เมียะ เง่อ ระ อาว ~ คำทักทายภาษามอญ แปลว่า สวัสดี
เดือนตุลาคม ... ปลายฝนต้นหนาว บวกกับวันพักร้อนเหลือต้องรีบใช้ก่อนวันสิ้นปี ...
เลือกอยู่นานว่าจะไปไหนดี ... สุดท้าย ท้ายสุด ก็ตัดสินใจที่นี่แหละ ที่ที่เราจะไป ...
.. สังขละบุรี ..
การเดินทางของเราในครั้งนี้ .. เชื่อไหมว่า เป็นการเดินทางที่เราคิดเยอะที่สุด .. มันไม่ใช่แนวถนัดของเราเลยน่ะสิ ปกติ เราถนัดเที่ยวทะเลมากกว่า ดูได้จากรีวิวที่ผ่านๆมาของเราได้จากลิงก์ด้านล่างนี้เลย ..
วันแรกของการเดินทาง : 17 ตุลาคม 2558
เราเริ่มออกเดินทางกันตั้งแต่ 6 โมงเช้า นั่งรถครึ่งชั่วโมง ก็ถึงจุดหมายแรก .. อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ .. เราจึงตัดสินใจเดินทางโดยรถตู้ เพราะ คิดว่า เดินทางวิธีนี้แหละที่จะทำให้เราเดินทางได้เร็วที่สุดแหละ .. เรามาขึ้นรถตู้ วินแฮปปี้ เป็นวินรถตู้ร่วม บขส. ที่ซื้อตั๋ว อยู่ตรงซอยข้างๆซูซูกิ หรือจะเข้าตรงซอยที่มีเซเว่นก่อนถึงเซนจูรี่ก็ได้ วินนี้ราคา 120 บาท ส่งถึง บขส.กาญจนบุรีเลย รถเราออกตอน 6.55 น. ถึง บขส. ตอน 8.55 น. ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมงเอง วินนี้เค้าจะไม่จอดรับรายทาง จะจอดแค่ที่วินเค้าเท่านั้น .. แฮปปี้ สมชื่อ !
ก่อนหน้านี้ เราตั้งใจจะเดินทางด้วยรถโดยสารปรับอากาศ (กรุงเทพฯ - ด่านเจดีย์สามองค์) คือ แบบนั่งรถต่อเดียวถึงที่หมายเลย เอาสะดวก แต่ฟ้าก็กลั่นแกล้งเรา เราโทรไปเช็ครอบการเดินทาง ที่ HOT LINE : 1490 เจ้าหน้าที่เค้าบอกว่า วันที่เราเดินทาง มีออกเที่ยวเดียว คือ รอบ 9.30 น. มันสายไป! กว่าจะไปถึงก็เย็น ไหนจะต้องหาที่พักอีก เรายังไม่เชื่อ เราหาข้อมูลตามพันทิปเค้าบอกว่า มีหลายเที่ยวนี่นา เช็คจากเว็ปนี้อีกที http://www.busticket.in.th มีแค่รอบเดียวจริงๆด้วย ฮือๆๆ ... เปลี่ยนๆ อย่างนี้ต้องเปลี่ยนแผน !
เพิ่มเติมเรื่องของการเดินทาง
1.
เดินทางด้วยรถไฟ (ธนบุรี - ตลิ่งชัน - ศาลายา - นครปฐม - หนองปลาดุก - ท่าเรือน้อย - กาญจนบุรี - สะพานข้ามแม่น้ำแคว - วังเย็น - บ้านเก่า - ท่ากิเลน - ถ้ำกระแซ - วังโพธิ์ - เกาะมหามงคล - น้ำตก) แนะนำให้นั่ง ฝั่งซ้าย จะได้เห็นวิวทางรถไฟสายมรณะได้สวยกว่า ...
พอถึงสถานีน้ำตก ต้องนั่งรถสองแถวไปลงหน้าน้ำตกไทรโยคน้อย 20 บาท แล้วต้องไปรอขึ้นรถที่ฝั่งตรงข้ามป้ายน้ำตก(ใต้ต้นหูกวาง) จะมีรถที่ไปสังขละผ่านมา ^^
2.
เดินทางด้วยรถโดยสารปรับอากาศ เมื่อถึง บขส.กาญจนบุรีแล้ว ต้องต่อรถโดยสารไม่ปรับอากาศ หรือ รถตู้ ต่อไปยัง สังขละบุรี
- สถานีขนส่งสายใต้ใหม่ รถออกทุกๆ 20 นาที ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมง ส่งที่ บขส. กาญจนบุรี
- สถานีขนส่งหมอชิต รถออกทุกชั่วโมง ใช้เวลาเดินทาง 3 ชั่วโมง ส่งที่ บขส. กาญจนบุรี
เมื่อเรามาถึง บขส.กาญจนบุรี แล้ว ไม่รอช้า รีบมองหาวินรถตู้บริษัทเอเชียไทรโยคในทันที ... ต้องเดินออกมานอก บขส. ตรงที่มีตึกแถว จะเห็นป้ายชื่อบริษัทมาแต่ไกล ไม่รอช้า รีบตรงดิ่งไปจองตั๋วในทันใด .. ค่าตั๋วไปสังขละบุรี อยู่ที่ 175 บาท ส่งถึงตลาดสังขละเลย วินรถตู้นี้ จะฟิคเรื่องที่นั่งมาก นั่งผิดที่ไม่ได้นะจ๊ะ ได้ที่นั่งไหน ที่นั่งนั้นเลย ^^ รถตู้เราออกก่อนเวลาสิบนาที เพราะ ผู้เดินทางมากันครบแล้ว เราเลยได้ออกเวลา 9.20 น. ในระหว่างทางจะมีจุดตรวจของทหารอยู่หลายจุด คอยตรวจบัตรประชาชนผู้เดินทาง อย่าลืมพกบัตรประชาชนติดตัวไปด้วยล่ะ ทางไปสังขละบุรี เป็นทางขึ้นเขา ลงเขา สลับกันไป โค้งเยอะมาก บางจุดถนนเสื่อมสภาพ หากขับรถไปเองขับด้วยความระมัดระวังด้วยนะคะ .. (สัญญาณมือถือก็ไม่มีเป็นบ้างช่วง) .. เรามาถึงสังขละบุรีตรงตลาดตอนประมาณเที่ยงครึ่ง .. ใช้เวลาเดินทาง ประมาณ 3-4 ชั่วโมง .. มาถึงเร็วกว่าที่คิด เย้!
เมื่อเราลงจากรถ อาการแรกที่แสดงออกมา ท้องนี่ร้องจ๊อกๆเลย น่าจะหาอะไรทานมาก่อนขึ้นรถ ... ไม่ได้การล่ะ ต้องหาอะไรทานสักหน่อยแล้ว เดี๋ยวไม่มีแรง .. อาหารมื้อแรกของวัน เราขอฝากไว้ที่ร้านครัวนายต้อย กะเอาแค่พออิ่มก็พอไม่ต้องแพงอะไรมาก .. ร้านนี้ อยู่ฝั่งตรงข้าม รพ.สังขละบุรี ใกล้ๆโรงแรมศรีแดงกับร้านอาหารศรีแดง (ร้านอาหารร้านแรกในสังขละบุรี) ป้ายเค้าบอกอย่างนั้น แต่เราไม่ได้ลองทาน .. ใครไปทานมาแล้ว มาบอกหน่อยนะว่าอาหารเป็นยังไงบ้าง ... ^^
เมื่อเติมพลังเรียบร้อย เป้าหมายต่อไปของเรา คือ ไปหาเช่ามอเตอร์ไซด์และหาที่พักกัน ... เราเดินตรงไปหาพี่วินมอเตอร์ไซด์ทันที .. พี่พาไปที่พักที่ที่มีมอเตอร์ไซด์ให้เช่าหน่อย ... ไปเลยน้อง ต้องไป พี เกสเฮ้าส์ ... อ่ะ เราเลยตัดสินใจไปตั้งต้นกันที่ พี เกสเฮ้าส์ ถึงที่พักจะเต็มอย่างน้อยขอให้เช่ามอเตอร์ไซด์ให้ได้ก่อนก็ยังดี (คนส่วนใหญ่จะเล็งที่นี่แหละ) .. แต่ไหงพี่วิน มาส่งที่ J. Family HomeStay ล่ะ!? ได้คำตอบมาว่า มาที่นี่แหละน้อง มีทั้งที่พัก มีทั้งมอเตอร์ไซด์ให้เช่า .. 'ที่นี่ก็ได้ค่ะพี่' .. (พี่โกหกอ่ะ ไหนบอกจะพาไปพี เกสเฮ้าส์ไง ระหว่างทางเจอร้านเช่ามอเตอร์ไซด์เพียบเลยนะ รู้งี้ ! เดินหาเช่ามอเตอร์ไซด์เองก็ได้จะได้ไม่ต้องเสียค่าวินตั้งยี่สิบบาท) .. เราเลยตัดสินใจเช่ามอเตอร์ไซด์ที่นี่เลยแต่เราไม่ชอบพี่พักแนวนี้เท่าไหร่เลยปฏิเสธที่จะพัก แต่คืนละ 400 เองนะ แหะๆ .. จัดแจงวางบัตรพร้อมจ่ายเงิน เราเช่ามอเตอร์ไซด์สองวัน วันละ 200 บาท แต่ตอนมาส่งรถต้องเติมน้ำมันมาเต็มถังด้วยนะ เออ! บางทีเราจะได้ยินคนพื้นที่เค้าจะเรียกรถมอเตอร์ไซด์ว่า 'เมล์เครื่อง' นะ ดีนะว่าบ้านพ่ออยู่นครปฐมเคยได้ยินเค้าเรียกเมล์เครื่องมาแต่เด็ก เลยคุ้นกับคำนี้อยู่หน่อย ^^ .. ได้มอเตอร์ไซด์ล่ะ เป้าหมายต่อไป หาที่พักกัน ..
1.
สามประสบรีสอร์ท (034595050 , 0891374831) ที่นี่ได้วิวสะพานมอญได้อย่างชัดเจน ราคาเริ่มต้นที่ 900 บาท ช่วง Low Season จะลด 200 บาท แต่ยังไม่ได้เข้าไปสอบถามเลย เห็นป้ายที่ติดไว้ด้านหน้าเลยค่ะ "ที่พักเต็ม" ..
2.
Coffee Berry (0624832873) มีทั้งหมด 3 โซนด้วยกัน ราคา 800 บาท แต่ก็ได้คำตอบว่า "เต็มแล้วค่ะ"
3.
ต้องตะวัน (0822925139) เป็นบ้านไม้ขัด อยู่ตรงข้ามทางเข้า ถ.ต้นผึ้ง ราคาเริ่มต้น 500 บาท แต่ก็ได้คำตอบว่า "เต็ม"
4.
ชื่นใจเฮ้าส์ (0814028960 , 0813009376) โฮมสไตล์ ไม่รับจอง สำหรับลูกค้า Walk In มาเท่านั้น ราคาเริ่มต้น 450 บาท แต่ได้คำตอบว่า "เต็ม"
5.
พี เกสเฮ้าส์ (034595061 , 0814502783) ราคาเหมาะสำหรับลูกค้า Backpack อยู่เยื้องๆ Graph cafe ห้องพักราคา 250 บาท (ห้องน้ำรวม) ห้องแอร์ 950 บาท มีให้เช่ามอเตอร์ไซด์และจักรยาน .. แต่ที่นี่ก็ 'เต็ม' อีกเช่นกัน
6. Haiku Guesthouse (081751365) อยู่เยื้องๆพี เกสเฮ้าส์ มีห้องเพียง 4 ห้อง ราคา 650 บาท .. เต็มแน่นอน ..
สุดท้าย .. เรามาได้ห้องพักอย่างฟลุคๆ ราคาไหนก็ต้องยอม ดีกว่าไม่มีที่นอน .. เราได้ที่พักที่ บ้านสวนสมบูรณ์ เหลือห้องสำหรับ 2 คน แค่ห้องเดียวเท่านั้น ต้องคว้าเอาไว้ก่อนสิค่ะ .. ใครจะมาเที่ยวแนะนำให้โทรมาจองห้องพักก่อนนะ จะได้ไม่ลำบากเหมือนเรา .. TT^TT
เจ้าของที่พัก ค่อนข้างน่ารัก เป็นกันเอง .. ราคาที่พักสำหรับห้องสองคน ห้องแอร์ ถ้าเป็นวันเสาร์จะราคา 1000 บาท วันอาทิตย์-ศุกร์ ราคา 800 บาท ใครที่เชคอินวันเสาร์ เช้าวันอาทิตย์จะมีอาหารเช้าให้ด้วยนะ เลือกทานได้เลย .. สามารถดูรายละเอียดที่ FB : บ้านสวนสมบูรณ์ ได้เลยค่ะ .. เชคอินเรียบร้อย เราจะพักที่นี่สองคืน ราคา 1800 บาท จ่ายไปเลยค่ะ ฮ่าๆ มาเที่ยวทั้งทีต้องซึมซับบรรยากาศให้เต็มที่ อย่าได้ซีเรียส .. กว่าจะหาที่พักได้ ปาเข้าไปบ่ายสามโมงกว่า พักผ่อน ล้างหน้าล้างตา แปป สำหรับวันนี้ยังพอมีเวลาเหลือ เดี๋ยวเราไปเหมาเรือชมวัดจมน้ำ Unseen Thailand กัน ..หลังจากพักผ่อนกันให้พอคลายเหนื่อยคลายเมื่อย เราเลยตัดสินใจจะไปดูวัดจมน้ำ ที่เป็น Unseen Thailand กัน มาถึงนี่จะไม่ไปดูได้ไงเน๊อะ .. เราขับมอเตอร์ไซด์มาทางสามประสบรีสอร์ท หาที่จอดมอเตอร์ไซด์แถวๆนั้นแหละ เพราะ ทางรีสอร์ทเข้าให้จอดเฉพาะลูกค้าของที่พักเท่านั้น .. เอาวิวตรงที่เราจอดมอเตอร์ไซด์มาให้ดูก่อนเลย สวยไหมๆ ..
พอเราลงมาถึงข้างล่างแถวสะพานมอญ จะมีน้องๆคอยถามว่า "พี่ทราบประวัติสะพานมอญรึยังค่ะ ถ้ายังหนูขออาสาเล่าประวัติให้พี่ฟังค่ะ" หรือ "พี่นั่งเรือไปวัดจมน้ำมารึยังครับ" และจบท้ายด้วย "พรุ่งนี้เช้าพี่อย่าลืมมาตักบาตรตรงฝั่งมอญนะ" .. เด็กๆที่นี่น่ารักค่ะ ..
อย่างน้องคนนี้ ชื่อ น้องฟ้า ค่ะ เราชอบน้องคนนี้มากๆเลย แก้มยุ้ย ยิ้มน่ารัก ตัวเล็กๆ วิ่งเล่นอยู่แถวสะพาน ^^
ระหว่างนี้เราก็ไปติดต่อเรือนำเที่ยววัดเก่ากลางน้ำ .. อัตราค่าเหมา ทุกร้านจะราคาเท่ากัน เค้าทำเป็นชมรมค่ะ ราคาจะมีให้เลือก 2 ราคา คือ 1 วัด 6 คน 300 บาท และ 3 วัด 6 คน 500 บาท มาทั้งทีก็อยากไปให้ครบสามวัด แต่ไปสองคนไม่คุ้มเท่าไหร่ เราเลยบอกน้องว่า พี่รอคนมาแจมด้วยดีกว่า น้องเค้าก็บอกว่า พี่รอนานนิดนึงนะถ้ามีคนมาแจมเดี๋ยวผมเรียก .. ในระหว่างที่รอ เราเลยไปถ่ายรูปสะพานมอญกับสะพานไม้บวบมาฝาก ตอนบ่ายๆคนจะไม่ค่อยมาที่สะพานสักเท่าไหร่ เพราะ แดดค่อนข้างจัด ..
เมื่อถ่ายรูป แชะ แชะ เสร็จ .. มีร้านกาแฟอยู่ร้านนึงตรงใกล้ๆสะพาน ชื่อ ร้านอารี เราเลยสั่งลาเต้มานั่งรอแก้วนึง (มีอีกหลายเมนูนะ มีแต่แบบร้อนกับแบบเย็น ไม่มีเมนูปั่น) ที่ร้านมีเฟสบุ๊คด้วยนะ ลองเข้าดูตามลิงก์นี้ได้เลยค่ะ http://www.facebook.com/areecoffee
เรารู้จักน้องคนนึงในกลุ่มแบกเป้เที่ยวเค้าก็มาเที่ยวที่สังขละบุรีวันเดียวกันเหมือนกัน เราเลยลองชวนน้องเค้าไปว่าสนใจไปด้วยกันรึป่าว น้องไม่ปฏิเสธค่ะ แล้วเราก็ได้เพื่อนร่วมเดินทางเพิ่มมาอีกหนึ่งคน และในระหว่างเดินไปรับน้องเค้ามาเพื่อจะไปที่เรือ ก็ได้เจอพี่ๆที่น่ารักอีกสองคน เค้าถามว่า จะไปไหนกันหรอจ๊ะ เราเลยให้คำตอบพี่เค้าไปว่า ไปวัดจมน้ำค่ะ พี่ๆสนใจไปด้วยกันไหมคะ พี่เค้าก็มองหากัน แล้วหันมาบอกเราว่า สนจ๊ะ .. ได้เพื่อนร่วมลงเรือลำเดียวกันมาอีกสองคน รวมสมาชิกทั้งหมด 5 คน พร้อมแล้วค่ะ ลุยกันเลย ... มิตรภาพหาได้ไม่ยากค่ะ แค่เราเปิดใจ
วัดแรกที่เราไปนั้น คือ วัดศรีสุวรรณ จะโผล่พ้นน้ำในช่วงวันสงกรานต์ วันที่เราไปเราไม่สามารถลงไปเดินได้แล้ว เกือบจะมิดแล้วแหละ เราเลยได้แต่วนเรือดูรอบๆเท่านั้นเอง มัคคุเทกศ์น้อยที่พาเราไปมีด้วยกัน 2 คน ชื่อ น้องชาติ กับ น้องนัท น้องทั้งสองคนจะเป็นผู้ให้ข้อมูลทั้งหมดสำหรับเราในทริปล่องเรือนี้ค่ะ
วัดที่สองที่เราไป คือ วัดสมเด็จ วัดนี้ตั้งอยู่บนเนินเขาเล็กๆ ไม่ได้จมอยู่ใต้น้ำ เราจึงสามารถลงเรือเพื่อขึ้นไปสักการะพระพุทธรูปด้านบนได้ เรือที่เรานั่งมา มัคคุเทศก์น้อยของเราจะเตรียมดอกไม้กับธูปไว้ให้เราชุดละสิบบาท จ่ายเงินทีหลัง ถือเป็นการช่วยสนับสนุนเป็นทุนการศึกษาสำหรับน้องๆ ^^
นี่เป็นภาพด้านหลังของโบสถ์ เราจะต้องเข้าทางด้านหน้าและออกมาทางด้านหลังนี้เท่านั้น น้องๆมัคคุเทกศ์เค้าบอก โบสถ์แห่งนี้เพิ่งเปิดให้เข้าชม แวะสักการะมาได้ 1 ปีเท่านั้นเอง ..
ก่อนเข้าไปในโบสถ์ เราต้องนำมือแตะที่ประตูและขอพรได้สามข้อ เวลาก้าวเข้าไปในโบสถ์ต้องไม่เหยียบธรณีประตู
ภายในโบสถ์ เป็นที่ประดิษฐานองค์พระพุทธชินราชจำลององค์ที่ 17 ไว้ให้เราสักการะขอพร ...
น้องนัทบอกว่า นี่เป็นความเชื่อในเรื่องของการต่ออายุ ไปอีกกี่ปี ไม่แน่ใจในข้อมูลขออนุญาตไม่เขียนนะคะ..
และนี่เป็นทางขึ้นโบสถ์ มีทั้งหมด 63 ขั้น .. เล่นเอาหอบแห่กๆ บ่งบอกถึงสังขารเราเลยว่า อายุอาณามจะไม่ไหวแล้ว ฮ่าๆๆๆ..
ม๊ะ! เราไปต่อกันที่วัดสุดท้ายเลยดีกว่า ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับวัดสมเด็จนี่เอง วัดนี้ถือเป็น Unseen Thailand เลย นั่นก็คือ วัดวังก์วิเวการาม หรือวัดบ้านเก่า เป็นวัดแรกของหลวงพ่ออุตตมะก่อนจะกลายเป็นวัดจมน้ำ เพราะ การสร้างเขื่อนเขาแหลม .. วันที่เราไปนั้น โชคยังดีที่น้ำยังไม่ท่วมหมด จึงสามารถเข้าไปดูในโบสถ์ได้ เวลาเข้าเหมือนที่วัดสมเด็จเลย เข้าด้านหน้าออกด้านหลัง เอามือจับประตูขอพรได้สามข้อ และเวลาเข้าต้องไม่เหยียบธรณีประตู ...
เราสงสัยว่า บนพนังนั่นคืออะไร ? น้องนัทก็ให้คำตอบกับเราว่า เป็นกรอบรูป มีทั้งหมด 2,500 กรอบ แต่พอน้ำท่วม เลยย้ายไปอยู่ที่วัดพุทธคยา เจดีย์องค์สีทอง ที่เราเห็นเด่นเป็นสง่าตอนที่เรานั่งเรือผ่านกันมาเนี่ยแหละค่ะ
การเหมาเรือนำเที่ยวชมวัดกลางน้ำ เราทั้งอิ่มบรรยากาศ ทั้งได้ความรู้ แถมยังรู้สึกอิ่มใจ อย่างบอกไม่ถูก ... น้องๆพาเรามาขึ้นฝั่งที่สะพานมอญเช่นเดิม ก่อนที่น้องๆจะวิ่งกลับไปเล่นตามประสาเด็กๆ ถึงเวลาร่ำลามิตรภาพดีดีที่เกิดขึ้นระหว่างเดินทาง ถึงจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่พวกเราทั้งห้าคนจะเก็บสิ่งเหล่านี้ไว้เป็นความทรงจำที่ดีอย่างแน่นอนค่ะ ^^
ตอนนี้เวลาห้าโมงเย็น .. เราเห็นผู้คนมาเดินเล่นที่สะพานมอญกันอย่างหนาตามากขึ้น มากกว่าเมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา .. เราเลยเดินชื่นชมบรรยากาศไปเรื่อยๆจนตะวันตกดิน เราเก็บภาพมาฝาก เดี๋ยวไปดูกันเลยนะ .. ใช้ชีวิตช้าๆ ไม่ต้องคิดอะไรมาก อยากทำอะไร อยู่ที่ไหนสบายใจ ทำเลยค่ะ ^^
วันแรกของเรายังไม่จบนะคะ .. เดี๋ยวแวะกลับไปที่พัก อาบน้ำ ล้างหน้า ให้สดชื่น ก่อน เดี๋ยวเราจะไปหาอะไรทานที่ตลาดกันค่ะ เราเคยอ่านจากพันทิปมาว่า มีถนนคนเดินด้วย เดี๋ยวเราต้องไปลองสักหน่อยแล้ว ... ฟิ้วววววว ~
ตลาดกลางคืนตรงนี้มีของขายเพียบทั้งอาหารการกิน ของหนัก ของทานเล่น เครื่องดื่ม แม้กระทั่งชุดชาวมอญ ... ปกติ ที่ตลาดนี้ ทุกวันเสาร์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ที่หยุดติดกันหลายวันจะมีงานถนนคนเดิน ของจะมีขายเยอะกว่านี้ แต่วันที่เราไปนั้น ยังไม่มีงานถนนคนเดิน เนื่องจาก ฝนตกมาหลายสัปดาห์ เค้าจะเริ่มกลับมาจัดถนนคนเดินกันอีกครั้งในวันที่ 23 ตุลาคมนี้ ค่ะ ใครไปช่วงที่มีงานถนนคนเดิน ฝากเก็บภาพบรรยากาศมาฝากกันด้วยน๊า ~
หมูจุ่มพม่า ใครมาถึงสังขละแล้วไม่ได้ลองมาทานถือว่ามาไม่ถึงนะ เจ้าของที่พักบอกเราว่า เจ้าเด็ดที่อร่อยและสะอาด ช่วงนี้เค้าไม่ได้ขาย โหย..เสียใจเลยอดทานเจ้าเด็ด (ลืมถามว่าเจ้าเด็ดน่ะเจ้าไหน ใครไปแวะฝากถามมาด้วยน้า อิอิ) เราเลยลองเจ้านี้ที่ตลาดไปก่อนล่ะกัน คนยืนรอทานเยอะเหมือนกันนะเนี่ย ... ไม้ละบาท เลือกหยิบได้ตามใจชอบว่าจะกินส่วนไหน แต่เราชอบที่สุด ช่วงที่มัน! คิคิ จะเป็นไขมันอุดตันในเส้นเลือดไหมเนี่ย ... ส่วนน้ำจิ้มัให้เลือกทานสองแบบ เลือกว่าอะไรไม่รู้นะ ถ้าเป็นบ้านเราคงเรียกว่า น้ำจิ้มซีฟู้ดกับน้ำจิ้มสุกี้ล่ะมั้ง แต่เราชอบน้ำจิ้มสีเขียวนะ อร่อยดี!
นั่งทานหมูจุ่มยังไม่ถึงห้านาที .. เรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น !!! ไฟดับทั้งอำเภอเลยจ้า .. แต่นั่นไม่ใช่อุปสรรคต่อการเขมือบ เอ้ย กิน เรายังคงตั้งหน้าตั้งตากินต่อไปทั้งๆความมืด มีเพียงแสงจากมือถือ และแสงจากเปลวเทียน มาให้เรามองเห็นได้หน่อยๆ .. ใครไปตลาดนอกจากหมูจุ่มพม่าแล้ว อย่าลืมลองทานยำกระเหรี่ยงด้วยนะ ไม่รู้รสชาติยังไง .. ไฟดับไง ตลาดวาย เก็บร้านกันหมดเลย แง้ๆ
ร้านเครื่องดื่มสามล้อร้านนี้ก็ไม่ควรพลาด ลุงดำ กาแฟโบราณ ต้นตำรับสังขละบุรีเชียวนะ ก่อนลุงเค้าจะกลับบ้าน เค้าจัดให้เราหนึ่งถุง ถุงเบ่อเร่อเลย หอบกลับไปที่พักเลยค่ะ .. ขับรถฝ่าความมืด มีเพียงไฟส่องสว่างจากหน้ารถเราแค่นั้นเอง ...
ในระหว่าง ที่เราขับรถกลับไปยังที่พัก เราได้เห็นในสิ่งที่เมืองหลวงหาดูได้ยาก ยิ่งไม่มีแสงรบกวนจากอาคารบ้านเรือนแล้วล่ะก็ ดาวบนท้องฟ้านี่แหละที่ทำให้เรามีความสุขมากเมื่อได้มอง ดาวที่ระยิบระยับบนท้องฟ้า นั่งจินตนาการไปว่า มันคือกลุ่มดาวนู่นกลุ่มดาวนี้ ... จำได้ว่า เคยเห็นรีวิวภาพถ่ายล่าทางช้างเผือก จากรีวิวของน้าธำรงค์นี้เลยค่ะ http://pantip.com/topic/34286750 เลยลองถ่ายบ้าง ตั้งค่ากล้องตามที่น้าบอกเลย .. มือใหม่หัดล่าทางช้างเผือก เลยได้ภาพการล่าครั้งแรก แบบนี้ค่ะ ไม่สวยเหมือนของน้า แต่ดีใจที่ได้ลองค่ะ ...
วันที่สองของการเดินทาง : 18 ตุลาคม 2558
วันนี้เรามีนัดไปตักบาตรกันในตอนเช้า ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตีห้า เหมือนปลุกเวลาไปทำงานเลย แต่ไม่งัวเงียนะ กระปรี้กระเปล่าพร้อมรับสิ่งดีดีในวันนี้ ... ได้ฤกษ์ออกจากที่พักตอนหกโมงตรง เช้านี้บรรยากาศคึกคักเป็นพิเศษ .. คนแปลกหน้าต่างที่ต่างทาง แต่มีจุดหมายเดียวกัน .. สะพานมอญ ซึ่งเป็นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย ยาวถึง 850 เมตร o.O
ก่อนเราข้ามไปฝั่งมอญ เราสามารถทำบุญตักบาตรที่ฝั่งนี้ก่อนได้ พระทางฝั่งนี้จะให้พรเราด้วย ชุดใส่บาตรมีให้เลือกซื้อตลอดทาง ไม่ต้องกลัว ^^
บรรยากาศเช้านี้ ค่อนข้างอึมครึ้ม มีมองบางๆ ลมพัดเย็นสบาย อุณหภูมิ 23 องศาเซลเซียสค่ะ .. ฝูงแมลงอะไรก็ไม่รู้บินเต็มไปหมดเลยค่ะ .. บังเอิญเจอพี่เย็น ดาราสะพานมอญ พี่เย็นบอกว่า นี่คือ แมลงชีปะขาว แล้วพี่เย็นยังบอกอีกว่า วันนี้หมอกไม่สวยเลย แป่ว ~ รูปร่างหน้าตา แมลงชีปะขาว มันเป็นแบบนี้จ๊ะ ถ่ายมาให้ดูกันแบบใกล้ๆเลย ..
คนนี้แหละค่ะ พี่เย็นดาราสะพานมอญ .. เมื่อข้ามไปถึงฝั่งมอญตรงแถวๆที่ตักบาตร จะคอยได้ยินเสียงพี่เย็นจัดระเบียบนักท่องเที่ยวที่มาใส่บาตรกันค่ะ
เมื่อข้ามมาถึงฝั่งมอญ .. จะมีบริการชุดตัวบาตรชุดละ 99 บาท แถมมีให้แต่งชุดมอญฟรีๆด้วย .. ขอบอกเลยว่า นทท. ที่แต่งชุดมอญนี่แทบแยกกันไม่ออกเลย คนไหนมอญแท้ คนไหน นทท. ฮ่ะฮ่าฮ่า (แซวค่ะๆ) .. ^^
เราจัดแจงซื้อชุดตักบาตรของพี่เย็นมาชุดนึง .. พระที่มารับบาตรทางฝั่งมอญ นั้น มีทั้งหมด 10 รูป ท่านเดินมาจากวัดวังก์วิเวการาม .. พระท่านจะมาถึงตอนประมาณ 7 โมงเช้า ระหว่างรอเราสามารถหาอะไรทานก่อนได้ ..
เมื่อเราอิ่มบุญจากการตักบาตรแล้ว .. ระหว่างทางที่เราจะเดินทางกลับไปยังที่พัก เราไม่วายต้องซื้อของฝากติดไม้ติดมือกลับไปสักหน่อย .. ใครชอบทานาคาจัดไปเลยค่ะ มีหลากหลายรูปแบบทั้งโลชั่น สบู่ แบบออริจินัลก็มีนะ
ของกินเราก็ไม่พลาด .. ขนมตุ้บตั๊บ .. ต้องซื้อนะ อร่อยจริงๆ ชิมมาแล้ว ^^ .. น้องๆแถวสะพานมอญบอกว่า ตรงแถวๆด่านเจดีย์สามองค์ขนมตุ๊บตั๊บราคาจะถูกกว่า ว้า!พลาดไป ซื้อมาแล้วนี่เนอะ ช่างมันเถอะ รสชาติก็เหมือนๆกันแหละ .. (ปลอบใจตัวเอง)
บนสะพานมอญ เค้ามีอะไรกันน่ะ! ทำไม .. คนมุงดูกันเพียบเลย ... วิ่งเข้าไปแจมกับเค้าบ้าง อ๋อ ! โชว์กระโดดน้ำจากบนสะพานมอญ ของน้องมืดสุดหล่อ นี่เอง .. ช่วยกันทำบุญให้น้องๆเค้าหน่อยนะคะ สิบ ยี่สิบบาท แล้วแต่กำลังศรัทธา .. น้องมืดสุดหล่อที่ใครๆเค้าเรียกกัน จริงๆน้องเค้าชื่อ ต้อง ตอนฟังครั้งแรกนะ ฟังเป็น ซ่อง ขำกันกร๊ากเลยค่ะ .. น้องเค้าน่ารัก ยิ่งมุขตลก ให้ นทท. แถวนั้นหัวเราะไปกับมุกของน้องเค้า .. เป็นอีกหนึ่งสีสัน บนสะพานแห่งนี้ น้องจะมาโชว์โดดน้ำ ช่วง 6.40 น. - 9.00 น. ค่ะ .. เราถามน้องเค้าว่า น้ำตรงนี้ลึกกี่เมตร น้องเค้าบอกว่า 4 วาพี่ .. โห ประมาณ 8 เมตร (รึป่าว!?) ตกเลข แหะๆ
นี่ก็อีกหนึ่งสีสัน บนสะพานมอญเช้านี้ .. น้องๆจะมาร้อง เล่นดนตรี ให้เราฟังบนสะพาน .. ไพเราะ จริงๆ ^^
หลังจากที่เรากลับมาจากสะพานมอญแล้ว อาหารเช้าของเราที่เจ้าของที่พักเตรียมไว้ให้ก็เสร็จพอดีเลยค่ะ มีทั้งน้ำเต้าหู้ ปาท่องโก ข้าวผัด หรือจะเป็นข้าวต้มหมู เลือกอร่อยได้ตามใจเลย ก่อนที่เราจะตะลุยเที่ยวกันในวันนี้ ของเติมพลังมื้อเช้าก่อนก็แล้วกันเนอะๆๆ
คำเตือน ต่อจากตรงนี้ไป จะพาทุกคนไปเที่ยวตามแหล่งท่องเที่ยวกันให้หน่ำใจ ลงรูปกันแบบรัวๆ .. แว๊นซ์มอเตอร์ไซด์กันร้อยกว่าโล อื้อหื้อ ทำไปได้ ! บอกได้คำเดียว ดำเป็นแถบๆ ฮ่าๆๆ .. (แอบหลงทางไปเกือบสุดชายแดนแหนะ มารู้ตัวเปิด Google Map ตอนถนนคอนกรีตเปลี่ยนเป็นถนนลูกรังเนี่ยแหละ) .. เอ้า รอช้าอยู่ไย ตามไปเที่ยวด้วยกันได้เลยคร่าาาาา ... ~ ฟิ้วววววว
สถานที่แรกที่เราจะไป จากทางออกถนนใหญ่ตรงถนนสามประสบเลี้ยวซ้ายออกมาจะพบกับ
จุดชมทิวทัศน์ วังกะ ก่อนถึงจะมีสะพานปูน ที่มองวิวสะพานมอญ ได้สวยในอีกมุมมอง เห็นวิวสะพานกันแบบเต็มๆ
สถานที่ที่สอง เจดีย์พุทธคยา ที่นี่แหละที่เราเห็นตอนที่นั่งเรือชมวัดกลางน้ำกัน .. เราไม่ได้เข้าไปด้านใน เผอิญเราใส่ขาสั้น คงไม่เหมาะที่เราจะเข้าไปเลยถ่ายด้านนอกมาให้ดูแค่นั้นนะจ๊ะ .. เจดีย์พุทธคยา หลวงพ่ออุตตมะเป็นผู้คิดริเริ่มสร้างตั้งแต่ปี 2521 โดยจำลองมาจาก เจดีย์พุทธยาประเทศอินเดีย ด้านในเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุส่วนที่เป็นหัวแม่มือขวา บรรจุในผอบ 3 ชั้น ซึ่งหลวงพ่ออัญเชิญมาจากประเทศศรีลังกาและฉัตรทองคำหนัก 400 บาท ขึ้นไปประดิษฐานบนยอดเจดีย์ .. ขอบคุณข้อมูลดีๆจากป้ายหน้าเจดีย์พุทธคยาค่ะ ^^
สถานที่ที่สาม วัดวังก์วิเวการาม วัดที่บรรจุสรีระสังขารของหลวงพ่ออุตตมะ .. ในวันที่เราไปตรงกับวันครบรอบวันมรณภาพของหลวงพ่อครบ 8 ปี พอดีที่วัดเลยคึกคักเป็นพิเศษ คนในพื้นที่แต่งกายตามแบบวัฒนธรรมของชาวไทยรามัญ มีการแจกอาหารให้คนที่ไปวัดทานกันฟรีๆ เค้าเชื่อว่า เป็นการทำบุญ คล้ายๆโรงทานในบ้านเรานี่แหละค่ะ แต่อบอุ่นกว่านะ และอีกหนึ่งงานที่สำคัญในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ จะมีการจัดงานวันเกิดหลวงพ่ออุตตมะขึ้นทุกปี
นี่เป็นการรำแบบมอญค่ะ แปลกดี .. แต่ตื่นตาตื่นใจที่ได้เห็นวัฒนธรรมแบบนี้
เดินเล่นภายในวัดสะดุดตากับอันนี้มากเลย คุณยายที่ทำวางถาม เอาไหมลูกเคี้ยวแล้วฟันขาวนะ ... ฮ่าๆๆ หมาก นั่นเอง สายหัวเบาๆแล้วเดินจากมา ^^
สถานที่ที่สี่ ด่านเจดีย์สามองค์ เราต้องกลับมาทางที่เรามาเลยซอยที่เราเลี้ยวในตอนแรกจะเจอแยกที่เป็นตัว Y แล้วเลี้ยวซ้ายนะคะ ที่ต้องบอกเพราะเราแอบหลงทางไปไกลเลย เสียเวลาไปเกือบชั่วโมง (ขับมอเตอร์ไซด์ระยะทางไกลๆแบบนี้ แอบเมื่อยตูดอยู่เหมือนกัน น้ำมันที่เติมก็อึดใช่เล่นนะเนี่ย) .. จุดนี้เป็นจุดสิ้นสุดชายแดนไทย-พม่า ใครที่อยากข้ามไปเที่ยวฝั่งพม่า สามารถทำหนังสือเดินทางชั่วคราวได้ใช้เพียงแค่บัตรประชาชนเท่านั้นเองค่ะ แถวๆนั้นก็มีบริการนำเที่ยวพม่าด้วยนะ ใครสนใจเชิญได้ค่ะ .. ด่านเจดีย์สามองค์ แต่ก่อนเรียกกันว่า หินสามกอง ..
สถานที่ที่ห้า อุทยานแห่งชาติเขาแหลม วิ่งรถกันยาวๆเลยค่ะ ระหว่างทางพอเข้าช่วงอุทยานฝนตกเฉย เปียกแฉะกันไปค่ะ .. ตอนแรกจะขึ้นเที่ยวน้ำตก เปลี่ยนใจ เที่ยวแค่ห้วยกระเต็งเจ็งแทนล่ะกัน พอฝนตกอะไรๆก็ไม่สนุกเลย .. หลบฝนในอุทยานพักใหญ่ๆ
สถานที่สุดท้าย จุดชมวิวป้อมปี่ ที่นี่อยากเข้ามากค่ะ แค่วันที่เราไปตรงกับวันอาทิตย์ค่าเข้าค่อนข้างแพงสำหรับสองคนกับรถมอเตอร์ไซด์อีกหนึ่งคัน แนะนำให้เข้ามาวันธรรมดาค่ะ ค่าเข้าจะลด 50% เสียดาย อยากเก็บภาพพระอาทิตย์ตกดินที่นี่จริงๆ T^T
ถ้ายังไง เดี๋ยวเราเอาภาพบรรยากาศสวยๆ วิวสองข้างทางที่เราผ่านสวยๆ มาฝากแทนจุดชมวิวแล้วกันเน๊อะ .. ที่เที่ยวยังมีอีกที่เรายังไม่ได้ไป เวลาไม่พอจริงๆค่ะ แอบเสียดาย อาทิเช่น น้ำตกตะเคียนทอง ถ้ำแก้วสวรรค์บันดาล น้ำตกเกริงกระเวีย น้ำตกไดช่องถ่อง ฯลฯ
ขอจบการเดินทางวันที่สองด้วยภาพสะพานมอญยามค่ำคืน ... สะพานตอนกลางคืนก็สวยไปอีกแบบนะคะ ^^
วันสุดท้ายของการเดินทาง : 19 ตุลาคม 2558
วันสุดท้ายแล้วหรอเนี่ย เวลาผ่านไปไวจัง .. วันนี้ เราตั้งใจจะไปเก็บภาพแถวสะพานมอญโดยเฉพาะเลย .. บรรยากาศแตกต่างจากเช้าของเมื่อวาน .. ผู้คนน้อยลง คงเพราะวันนี้เป็นวันจันทร์ มนุษย์เงินเดือนทั้งหลายคงเดินทางกลับไปทำงานกันแล้ว ทำให้เราได้เห็นภาพของยามเช้าที่สะพานมอญแตกต่างออกไป .. และสิ่งหนึ่งที่เรามีความรู้สึกว่ามันคุ้มค่ามาก ไม่เสียแรงที่ตื่นมาเก็บภาพวันนี้ก่อนที่จะเดินทางกลับ นั่นก็คือ ภาพของหมอกที่ลงจัด ฝูงแมลงชีปะขาว ไม่มีบินวน .. สวยจริงๆ อาจสวยไม่เท่าทะเลหมอกที่ภูทับเบิก .. แต่วันนี้มาไม่เสียเที่ยว ได้จับหมอกเหมือนกัน !! เย้ !! ... วันนี้ อุณหภูมิ ที่วัดได้ 22 องศาเซลเซียส ~
ในระหว่างที่เรากำลังเดินฝ่าหมอกไปยังฝั่งมอญนั้น Signature ของที่นี่อีกอย่างที่เราจะเห็นเป็นประจำ คือ การเทินของบนศีรษะ เราก็อยากทราบที่มาที่ไปเหมือนกันนะ ว่าจะถามแต่ก็ลืมถามไปเลย มัวแต่ตื่นเต้นกับบรรยากาศตรงหน้า ^^
ในวันนี้ทางที่พักของเราไม่มีบริการอาหารเช้าให้เราเลยตั้งใจว่า จะเดินไปลองร้านโจ๊กทางฝั่งมอญ แอบเล็งไว้ตั้งแต่เมื่อวานตอนมาตักบาตร แต่คนเยอะเลยยังไม่ได้ลองทาน มาทานวันนี้เลยแล้วกันเน๊อะ ... ที่ร้านให้สั่งแล้วหยิบเข้าไปนั่งเลยนะค่ะ ไม่สั่งแล้วรอเสริฟ์น้า .. มีเมนูหลากหลาย แต่เราขอเริ่มต้นเบาๆ เป็นโจ๊กหมูไข่ลวก โอวัลติน กินกับปาท่องโก ก็แล้วกัน ..
ตอนที่เรากำลังเดินกลับ เราเห็นขนมอะไรไม่รู้เป็นวงๆ จะว่าเป็นปาท่องโก หรือโดนัท ของไทยก็ไม่เชิง มีน้ำเชื่อมราดด้วย .. ขอลองหน่อยแล้วกัน .. ได้คำตอบจากคนในพื้นที่ว่า ขนมนี่ เรียกว่า โดนัทมอญ .. รสชาติจะแข็งกว่าโดนัทบ้านเราหน่อย แต่มีความหวานของน้ำเชื่อมที่ราด อร่อยไปอีกแบบ ถ้ากินร้อนๆคงจะฟินน่าดู ~
ขากลับ จากตอนที่เราไปเช่ารถมอเตอร์ไซด์ คุณลุงเจ้าของโฮมสเตย์ได้บอกเราว่า เราควรไปจองตั๋วรถแต่เนิ่นๆ เคยมีคนจะกลับแล้วไปซื้อตั๋ว กลายเป็นว่า ซื้อตั๋วไม่ได้ อดกลับเลย .. เราไม่อยากเจอเหตุการณ์แบบนี้ เลยกันไว้ก่อนล่ะกัน .. มายังไงกลับยังงั้นค่ะ รถตู้มีออกทุกๆ 20 นาที ขับรถไปจองตั๋วรถตู้ของบริษัทเอเชียไทรโยค รอบ 11.00 น. เป็นที่เรียบร้อย สบายใจ ได้กลับแน่นอน นอกจาก เราจะมาไม่ทันรถ ฮ่าๆๆ เหลือเวลาอีก 2 ชั่วโมงแหนะกว่าจะถึงเวลารถออก กลับที่พัก ไปนอนสักตื่น อาบน้ำแต่งตัวเก็บของ แล้วค่อยกลับมาขึ้นรถที่วิน ~ ฟิ้วววว
เมื่อถึงเวลา เราก็ขึ้นประจำที่ รถตู้ฟิคที่นั่งเหมือนตอนขามา .. หลับไปตลอดทางจนถึง บขส. แล้วเราก็ขึ้นรถตู้เข้ากรุงเทพต่อ โดยเราเลือกขึ้นรถตู้ของวินบริษัทมังกรทอง ราคาตั๋วคนละ 130 บาท รถตู้บริษัทนี้ แวะรับรายทาง กว่าจะถึงอนุสาวรีย์นะ ใช้เวลาไป 3 ชั่วโมง .. วินนี้เค้าจะจอดตรงข้างๆห้างเซนจูรี่แหละ ถ้าเป็นไปได้ เลือกกลับวินแฮปปี้ดีกว่า คงถึงเร็วกว่านี้ เฮ้อ ~ การเดินทางครั้งนี้ 3 วัน 2 คืน งบทั้งหมดที่ใช้ไป ไม่เกิน 2,500 บาท ..
สำหรับตู้เอทีเอ็มที่นี่เราเห็นตู้หลักๆจะมีตู้กรุงไทยกับไทยพาณิชย์ ถ้ายังไงกดเงินมาให้พอนะ หาตู้กดลำบาก ยิ่งถ้าเป็นตู้แบงก์กรุงเทพแถวนี้ไ่มีเลยจ้า ... ดูได้จากรูปนี้เลย
ก่อนจากลา ...
ขอฝากภาพนี้ เป็นภาพส่งท้าย .. ทุกๆที่ ที่ไป ทุกๆการเดินทาง มักมีเรื่องราวเกิดขึ้นให้เราเกิดความทรงจำที่ดีๆมากมาย .. และหนึ่งในนั้น ที่แห่งนี้ จะอยู่ในความทรงจำของฉันเช่นกัน ... ฉันอยากตะโกนดังๆว่า ฉันหลงรักสังขละบุรี ที่แห่งนี้ เข้าให้แล้วแหละ ...
ขอบคุณทุกๆคนที่ติดตาม หากผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย ยินดีน้อมรับทุกคำติชม
PHOTO BY : SONY A6000
.. เจอกันใหม่การเดินทางครั้งต่อไป ..
ตังกูน ภาษามอญ แปลว่า ขอบคุณ
In My Eye
วันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 20.12 น.