ติดตามชมตอนแรก Explore MOROCCO # 1 : นครขาว-ฟ้า Rabat ได้ที่ https://th.readme.me/p/3007


วันนี้เราวางโปรแกรมไว้ว่าจะไปที่เมืองเฟส (Fes) สาเหตุที่เลือกเหมารถเพราะเราจะแวะเที่ยวระหว่างทางด้วย สนนราคาค่าเหมา Taxi อยู่ที่ 1,800 Dh ครับ

08.30 น. ได้เวลาล้อหมุนครับ จุดหมายแรกของเราอยู่ที่เมืองเมคเนส (Meknes) ซึ่งอยู่ห่างจากราบัตประมาณ 152 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงครับ

เดิม Meknes เคยเป็นเมืองหลวงของโมร็อกโกในราวปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17 และเคยเป็นฐานทางทหารตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 เมื่อเปรียบเทียบกับอดีตเมืองหลวงแห่งอื่นๆ ของโมร็อกโกแล้ว Meknes เป็นเมืองหลวงที่มีระยะเวลาสั้นสุด เพียง 50 ปีเท่านั้นครับ

ที่ Meknes นี้เราสามารถพบเห็นสถาปัตยกรรมแบบมัวร์-สเปนิช ได้ เช่นที่พบในสถาปัตยกรรมแบบมุสลิมของสเปนตอนใต้ โดยมีประตูบับแมนซอร์ (Bab Mansour) ที่เป็นเหมือนเพชรยอดมงกุฎ ประตูประดับไม้สลักสวยๆ ผสมกลิ่นอายสถาปัตยกรรมยุโรป แต่ภาพที่เห็นนี้ไม่ใช่ประตูบับแมนซอร์นะครับ แต่เป็นประตูเมืองที่อยู่ข้างทาง ที่ Taxi ให้ความอนุเคราะห์จอดให้พวกเราได้แวะถ่ายภาพครับ

จากประตูเมือง คุณ Taxi ใจดียังพาเราขึ้นไปยังจุดชมวิวด้วยครับ มองเห็นเมือง Meknes ได้แบบเต็มๆ ถ้าสังเกตดีๆ รูปสุดท้ายจะมองเห็นหลุมฝังศพอยู่เต็มๆ อีกเช่นกันครับ

เราแวะเก็บภาพกันแว๊บหนึ่ง แล้วเดินทางกันต่อครับ

นั่งรถไปได้สักระยะ สายตาก็พลันไปสะดุดอยู่ที่ภูเขาลูกหนึ่ง ภูเขาที่เต็มไปด้วยบ้านเรือนผุดขึ้นไม่ต่างอะไรกับดอกเห็ด เมืองที่เห็นอยู่เบื้องหน้าผมนั้นคือ เมืองมูเลไอดริส (Moulay Idriss) ครับ

ถึงเมืองมูเลไอดริสจะเป็นเมืองเล็กๆ แต่ที่นี่ก็เป็นเมืองที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของโมร็อกโกครับ ผมแวะชมสุสานของท่านมูลัย อิดริส ผู้ก่อตั้งราชวงศ์อาหรับราชวงศ์แรกของโมร็อกโก

จากลานจอดรถ เราต้องเดินเท้าต่อนิดหน่อยเพื่อไปยังสุสานครับ

ภายในสุสานไม่อนุญาตให้คนที่ไม่ใช่มุสลิมเข้าชม เราจึงได้เพียงยืนชมอยู่ด้านนอกเท่านั้น ระหว่างที่ผมกำลังจะกลับ ก็มีคนมาบอกว่าจะพาไปชมสุสานมุมสูง โดยจะเห็นวิวแบบพาโนรามาครับ

ผมก็ไม่ได้ตอบรับว่าจะไปกับเขา เพราะคิดว่าคงเดินง่ายๆ ไปตามเส้นทาง เลยพยายามเดินแยกเขามา แต่เขาก็เดินตามกลุ่มผมมาเหมือนกับมาคณะเดียวกัน ผมเดินจนมาถึงทางแยกก็เริ่มเกิดความสับสนว่าจะไปทางไหนดี ทีนี้เหมือนเป็นทีของเขา เขารีบเดินแซงขึ้นมา ทำหน้าที่นำทางพาเราขึ้นไปยังจุดชมวิว ขอบอกว่าทางที่ขึ้นไปจุดชมวิวมีตรอกซอกซอยเยอะมาก แถมชันอีกต่างหาก นี่ถ้าพี่แกไม่พาขึ้นมา ผมคงไปไม่ถึงจุดชมวิวแน่ๆ

ขึ้นมาแล้วได้เห็นวิวสวยๆ แบบนี้ พอใจชื้นขึ้นมาบ้าง กว่าจะถึงจุดนี้ได้ ผมเองแทบลมจับอยู่เหมือนกัน ก็พี่แกเล่นจ้ำๆๆ แบบไม่พักเลยครับ

แล้วก็มาถึงจุดหมายปลายทางครับ จุดนี้สามารถมองเห็นเมืองโรมันโบราณซึ่งเป็นเมืองศูนย์กลางศาสนาอันศักดิ์สิทธิ์ของชาวมุสลิมในโมร็อกโก ทุกๆ ปีช่วงเดือนสิงหาคมถึงกันยายน จะมีเหล่านักจาริกแสวงบุญมาเยือนเมืองนี้เพื่อประกอบพิธีทางศาสนา เปรียบได้กับเมืองเมกกะของซาอุดิอารเบียครับ ที่เห็นหลังคาสีเขียวนั่นคือที่พวกเราไม่สามารถเข้าไปชมด้านในได้ ได้แต่เพียงถ่ายรูปอยู่ด้านนอกเท่านั้นครับ

ยังไม่ทันหายเหนื่อยดี ก็ต้องรีบเดินลงจากจุดชมวิวแล้วครับ เนื่องจากใกล้เวลาที่เรานัดรถ Taxi แล้ว ขาลงไม่หนักเท่าขาขึ้นเพราะเป็นเส้นทางลงเขา จึงใช้เวลาเพียงไม่นานก็มาถึงลานจอดรถ ต้องนึกขอบคุณคนนำทางที่ตามเราขึ้นไปด้านบน เพราะถ้าไม่ได้เขา เราคงเสียเวลางมหาทางกันอยู่นานสองนานเป็นแน่ๆ ดีไม่ดีอาจไปไม่ถึงจุดชมวิวเสียด้วยซ้ำ เราเลยตอบแทนน้ำใจเขาไปนิดหน่อยครับ

จากมูเลไอดริส เราไปต่อกันที่เมืองโบราณโรมันโวลูบิลิส (Roman city of Volubilis) ซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก Moulay Idriss ครับ

เมืองโบราณโรมันโวลูบิลิส (Roman city of Volubilis) ปัจจุบันเหลือแต่ซากปรักหักพังที่เกิดจากแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงในปี ค.ศ.1755 แต่ก็ยังคงเห็นถึงร่องรอยความยิ่งใหญ่ของเมืองในจักรวรรดิโรมันในอดีต เมืองโบราณโรมันโวลูบิลิสนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมในปี ค.ศ.1997 ในฐานะตัวอย่างเมืองในปกครองของอาณาจักรโรมันที่ตั้งอยู่ในดินแดนอันไกลโพ้นครับ การเข้าชมที่นี่เสียค่าเข้าชม 10 Dh ครับ

เมื่อเดินผ่านประตูเข้ามา จะพบกับอาคารพิพิธภัณฑ์ ที่จัดแสดงซากอาคารโบราณ ให้เราได้เห็นก่อนที่จะเข้าไปดูยังสถานที่จริงครับ

เดินต่อมาเรื่อยๆ เมื่อหันหลังกลับไปมองเส้นทางที่เดินผ่านมา จะมองเห็นทางเข้าอยู่ทางด้านขวา อาคารพิพิธภัณฑ์อยู่ทางด้านซ้าย และด้านหลังสุดที่พุ่มไม้บัง จะมองเห็นเมือง Moulay Idriss ครับ

Volubilis เปรียบได้ดังอาณาจักรโรมันโบราณ เมืองนี้เป็นเหมือนสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความยิ่งใหญ่ของชาวโรมัน ที่ได้มีการแผ่ขยายอาณาจักรมาถึงทวีปแอฟริกา

ผมไม่มีรายละเอียดของที่นี่มากนัก แต่เท่าที่สังเกตดู เหมือนจะแบ่งพื้นที่ออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกมองเห็นแต่ซากปรักหักพัง ส่วนที่สองยังพอจะมองเห็นโครงสร้างอาคารที่สำคัญอยู่บ้างครับ

ผมเดินชมในส่วนแรกก่อนคือส่วนที่มองเห็นซากปรักหักพัง แต่ก็ยังพอเห็นโครงสร้างอย่างเช่นเสา โครงประตู อยู่บ้าง แต่ที่โดดเด่นที่สุดเห็นจะเป็นการปูพื้นด้วยโมเสกที่ยังคงสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ครับ

มาที่ส่วนที่สองกันบ้าง ส่วนนี้จะเห็นโครงสร้างหลักที่สำคัญอยู่มากครับ บางส่วนยังค่อนข้างสมบูรณ์ อย่างที่เห็นในภาพเหมือนเครื่องโม่ในสมัยปัจจุบันเลยครับ

ในส่วนนี้ก็ยังคงเห็นพื้นโมเสกที่ค่อนข้างสมบูรณ์เช่นกันครับ

Volubilis เป็นเมืองโบราณที่มีผู้คนก่อตั้งรกรากมาตั้งแต่ราวสามร้อยปีก่อนคริสต์ศักราช ก่อนจะมาตกอยู่ภายใต้การปกครองของโรมันและเจริญเติบโตรุ่งเรืองถึงขีดสุดยุคนั้น แต่ทว่าด้วยฐานะเมืองริมขอบนอกของอาณาจักรโรมัน ช่วงปลายศตวรรษที่ 3 เมื่อ Volubilis ถูกชนเผ่าพื้นถิ่นยึดครอง จักรวรรดิโรมันก็ไม่ได้เดือดร้อนจะทำสงครามแย่งชิงเมืองนี้คืน

หลังจากช่วงนั้น Volublils ก็ถูกทิ้งร้างเกือบพันปี จนเกิดเหตุแผ่นดินไหวและช่วงที่ผู้ปกครองใหม่กำลังให้หาวัสดุไปก่อตั้งเมือง Meknes ให้เป็นเมืองหลวงใหม่ ก็ได้มีการนำหินอ่อนจาก Volubilis ขนไปสร้างเมือง Meknes กันมากมาย แต่ก็ยังหลงเหลือให้คนรุ่นหลังได้เห็นอยู่บ้างครับ

น่าจะเป็นประตูชัยครับ

ถ้าเพื่อนคนไหนสนใจมาเที่ยวที่เมืองโบราณนี้ แนะนำให้เตรียมอุปกรณ์ป้องกันแสงแดดมาเยอะๆ นะครับ เพราะที่นี่ไม่มีร่มไม้ใหญ่ไว้ช่วยบังแดดได้เลย

ตอนนี้ท้องเริ่มหิวแล้ว เนื่องจากเรายังไม่ได้ทานอาหารมื้อเที่ยงเลย จบโปรแกรมที่ Volublils แล้วก็ตรงดิ่งเข้าสู่เมืองเฟสเลยครับ

ระหว่างทางสู่เมืองเฟส มีภูมิประเทศแปลกตาให้เราได้กดชัตเตอร์ไปตลอดเส้นทาง บางช่วงเส้นทางก็ดูแห้งแล้งมากๆ บางช่วงก็มีทะเลสาบให้เห็นอยู่บ้างครับ

ติดตามชม Explore MOROCCO # 3 : เข้าตามตรอก ออกตามซอย ใน Fes ได้ที่ https://th.readme.me/p/3011

ความคิดเห็น