Morocco ดินแดนสุดขอบทวีปแอฟริกาตะวันตกเฉียงเหนือ มีชายฝั่งทอดยาวตามมหาสมุทรแอตแลนติก ผ่านช่องแคบยิบรอลตาร์ ซึ่งเป็นช่องแคบที่คั่นระหว่างทวีปแอฟริกาและทวีปยุโรป สู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน หากจะบอกว่าโมร็อกโกเป็นลูกครึ่งแอฟริกาและยุโรปก็คงไม่ผิดนัก ด้วยความที่โมร็อกโกมีลักษณะภูมิประเทศที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นทะเลทราย ชายหาด ภูเขาหิมะ จึงทำให้นักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกใฝ่ฝันที่จะมาสัมผัสกับเสน่ห์แห่งโมร็อกโกสักครั้งในชีวิตโมร็อกโก มีอะไรดี วันนี้ผมจะพาทุกๆ ท่านไปทำความรู้จักกับประเทศนี้ให้ลึกซึ้งขึ้นกว่าเดิม ตามผมมาเลยครับ

ทริปนี้ผมมีเวลา 13 วัน โดยวางโปรแกรมคร่าวๆ ดังนี้

Day 1 : ออกเดินทางช่วงเย็นหลังเลิกงาน บินไป Hong Kong โดย Airasia

Day 2 : Hong Kong – Abu Dhabi – Casablanca โดย ETIHAD Airline

Day 3 : Casablanca – Rabat

Day 4 : Meknes – Fes

Day 5 : Fes

Day 6 : Merzouga

Day 7 : Ouarzazate

Day 8 : Ait Benhaddou – Marrakesh

Day 9 : Marrakesh

Day 10 : Casablanca

Day 11 : El Jadida

Day 12 : Casablanca

Day 13 : Casablanca – Abu Dhabi –Bangkok โดย ETIHAD Airline

ปล. ผมเป็นเพียงนักรีวิวตัวเล็กๆ คนนึงที่ฝันว่าสักวันจะโตขึ้นเป็น Blogger ให้ได้ แต่ผมคงจะเป็น Blogger ไม่ได้แน่ๆ ถ้าไม่ได้รับการสนับสนุนจากเพื่อนๆ หากเพื่อนๆ คนใดที่หลงเข้ามาในรีวิวนี้ และชื่นชอบในสิ่งที่ผมตั้งใจทำออกมา ผมอยากจะขอกำลังใจ ด้วยการกด Like หรือ Share รีวิวนี้ หรือจะเข้าไปเป็น Fanpage ผม ก็จะเป็นพระคุณอย่างยิ่งที่ https://www.facebook.com/unclegreenshirt/ ครับ เพียงแค่ 1 Like 1 Share ถือเป็นกำลังใจอย่างดีสำหรับผมเลยครับ

ทริปนี้มีสมาชิก 4 คน คือ ผม, กี้ (ผู้นำทัพ), พี่นัท และ พี่ตั้ม

ผมขอเริ่มเรื่องการเดินทางตั้งแต่ฮ่องกง โดย ETIHAD Airline เลยนะครับ

สิ่งอำนวยความสะดวกบนเครื่องที่ผมเห็นว่ามีมากกว่าสายการบินอื่นที่ผมเคยนั่งมาคือ สามารถชาร์จไฟผ่านสาย USB หรือจะผ่านปลั๊กไฟก็ได้ครับ ขึ้นเครื่องปุ๊บ ผมก็ใช้บริการชาร์จไฟปั๊บ เพราะเล่น wifi จนแบตฯ โทรศัพท์หมดเลยครับ

หลังจากเครื่องทะยานขึ้นฟ้าแล้ว ก็มีบริการของว่าง เป็นขนมปังกรอบชิ้นเล็กๆ เสิร์ฟพร้อมเครื่องดื่ม (มีไวน์ เบียร์ และ whisky บริการด้วย)

ตามเมนูบอกว่าจะมีการบริการอาหารค่ำ เริ่มจาก Appertiser เป็น bamee noodles with soy dressing, Warm bread

Main course เป็น Chicken with black bean sauce steamed rice, Jade melon wedges and wolfberries

แอบถ่ายของพี่นัทครับ Main course เป็น Beef tagine seasonal vegetables and tagine rice โดยเสิร์ฟของหวานเป็น Caramel mousse ครับ

และก่อนเครื่องจะลง ยังมีบริการมาม่าคัพด้วย หรือใครอยากจะได้เป็นพายไก่ก็มีครับ ณ เวลานั้นผมว่ามันไม่ใช่เวลาที่จะทานอาหารแล้ว ผมเลยเลือกพาย เพื่อจะได้เก็บเอาไว้ทานรองท้องเผื่อหิวระหว่างเดินทางครับ

ใช้เวลาเดินทางประมาณ 8 ชั่วโมง ก็มาถึงยังสนามบิน Abu Dhabi ครับ

สนามบินของ Abu Dhabi ตกแต่งได้อย่างสวยงาม ตามเวลาที่ทำการจองตั๋วมานั้น ผมจะต้องมารอต่อเครื่องประมาณ 3 ชั่วโมง แต่เอาเข้าจริงๆ กว่าผมจะได้ออกมาจากเครื่องบิน กว่าจะผ่านกรรมวิธีต่างๆ ก็เหลือเวลารอไม่นานมากครับ ผมบินอีกครั้งในเวลา 02.10 น. ตามเวลาท้องถิ่นครับ

เมื่อเครื่องทะยานสู่ฟ้าอีกครั้ง ผมพยายามข่มตาให้หลับ แต่ก็ไม่หลับ อาจเนื่องจากคงจะผิดเวลา ก็เลยทำการสำรวจหน้าจอหน้าที่นั่งดูไปเรื่อยๆ ที่ผมถูกใจที่สุดเห็นจะเป็นโปรแกรม Chat ซึ่งสามารถพิมพ์สนทนาระหว่างเรากับคนอื่นได้ เพียงแค่ใส่หมายเลขที่นั่งของคนที่เราอยากจะพิมพ์ Chat ด้วยพร้อมกดส่งคำเชิญไป รอจนกว่าคนที่เราอยากคุยด้วยตอบรับคำเชิญของเรา ก็สามารถคุยกันได้เลยครับ

เมื่อแสงแรกปรากฏ พนักงานบนเครื่องเริ่มให้บริการอาหารเช้าครับ

ตามเมนู Appetiser จะเป็น ผลไม้ตามฤดูกาล โยเกิร์ต และขนมปัง ส่วน Main Course เป็น Omelette chicken sausage, marinated tomato and hash brown

ณ วันนั้นถือว่าเป็นวันที่ผมได้สัมผัสช่วงกลางคืนยาวนานที่สุดในชีวิตครับ คือเริ่มตั้งแต่ขึ้นเครื่องที่ Hong Kong เวลา 18.20 ณ เวลานั้นท้องฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว ใช้เวลาเดินทางมาถึงที่ Abu Dhabi เป็นเวลา 8 ชั่วโมง ก็ยังเป็นเวลาที่มืดอยู่ ผมรอต่อเครื่องที่ Abu Dhabi อีกประมาณ 3 ชั่วโมง ก่อนที่จะขึ้นบินอีกครั้งในเวลา 02.10 น. จนมาเห็นแสงแรกบนเครื่องบิน บวกลบเวลาช่วงที่ผมอยู่ในช่วงกลางคืนกว่า 17 ชั่วโมงเลยครับ สาเหตุที่ทำให้ช่วงกลางคืนยาวนานมาจาก Time Zone ครับ


จาก Abu Dhabi ใช้เวลาเดินทางมายัง Casablanca ประมาณ 8.40 ชั่วโมงครับ เรียกกันว่านั่งกันรากงอกเลยทีเดียว

ระหว่างที่อยู่ในกระบวนการตรวจคนเข้าเมือง ให้สังเกตดีๆ นะครับว่าเจ้าหน้าที่ได้ประทับลงเลขการเข้าเมืองใน Passport ให้หรือเปล่า เพราะตอนที่จะเข้าพักตามโรงแรม บางโรงแรมจะต้องใช้เลขดังกล่าวในการกรอกรายละเอียดตอน Check in ด้วย Passport ของกี้และพี่ตั้ม เจ้าหน้าที่ไม่ได้ประทับตราให้ ทางโรงแรมจึงให้กี้และพี่ตั้มไปแจ้งกับตำรวจ ผมก็ไม่เข้าใจว่ามันจะมีผลอะไรหรือเปล่านะครับ หลังจากผ่านกระบวนการตรวจคนเข้าเมืองเรียบร้อยแล้ว ก็เดินทางกันต่อครับ

ตามโปรแกรม วันนี้ผมจะเดินทางไปยัง Rabat ซึ่งเป็นเมืองหลวงของ Morocco หลายคนอาจคิดว่า เมืองหลวงของMorocco คือ Casablanca แต่ผิดครับ แท้จริงแล้วเมืองหลวงของโมร็อกโกคือ Rabat ส่วน Casablanca เป็นเมืองท่าที่ใหญ่ที่สุดในทวีปแอฟริกา สำหรับการเดินทางจากสนามบินไปยัง Rabat สามารถใช้บริการของรถไฟ ซึ่งสถานีรถไฟอยู่ชั้นล่างของสนามบินครับ

รถไฟจากสนามบินจะมีบริการทุก 1 ชั่วโมงครับ ค่ารถไฟจากสถานี Mohammed V International Airport ไปยังสถานี Gare Rabat Ville 75 Dh ( ดีร์แฮม) บริเวณชานชาลาของทุกสถานี ไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพนะครับ แต่บังเอิญผมไม่รู้ หลังจากกดชัตเตอร์แล้ว จนท.ถึงได้บอกว่าห้ามถ่ายภาพครับ

รถไฟที่โดยสารเป็นแบบชั้นสอง ที่นั่งกว้างขวาง นั่งสบายเลยทีเดียว

เรานั่งรถไฟจากสถานี Mohammed V International Airport ราวครึ่งชั่วโมง ก็ต้องมาเปลี่ยนขบวนที่สถานี Casa Voyageurs แล้วนั่งรถต่ออีกประมาณชั่วโมงครึ่ง ก็จะมาถึงสถานี Gare Rabat Ville ครับ

ก่อนออกจากสถานีขอเก็บภาพสถานี Gare Rabat Ville ไว้เป็นที่ระลึกสักหน่อยครับ

จากสถานี Gare Rabat Ville เราคงต้องใช้บริการของรถแท็กซี่เพื่อไปยังที่พักครับ รถแท็กซี่ที่นี่มี 2 ขนาด คือ Grand Taxi เป็นรถเบนซ์รุ่นเก่า คันใหญ่ นั่งได้ 7 คน (คนขับ 1 ผู้โดยสาร 6) และอีกขนาดคือ Petit Taxi เป็นรถคันเล็ก นั่งได้ 4 คน (คนขับ 1 คน ผู้โดยสาร 3 คน) เหมือนจะเป็นกฎหมายบ้านเขา ว่าต้องนั่งตามนี้เท่านั้น คณะผมไปกัน 4 คน จึงต้องเลือก Petit Taxi 2 คัน ค่าโดยสารคันละ 20 Dh ครับ

สำหรับรถแท็กซี่ที่นี่จะเป็นลักษณะใครโบกก็จอด คล้ายรถสองแถวบ้านเรา แต่จะรับผู้โดยสารได้ตามจำนวนที่กฎหมายระบุไว้เท่านั้น ผมว่า Petit Taxi จะนั่งสบายกว่าแบบ Grand Taxi ครับ เนื่องจากว่าผู้โดยสารจะนั่งตามเบาะที่รถได้ถูกออกแบบมา คือ หน้า 2 หลัง 2 แต่ถ้าหากเป็นรถแบบ Grand Taxi นั้น เบาะหลัง รถออกแบบไว้สำหรับผู้โดยสาร 3 คน แต่จะต้องนั่งเบียดกันถึง 4 คน เบาะหน้าข้างคนขับ รถออกแบบไว้สำหรับผู้โดยสาร 1 คน แต่จะต้องนั่งเบียดถึง 2 คน ลองนึกภาพตามดูนะครับ คนตัวใหญ่ๆ ไปเบียดกันอยู่ในรถถึง 7 คน ถ้าลงมาจากรถคงเดินไม่เป็นแน่ๆ ครับ

รถแท็กซี่พามาจอดนอกกำแพงย่านเมืองเก่า เพราะในย่านเมืองเก่า รถไม่สามารถเข้าไปได้ครับ

จากนั้นก็เดินผ่านตามตรอกซอกซอยเพื่อจะเอากระเป๋าไปเก็บไว้ที่ที่พักกันก่อน

ที่นี่ตรอกซอกซอยเยอะมากๆ ที่พักเราก็อยู่ในตรอกซอกซอยแบบนี้เหมือนกันครับ

แล้วก็มาถึงที่พักของเรา คืนนี้ผมจองที่พักไว้ที่ Riad Sakina ครับ ด้านหน้าโรงแรมมีเพียงประตูอยู่บานเดียว ซึ่งดูไม่ออกเลยว่านี่คือโรงแรมครับ เมื่อมาถึงก็จะมีที่เคาะประตูหรือดีหน่อยก็จะมีออดให้กดเรียกครับ

เมื่อเดินผ่านประตูบานนั้นเข้าไป ด้านในจะแบ่งซอยเป็นห้องพักหลายห้องเลยทีเดียว โดยที่ตรงกลางจะเป็นพื้นที่ว่างสำหรับวางโต๊ะอาหาร และมีอ่างน้ำเล็กๆ เป็นจุดศูนย์กลางของโรงแรมครับ

ด้านข้างจะเป็นห้องรับรองแขกครับ

บรรยากาศโดยรวมของโรงแรมครับ ด้วยรูปแบบของโรงแรมเป็นทรงสูง มีพื้นที่ว่างตรงกลางคล้ายๆ กับปล่องไฟ ทำให้เวลาพูดอะไรออกไป เสียงก็จะดังก้องกังวานไปหมดครับ

ชั้นบนสุดมีที่นั่งพักผ่อนแบบ outdoor ครับ

เนื่องจากผมมาถึงที่พักเร็ว ห้องพักยังทำความสะอาดไม่เรียบร้อย ผมเลยยังเข้าห้องไม่ได้ แต่กระนั้นทางโรงแรมก็เตรียมของว่าง เป็นขนมเค๊กและกาแฟไว้คอยต้อนรับ หลังจากทานของว่างเรียบร้อยแล้ว ก็ออกเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ใน Rabat ครับ

Rabat เป็นเมืองหลวงแห่งที่ 4 ของโมร็อกโก บ้านเรือนจะออกสไตล์ฝรั่งเศส ผังเมืองในโซนเมืองใหม่ดูเป็นระเบียบ สะอาด ว่ากันว่าได้มาจากยุคที่ฝรั่งเศสเข้าปกครอง และเมื่อผสมผสานเมืองเก่าแบบอาณาจักรมุสลิมแบบโบราณที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้ เสน่ห์ของเมืองที่เห็นชัดในเรื่องการผ่านเข้ายุคใหม่แบบตะวันตกอย่างเป็นระบบ จึงทำให้ Rabat ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นเมืองมรดกโลกจากยูเนสโก เมื่อปี 2012 ครับ

ผมเดินชมเมืองไปเรื่อยๆ ผ่าน Medina (ย่านเมืองเก่า) ซึ่งตลอดสองข้างทางเต็มไปด้วยร้านขายของมากมาย ทั้งร้านขายของที่ระลึก, ร้านขายสินค้าที่จำเป็นสำหรับคนพื้นเมือง รวมถึงร้านอาหารต่างๆ

แนะนำว่าระหว่างเดินก็อย่ามัวเพลิดเพลินกับการชมสินค้านะครับ แต่จะต้องจำทิศทางไว้ด้วย เพราะไม่เช่นนั้นได้หลงทางแน่ๆ ครับ

ร้านขายมะกอกดอง หลากหลายสีสัน

ลูกตะบองเพชร รสชาติหวาน แต่เม็ดเยอะมาก

ชายคนนี้กำลังทอผ้าอยู่พอดีครับ

ร้านนี้ขายคล้ายๆ กับเบอร์เกอร์ปลาซาดีนครับ ผมไปยืนด้อมๆ มองๆ อยู่นาน จนลูกค้าที่ยืนรอคิวซื้อมากระซิบบอกว่า ร้านนี้ห้ามพลาด อร่อยมากๆ

ร้านนี้ขายผลไม้แห้ง อย่างอินทผาลัมครับ

ร้านขายรองเท้าหนัง อีกหนึ่งสินค้าที่มีชื่อเสียงของโมร็อกโก หลากหลายสีสันมากๆ ครับ

ต้องยอมรับเลยว่าสถาปัตยกรรมของโมร็อกโกมีลวดลายและสีสันที่สวยงามมากๆ ครับ

เดินจนสุด Medina ก็มาเจอกับป้อมอูดายา (Oudayas Fortress) ซึ่งเป็นป้อมขนาดใหญ่ 2 ชั้นล้อมรอบด้วยกำแพงสูงใหญ่ ตั้งอยู่ริมมหาสมุทรแอตแลนติกเลยครับ ป้อมนี้สร้างขึ้นเมื่อสมัยที่สเปนยึดครองโมร็อกโกครับ

การเข้าชมด้านในป้อมไม่เสียค่าเข้าชม ด้านในป้อมอูดายามีเขตชุมชนเก่าที่หลงเหลือมาจากศตวรรษที่ 12 ซึ่งจุดเด่นของชุมชนแห่งนี้คือบ้านเรือนแต่ละหลังก่อจากอิฐ และทาด้วยสีฟ้า-ขาว ทำให้นึกถึงเมืองซานโตรินีเลยครับ

ชุมชนแห่งนี้มีการตั้งถิ่นฐานมาตั้งแต่สมัยเกือบพันปีก่อน ตั้งแต่สมัยราชวงศ์อัลโมฮัต เคยตกอยู่ภายใต้การครอบครองของพวกโจรสลัดด้วยครับ

ร้านตัดผมที่อยู่ในย่านชุมชนนั้น ชาวโมร็อกโกเชื่อว่า การถ่ายรูปจะทำให้อายุสั้น ดังนั้นคนที่นี่จึงไม่ชอบถ่ายรูปครับ เวลาเรายกกล้องเพื่อจะถ่ายรูปสถาปัตยกรรม บางครั้งคนที่อยู่ใกล้ๆ สิ่งที่เราจะถ่าย เมื่อเห็นเรายกกล้อง เขาจะหันหลัง หรือไม่ก็ยกมือขึ้นมาบังหน้าตัวเอง แต่ร้านตัดผมร้านนี้บอกให้เราถ่ายได้ตามสบายครับ

ผมเดินมาจนสุดป้อม เมื่อมองออกไปด้านหน้ามองเห็นมหาสมุทรแอตแลนติกสุดลูกหูลูกตาเลยครับ

มีคนมาเล่นน้ำ โต้คลื่นด้วย

มองเห็นเมืองซาเล (Sale) เมืองคู่แฝดของราบัต ซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามป้อมอูดายา มีแม่น้ำบาว เรเกรก (Bou Regreg) กั้นอยู่ ถ้ามองดีๆ สิ่งที่อยู่แนวนอกกำแพงคือหลุมฝังศพ ยาวตลอดแนวกำแพงเลยครับ

อีกด้านหนึ่ง มองเห็นประภาคาร ซึ่งประภาคารแห่งนี้อยู่ไม่ไกลจากที่พักของผมครับ

จะเห็นว่าป้อมอูดายาตั้งอยู่ที่ริมปากแม่น้ำ บาว เรเกรก ติดมหาสมุทรแอตแลนติก ในอดีตป้อมแห่งนี้ใช้ป้องกันข้าศึกจากการรุกรานทั้งจากประเทศที่ล่าอาณานิคมและในยุคที่โจรสลัดชุกชุมครับ

บริเวณแม่น้ำบาว เรเกรกมีชาวประมงออกมาหาปลามากมาย และมีบริการให้นักท่องเที่ยวล่องเรือไปอีกฝั่งของแม่น้ำบาว เรเกรกด้วยครับ

ผมคิดว่าช่วงเย็นที่ริมแม่น้ำน่าจะเป็นที่พักผ่อนของชาวราบัตแน่ๆ เพราะเห็นมีร้านค้ามากมาย รวมถึงมีการนำรถเด็กเล่นคันเล็กๆ มาตั้งวางไว้เพื่อคอยให้บริการเด็กๆ อยู่ด้วยครับ

มาถึงจุดนี้ ผมรู้สึกหมดแรงเป็นอย่างมาก อาจเนื่องมาจากการอดนอนระหว่างเดินทาง, ความร้อนและแสงแดดที่แผดเผา รวมถึงน้ำหนักของเป้กล้องราว 7 กก. ที่ต้องแบกติดตัวไปตลอดทาง เลยต้องขอพักหาอะไรเย็นๆ ทานเพื่อเรียกความสดชื่นกลับมาซะหน่อยครับ

แก้วนี้ทางร้านตั้งชื่อว่า Royal ครับ มองตอนแรกคิดว่าเป็นน้ำแข็งใสปั่นเหมือนบ้านเรา แต่ที่จริงแล้วเป็นการปั่นของผลไม้ 3 ชนิด ชั้นบนเป็นส้ม ชั้นกลางเป็นสตอเบอรี่ ส่วนชั้นล่างเป็นอโวคาโดครับ ถือว่าแก้วนี้อร่อยทีเดียว เรียกความสดชื่นกลับมาได้เป็นอย่างดี คุ้มค่ากับราคา 15 Dh ที่เสียไปครับ

หลังจากความสดชื่นกลับมาแล้ว ผมเดินเท้าต่อเพื่อไปยังพื้นที่บริเวณ Yacoub Al-Mansour Esplanade อันเป็นที่ตั้งของมัสยิดฮัสซัน (Hassan Mosque)

ทางเข้าจะมีอยู่ 2 ด้าน และจะมีทหารในชุดเครื่องแบบสีแดงพร้อมผ้าคลุมหลังยาวสีขาว ขี่ม้าสีขาวประจำการอยู่ดูน่าเกรงขามทั้งสองด้าน การเข้าชมที่นี่ไม่เสียค่าเข้าชมครับ

ด้านนอกกำแพง มีแม่ค้ามาขายลูกโป่งด้วย ปกติไม่ค่อยจะได้เห็นผู้หญิงออกมาทำงานหาเงินสักเท่าไรครับ

เมื่อเดินเข้าไปด้านในจะพบกับ ฮัสซันทาวเวอร์ซึ่งถูกเรียกตามลักษณะของอาคารมินาเร็ตที่หลงเหลืออยู่ มัสยิดแห่งนี้ก่อสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 12 โดยสุลต่านผู้ปกครองดินแดน โดยหวังว่าจะสร้างให้เป็นมัสยิดที่ใหญ่ที่สุด และมีหอมินาเร็ตที่สูงเกือบ 60 เมตร ซึ่งเมื่อก่อสร้างเสร็จจะเป็นหอมินาเร็ตที่สูงที่สุดในโลก แต่เมื่อท่านสุลต่านเสียชีวิตลง หอมินาเร็ตก็ไม่ได้รับการสานต่อ จึงก่อสร้างได้สูงเพียง 44 เมตร และต่อมาภายหลังก็ถูกอิทธิพลจากแผ่นดินไหว จึงเหลือความสูงตามที่เห็นในภาพ เช่นเดียวกับเสาโครงสร้างกว่า 200 ต้นที่ตั้งเรียงรายอยู่เต็มลานหน้าหอมินาเร็ต ช่วงที่ผมไปกำลังมีการบูรณะหอมินาเร็ตอยู่พอดีครับ

ฝั่งตรงข้ามของหอมินาเร็ตเป็นที่ตั้งของ Mausoleum of Mohammed V ซึ่งเป็นสุสานฝังพระศพของกษัตริย์โมฮัมเม็ดที่ 5ลักษณะอาคารทรงสี่เหลี่ยมสีขาว หลังคาทรงปิรามิดสีเขียวครับ

มีทหารยืนประจำการอยู่บริเวณประตูทั้งสี่ด้าน

มองดูจากภายนอก ผมคิดว่าเป็นอาคารชั้นเดียว แต่เมื่อเข้าไปดูด้านในถึงได้รู้ว่า แท้จริงแล้วเป็นอาคาร 2 ชั้น ชั้นที่เราเดินเข้าไปนั้นเป็นชั้นบน ลวดลายของฝาผนังและเพดานงดงามมากๆ ด้านในก็ยังมีทหารยืนประจำการอยู่ทั้งสี่มุมของสุสานครับ

ส่วนชั้นล่างเป็นสุสานฝังพระศพของกษัตริย์โมฮัมเม็ดที่ 5 นอกจากนี้ยังมีพระศพของพระโอรสทั้งสองด้วย อันได้แก่กษัตริย์ฮัสซันที่ 2 กษัตริย์โมร็อกโกพระองค์ก่อน และเจ้าชายอับดุลละห์ครับ

อันนี้ไม่ทราบว่าคืออะไรเหมือนกันครับ

อาคารที่อยู่ด้านข้างของ Mausoleum of Mohammed V ครับ

อาคารด้านหลังน้ำพุ น่าจะเป็นอีกหนึ่งสถานที่สำคัญ เพราะไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าไปชมด้านในครับ

แรงเริ่มหมดอีกรอบแล้วครับ คงต้องกลับไปพักผ่อนอย่างจริงจังเสียที จาก Yacoub Al-Mansour Esplanade กลับไปยังที่พัก ค่อนข้างไกลอยู่พอสมควร เราหา Taxi อยู่นาน แต่ Taxi มีผู้โดยสารเต็มตลอด ทำให้เราต้องใช้สองเท้าของเราเดินกลับที่พักครับ

ที่ราบัต มี Tram ด้วยทันสมัยไม่เบา

กลับมาถึงที่พักก็แทบหมดแรงครับ ได้เห็นห้องพักแล้วอยากจะลงไปนอนแผ่หราเลยครับ

ห้องพักผมอยู่ชั้นล่าง ติดกับห้องรับรองแขก บรรยากาศช่วงเปิดไฟก็สวยดีไม่เบา ห้องที่จองไว้เป็นเหมือนห้องแฝด ภายในแต่ละห้องจะมีห้องนอน พร้อมพื้นที่ให้นั่งเล่น และจะมีห้องน้ำอยู่ตรงกลาง ซึ่งจะใช้ห้องน้ำร่วมกันครับ

ชั้นล่างเป็นห้องนั่งเล่น

มองจากพื้นที่นั่งเล่น จะเห็นบันไดที่พาขึ้นไปยังชั้นสองครับ

ชั้นสองจะมีเพียงแค่เตียงอย่างเดียวครับ

มองจากชั้นสองครับ

ภายในห้องน้ำ แยกส่วนเปียกส่วนแห้งอยู่คนละตำแหน่งกัน โดยมีอ่างล้างหน้าอยู่ตรงกลาง ค่าห้องพักคืนนี้อยู่ที่ 100 EUR ครับ

คืนนี้เจออากาศหนาวๆ ได้ซุกตัวในผ้าห่มอุ่นๆ กับอาการที่เพลียสุดๆ ทำให้ผมเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ แต่มารู้สึกตัวอีกทีราว 02.00 น. อาจเนื่องมาจากเกิดอาการ Jet Lag สอบถามสมาชิกทุกคนแล้วเป็นเหมือนกันทั้ง 4 คนครับ ผมเลยใช้เวลาช่วงที่ตื่นมานั่งเล่น wifi เพื่อให้เกิดอาการง่วง ผ่านไปประมาณ 1 ชั่วโมงก็ผล็อยหลับต่อได้อีกหน่อยครับ

รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกทีตอนเกือบหกโมงเช้าครับ ตื่นขึ้นมารอบนี้ก็ไม่รู้จะทำอะไรดี จะนอนต่อก็กลัวหลับยาว เพราะเดี๋ยวจะต้องตื่นมาอาบน้ำและทานมื้อเช้า มื้อเช้าที่นี่เริ่ม 08.00 น. ผมเลยตัดสินใจไปเดินเล่นสูดอากาศยามเช้าครับ

เช้านี้เดินแบบไม่มีจุดหมายจริงๆ เลือกเดินคนละเส้นทางกับที่เดินเมื่อวานนี้ มองเห็นประตูเมืองอยู่ลิบๆ ก็เลยเดินไปที่ประตูเมือง เรียกได้ว่าเห็นอะไรก็เดินดุ่มๆ ไปครับ

ออกจากประตูเมือง มองเห็นว่ามีชายทะเล ก็เลยเลือกเดินไปที่ชายทะเล เดินมาสักนิด มองเห็นหอประภาคาร เลยนึกภาพย้อนไปเมื่อวานว่าคงต้องใช่ประภาคารเดียวกับที่เห็นเมื่อวานตอนที่ไปยืนชมวิวอยู่ที่ป้อมอูดายาครับ

ถ้าสังเกตดีๆ ในรั้วจะมองเห็นหลุมฝังศพอยู่เต็มไปหมดเลยครับ

เมื่อเดินมาถึงประภาคาร ผมถึงกับตาลุกวาว เมื่อได้เห็นคลื่นทะเลกำลังกระหน่ำซัดซอกหินจนเกิดเสียงดังกังวาล ฟองสีขาวจากน้ำทะเลแผ่ขึ้นมาปกคลุมซอกหินแล้วก็สลายตัวไปตามจังหวะคลื่น ฉากหลังเป็นหอประภาคารตั้งตระหง่านท่ามกลางแสงแรกของวัน เป็นภาพที่งดงามมากครับ

ดูเวลาแล้ว คงต้องรีบกลับที่พักเพื่อเตรียมอาบน้ำ ทานอาหารเช้า และเดินทางกันต่อครับ

เดินย้อนกลับมาทางเดิม สังเกตเห็นว่าด้านในของแนวรั้วทั้ง 2 ด้าน เป็นสุสานครับ

กลับมาถึงที่พัก ทางโรงแรมได้เตรียมอาหารเช้าไว้พร้อมแล้ว อาหารเช้าที่นี่จะเป็นขนมปังหลากหลายชนิด แผ่นโรตี ไข่ต้ม แยม ชีส เนย รวมถึงโยเกิต เสิร์ฟพร้อมกาแฟหรือชาครับ

ได้เวลา 08.30 น. รถ Taxi ที่เราเหมาไว้ก็มารับเพื่อเดินทางต่อครับ


ติดตาม

Explore MOROCCO # 2 : ย้อนเวลาสู่เมืองโรมัน Volubilis ต่อที่ https://th.readme.me/p/3010

ลุงเสื้อเขียว

 วันอังคารที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 12.43 น.

ความคิดเห็น