึ่งจะเห็นได้ว่าทางร้านมีน้ำชาฟรีมาให้เราจิบเพื่อเรียกน้ำย่อย เมนูแต่ละเมนูของทางร้านก็ราคาย่อมเยาว์ ซึ่งสิ่งที่เราสั่งไปคือโรตีโอ่ง เนย นม กับนมสดร้อนจ้า ชุดนี้ที่เราสั่งนี้ราคาเพียง 40 บาทเท่านั่น
รสชาติของโรตีเราให้คะแนน 8/10 จ้า รสชาติหอมนุ่ม ไม่หวานมากส่วนนมสดก็มีความหอมละมุน โดนใจสุดๆไปเลยจ้า...
โรตีโอ่ง แค่ได้ยินชื่อก็สงสัยแล้วมันเกี่ยวกับโอ่งยังไงเราก็มีวิธีการทำมาให้ชมกัน...
เมื่อกินโรตีกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราก็เดินทัวร์ตลาดกันต่อโดนฝากกระเป็าสัมภาระไว้กับพี่ๆวินมอเตอร์ไซต์ 555 จากนั่นเราก็เดินทัวร์กัน ซึ่งมีตลาดสดกับตลาดนัดขายของขายเสื้อผ้า ซึ่งสินค้าส่วนใหญ่ที่เราเห็นจะเป็นสินค้าของชาวพม่า ภาษาที่ใช้เขียนแปะตามร้านก็มีภาษาพม่า ซึ่งให้ความรู้สึกเหมือนเรากำลังเดินเที่ยวอยู่ในประเทศพม่าเลย(ก็ไม่เคยไปหรอกนะ)ให้ความรู้สึกแปลกใหม่ดี
เมื่อเดินทัวร์กันจนคิดว่าเหมาะสมกับเวลา เรากลับไปหาพี่วินมอเตอร์ไซต์เพื่อเอาสัมภาระที่ฝากไว้ และใช้บริการพี่วินให้ไปส่งที่ บขส.แม่สอด เพื่อทำการจองรถทัวร์กลับกรุงเทพฯ
แต่พอไปถึงปรากฏว่ารอบรถกรุงเทพมีตอนเย็นๆค่ำๆ และตอนที่เราไปถึงเพิ่งจะ 10 โมง พี่ที่บขส.แนะนำให้เรานั่งรถตู้ไป บขส.ตัวเมืองจังหวัดตาก เพราะที่นั่นจะมีรอบรถะเยอะกว่า เราก็นั่งรถตู้เพื่อเข้าตัวเมือง แต่รอไปจน 30 นาทีรถตู้ก็ไม่มาเสียที พี่เจ้าหน้าที่เลยติดต่อหารถสองแถวเพื่อไปส่งยั่งท่ารถตู้เลย เพราะตรงนั่นจะมีรถเยอะกว่า ค่ารถสองแถวไปยั่งท่ารถตู้คนล่ะ 20 บาท
ในที่สุดเราก็มาถึงท่ารถตู้ ค่าโดยสารรถตู้ แม่สอด - ตาก คนละ 178 บาทไปส่งถึงบขส.จังหวัดตาก ซึ่งรถเต็มไวมากกกก
จากนั่นเราก็จองตั๋วรถทัวร์ที่ บขส.จังหวัดตากเพื่อเข้ากรุงเทพ เราก็รถของบางกอกบัสไลน์ รอบ 14.30 น. ราคา 324 บาท ซึ่งรถมา 15.00 น. เลทไปครึ่งชมจ้าาาา ถึงกรุงเทพประมาณ 21.00 น.
สุดท้ายนี้เราต้องขอขอบคุณเพื่อนๆทุกคนที่ติดตามอ่านกันจนมาถึงตรงนี้ ที่เขียนทั้งหมดเราไม่ได้ถูกจ้างให้รีวิวแต่อย่างใด ทุกสิ่งเราเขียนเราเขียนตามความรู้สึกจริง สิ่งที่เราเจอจริงๆ เราต้องขอขอบคุณทุกน้ำใจและมิตรภาพที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินทาง ทั้งพี่ซ้ง เจ้าหน้าที่มูลนิธิสือนาคะเสถียร ณ หมู่บ้านแม่กลองน้อยที่ให้ที่พักพิง ขอบคุณพี่รัฐบาลที่ให้ประสบการณ์ดีๆและเป็นไกด์นำทางเส้นทางศึกษาธรรมชาติแม่กลองน้อย
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ทิ้งท้ายหากใครสนใจที่จะท่องเที่ยวหมู่บ้านแม่กลองน้อย สามารถติดต่อพี่ซ้งได้เลยค่ะ เพราะตอนที่เราไปพี่ซ้งกำลังทำโฮมสเตย์ไว้ต้อนรับนักท่องเที่ยว ซึ่งตอนนี้น่าจะเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว
- เบอร์โทร และLineของพี่ซ้ง แนะนำให้แอดไลน์ค่ะ เพราะบริเวณหมู่บ้านแม่กลองน้อยไม่ค่อยมีสัญญาณแต่บ้านพี่ซ้งติดเน็ตไวไฟ สามารถติดต่อสอบถามได้ทาง Line ค่ะ เบอร์พี่ซ้ง 0808570823
- https://www.facebook.com/narongsakmaleesrisop/ Facebook ร้านกาแฟพี่ซ้ง
*ขอย้ำอีกครั้งว่าเราไม่ได้ถูกจ้างรีวิว แต่เราช่วยประชาสัมพันธ์ให้พี่ซ้ง เรามีความตั้งใจจริงที่อยากจะให้เพื่อนๆที่อ่าน ที่กำลังจะไปทีลอซูลองแวะไปที่หมู่บ้านแม่กลองน้อยแห่งนี้ เพราะหมู่บ้านแม่กลองน้อยเป็นเพียงทางผ่านที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก หากเพื่อนๆลองสัมผัสแล้วอาจจะหลงรักหมู่บ้านเล็กๆแห่งนี้ หมู่บ้านที่เป็นต้นน้ำแม่กลอง และไปกระจายรายได้ให้กับชาวม้งที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้าน
เวลาที่ใช้ในทริปนี้ทั้งหมด วันที่ 17-21 ตุลาคม 2562 เป็นเวลา 4 คืน 5 วัน
สรุปค่าใช้จ่ายจากทริปนี้...
-ค่ารถทัวร์ของ บขส.999 กรุงเทพฯ-แม่สอด VIP 630 บาท
-ค่ารถสองแถว แม่สอด-อุ้มผาง(ลงที่หมู่บ้านแม่กลองน้อย) 100 บาท
-ค่ากาแฟ ช่วยค่าน้ำค่าไฟพี่ซ้ง และค่าไกด์เส้นทางศึกษาธรรมชาติ 600 บาท ไปสองคนตกคนละ 300 บาท
-ค่าที่พักที่อุ้มผางที่อิงดอย รีสอร์ท 400 บาท ไปสองคนตกคนละ 200 บาท
-ค่าเหมารถไปทีลอซู 1500 บาท ไปสองคนตกคนละ 750 บาท
-ค่ารถกลับ อุ้มผาง-แม่สอด 140 บาท
-ค่าที่พักในตัวเมืองแม่สอด 450 บาท ไปสองคนตกคนละ 225 บาท
-ค่าวินมอเตอร์ไซต์ ไป-กลับ จากบขส.แม่สอด-ที่พัก 100 บาท
-ค่ารถสองแถวไปส่ง ท่ารถตู้ 20 บาท
-ค่ารถตู้แม่สอด-ตาก 178 บาท
-ค่ารถทัวร์กลับกรุงเทพฯของบางกอกบัสไลน์ 324 บาท
-รวมค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น(ไม่รวมค่าของกิน) ไปสองคนตกคนละประมาณ 2,967 บาท
-หากไปคนเดียวจะเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 4,424 บาท
วิธีการเดินทางสไตล์เรา...
สถานที่ท่องเที่ยวและกิจกรรมในทริป
----------------------------------------ขอบคุณสำหรับการติดตาม----------------------------------------
สาวหัวฟูตัวเที่ยว
วันจันทร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2562 เวลา 17.11 น.