สวัสดี พวกเราคือ Gowithgu กลุ่มเพื่อนผู้เสพติดการพจญภัย และ ความงามของธรรมชาติ พวกเราทุ่มเทแรงกาย แรงใจ และ กำลังทรัพย์ไปกับการนอนกางเต๊นในป่า แบกเป้ขึ้นเขา ดำดิ่งสู่ท้องทะเล

ถ้าคุณเลือกไม่ถูกว่าจะไปทะเลหรือเขา ให้มากับเราแล้วจะพาไปเขาและทะเล
#4teenpeenkhao #2taoteefin
จิบเบียร์ ชมดาว ขับรถเลาะลาว ไป "สามพันโบก" http://pantip.com/topic/34911201
ดำน้ำอ่านไทย แค่ใกล้ๆเมืองประจวบ http://pantip.com/topic/35000023
ลุยเดี่ยว เที่ยวชุมพร ดำน้ำกินนอน แบบชาวเกาะ http://pantip.com/topic/35021089

พวกเราคนเมืองทุกวันนี้ใช้ชีวิตแปลกแยกกับธรรมชาติ อยู่ให้ห้องสี่เหลี่ยมท่ามกลางอากาศที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการหายใจ หน้าไม่เคยมองฟ้า เท้าไม่เคยเหยียบดิน ใช้ชีวิตอยู่ในโลกสมมติที่ถูกสร้างมาด้วยมนุษย์เอง พวกเราอยากให้ทุกท่านได้ลองเปิดโลก เอาตัวเข้าไปอยู่กับธรรมชาติ สัมผัสธรรมชาติ ให้ธรรมชาติกอดเราไว้ จะทำให้จิตใจเราละเอียดมากขึ้น และมีความสุขมากขึ้น



การท่องเที่ยวทำให้เราพบกับประสบการณ์ที่ไม่สามารถหาได้ถ้าเราไม่มาสัมผัสด้วยตัวเอง มันทำให้เราพบกับความสุขที่แทบจะไม่สามารถอธิบายให้คนที่ไม่เคยเที่ยวเข้าใจได้ ยิ่งเราเที่ยวบ่อย เรายิ่งมีควมสุข เหมือนชีวิตได้รับการเติมเต็มสิ่งที่ขาดหาย การได้พบปะผู้คน มิตรภาพใหม่ๆเกิดขึ้นตลอดในทุกการเดินทาง เราจึงอยากนำมาแบ่งปันความอเมซซิ่งของการพจญภัยให้กับทุกคน หวังว่าทุกคนจะได้เที่ยวตาม และมีความสุขเหมือนที่เราเป็น ถ้าอยากคุยกัน ติดต่อเราหลังไมค์ได้เลย



ม่อนทูเล อยู่ ต.ท่าสองยาง อ.ท่าสองยาง จ.ตาก ยอดม่อนทูเลอยู่ที่มีระดับความสูง 1,350 เมตร เหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง ขนานกับแม่น้ำเมย ที่เป็นเส้นกั้นพรมแดนระหว่างไทยกับพม่า



ม่อนทูเล มาจากคำว่า “ทูเลโค๊ะ" ของภาษาปกาเกอะญอ ที่แปลว่า“ภูเขาสีทอง"



ทริปนี้ ไม่โหดมาก ถือว่าพอสู้ไหว แต่แค่ลำบากหน่อยที่เราต้องแบกของเอง และคืนแรกไม่มีห้องน้ำ แต่เมื่อเทียบกับวิวและธรรมชาติที่ได้เจอแล้ว เราขอบอกเลย คุ้มมากกกกก



โดนแพลนการเดินทางคร่าวๆ ประมาณนี้


คืนแรก: ขนส่งหมอชิต - ขนส่ง ตาก

วันที่ 1 : ขนส่ง ตาก - อบต. ท่าสองยาง - ม่อนทูเล

วันที่ 2: ม่อนทูเล - ม่อนคลุย

วันที่ 3: ม่อนคลุย - ท่าสองยาง - ขนส่ง ตาก - ขนส่ง หมอชิต



ค่าใช้จ่ายต่อคนทั้งทริป รวม 2,333 บาท (เรามี 6 คนค่าใช้จ่ายบางอันคิดจากยอดรวมแล้วหาร 6 )

ค่ารถทัวร์ กทม-ตาก (ไป-กลับ) = 633 บาท

ค่าเจ้าหน้าที่ รถกระบะ (ไป-กลับ) = 300 บาท

ลูกหาบ 2 คน 2 วัน= 200 (300 ต่อคนต่อวัน = 1,200 บาท )

ค่าอาหาร = 300 บาท

ค่าน้ำมัน ตาก-ท่าสองยาง (ไป-กลับ) = 700 บาท



ทริปนี้ถือว่าค่าใช้จ่ายไม่สูงมาก และเวลากำลังดี 3 วัน 3 คืน ถ้า พ.ย. ถึง มี.ค มีหยุด 3 วันก็มาได้เลย



เดี๋ยวๆๆ ก่อนจะเริ่มเดินทาง เรามาเตรียมตัวก่อนไปม่อนทูเลกันสักนิด



อันดับแรก หาวันแล้วนัดเพื่อนพ้อง ย้ำนะจ๊ะ ม่อนทูเลและม่อนคลุย เปิดแค่ พ.ย. - มี.ค. เดิน 3 วัน ถ้านัดเพื่อนได้เรียบร้อยก็ โทรติดต่ออบต. ท่าสองยางได้เลยยย (085-7054459 ,089-2680116, 080-0294249 , 081-1815820) แต่ต้องรีบจองหน่อยนะ เพราะเขามีจำนวนจำกัด แล้วก็จองลูกหาบไปเลย



เมื่อจองเสร็จเรียบร้อย ก็มาเตรียมของกัน

ของที่เราเตรียมมีดังนี้

-เต๊นท์

-ถุงนอน

-ไฟฉาย

-กล้อง

-เสื้อผ้าพร้อมลุย

-เสื้อกันหนาว

-รองเท้าผ้าใบ

-รองเท้าแตะ

-อุปรณ์เข้าครัว

-ทิชชู่แห้ง ทิชชู่เปียก(สำคัญมากเวลาปวดกลางป่า)

-แปรงสีฟัน/ยาสีฟัน สบู่ ยาประจำตัว

-พร๊อพอื่นๆ แล้วแต่ศรัทธา



เตรียมของเสร็จ ก็เตรียมเสบียงน้ำ สำหรับ 3 มื้อ (มื้อเย็นวันแรก, มื้อเช้า และ มื้อกลางวัน วันที่ 2)



นอกจากเตรียมของแล้ว ก็ต้องจองรถทัวร์ แนะนำให้เริ่มจองก่อน 1 อาทิตย์ก่อนวันเดินทางนะคะ เพื่อที่จะได้มีเวลาจัดการวางแผนชีวิตตัวเองให้เรียบร้อย เผื่อรถทัวร์เต็มหรืออื่นๆ หรือถ้าอยากขับรถไปเองกันก็ได้นะ ไม่ว่ากัน



เมื่อพร้อมแล้วก็ออกเดินทางกันเลยยย



ถ้าใครนั่งรถจากขนส่งหมอชิตไปตากแบบเรา เราแนะนำว่า ให้มาเอาตั๋วก่อน ครึ่งชั่วโมง และ ควรเตรียมใจมาพบกับความวุ่นวายที่ขนส่งหมอชิตให้ดี และยิ่งพวกเรามาไปวันหยุด ความวุ่นวายทวีคูณค่า รถดีเลย์ไปครึ่งชั่วโมง แต่ เอ๊ะ พวกเราก็มาถึงขนส่ง ตาก ตรงเวลา หรือว่าเค้าคำนวนเวลาไว้แล้วนะ อันนี้ก็ไม่ทราบเหมื้อนนกัน



พอเราลงรถที่ตาก ก็แวะกินต้มเลือดหมูที่ตลาดริมเมย รอเพื่อนอีกคนมารับ



พอเพื่อนเรามา ก็ขับรถยิงยาว จากตาก ไป อบต. ท่าสองยาง 230 กม. ขับรถประมาณ 3 ชั่วโมง เพราะมีทำทางนิดหน่อย



พวกเราถึง อบต. ท่าสองยาง 10.30 น. ก็เตรียมตัวขึ้นม่อนทูเล คือถ้าใครมาถึงหลังเที่ยงจะต้องโดนบังคับให้ขึ้นทางม่อนคลุย แล้วเดินย้อนกลับมาม่อนทูเลอีกวันหนึ่ง



(พวกเราตอกไข่ใส่ขวดน้ำช่วยประหยัดพื้นที่และการจัดการตระกร้าลูกหาบได้เยอะ เวลาลูกหาบถือไข่ ไข่จะได้ไม่แตก)



จัดของเสร็จ ก็รับบรีฟจาก พี่ดอย เจ้าหน้าที่อบต. ท่าสองยาง

พวกเราได้รถของพี่หมอชิ (ผู้ใหญ่บ้าน) พี่หมอชิจะไปส่งเราที่ตีนม่อนทูเล และ กลับมารับเราอีกทีวันที่ 2 ที่ดอยน้อย โดยที่เราสามารถโทรสั่งของจากพี่หมอชิ แล้วให้พี่หมอชิเอามาส่งให้เราได้



เราจ้างลูกหาบ 2 คน หนึ่งคนแบกได้ 20 กม. แต่พวกเราคำนวนผิด ตอนแรกกะว่าจะเดินตัวปลิว แต่เปล่า ต้องแบกกระเป๋าเสื้อผ้าตัวเองเดินตลอดทางเลย ลูกหาบก็แบกของกองกลางไป เนื่องจากช่วงที่เราไปเป็นช่วงหยุดยาว เลยมีคนขึ้นเยอะพอสมควร ลูกหาบบางส่วนก็จะเป็นเด็กๆจากในหมู่บ้านเนื่องจากคนไม่พอ แต่ไม่ต้องเป็นห่วง เด็กพวกนี้แข็งแรงมากกกก



เมื่อพร้อมก็ออกเดินทาง เราเริ่มเดินตั้งแต่ 11.00 น. ถึง ม่อนทูเล 18.00 น. แต่พวกเราแวะถ่ายรูปเยอะนะ ถ้าใครฟิตๆ หน่อยเราว่าน่าจะถึงเร็วกว่านี้ ระหว่างทางก็ร้อนบ้าง เนินบ้าง ลาดบ้าง ปนๆ กันไป



(และพวกเราก็คำนวณน้ำผิดอีกแล้ว ตอนแรก คิดว่าเดินแป๊บเดียวเลยเตรีมน้ำมาคนละขวด ปรากฏว่า ปาเข้าไป 4 ชั่วโมง เราเลยต้องพึ่งแหล่งน้ำธรรมชาติแทน ถ้าใครบอกกินน้ำลำธารอันตราย อันนี้ เราไม่เถียง! อันตราย ไม่อันตราย ไม่รู้แต่ถ้าไม่กรอกน้ำกินนี่ตายแน่ๆ! น้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติในป่าจะเย็นมาก กินแล้วสดชื่นเว่อออ)



ตอนเดินขึ้นเขา ต้องอย่าลืมหันกลับไปมองด้านหลัง วิวจะสวยขึ้นเรื่อยๆ แปรผันตามความสูงที่เราเดินมาได้เลย



เราถึงม่อนทูเล 6 โมงเย็น พระอาทิตย์กำลังจะตก แสงกำลังสวย มาถึงยอด เจอบรรยากาศแบบนี้ เราก็หายเหนื่อยเลยย



นั่งพักขากันซักหน่อย



พวกเราก็แบ่งงานกัน กลุ่มอาบน้ำ กับ กลุ่มกางเต๊นท์ ทำกับข้าว ซึ่งลูกหาบจะหุงข้าวให้เรา(แต่เราต้องเตรียมข้าวสารไปเอง) ลูกหาบที่นี่หุงข้าวขึ้นหม้ออย่างกับใช้หม้อหุงข้าวไฟฟ้า อร่อยมากไม่มีไหม้ก้นหม้อเลย โดยที่ทุกอย่างต้องรีบทำให้เสร็จก่อนฟ้ามืด และที่สำคัญอย่าลืมทำกับข้าวเผื่อลูกหาบด้วยล่ะ!!!


อาบน้ำ ก็อาบในหนองน้ำ ลักษณะเป็นบ่อน้ำขัง ถ้าใจไม่กล้าพอ แนะนำให้ใช้ทิชชูเปียกเช็ดตัวแทน



ที่ม่อนทูเล ถ้าจะใช้น้ำล้างจาน ล้างหน้าเราแนะนำให้ลงเขาจากเดินลานกางเต๊นท์ไปทิศตรงข้ามกับธงชาติไทย ลงไปเรื่อยๆ จะเจอทางแยก เลี้ยวซ้าย แล้วเดินต่อไปเรื่อยๆ (ตรงนี้อาจจะรู้สึกไม่มั่นใจ แต่คุณมาถูกทางแล้ว) เดินไปสักพัก บุกป่าฝ่าดงสักหน่อย ก็จะเจอตาน้ำผุด น้ำตรงนี้เย็น และใสมาก สดชื่นมากเลย



กินข้าวเสร็จ พระอาทิตย์ตก ความสว่างหายไปพร้อมกับความอุ่น ความมืดและความหนาวเย็นเข้ามาแทนที่ ลมมาทีก็ขนลุกที ได้เวลาก่อไฟปิ้งมาชเมลโล่กัน มีเครื่องดื่มนิดหน่อยๆเพิ่มความกรึ่มและสู้ความหนาว ซึ่งเป็นสูตรพิเศษของพวกเราที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากเพื่อนร่วมทางตอนที่ไปโมโกจูกัน ดื่มเบาๆพอให้หลับฝันดี หรือจะใช้ช่วงเวลานี้ทำความรู้จักกับเต๊นข้างๆก็ได้นะ ช่วงกลางดึกในคืนพระจันทร์เต็มดวงนี่มันสว่างมากจริงๆ



มาทริปนี้มีความตั้งใจอย่างนึงคือ จะมาคล้องช้างกัน ช่วงเวลานี้เป็นช่วงฤดูคล้องช้างพอดี ถ้าคิดจะคล้องช้างก็ต้องเตรียมตัวให้ดี ก่อนอื่นศึกษาเวลาช้างจะปรากฏตัว ควรหาทิศหามุมตั้งกล้องให้เรียบร้อยตั้งแต่ก่อนมือแล้วล่ะ แล้วตั้งนาฬิกาปลุกก่อนเวลาช้างมาซักนิดเพื่อเตรียมตั้งกล้องและทดลองถ่าย ตอนเราไป ช้างมา 04.50 น. พระจันทร์จะตกไปแล้วตั้งแต่ตอนตี3 ฟ้าจะมืดมาก มีแต่แสงดวงดาว แนะนำให้ใช้ app skywalk เอาไว้ตอนส่องช้าง เชคทิศทาง มุมองศากันอีกที เพราะทางช้างเผือกเนี่ย มองด้วยตาเปล่าแทบจะไม่เห็นนะคะ ถ่ายติดวิญญานโอนลี่เลยย



โน้ตๆๆ ยอดดอยทูเล มีสัญญาน True Move H อย่างเดียว แถมสัญญานอ่อนมาก เพราะฉะนั้นหาข้อมูลเตรียมตัว โหลด app ให้พร้อมตั้งแต่ในเมืองเลยจะดีกว่า



และแล้วเราก็ได้ช้างเผือกเต็มๆตัว มาฝากกันค่าา



เมื่อเสร็จสิ้นภาระกิจคล้องช้าง พวกเรานั่งชมผลงานกันอีกสักพัก เหลือบมองนาฬิกา บวกกับฟ้าก็เริ่มเปลี่ยนสี พระอาทิตย์กำลังจะขึ้น!! เมื่อรู้สึกตัวปุ๊บ เราคว้ากล้อง แล้วรีบขึ้นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นบนยอดม่อนทูเล ที่ความสูง 1,350 เมตร อากาศเย็น บนยอดม่อนทูเลสูงกว่าจุดกางเต๊นพอสมควร ขึ้นไปตากลมให้หน้าชา มีช่างภาพหลายคนเดินข้ามไปที่เขาอีกลูก เพื่อให้ได้มุมที่แตกต่าง แต่เราก็เลือกที่จะปักหลักกันตรงนี้…



ระหว่างที่เราเก็บภาพทะเลหมอกไปพลางๆ ฟ้าสว่างขึ้นเร็วมาก ขอบดวงไฟยักษ์กำลังโผล่ขึ้นมากจากยอดเขา ซึ่ง magic hour ยามเช้านั้นจะผ่านไปรวดเร็วกว่าช่วงเย็นมากๆ เพียงแค่ไม่กี่อึดใจ ลูกไฟก็ลอยพ้นขึ้นมาเต็มใบ แสงของท้องฟ้าจะเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วในระยะเวลาอันสั้น



หลังจากที่กลุ่มอื่นๆทะยอยลงเขาไปเตรียมตัวเดินทางต่อ ส่วนพวกเรายังคงเสพบรรยากาศและวิวแบบ panorama กันอยู่ สุดท้ายก็ออกช้ากว่ากลุ่มอื่น (ฮา)



ที่เห็นสีๆเล็กๆไกลๆนู้นคือลานกางเต๊น



หลังจากเดินลงมาจากยอดม่อนทูเล ก็ทำข้าวเช้า, ข้าวกลางวันสำหรับระหว่างทาง และเก็บเต๊น ตอนนี้ต้องบริหารเวลากันดีๆเพราะว่าลงมาช้า เราคาดการกันว่าเดินทางจากม่อนทูเลไปถึงม่อนครุยประมาณ4-5ชั่วโมง เพราะยิ่งออกช้า แดดก็ยิ่งร้อน



มื้อเช้าเป็นมาม่าและของเหลือๆ ส่วนมื้อกลางวันเป็นข้าวสวย ใส่หมูหวาน หมูแผ่น คลุกน้ำพริกพออร่อย



อ้อ! อย่าลืมโทรหาพี่หมอชินะ สั่งอาหารสำหรับมื้อเย็น และ มื้อเช้าวันถัดไปเลย แนะนำให้สั่งโค้กหรือเป๊บซี่ไว้ด้วย พอเราเดินเหนื่อยๆ มาทั้งวันเจอน้ำอัดลมย็นๆ ละ อ๊าาาาาา… ฟินจีๆ



วันนี้เราเดินจากม่อนทูเลไปม่อนคลุย ข้ามเขา 2 ลูก ทางเดินจะขึ้นเขาสลับลงเขา ลาดชัน เดินยากหน่อย ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ก็จะเป็นครึ่งทางพอดี ระหว่างทางจะมีน้ำตก ตั้งอยู่กลางหุบเขา เหมือนเป็นที่พักกายพักใจของทุกคน น้ำไหลตลอด สามารถกรอกได้ ก่อนที่เราจะเดินต่อไปยังม่อนคลุยหลวง ซึ่งเป็นทางผ่าน ไม่มีอะไรน่าสนใจนัก



พักกินน้ำ พักกินข้าวเที่ยงเติมพลังกันซักนิด ก่อนที่จะพ้นเขตป่าเป็นเนินเขาโล่ง เดินไปม่อนคลุยน้อยต่ออีก 2 ชั่วโมง ทางเดินเป็นสันเขากว้าง เดินสบาย วิวสวย 360 องศา ถึงแดดจะร้อนแผดเผา แต่ลมก็พัดแรงตลอด ช่วยให้ไม่เหนอะหนะตัว คลายเหนื่อยกันไป ถ้าเดินอย่างเดียวไม่ถ่ายรูป อาจจะถึงได้ในชั่วโมงเดียว



วิวแบบนี้จะเห็นตลอดทาง เป็นแบคกราวที่สุดยอดมากๆ มีจุดที่เป็นหน้าผาให้ไปเก็บภาพเยอะแยะมากม่าย



และแล้วหลังจากเดินมานาน ก็ถึงตุดที่รถพี่หมอชิก็มารอรับไปม่อยคลุยแล้ว ต้องนั่งรถต่อไปอีก 20 นาที



พี่หมอชิ เอาโค้กมาให้ ถึงแม้เราจะไม่มีแก้ว ก็กินใส่ถุงก็ได้ อ๊าาาา ชื่นใจจริงๆ



ถึงแล้วม่อนคลุย



ที่เห็นไกลๆนู้นคือม่อนทูเล



บนม่อนคลุยมีกระท่อมไม้ให้พัก 2 หลัง นอนฟรี แต่ต้องรีบมาจองนะคะ (แต่พวกเราโชคดี มีพี่เป็ด มิตรร่วมทางช่วยจองไว้ให้เรา)



พอถึงม่อนคลุยพวกเราก็แบ่งทีมอาบน้ำ กับทีมทำอาหารเช่นเคย

ที่ม่อนคลุยมีห้องน้ำ สามารถอาบน้ำได้สบายสบู่ค่า



วันสุดท้าย

เราตื่นนอน เก็บของ ล้างหน้าแปรงฟัน ละกระโดดขึ้นรถพี่หมอชิ

พี่หมอชิบอกว่า จากม่อนคลุยนั่งรถไป 50 กม. ก็จะถึงอบต. ท่าสองยาง

แต่ระหว่างทาง พี่หมอชิ พาพวกเราแวะถ้ำรีซอตตี้ ถ้ำข้างทางสุดแสนจะ exclusive



ที่ว่า สุดแสนจะ exclusive เพราะถ้ำแห่งนี้ไม่มีป้ายบอก ไม่มีจุดสังเกตุอะไรเลย ต้องเป็นคนท้องถิ่นเท่านั้นถึงจะรู้ว่าอยู่ตรงไหน ให้เราไปเองครั้งหน้าก็หาไม่เจอแน่ๆ มีแต่เรา จอดรถข้างทาง แล้วเราก็เดินลงเขา ข้ามลำธารเล็กๆ แล้วเลาะตามลำธารไปเรื่อยๆ ก็จะเจอถ้ำ ยิ่งเดินเข้าไป แสงก็ยิ่งหมด น้ำก็ยิ่งสูง สูงสุดเท่าก้นเราเลยค่า (ฮ่าๆๆ ตัวเราเตี้ยไง ถ้าเพื่อนเราก็แค่ต้นขา) ปีนข้ามก้อนหินบ้าง แต่พอเดินสุด เราก็เจอแสงอีกครั้ง เป็นแสงลอดมาจากซอกหิน สวยมากกก



เมื่อเราถ่ายรูปหนำใจ ก็นั่งรถต่อ มาถึงอบต. ท่าสองยาง เคลียค่าใช้จ่ายเสร็จสับ เราก็กินข้าวอย่างผู้หิวโหย เราขอแนะนำ ร้านป้ายุง ใกล้ๆ อบต. อร่อยมาก ราคาไม่แพง



พอกินข้าวเสร็จ เรากลับมาอาบน้ำที่ อบต. ท่าสองยาง แต่ๆๆๆ พอกินข้าวเสร็จ แรงพวกเราก็กลับมาเลยค่าาาา พวกเราคว้าเสื้อชูชีพแล้วกระโดดลงน้ำ ว่ายข้ามแม่น้ำเมย ไปพม่ากันเลยยยย



อาบน้ำแต่งตัวเสร็จ เราก็ขับรถยิงยาว เข้าแม่สอด แวะกินกาแฟ นั่งอัพรูป ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาพูดคุยกันทบทวนเรื่องราว ที่ถ่ายทอดมาจากความรู้สึกในเหตุการณ์ต่างๆ ผ่านประสบการณ์และภาพถ่าย บทสรุปของความอิ่มเอมที่จะยังติดตัวพวกเราไปอีกหลายวัน ก่อนที่จะต้องเดินทางไปตาก เพื่อเตรียมตัวนั่งรถกลับกทม.


(ที่จริงสามารถขึ้นรถที่แม่สอดได้เลย ตามเวลาตั๋ว แต่ด้วยความไม่รู้เลยไปนั่งรอที่ตาก) เรากลับรอบดึก ซึ่งรถจะถึงกรุงเทพประมาณตี4-5 อยากจะขอฝากไว้ตรงนี้ว่า ไม่ว่าจะเที่ยวมาเหนื่อยหรือหนักยังไง ก็อย่าละทิ้งหน้าที่หลักที่ต้องทำในวันปกติของแต่ละคน (เว้นแต่จะลาออกมาทำเอง) อย่าให้คนมาว่าได้ว่า การเที่ยวมาทำให้เรากลายเป็นคนไม่มีความรับผิดชอบ!!!



หมดเวลาสนุกแล้วสิๆ เทลาทับบี้กล่าว

ใช่แล้ว ได้เวลาเข้าสู่โลกความจริง ชีวิตทำงาน ชีวิตในเมือง…..



เข้าป่าที่ถามว่าลำบากไหม ถ้าบอกว่าไม่ลำบากก็จะเป็นการโกหกแน่ๆ

แต่ออกมาจากป่าทุกครั้งรู้สึกอิ่ม (ไม่ได้แอบกินของป่ามาเยอะนะ)

แต่อิ่มใจ อิ่มกับประสบการณ์ แล้วยิ่งเที่ยวยิ่งรู้สึกว่าโลกเรามีอะไรให้ค้นหาอีกเยอะ

มีกำลังใจให้กลับเข้าเมืองไปตั้งหลัก เก็บเงินมาท่องโลกกว้างต่อไป



ขอบคุณธรรมชาติที่ทำให้รู้ว่าโลกเรายังมีอะไรให้ค้นหาอีกเยอะ
ขอบคุณความลำบากที่ทำให้เรารู้จักความสบาย
ขอบคุณเพื่อนร่วมทาง ที่อยู่ข้างกันแม้ยามลำบาก
-ขอบคุณ-

Memory of Montulay in motion.
https://www.facebook.com/gowithgu/videos/177785349264236/




ใครรักการพจญภัย ทั้งบนบกและใต้น้ำ ทั้งไทยและเทศ กด like Facebook Page Gowithgu ได้เลยยย



ถ้าคุณเลือกไม่ถูกว่าจะไปทะเลหรือเขา ให้มากับเราแล้วจะพาไปเขาและทะเล

#4teenpeenkhao #2taoteefin

Gowithgu

 วันอังคารที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 12.48 น.

ความคิดเห็น