สวัสดีครับเพื่อนๆ    นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเข้ามารีวิวที่บ้านหลังใหม่แห่งนี้  ต้องขอฝากเนื้อฝากตัวเอาไว้เลย ณ.โอกาสนี้นะครับ 

วันนี้พอดีว่างจากงานที่ทำอยู่ก็เลยอยากมาแนะนำตัวเองด้วยการรีวิวสถานที่ท่องเที่ยวที่เพิ่งไปมาเมืองปีใหม่นี้ให้เพื่อนได้รับชมกัน  หลายๆ คนหรืออาจจะทุกคนคงรู้จักสถานที่แห่งนี้เป็นอย่างดี  เป็นยอดเขาที่ได้ชื่อว่า สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย อยู่จังหวัดเหนือสุดของประเทศไทย  พอเอ่ยมาแค่นี้หลายคนคงจะพอนึกออกแล้วว่าที่นั่นคือที่ไหน  ใช่แล้วครับ"ภูชี้ฟ้า"นั่นเอง

ผมคงไม่ต้องบอกตำแหน่งที่ตั้งของ ภูชี้ฟ้า นี้ให้เป็นการเสียเวลา เพราะคงสามารถหาได้ง่ายใน Google Map แค่พิมพ์ชี้ ภูชี้ฟ้า อากู๋ก็จะคำนวณเส้นทางจากตำแหน่งที่คุณอยู่จนเดินไปถึงสถานที่ปลายได้อย่างง่ายดายเพียงปลายนิ้วนั่นเอง

เกริ่นมาตั้งนานยังไม่ได้แนะนำตัวเองอย่างเป็นทางการเลย  ขอโทษจริงๆ มัวแต่เม้าส์แตกบ้าน้ำลายอยู่นั่นแหละ ตัวของกระผมเพื่อนๆ เรียกชื่อเล่นว่า "หน่อย"แต่เป็นคนตัวโต อ้วนลงพุงและเข่าไม่ค่อยดี...555 (อันนี้ไม่รู้จะบอกทำไมเนอะ) เป็นคนกรุงเทพฯ โดยกำเนิด แต่บังเอิญมาซื้อบ้านอยู่แถวนนทบุรี ชอบท่องเที่ยวและถ่ายรูป แต่งงานแล้ว เมียไม่สวยแต่ก็ไม่ถึงกับขี้เหร่(อันนี้พิมพ์ไปจะตายมั้ยเนี้ย)  งานอดิเรก ชอบทำอาหาร และมีความหวังว่าจะเปิดร้านอาหารเล็กๆ สักแห่งในอนาคต  นั่นก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ชอบการเดินทางท่องเที่ยว เผื่อสักวันจะเจอที่ที่เราถูกใจและเค้าก็ถูกใจเราให้เราได้ครอบครอง แล้วยังมีอะไรที่จะแนะนำอีกล่ะเอาเป็นว่าตอนนี้คิดได้เท่าเนี้ยอ่ะครับ

หลังจากแนะนำตัวกันอย่างเป็นทางการแล้ว มาเข้าเรื่องรีวิวในวันนี้กัน ภูชี้ฟ้า เป็นภูยอดฮิตในใจของผมอีกที่หนึ่งเลยนะครับ  ผมเคยมาที่นี่ก่อนหน้านี้แล้ว  3 ครั้ง

ครั้งแรกเมื่อประมาณ 10 กว่าปีที่แล้ว เดินขึ้นภูแต่เห็นแต่พระอาทิตย์ขึ้นแต่ไม่เจอทะเลหมอก ไม่ได้เดินขึ้นไปยอดภู แถมยังเพิ่งหัดถ่ายรูปด้วยกล้อง Compact เล็กๆ เห็นภาพแล้วอยากร้องไห้...ฮือๆ

ครั้งที่ 2 ว่าจะแวะแต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเปลี่ยนที่ไปที่ ภูผาสวรรค์ ซึ่งอยู่ห่างจาก ภูชี้ฟ้า แค่ประมาณ 10 กิโลเมตร เพราะดันไปเห็นภาพภูผาสวรรค์ในรีวิวหนึ่งแล้วแอบประทับใจ  แต่สุดท้ายเมื่อเดินฝ่าต้นหญ้าและความมืดขึ้นเกือบ 2 ชั่วโมงจนถึงยอดภู  ทะเลหมอกสวยๆ ที่เคยเห็นในรีวิวคนอื่นเค้ามันดันไม่ปรากฎให้เราได้ชมอย่างที่ตั้งใจ...เศร้า

แต่ต้องบอกเลยว่าที่ ภูผาสวรรค์ นี้ถือว่าเป็นจุดชมทะเลหมอกและพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยอีกแห่งหนึ่งไม่แพ้ ภูชี้ฟ้าและภูอื่นๆ อย่างแน่นอน  รับรองด้วย 2 ลูกกะตาอันฝ้าฟางของผมเลยครับ  ใครมีโอกาสได้ไปเยือนเอารูปมาให้ชมกันบ้างนะครับ...อย่าลืม

ครั้งที่ 3 ตั้งใจอย่างมากที่ขึ้นไปบนยอดภูชี้ฟ้าแต่สุดท้ายเจอฝนกะหน่ำระหว่างเดินทางขึ้นที่พักบนภูชี้ฟ้า  หมอกหนาจนไม่เห็นทางข้างหน้าในระยะ 1 เมตร จนต้องตัดสินใจไม่ขับรถขึ้นไปต่อจนถึงที่พักเพราะมันอันตรายเกินไป  เดินเข้าไปขอกางเต็นท์ในห้องอาหารแห่งหนึ่งระหว่างทาง ซึ่งพี่เจ้าของก็ใจดีให้พวกเรากางเต็นท์แถมหาข้าวปลามาให้กิน นี่แหละที่คนไทยได้ชื่อเสียงในด้านความมีน้ำใจ ยิ้มง่ายและใจดี...ขอขอบคุณมากๆ นะครับพี่

หลังจากกางเต็นท์แล้วก็ตั้งใจว่าพรุ่งนี้เช้ามืดจะเดินทางขึ้นไปบนยอดภูชี้ฟ้า แต่แล้วก็อดเพราะป่วยจากการตากฝนเมื่อคืนนี้อีก  ได้แต่ถ่ายรูปทะเลหมอกจากที่กางเต็นท์ของเรา แต่ก็ถือว่ายังดีที่ยังได้เห็นทะเลหมอกหนาๆ ละมุนๆ อยู่ตรงหน้าที่นอนเราเลย...555  ถือว่าเป็นความผิดหวังอีกครั้งที่เราได้เจอ

แล้วก็มาถึงครั้งนี้ครั้งที่ 4 ด้วยความตั้งใจอย่างล้นเหลือที่จะได้มาชมทะเลหมอกและพระอาทิตย์ขึ้นสวยๆ บนยอดภูชี้ฟ้าสักครั้ง  และครั้งนี้ตั้งใจตั้งมั่นที่จะขึ้นไปให้ถึงยอดภูชี้ฟ้าให้ได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฝนตกแดดออก นกกระจอกเข้ารัง อย่างไรก็ตาม555  ผมก็จะต้องขึ้นไปให้ได้  จากนั้นแผนเที่ยวปีใหม่ปีนี้ก็ถูกร่างขึ้นมาอย่างรวดเร็วโดยมีภูชี้ฟ้าก็เป็นเป้าหมายแรก ที่เขียนไว้ลงไปในแผนการเดินเลย

เมื่อถึงวันที่รอคอย การขึ้น"ภูชี้ฟ้า"ในครั้งนี้เป็นวันที่ 5 ของการเดินทางในทริป (ส่วนวันอื่นๆ ในทริปนี้ขอตัดไปเป็นเรื่องๆ ละกันนะครับ เพราะไม่งั้นคงเขียนรีวิวกันยาวเหมือนรถติดในกรุงเทพฯเลย...หุหุ) 

ครั้งนี้พวกเราเดินทางขึ้นภูชี้ฟ้าในเวลาประมาณ 05.45 น. โดยนัดให้รถชาวบ้านมารับที่ที่พักในราคาคนละ 60 บาท ไป-กลับ   แต่ในครั้งนี้พวกเราเดินทางขึ้นยอดภูชี้ฟ้าจากทางฝั่งบ้านร่มโพธิ์ทอง(อันนี้ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามีทางขึ้นทางนี้ด้วย..โง่จริงๆ เรา555)  เมื่อรถมาถึงยังจุดจอดรถพวกเราต้องเดินเท้าขึ้นไปยังยอดภูชี้ฟ้า(ย้ำนะครับว่า ยอดภู) ระยะทางประมาณ 400 เมตร โดยเส้นทางเป็นทางดินแต่มีการทำขั้นบันไดอย่างดี มีการวางแท่งคอนกรีตเพื่อระบุว่าเป็นขั้นบันไดในแต่ละขั้นอย่างชัดเจน  ทางไม่ได้ชันเหมือนทางขึ้นทางฝั่งบ้านร่มโพธิ์ไทยและระยะทางก็สั้นกว่าด้วย  เดินขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่ถึงกับเหนื่อยมาก ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึงยอดภูชี้ฟ้าแล้ว

พอขึ้นไปถึงยอดภูในเวลาประมาณ 06.15 น.ก็ต้องพบกับฝูงชนอันเนื่องแน่นบน แอบตกใจนิดนึงเพราะคิดว่าเลือกวันธรรมดาและเลยวันปีใหม่แล้วตั้ง 3 วันคนน่าจะพร่องลงไปบ้าง  แต่ผิดถนัดคนยังคงหนาแน่นจนไม่สามารถหาที่ถ่ายรูปสวยๆ บนยอดภูได้เลย  ผมเลยต้องเดินลงไปทางฝั่งทางขึ้นบ้านร่มโพธิ์ไทย กะว่าจะไปหาที่ถ่ายรูปในจุดข้างล่างที่สามารถเห็นยอดแหลมของภูชี้ฟ้าอย่างชัดเจนก่อนแล้วค่อยขึ้นมาถ่ายรูปบนยอดภูก่อนที่จะเดินทางลงไปยังจุดจอดรถที่เดิม  แต่พอเดินลงจากยอดภูได้นิดเดียวก็พอดีเห็นจุดถ่ายรูปจุดหนึ่ง เห็นผาหัวสิงห์อย่างชัดเจน แถมยังเห็นทะเลหมอกด้านล่าง เพียงแต่จุดนี้ไม่สามารถเห็นพระอาทิตย์ขึ้นได้แต่ก็ถือว่าเป็นจุดที่ดีที่ไม่ต้องไปเบียดเสียดกับใคร  จากนั้นก็ตั้งขาตั้งกล้องเพื่อขอเป็นการจองพื้นที่ไปกรายๆ กะว่าพอถ่ายรูปได้สักระยะก็จะให้คนอื่นมาถ่ายๆ จุดนี้บ้างแต่ตอนนี้ขออนุญาตเก็บภาพไว้ก่อนล่ะกันนะครับ

ภาพแรกของภูชี้ฟ้าทริปนี้ ได้แสง ได้หมอก ได้ผาหัวสิงห์ แต่ไม่ได้พระอาทิตย์...ฮือๆ

จากนั้นก็กดไปอีก 5-6 ภาพเผื่อเสียเผื่อพลาด ถ่ายไปแสงก็เริ่มสว่างขึ้นเรื่อยๆ ได้เห็นทิวทัศน์ที่สวยงามได้กว้างไกลออกไปจนสุดลูกหูลูกตา

พอแสงมาพอก็ลองถ่ายรูปคู่กันบ้างเพื่อเป็นความประทับใจที่ได้เดินทางมาที่แห่งนี้สมความตั้งใจสักที

ฟ้าเริ่มสวย

รูปคู่หรือคี่ไม่รู้ เพราะนับคนข้างหลังไม่ไหวจริงๆ 555

อันนี้รูปคี่แน่นอน

แสงทองส่องอำไพ 

ชอบภาพนี้

อีกมุมที่ชอบ เห็นทุกสิ่งที่อย่างเห็น

ไม่มีใครถ่ายให้ ตั้งกล้องถ่ายตัวเองก็ได้...ไม่ง้อ

หลังจากอิ่มหน่ำกับการลั่นชัตเตอร์ตรงจุดนี้แล้ว ผมก็ต้องเดินขึ้นไปด้านบนยอดภูเพื่อจะลงไปอีกด้านหนึ่ง อย่างที่บอกยังไม่ได้ถ่ายภาพจากบนยอดภูเลย เมื่อเดินขึ้นถึงยอดภูชี้ฟ้าอีกครั้งตอนนี้คนเริ่มซ่าแล้วเป็นโอกาศของเราที่จะได้ภาพสวยๆ กลับไป  สมองคิดมือก็ลั่นไปตามสมองสั่ง ได้ภาพสมใจอยากเลย...ทริปนี้

การถ่ายรูปคนในวิวสวยนี่มันช่างสร้างบรรยากาศให้ภาพมันมีเรื่องราวเพิ่มขึ้นอีกมากเลยนะครับ...ภาพนี้ชื่อว่า"ป้าอยากโดด"..หึหึ

เค้าบอกว่า เด็กดอยใจดี จริงหรือป่าวไม่รู้ แต่เข้าไปถ่ายรูปด้วยเสียเงินทุกที 555

จากนั้นก็เดินลงมายังลานจอดรถ รอรถขึ้นมารับ ฟ้าสว่างถึงได้เห็นป้ายนี้กับวิวสวยๆ ฝั่งไทย

หลังจากรถขึ้นมารับก็พาพวกเราลงมาถ่ายรูปกับ ต้นนางพญาเสือโคร่ง  ซึ่งปีนี้ออกดอกเร็วกว่าทุกปี ถือว่าเป็นโชคดีต้อนรับปีใหม่สำหรับพวกเรา

จากนั้นพี่คนขับรถก็พาเรากลับมายังที่พัก ถือว่าเป็นความตั้งใจในการพิชิต"ภูชี้ฟ้า"ในครั้งนี้ของผม ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ถึงแม้จะไม่ได้เห็นทะเลหมอกที่หนาแน่นกว่านี้แต่แค่นี้ก็สร้างประทับใจให้ผมเป็นอย่างยิ่งแล้ว  และคิดไว้ในใจถ้ามีโอกาสจะกลับมาเยือนที่นี่อีกสักครั้งอย่างแน่นอน

เอาล่ะรีวิวก็ถือว่าจบลงด้วยอย่างที่ตั้งใจ แล้วเราก็ได้รู้จักกันแล้วนะครับเพื่อนๆ  ถ้ารีวิวนี้มีข้อความหรือสิ่งใดที่ผิดพลาด ต้องขอประทานอภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับทุกคน  ต้องขอขอบพระคุณที่กรุณาติดตามอ่านเรื่องจนจบ ขอให้ปีใหม่ปีนี้ปีหนูทอง จงเป็นปีที่ดี ปีที่สมหวังด้วย อายุ วัฒนะ สุขขะ พละ ด้วยกันถ้วนทั่วนะครับทุกคน

                                                                                           

                                                                                                                           รักนะจุ๊บๆ

                                                                                                                ลุงหน่อยและป้าวัลย์

สมบัติ สิริโภคาสุข

 วันศุกร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2563 เวลา 21.39 น.

ความคิดเห็น