วันที่ 1 กรุงเทพฯ สู่ โตเกียว...

ออกเดินทางจากดอนเมืองด้วยเที่ยวบิน 10.45 นอนยาวๆ 6 ชม. หลังเครื่องขึ้นสักพัก จะมีการแจกเอกสารเข้าเมือง หากใครเขียนไม่ถูก หน้าเบาะจะมีเอกสารไกด์ไลน์ในการเขียนอยู่ และจะเริ่มเสริ์ฟอาหารกันหลังเที่ยง (แนะนำกินข้าวกันไปก่อนดีกว่า)..

ตามกำหนดการณ์จะมาถึงเจแปน สนามบิน Narita Terminal 2 เวลา 19.00 แต่เอาเข้าจริงก็มาถึงก่อนเวลาประมาณ 20นาที.. (เวลาจะเร็วกว่าไทย 2 ชม.)

Q: ทำไมเลือกไฟล์ทนี้อ่ะ? เวลาเที่ยวก็หายไป 1 วันสิ? จากสนามบินเข้าเมืองก็ใช้เวลานะ?

A: ง่ายๆ เพราะสภาพร่างกายคนเราไม่เหมือนกันจ้าาาา สำหรับตัวเองเคยบินดึกแล้วเที่ยวเช้าวันถึงปลายทางมาแล้วหลายครั้ง บอกเลยว่า “คุ้มวันแต่เพลียร่าง” เพราะปกติอยู่สมาคมคนนอนเช้า และรอบนี้แผนเที่ยวในแต่ละวันต้องตื่นเช้า ด้วยความเป็นคนวางแผนเที่ยวกับสถานที่ที่จะไปนั้น รถไม่ได้เยอะ ดังนั้นช่วงการขั้นบัส ขึ้นรถไฟต่างๆ ต้องงดงีบระหว่างเดินทางด้วย จึงยอมเสียเที่ยว 1 วัน เพื่อพักให้เต็มที่ทั้งเราและสมาชิกจะพร้อมลุยในวันถัดๆ ไปล่ะนะ ^^

หลังผ่านด่านตรวจ ตม. แบบชิลๆ เดินตามทางไปจุดขายตั๋วรถไฟเพื่อเข้าโตเกียว ตรงนี้ใครซื้อผ่าน KKday หรือ Klook มาก่อน จะได้เป็น E-VC แล้วให้นำไปแลกอีกทีที่เคาน์เตอร์(ปิดประมาณ 4 ทุ่ม) ราคาจะถูกกว่าซื้อที่สนามบินเล็กน้อยเว้นแต่มีโปรเพิ่ม ส่วนตัวไม่ได้ซื้อไว้เพราะมาถึงดึกและกลัวว่าจะเสียเวลาต่อคิวเพื่อแลก E-VC ด้วย..

ส่วนตั๋วที่เลือกมาคือ "Keisei Skyliner" ในราคา 2,250Y/คน ซึ่งทางเจ้าหน้าที่จะจองที่นั่งให้เลย แค่เราไปให้ทันเวลารถออกก็พอจ้า ซื้อเสร็จเดินตามป้ายไปเรื่อยๆ เล้ย!!!

ใช้เวลาในการเดินทาง 38 นาที มาเปลี่ยนขบวนที่สถานี Nippori ในโตเกียว (สนามบินนาริตะอยู่ จ.ชิบะ ระยะทางเทียบกับบ้านเราเหมือนจากสุวรรณภูมิไปฉะเชิงเทรา) และต่อรถไฟ JR ไปลงสถานี Ryogoku (ช่วงนี้ต้องจ่ายค่าส่วนต่อเพิ่ม 160Y) แล้วเดินต่อไป 400M เพื่อเข้าที่พัก..

ที่พักสำหรับ 3 คืนนี้ ฝากตัวที่ "Khaosan World Ryogoku Hostel" ค่าที่พัก 3 คืนรวม 8,623บ. ขอเรียกย่านที่พักนี้ว่าย่านซูโม่ละกัน เพราะใกล้กับสนามแข่งซูโม่ ไปทางไหนก็มีรูปปั้นซูโม่ และยังมีร้านขายจังโกะหรือหม้อไฟซูโม่อีกมากมาย เป็นสถานที่เหมาะสมกับไซส์เรามาก 555 ซึ่งมีอยู่หลายสาขา แต่เลือกที่นี่เพราะการตกแต่งล้วนๆ ดูใหม่ด้วย ตกแต่งแอบญี่ปุ่นนิดๆ อยู่ห่างรถไฟ JR 400M รถไฟใต้ดิน 100M รอบด้านมีมินิมาร์ททุกค่าย ร้านอาหารเปิดดึกหลายเจ้า และน้องพนักงานพูดไทยได้!!! พูดชัด ใช้ศัพท์ยาก และตั้งใจอธิบายการเข้าพักกับแนะนำร้านอาหารเป็นอย่างดี โดยน้องหัดมาเพียง 6 เดือน!! และหลังได้กุญแจห้องแล้ว ก็ต้องว้าวววว กับที่พัก... (ขออนุญาตนำบางภาพมาจาก website ค่ะ)

ห้องที่จองได้เป็นห้องสำหรับ 4 คน จะเป็นเตียง 2 ชั้น (เหมาหมด) มีห้องน้ำส่วนตัว แต่จะแยกห้องสุขากับห้องอาบน้ำ มีพื้นที่วางกระเป๋า ปลั๊กไฟเยอะ และอ่างล้างมือที่มากเกินไปแล้ว 555.. ในชั้นเดียวกันยังมีห้องอาบน้ำส่วนกลาง และห้องสุขาส่วนกลางแยกฟินอีก 2 จุดเจ้าค่าาาา แต่ในห้องพักจะไม่มีทีวีและตู้เย็น ซึ่งพวกนี้จะอยู่ที่ห้องนั่งเล่นส่วนกลางชั้น 7 โดยชั้นนั้นจะมีครัว ตู้กดน้ำ เครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ และออนเซ็นแช่เท้า(ปิด 4ทุ่มเฉพาะออนเซ็น) ชากาแฟร้อนจิบฟรี ผ้าเช็ดตัวมีให้แต่ถ้าต้องการผืนใหม่จะเสียตังค์เพิ่ม และถ้าจะให้แม่บ้านมาทำความสะอาดจะคิดเงินเพิ่มเช่นกันจ้า เตียงเขาละมุนมากกก

เก็บของเรียบร้อย แผนแรกว่าจะออกไปดูแสงสีและกินข้าวย่าน Akihabara ที่ห่างกันแค่ไม่กี่สถานี แต่ด้วยสภาพเพื่อนสาวที่หิวและอ่อนแรงจากการบิน จึงจบลงที่ร้านแถวที่พัก ร้านที่ฝากท้องวันนี้คือ "Saizeriya" เปิด 24ชม. อาหารจะเป็นธีม Santafe (พวกสเต็ก/พาสต้า เป็นต้น ) แต่ความเก๋คือ Drink Bar ความสนุกของที่นี่คือ.. เราสร้างน้ำรสใหม่เองได้!!! (ค่าอาหารประมาณ 1800-2000Y)

หลังจากอิ่มกลม ระหว่างกลับที่พัก ฝนตกจ้าาาาา เลยต้องแวะซื้อร่ม ซึ่งวัน Check-out ได้ยกให้ที่พักไว้เลย (^w^) รีบกลับรีบพักพร้อมลุยวันถัดไป!!!


วันที่ 2 ไปเก็บแอปเปิ้ลกันเถอะ!!!

เหตุเกิดเมื่อมีคำร้องว่า “เขาอยากเก็บแอปเปิ้ล” โจทย์นี้เจ้าช่างสร้างสรรค์ยิ่งนัก... เป็นหนึ่งในงานยากว่าจะหาที่ไหนเดินทางสบายๆ ใกล้โตเกียว คุ้มกับที่เสียค่ารถไป เพราะถ้าไม่อยู่ไกลไปเลย เดินทางยาก ก็ค่าเข้าแพง และเงื่อนไขในการเก็บเยอะ(บางที่ให้เก็บแค่ 3-4 ลูก)... จนมาเห็นทางสว่างผ่านทางรายการ sayhi ของคุณติ๊ก นี่แหล่ะ... เมื่อได้ไกด์ไลน์แล้ว จัดการหาการเดินทาง ดูทุกคลิปที่มี พร้อมแล้วลุยยยยย

ก่อนเดินทาง แอบแว่บไปจุดถ่ายรูปกับ "Tokyo Tower" ซึ่งที่นิยมตอนนี้คือทางเดินขึ้นมาจากลานจอดรถ และได้ยินข่าวแว่วว่าอาจจะสั่งห้ามให้คนมาถ่ายแล้ว แหงล่ะคนไปต่อคิวรอกันแบบสุดๆ เพราะงั้นเลยต้องออกเช้าหน่อย.. ระหว่างทางก็เก็บบรรยากาศไปเรื่อยๆ

หลังจากถ่ายคู่(?)สัญลักษณ์บ้านเมืองแล้ว สถานีต่อไป Tokyo… วันนี้เราจะนั่งรถไฟความเร็วสูง Shinkansen กัน(^^).. แต่ราคาจะแรงมากหากเราไม่ซื้อตั๋วนี้ "Tokyo Wide Pass 3 days" หรือ "บัตรเบ่งหน้าใหญ่ 3 วัน" นอกจากเราใช้นางนั่ง Shinkansen ได้หลายเส้นทางโดยจองที่นั่งได้ไม่เสียตังค์เพิ่มแล้ว ยังสามาถใช้นั่งรถไฟ JR ในโตเกียวได้ฟรี 3 วัน ซึ่งบัตรนี้จะมีขายเฉพาะที่ญี่ปุ่นเท่านั้น

**สามารถซื้อสนามบินได้ แต่สนามบินจะไม่จองที่นั่งของเส้นทางอื่นให้ หากกลัวที่นั่งจะเต็มก็จองที่นั่ง online มาก่อนก็ได้ แต่ต้องไปรับตั๋วล่วงหน้า 1 วันก่อนเดินทาง**

ตรงไปซื้อที่บูธ "JR East Travel Service Center" (เปิด 7.30-20.00) ราคาตั๋วจะอยู่ที่ 10,180Y/คน เพื่อความสะดวกในวันอื่นๆ ที่ต้องเดินทางออกนอกเมือง เลยให้ทางเจ้าหน้าที่จองที่นั่งให้เลย โดยเราจดเที่ยวรอบรถ เส้นทางเดินทาง และชื่อขบวนรถมาจาก Hyperdia ผสม Google (เช็คดูว่าตรงกันไหม) และยื่นให้เจ้าหน้าที่ทำให้ได้เลย

หลังจากทำทุกอย่างเสร็จก็ไปรอรถที่ชานชาลา ซึ่ง Shinkansen เราสามารถซื้ออาหารไปกินบนรถได้ ในสถานีมีร้านข้าวกล่องอยู่เยอะมาก ถ้ามีเวลาลองหาแบบที่ชอบ และหาแบบมีระบบอุ่นร้อน มิเช่นนั้นอาหารท่านจะเย็นจับใจ 555

นั่งรถไฟ Joetsu Shinkansen เพื่อไปลง JR Jomokogen จ.กุนมะ ใช้เวลาเดินทาง 1 ชม.กว่า จากการ "ศึกษามาดี" ถ้าจะไปสวนแอปเปิ้ลมี 3 วิธี

  • ขึ้นรถเมล์ ที่ป้าย 1 JY หน้าสถานีรถไฟ ไปลงป้าย JY/JT07 Counter Center ที่อยู่ใกล้สวนที่สุด แล้วเดินต่อ (ใช้เวลา 13 นาที) ค่ารถ 330Y/คน (รถที่นี่รับเงินสด only)
  • นั่ง Taxi ค่ารถประมาณ 1,500Y (ใช้เวลา 10 นาที)
  • นั่งรถไฟท้องถิ่น ลงที่ JR Kamimoku แล้วเดินต่อ ค่ารถ 380Y/คน (ใช้เวลา 15 นาที)

จากข้อสรุปจึงนั่ง Taxi กันไป ด้วยความที่ติดไฟแดงถี่ๆ ค่ารถจึงเปลี่ยนเป็น 2,220Y ซะงั้น… หลังจ่ายตังค์แล้วกำลังเปิดประตูรถ คุณลุง Taxi ก็รัวญี่ปุ่นใส่ไม่หยุดยั้ง ใช้เวลางงกันไปสักพัก สกิลเอาตัวรอดก็ทำงานด้วยการสื่อสารภาษามือผสมอังกฤษคำๆ สรุปใจความคุณลุงได้ว่า..

คุณลุง TAXI : “จะอยู่สวนนานรึเปล่า ให้รอไหมครับ?”

ด้วยความเกรงใจเพราะไม่รู้ว่าจะออกมากันกี่โมง และมั่นใจว่าศึกษาการเดินทางมาดี จึงปฏิเสธไป แต่คุณลุงก็เหมือนเป็นห่วงและตีโจทย์ภาษามือเพิ่มได้อีกว่า

คุณลุง TAXI : แล้วจะกลับกันยังไงหรอ?”

เรา : “Basu desu (ว่าจะขึ้นรถเมล์กลับค่ะ ^^)”

คุณลุง TAXI : "โอ้ววว ok เที่ยวให้สนุกน้าาาาาา" .... จบเรื่องราวลงไปอย่างสวยงาม

สวนแอปเปิ้ลที่มานี้ชื่อ “Aberingo” มีค่าเช้าสวน 430Y/คน ไม่จำกัดเวลา สอยเท่าไหร่ก็ได้ สามารถเด็ดกินจากต้นได้เลย ซึ่ง จ.กุนมะ มีแอปเปิ้ลหลายพันธุ์ แต่ที่เป็นไฮไลท์มีขายเฉพาะที่นี่คือ พันธุ์ "Megetsu" จะเป็นสายพันธุ์สีเหลืองค่อนเขียวนิดๆ อยากบอกว่า...อร่อยโฮกกกกกกกกก และที่นี่พายแอปเปิ้ลอร่อยมากกกกกกกกก (ขออนุญาต ยืมรูปจากเพจมาผสมค่า https://travel.marumura.com/apple-minakami)

จุใจกับแอปเปิ้ลแล้ว ขากลับจึงเดินไปป้ายรถเมล์ เพื่อจะกลับไปยังสถานีที่มาและกลับโตเกียวให้ทันรถที่จองไว้... ด้วยความ "ศึกษามาดี"...... ไงล่ะดีมากเลยค่ะ กลายเป็นว่ารถเมล์นานๆ มาคัน แถมคันที่มาก็เลทจากเวลาที่ติดหน้าป้ายอีกต่างหาก ยืนตากลมหน้าสั่นรอกันไปจนต้องกอดกันกลางแจ้ง 555... ตอนนั้นนึกถึงคุณลุง Taxi ขึ้นมาทันที อยากบอกคุณลุงว่าหนูผิดไปแล้ววววว

การขึ้นรถเมล์ที่นี่ให้ขึ้นตรงกลางหรือด้านหลัง แล้วตอนลงให้ลงด้านหน้า หลังจากขึ้นรถมาแล้วให้เราดึงกระดาษเล็กๆ ที่ตู้มาก่อน โดยกระดาษนี้จะเป็นตัวบอกว่ารับเรามาจากป้ายลำดับที่เท่าไหร่ ให้เราดูเลขของเราที่จอทีวีบนรถ จะเป็นค่าโดยสารที่ต้องจ่ายตอนที่จะลงจากรถ ถ้าเตรียมเงินไม่พอดี เขาจะมีแลกเหรียญให้เลย.. หลังจากมาถึงสถานีแล้ว ขึ้น Joetsu Shinkansen ไปลงสถานี Tokyo ที่เดิมจ้า..

เมื่อมาถึงโตเกียว พลังคำรามของท้องก็ดังกระหึ่ม เพราะงั้นมื้อนี้ขอจัด Buffet ปิ้งย่างสักมื้อ ร้านที่จะมาพิสูจน์ชื่อ "SEIKO-EN" อยู่ย่าน Harajuku.. การเดินทางหากเรามาใต้ดินจะใกล้สุด (ลงสถานี Meiji-jingumae) แต่ด้วยความที่มีบัตรเหมา Tokyo Wide pass แล้ว ให้เอาไปโชว์เบ่งกับนายสถานีขอขึ้นรถฟรีได้เลย โดยต่อรถไฟสาย Yamanote ไปลงสถานี Harajuku แล้วเดินต่อประมาณ 400M

"SEIKO-EN" จะอยู่ที่ชั้น 5 ของตึกหัวมุมแยก Harajuku (ไม่รู้ชื่อตึกอะไร).. เปิดลิฟท์มาต้องร้องว้าวววว คือ..หรูอ่ะ มาผิดรึเปล่า 555 ราคาจะอยู่ที่หัวละ 3,250Y และ 3,880Y รวมสลัดบาร์ ไอติม แต่ไม่รวมน้ำ และไม่รวมภาษี 10% ทานได้ใน 90นาที เวลาสั่งอาหารเราสามารถจิ้มจอ Tablet ที่โต๊ะได้เลย รอบนึงจะสั่งของประเภทเดียวกันได้ไม่เกิน 3 จาน ซึ่งของดีมากกกกก นำจิ้มอาจจะไม่ค่อยโดนใจคนไทยเท่าไหร่นะ แต่ถึงไม่จิ้มน้ำจิ้มเนื้อเขาก็ดีอยู่แล้ว (^w^) พิกัด : https://goo.gl/maps/PwPQq6jw79pekmhMA

หลังจากอิ่มจุก ก็เดินย่อยย่าน Harajuku ดูวัยรุ่นแต่งตัวน่ารักๆ ก่อนจะกลับเข้าที่พักในวันนี้...


วันที่ 3 สู่เมืองมรดกโลก..

วันนี้ไป "Nikko" เมืองมรดกโลก ยังคงใช้ Tokyo Wide Pass นั่ง Shinkansen เช่นเดิม โดยจะเริ่มต้นจากสถานี Ueno จากสถานีนี้จะใช้เวลา 43นาที มาเปลี่ยนขบวนรถที่สถานี Utsunomiya แล้วขึ้นขบวนหวานเย็นใช้เวลาอีก 35นาที ไปลงสถานี Nikko มีป้ายบอกตลอดทางไม่ต้องกลัวหลงเลย ^^

การเที่ยวใน Nikko ต้องใช้บริการรถเมล์ หากซื้อทีละเที่ยวจะแพง เลยซื้อตั๋วเหมา "Chuzenji Onsen Pass" ในราคา 2,000Y/คน ซึ่งต้องไปซื้อที่ "สถานี Tobu Nikko" ที่อยู่ใกล้ๆ กับสถานีที่เรามา ตอนซื้อเจ้าหน้าที่เตือนเรื่องเผื่อเวลาในการเดินทาง เพราะว่าเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมารถติดนานถึง 2ชม. กันทีเดียว (*0*)

จุดแรกที่ไปอยู่ไกลสุด คือ "น้ำตกเคงง" (Kegon Waterfall) ซึ่งใกล้ๆ จะมี "ทะเลสาปชูเซนจิ" (Chuzenji) ให้เราขึ้นรถสาย 2A ใช้เวลา 30นาที ลงป้าย 26 (ทางจะขึ้นเขาโค้งไปมา) เดินไปทางน้ำตกก่อน ซึ่งอลังการณ์ใหญ่โตและความฟุ้งกระจายของละอองน้ำสูงมากกกกกก หลังจากถ่ายรูปจนพอกระสัย ก็แวะทานปลาเผา และของต้มแถวนั้นดับความหนาว อร่อยทุกอย่างเลยยยยยย

เดินย้อนกลับไปที่ป้ายรถ แล้วไปยังทะเลสาป ระยะทางประมาณ 600-700M ระหว่างทางอากาศเย็นสบาย เดินไม่เมื่อย ไม่มีความรู้สึกว่าร้อนเลย ระหว่างทางไปบรรยากาศก็ดีด้วย

จากนั้นกลับมาขึ้นรถบัสที่เดิม.. ด้วยเวลาอันไม่พอเลยไม่ได้แวะที่ไหนต่อ และรถติดจริงๆ ด้วย 555 นั่งมาลงสถานี Tobu แวะซื้อซาลาเปาทอดร้านเล็กๆ ที่เขาว่าอร่อยตรงใกล้สถานี ราคาชิ้นละ 200Y ขายพร้อมชาร้อน ลองง่ำ 1 คำ... อร่อยโฮกกกกก ข้างในจะมีไส้ถั่วแดงกวน แป้งด้านนอกกรอบ เหมือนกินเทมปุระ ฟินมากกกกกกกก ส่วน soft cream ร้านใกล้ๆ ก็อร่อยเหมือนกันเลย Nikko เมืองนี้มีแต่ของอร่อย (=^^=)

พิกัด : https://goo.gl/maps/sw8wU9KeLujHWYJP8

เดินทางกลับมายังโตเกียว แวะช้อปปิ้งที่ตลาด Ameyoko และเดินเล่นต่อที่ห้าแยก Shibuya แวะซื้อชานม ระหว่างที่รอเพื่อนซื้อของก็ยืนทานหน้าร้าน ซึ่งก็มีเหล่าหนุ่มๆ มาทักทาย 2-3 คน ไม่ใช่ว่าสวยใส แต่มาเรียกลูกค้าชวนเข้าร้านข้าว ร้านคาราโอเกะ และที่พีคมากคือฝรั่งผิวสีที่เมาแอ๋ เดินมาคุยแบบจริงจังด้วยภาษาญี่ปุ่น... จุดนี้ต้องตั้งสติในการชิ่งหนีแบบมูนวอร์คไม่ให้รู้ตัว สาวๆ ที่ไปเที่ยวตามลำพังระมัดระวังตัวตลอดเวลานะจ้ะ (^^)..

เพลียร่างแล้วก็ถอยทัพเข้าที่พักดีกว่าจ้า --> ต่อตอน 2

กลับไปตอนก่อนหน้านี้ --> ภาคการเตรียมตัว

JaguarBoomy

 วันอาทิตย์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2562 เวลา 16.38 น.

ความคิดเห็น