"มุลาอิ" ที่ไม่ใช่แค่ฟังคำเล่าหรือแค่อ่านจากรีวิวเท่านั้น

หาทริปสิ จะรออะไรละคะ ก่อนจะไปเราก็มีศึกษาข้อมูลอยู่บ้างเล็กน้อย สิ่งที่ควรปฏิบัติดังนี้

-ผู้หญิงต้องนุ่งผ้าถุงให้เรียบร้อย

-ผู้หญิงที่มีประจำเดือนห้ามขึ้นเจดีย์ แต่สามารถขึ้นเขาได้

-ต้องถอดรองเท้าไว้ด้านล่าง

-ห้ามหญิงชายเดินเคียงหรือชิดกัน ให้เว้นระยะห่าง

- สถานที่นี้ กินเจเท่านั้น ดันนั้น ห้ามนำเนื้อสัตว์ขึ้นไปเด็ดขาด

- เป็นสถานที่บริเวณวัด ห้ามนำเครื่องดื่มมึนเมา และการพนันทุกชนิด

- ห้ามส่งเสียงดัง พูดคำหยาบ หรือแสดงกิริยาไม่สุภาพ

-ที่นี่จะมีเจดีย์ให้เราสักการะ 2 ยอด ซึ่งผู้หญิงจะสามารถไปได้แค่เจดีย์แรกเท่านั้น ผู้ชายเท่านั้นถึงจะขึ้นไปเจดีย์ด้านบนได้

จากนั้นเริ่มเดินทางกันในคืนวันศุกร์ ไปถึงที่อ.พบพระ จ.ตาก เช้าวันเสาร์ ล้างหน้าล้างตา ทานข้าว จัดเตรียมข้าวของพร้อมเดินทางต่อด้วยรถ 4wd มุ่งสู่" มุลาอิ "


การเดินทางใช้เวลาราวๆ 4 ชม. ซึ่งทางที่ไปนั้นเป็นทางลูกรัง ค่อนข้างลำบากพอสมควร และจุดไฮไลต์ที่นี่ คือ ฝุ่น เยอะมาก (ผ้าบัฟ ผ้าปิดจมูกพวกเราเตรียมกันมาพร้อมมาก) ระหว่างทางเราเห็นเริ่มมีการสร้างถนนคอนกรีตในบางช่วงสั้นๆ และ อีกไม่นานการเดินทางก็สะดวกขึ้น ผู้คนคงจะมากขึ้น ระหว่างทางมีหมู่บ้านเล็กๆ รถก็มีจอดแวะให้เราได้ลงมายืดแข้งยืดขา หรือจะช้อปปิ้ง เพื่ออุดหนุนชาวบ้าน มีร้านค้าขายน้ำ อาหารขนมอยู่บ้าง ระหว่างทางก็มีกลุ่มจิตอาสานำขนมมาให้เด็กๆกัน ซึ่งในวันนั้นเป็นวันเด็กพอดีด้วยสิ ก็มีพี่ในกลุ่มเราแบกของมาให้เหมือนกันนะ (สวยแล้วใจบุญอีก)


เดินทางมาได้สักพักจะถึงจุดบริเวณวัด ที่ให้เราได้พักทานข้าวเตรียมตัว มุ่งหน้าเดินทางไปจุดกางเต็นท์กันต่อ

ยอดเขา "มุลาอิ" เป็นภูเขาสูงที่มีระดับความสูงกว่าน้ำทะเลประมาณ 2,076 เมตร เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในเขตการปกครองของกะเหรี่ยงพุทธ DKBA ที่นับถือ ที่นี่เป็นยอดเขาศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวพุทธในพม่าไปแสวงบุญกัน และเป็นยอดเขาสูงที่สุดในบรรดายอดเขาทั้ง 4 แห่ง (โมโกตู หรือ มะม่วงสามหมื่น, ดอยพะวี, เมะลาอะ และ มุลาอิ ) มุลาอินั้น สามารถเดินทางข้ามไปจากฝั่งไทย ที่บ้านวาเล่ย์ อ.พบพระ จ.ตาก
โดยที่ทางรัฐกะเหรี่ยง DKBA จะอนุโลมให้ชาวไทย เดินทางเข้าไปสักการะพระธาตุเจดีย์บนภูเขาลูกนี้ได้


จากจุดเริ่มเดินไปจนถึงจุดกางเต็นท์ระยะทางประมาณ 1 กม.กว่าๆ เมื่อเราขึ้นไปถึงแล้ว 

ก่อนอื่นสื่งใดคือการเริ่มหาจุดกางเต็นท์ ไม่งั้นเราจะไม่มีที่นอน เพราะวันนั้นเป็นวันที่ผู้คนเดินทางมาที่นี่ประมาณ 500 คน มีผู้จัดหลายเพจมากมาย และสถานที่บนยอดเขานี้เป็นพื้นที่ที่มีแต่หิน เป็นหลุมหาพื้นที่ราบแทบจะไม่มีเลย (ดั่งคำว่า นอนไหลกองมารวมกัน) 



จากนั้นพอมีเวลาเราก็ถ่ายรูปกัน เพราะที่นี่สามารถมองเห็นวิวรอบๆ 360 องศาเลยนะ และก็จะเดินมาเรื่อยๆกลับมาตรงจุดบริเวณวัด ที่เรามาถึงครั้งแรกอีกครั้ง( บวกไปอีก1 กม.กว่าๆ) เพื่อขึ้นบนพระธาตุมุลาอิ โดยทางขึ้นจะมี 2 ทาง คือ ทางโดยทั่วไปที่เป็นทางปรกติจะเป็นทางบันได แต่เราไม่ปรกติ ก็เลือกทางที่ฝ่าดงพงไพร ซึ่งระยะทางสั้นกว่า (แต่เหนื่อยเอาเรื่องนะ) หลังจากนั้นเราก็เดินลงเพื่อกลับมาจุดกางเต็นท์ เพื่อให้ทันได้ชมพระอาทิตย์ตก ซึ่งในวันนั้น เป็นวันที่พระอาทิตย์ดวงใหญ่โตมาก (พระอาทิตย์ ฤดูหนาว สวยที่สุด ดวงใหญ่ที่สุด มีคนเคยกล่าวไว้)


ที่นี่ “มุลาอิ” เราต้องทานอาหารเจกันเท่านั้น ห้ามนำเนื้อสัตว์ใดๆขึ้นไป แต่ดีพวกเราพกบะหมี่ไวไว และบนยอดเขาก็มีเซเว่นเคลื่อนที่ (คนพื้นที่นำน้ำอัดลมมาจำหน่ายถึงเต็นท์เลยค่ะ) ซึ่งพวกเราก็จัดกันไปคนละกระป๋อง และทุกคนที่อยู่บนยอดเขาก็ลุ่มกันเหมาหมด จนคนขายต้องวิ่งไปเอามาอีก แต่ก็คงไม่พอขายอยู่ดีค่ะ เพราะน้ำอัดลมนี่ ทำให้เรามีพลังงานมากขึ้นเลยทีเดียวนะคะ อิอิ 

พูดถึงอากาศในช่วกลางวันหรอ แดดแรง แต่มีลมพัดเย็นสบายไม่ร้อนนะ และในคืนนั้นกลางดึกอากาศ 7 องศา หนาวได้ใจจริงๆค่ะ บางคน บอกว่าหนาวจนนอนไม่ได้เพราะเจอลมพัดแรงตลอด ไม่รู้ว่าพี่เค้าไปนอนจุดไหนกันนะ แต่ถือว่าเราโชคดี นอนหลับกอดหินสบาย

ดูจากภาพถ่ายสวย ของจริงยิ่งสวยกว่า มองไปทางไหน มุมไหน ก็สวยทุกมุมมอง

ชอบถ่ายรูป ชอบเก็บความทรงจำดีๆ ชอบวิว ชอบเขา ชอบธรรมชาติ ในเมื่อมีโอกาสก็อยากทำสิ่งที่เราชอบ ถ้ามันคือความสุขของเรา
และเขาไม่เคยทำร้ายเรา มีแต่เราที่ทำร้ายเขา รักเขาก็ควรช่วยดูแลเขากันด้วยนะคะ

#ทุกภาพคือการเล่าเรื่องที่ดี
#ทุกภาพคือความทรงจำที่ดี
#ทุกภาพคือความสุขของเรา
#ท่องเที่ยวเก็บเรื่องราวผ่านเลนส์
#ขอบคุณผู้ร่วมเดินทางไปกับเรา
#มูลาอิ #มุลาอิ #มอลาอิ #ม่อนลาอิ #Mulayit

ครั้งหนึ่ง

 วันพฤหัสที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2563 เวลา 09.56 น.

ความคิดเห็น