ติดตามชมตอนแรก Explore MOROCCO # 1 : นครขาว-ฟ้า Rabat ได้ที่ https://th.readme.me/p/3007

ติดตามชมตอนสอง Explore MOROCCO # 2 : ย้อนเวลาสู่เมืองโรมัน Volubilis ได้ที่ https://th.readme.me/p/3010

เมืองเฟส (Fes) ก่อตั้งขึ้นราวปลายศตวรรษที่ 8 ต้นศตวรรษที่ 9 เริ่มจากการเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรและผลัดขึ้นมาเป็นเมืองหลวงอีกหลายครั้ง เมืองเฟสแบ่งเป็น 3 เขต คือเขตเมืองใหม่ จะเป็นรูปแบบเมืองที่พัฒนาหลังช่วงฝรั่งเศสเข้ามา ส่วนเขตที่ 2 และ 3 จะเรียกว่า Medina ซึ่งสองเขตนี้จะแตกต่างกันที่อายุ เมืองเก่าที่ใหม่กว่า จะเรียกว่า Fes el-Jdid บริเวณนี้จะเป็นที่ตั้งพระราชวังโบราณ และยังเป็นที่ตั้งชุมชนชาวยิว สำหรับอีกเมืองเก่านึงจะมีอายุมากกว่า จะเรียกว่า Fes el-Bali ซึ่ง Fes el-Baliได้รับการขนานนามจากยูเนสโกว่า Medina of Fes ครับ

แล้ว Taxi ก็มาจอดส่งเราที่ประตู Bab Bou Jeloud เนื่องจากด้านใน Medina รถใหญ่ไม่สามารถเข้าไปได้ครับ

ประตูBab Bou Jeloud แห่งนี้สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1913 โดดเด่นด้วยการใช้โมเสกสีฟ้าตกแต่ง ด้านในของประตูเป็นเขต Medina ซึ่งมีทั้งแหล่งชอปปิ้ง ร้านค้ามากมายครับ

ด้วยการที่เราไม่อยากเสียเวลาเดินหาโรงแรม ผมเลยว่าจ้างรถเข็นเพื่อให้ขนกระเป๋าของพวกเรารวมถึงนำเราไปยังโรงแรม เราคิดถูกอย่างยิ่งครับที่ว่าจ้างรถเข็นให้นำทาง เพราะเส้นทางใน Medina เต็มไปด้วยตรอกซอกซอย ดูไม่ต่างกับเขาวงกตเลย เส้นทางที่จะไปโรงแรมต้องเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา เลี้ยวไปเลี้ยวมา แต่ละซอกแต่ละมุมมันก็ดูคล้ายๆ กันไปหมดครับ วันนี้ผมจองที่พักไว้ที่ Riad Verus ครับ

เมื่อมาถึงโรงแรม เรายังไม่สามารถเข้าห้องพักได้อีกเช่นเคย เลยสอบถามพนักงานว่ามีร้านอาหารแนะนำหรือไม่ พนักงานคงรู้ว่าถึงบอกเราไป เราก็คงไปไม่ถูก เขาจึงพาเราไปยังร้านอาหารครับ

ร้านอาหารที่พนักงานพามา ไม่มีหน้าร้านครับ แต่จะมีบันไดที่อยู่ด้านข้างของร้านขายของ กว่าจะเดินขึ้นไปถึงด้านบนของร้านเล่นเอาหอบเลยเหมือนกัน

ชั้นบนสุดของร้านอาหารสามารถมองวิวมุมกว้างเมืองเฟสได้แบบเต็มๆ ครับ

ออเดิร์ฟมาก่อนเป็นขนมปัง กะหล่ำปลีหั่นฝอย มะเขือเทศ และแครอทครับ

ตามมาด้วยอาหารที่เสิร์ฟมาใน "ทาร์จีน" ภาชนะจากแถบแอฟริกาเหนือ ที่ปิดมิดชิด ทาร์จีนมีคุณสมบัติเด่นในเรื่องการทนความร้อนได้สูงและใช้ปรุงอาหารให้สุกได้ด้วย ผมว่านอกจากจะทนความร้อนได้เป็นอย่างดีแล้ว ยังทำให้เราลุ้นด้วยว่าหน้าตาของอาหารนั้นจะเป็นอย่างไร

เมนูแรกเป็น คูสคูส Couscous มีลักษณะคล้ายแป้งป่นเม็ดกลม เป็นอาหารดั้งเดิมในแถบแอฟริกาครับ ผมว่าคล้ายขนมขี้หนูบ้านเรา เสิร์ฟคู่กับสตูไก่ และผักอบ เมนูนี้ผมเขี่ยๆ ทานแต่ไก่ครับ เพราะลองทานแป้งแล้วความรู้สึกมันยังไงบอกไม่ถูกครับ

เมนูสองก็เป็นไก่อีกเช่นกันครับ รสชาติดีกว่าเมนูแรกนิดหน่อย หน้าตาคล้ายๆ กับพะแนงบ้านเราครับ

เมนูสุดท้ายเป็นเนื้ออบและมีส่วนประกอบของลูกพรุนและผลเอพริคอต เมนูนี้ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าของคาวหรือของหวานดี รู้แต่ว่าถูกปากผมที่สุดในบรรดา 3 เมนูที่สั่งมา เพราะมีรสเปรี้ยวของเอพริคอต และได้รสหวานของลูกพรุนครับ

ตบท้ายด้วยทับทิมที่ทางร้านแถมให้มาล้างปากฟรีๆ ครับ ขอบอกทับทิมหวานอร่อยกว่าบ้านเราอีกครับ

หลังอิ่มท้อง เราก็เริ่มเดินสำรวจใน Medina ครับ

เส้นทางเดินภายใน Medina บางช่วงก็แคบ ผู้คนเดินขวักไขว่ไปหมด กว่าจะเดินฝ่าฝูงชนได้ก็เล่นเอาเหนื่อยครับ แต่บางช่วงก็กว้างพอให้ได้หายใจหายคอกันได้บ้าง สภาพทางเดินผมว่ามันดูแออัดไปหมด จุดแรกที่แวะชมคือลวดลายประตูของอาคารหอศิลป์ แต่ผมไม่ได้เข้าไปดูเนื่องจากอยากไปเดินดูวิถีชีวิตชาวโมร็อกโกมากกว่าครับ

ตลอดสองข้างทางเดินจะเป็นร้านค้าทั้งหมด มีของล่อตาล่อใจให้เลือกมากมายครับ

ฝีมือของชาวโมร็อกโก ถือว่าละเอียดอ่อนมากๆ เห็นแล้วอยากจะหอบกลับเอาไปตั้งโชว์ที่บ้านมาก แต่ทำได้แค่คิดครับ

ที่สะดุดตาผมมากๆ เห็นจะเป็นจานที่แขวนอยู่เหนือประตู ทั้งลวดลายและสีสัน เอาใจผมไปเลยครับ

บางร้านออกแนวขายของเก่า ดูขลังดีครับ

สินค้าประเภทผ้าก็มีให้เลือกสรรครับ

เบาะหนังสำหรับเอาไว้สวมเก้าอี้กลม ลวดลายสะดุดตาดีจริงๆ ครับ

ลักษณะเหมือนเครื่องจักรสานครับ

ร้าน Argan oil เป็นน้ำมันบริสุทธิ์ ที่มีชื่อเสียงของโมร็อกโกครับสกัดจากพันธุ์ไม้ที่เก่าแก่ที่สุดของโลกทางที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของโมร็อกโกครับ Argan oil จะช่วยบำรุงผิว ให้หน้าเต่งตึง เนียนกระชับ บำรุงผิว ผม และเล็บครับ

ลักษณะลวดลายประตูแบบนี้ถือเป็นเอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรมโมร็อกโก รีสอร์ทในเมืองไทยหลายแห่งนิยมจำลองซุ้มประตูแบบนี้มาเป็นจุดขายเพื่อสร้างความเป็นเอกลักษณ์ของรีสอร์ทครับ

เจ้าลาน้อย ถือเป็นอีกหนึ่งพาหนะยอดนิยมของชาวโมร็อกโกครับ นอกจากจะใช้ขี่แล้ว ยังใช้ขนของได้ด้วย

ตามข้อมูลบอกมาว่าตลอดระยะทางราว 2 กม. จากหน้าประตูด้านหนึ่งจอง Medina ไปถึงประตูอีกด้านหนึ่ง มีจำนวนตรอกซอกซอยนับรวมกันแล้วราวๆ เกือบหมื่นซอย มีซอยแคบที่สุดคือ 50 ซ.ม.- 3 เมตรครับ เท็จจริงยังไงไม่รู้ รู้แต่ว่า ถ้าสักแต่ว่าเดินแล้วไม่จำทาง หลงแน่นอนครับ

ด้วยลักษณะของพื้นที่ใน Medina เป็นซอยแคบ ที่ขนาบข้างด้วยอาคารบ้านเรือนที่มีโครงสร้างสูง จึงทำให้แสงส่องลงมาถึงค่อนข้างยาก ทำให้รู้สึกว่าที่นี่ค่อนข้างมืดเร็วมาก ขนาดพวกเราเผื่อเวลาสำหรับงมทางกลับมายังโรงแรมแล้ว เมื่อมาถึงโรงแรมก็มืดพอดีครับ

โครงสร้างภายในโรงแรม Riad Verus ไม่ต่างอะไรกับโรงแรมที่เรานอนที่ Rabat เลย คือเป็นอาคารทรงสูง มีพื้นที่ว่างตรงกลางคล้ายๆ กับปล่องไฟ ในภาพเป็นพื้นที่สำหรับ Check in ครับ

ติดกับพื้นที่ Check in เป็นพื้นที่ให้แขกได้นั่งพักผ่อนรวมถึงใช้เป็นพื้นที่สำหรับทานอาหารด้วยครับ

ภายในตกแต่งสวยงามดีนะครับ

นี่คือห้องพักของผมครับ อยู่ชั้นล่างเลย เป็นเตียง 2 ชั้น ซึ่งในห้องไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกอะไรเลย นอกจากโคมไฟ ปลั๊กไฟ เครื่องทำความร้อน สำหรับห้องน้ำเป็นห้องน้ำรวมอยู่ด้านนอกครับ

จริงๆ แล้ว กี้จองห้องพักผ่านเน็ตเป็นห้องแบบ 4 เตียง+ห้องน้ำในตัว ในราคา 80 EUR ไว้แล้ว แต่เนื่องจากความผิดพลาดของพนักงานกะเช้าที่พาเราไปร้านอาหารเมื่อตอนบ่าย เขาให้ห้องนี้แก่เราและแจ้งเราว่ามีเพียงห้องนี้ว่างเพียงห้องเดียว เราก็ต้องเลยตามเลย จริงๆ แล้วห้องที่เราได้ราคาเพียง 40 EUR เท่านั้น หลังจากอาบน้ำอาบท่า และเข้านอนเรียบร้อยแล้ว ผมก็ได้ยินเหมือนคนกำลังคุยกันแบบใส่อารมณ์กันอยู่ หนึ่งในเสียงนั้นคือเสียงของกี้ สักพักกี้เดินเข้ามาบอกกับพวกเราว่า เราโดนบังคับให้จ่ายค่าห้องนี้ถึง 80 EUR ตามที่เราจองทางเน็ตไว้ ทั้งๆ ที่เราควรจะจ่ายแค่ 40 EUR เท่านั้นเพราะเราไม่ได้นอนห้องที่เราจองไว้ กี้พยายามให้เหตุผลกับพนักงานกะดึกว่า พนักงานช่วงกะเช้าเป็นคนบอกว่าเหลือห้องพักนี้เพียงห้องเดียว แต่พนักงานกะดึกแจ้งว่า ยังมีห้องที่เราจองไว้ว่างอยู่ ยังไงเราก็ต้องจ่าย 80 EUR เพราะเราจองไว้แล้ว พนักงานยื่นข้อเสนอให้เรา 2 ข้อคือ ให้ย้ายไปเป็นห้องแบบที่เราจอง ซึ่งอยู่ชั้นบน กับ นอนห้องเดิมแล้วจ่าย 80 EUR เช่นเดิม มติของเราคือ จะขอย้ายห้องขึ้นไปพักตามห้องที่เราจองไว้ พนักงานก็อ้างว่าขอโทรติดต่อผู้จัดการก่อน แล้วสักพักก็มาบอกว่า ติดต่อผู้จัดการไม่ได้ เอาเป็นว่าไม่อยากไปต่อล้อต่อเถียงแล้วครับ เพราะเดี๋ยวจะโดนไล่ออกจากที่พักกลางดึก ก็เลยต้องเลยตามเลยครับ

เช้าวันใหม่ผมเดินขึ้นไปสำรวจบนชั้นดาดฟ้าของโรงแรมครับ

ด้านบนมีที่ให้นั่งชมวิวด้วย จุดชมวิวดาดฟ้าเหมาะกับการชมวิวเมือง Fes แบบไกลๆ แต่ถ้าวิวใกล้ๆ จะมองเห็นแต่หลังคาเต็มไปหมด

โซนนี้ไม่แน่ใจว่าเป็น Fes el-Jdid หรือเปล่าเพราะมองเห็นพระราชวังโบราณตั้งอยู่บนเนินเขา

ที่เห็นสีขาวๆ ด้านซ้ายมือ คือสุสานครับ เต็มพรืดไปหมดเลย

มื้อเช้าแบบเบาๆ ขนมปัง ไข่ดาว น้ำส้ม โยเกิต แยมแอพริคอต ชีส เหมือนเป็น Pattern อาหารเช้าของประเทศนี้เลยครับ แต่ที่ถูกใจผมเห็นจะเป็นน้ำส้มคั้นสด อร่อยมากครับ

หลังอาหารเช้า เรายังคงใช้วิธีเดินเท้าเพื่อไปเที่ยวชมยังจุดสำคัญของเมือง Fes ครับ

เริ่มกันที่ย่านทำเครื่องหนัง (Chouara tanneries) ใครมาที่ Fes แล้วไม่มาชมย่านทำเครื่องหนัง ผมว่าเหมือนมาไม่ถึง Fes ครับ ผมเองก็ไม่รู้หรอกว่าย่านทำเครื่องหนังอยู่ส่วนไหนของ Medina ต้องอาศัยสอบถามจากเจ้าถิ่นเอาครับ และอาจจะเป็นแจ๊คพ๊อตสำหรับผมที่ไปถามถูกคนเข้า เหมือนเขาจะเป็นนายหน้าที่จะพานักท่องเที่ยวไปส่งตามร้านต่างๆ เพื่อเอาค่านายหน้าครับ เขาพาผมไปส่งยังหน้าโรงงานฟอกหนัง และมีคนในโรงฟอกหนังมารับเราขึ้นไปดูการฟอกหนังบนชั้นดาดฟ้า แล้วอธิบายกรรมวิธีในการฟอกหนังให้เราฟัง ผมเองก็ฟังไม่ค่อยจะรู้เรื่องสักเท่าไรเนื่องจากภาษาอังกฤษไม่ค่อยแข็งแรง เลยใช้เวลาที่เขาบรรยายมาเก็บภาพแทนครับ

ภาพเบื้องหน้าที่เห็นคือบ่อน้ำเล็กๆ หลากหลายสีสันที่เรียงรายกว่าร้อยบ่อ รายล้อมด้วยตึกแถว แต่สิ่งที่สัมผัสได้มากกว่าสีสันคือกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์คละคลุ้งไปทั่วบริเวณบ่อฟอกหนังครับ กลิ่นที่คละคลุ้ง นอกจากจะเป็นกลิ่นเน่าของหนังแล้วยังมีกลิ่นของน้ำยาสารพัดชนิด และส่วนผสมพิเศษในการทำเป็นน้ำยาฟอกหนัง ลองนึกดูซิครับ ว่ามันทวีความรุนแรงขนาดไหน

หนังที่นำมาใช้จะเป็นหนังของแกะ แพะ อูฐหนังแต่ละชนิดจะนำไปใช้งานต่างกัน เราจะเห็นกรรมวิธีหลายอย่างจากลานฟอกหนังนี้ ตั้งแต่การลอกขน การย้อมสี การผึ่ง การนำมาตาก พื้นที่แทบทุกอณูของลานฟอกหนัง ใช้สำหรับกิจการฟอกหนังแบบเต็มพื้นที่ครับ

ถึงแม้ว่าปัจจุบันจะมีน้ำยาฟอกหนังต่างๆ มากมาย แต่ที่นี่ยังคงใช้ส่วนผสมพิเศษที่ใช้กันมาตั้งแต่ดั้งเดิม นั่นก็คือ น้ำยาที่มาจากมูลนกพิราบ ปัสสาวะวัว สองสิ่งนี้แหล่ะที่ทำให้บริเวณโรงฟอกหนังมีกลิ่นที่รุนแรงตลบอบอวลไปหมด

กิจการฟอกหนังของที่นี่สืบถอดกันมานานนับพันปีแล้วครับ

บางครั้งในโรงงานมีพื้นที่ไม่เพียงพอ หลังจากทำการย้อมหนังแล้ว เขาก็จะนำมาผึ่งแดดไว้บนภูเขาครับ ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นแผ่นหนังสีเลือดหมูตากไว้เป็นแนวยาวเลยครับ

หลังจากที่สูดกลิ่นน้ำยาฟอกหนังจนเต็มปอดแล้ว เราก็ค่อยๆ ทำตัวลีบเดินลงจากชั้นดาดฟ้าของโรงงานฟอกหนังครับ ทำไมต้องเดินตัวลีบ ก็เพราะเราคิดว่ายังไงเราคงต้องโดนตะล่อมให้ซื้อสินค้าเป็นแน่ๆ แต่พอเดินผ่านกระเป๋าใบหนึ่ง ซึ่งเป็นที่เตะตาของพี่ตั้มมาก ก็เลยสอบถามราคา ทีแรกทางร้านก็ตั้งราคาไว้สูงพอสมควร แต่พี่ตั้มก็สามารถต่อรองราคาจนเป็นที่น่าพอใจ สรุปว่าพี่ตั้มถอยกระเป๋ามาได้ 1 ใบครับ ใครที่มาเมือง Fes แล้ว ชอบเครื่องหนัง แนะนำให้ซื้อที่เมืองนี้ไปเลยนะครับ รับรองได้หนังแท้แน่นอน เครื่องหนังถือเป็นงานหัตถกรรมขึ้นชื่อของเมือง Fes ครับ

จบจากโรงงานฟอกหนัง เราก็เดินหาจุดสำคัญอีก 1 จุดที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาที่เมือง Fes นั่นก็คือ Kairaouine mosque

Kairaouine mosque เป็นมหาวิทยาลัยสอนศาสนาแห่งแรกของโมร็อกโกและเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ปัจจุบันมหาวิทยาลัยแห่งนี้ก็ยังคงเปิดสอนอยู่ครับ ด้านในอนุญาตให้เข้าได้เฉพาะผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามเท่านั้น ผมเลยได้แค่ยืนเก็บภาพถ่ายจากด้านนอกเท่านั้นครับ

เหมือนทุกอย่างจะเป็นใจไปซะหมด เมื่อเข้าไปดูด้านในไม่ได้ ก็จะมีอัศวินขี่ม้าขาวมาเสนอตัวว่าจะพาไปชมมุมสูงของ Kairaouine mosque ครับ ผมก็พอรู้ถึงจุดประสงค์ของคนที่จะพาผมขึ้นไปชมวิวด้านบนว่าเขาต้องการอะไร เพราะคงไม่พ้นพาพวกผมเข้าร้านค้าต่างๆ เพื่อค่านายหน้าครับ แต่ก็ไม่เป็นไร การรู้จักเอาตัวรอดเป็นยอดดี เราก็มีวิธีตีชิ่งของเราเช่นกันครับ

จากนั้นไกด์ที่ไม่ได้รับเชิญก็พาเราเข้าไปตามร้านค้าต่างๆ เหมือนอย่างที่เราคิดไว้จริงๆ เขาพาเข้ามายัง Government Capet Shop ซึ่งเป็นร้านขายพรม เจ้าของร้านออกมาต้อนรับด้วยอัธยาศัยอันดี มีการเสิร์ฟน้ำชาและของว่างด้วย แต่เรามีแผนจะตีชิ่งอยู่แล้วเลยปฏิเสธทางร้านเขาไป อาจดูเป็นการเสียมารยาทไปสักนิด แต่มันก็ทำให้สบายใจ เพราะขึ้นไปดูวิวบนร้านเขา แถมยังทานของว่างของเขา แต่ไม่ช่วยอุดหนุนอะไรเขาเลย ยอมรับนะครับว่าพรมสวยมากๆ แต่ราคาไม่น่าคบหาเอาซะเลย

ตลอดเส้นทางเดินที่สองข้างทางเป็นร้านค้า จะมีพ่อค้ามาทักทายเราตลอด Hello My friend..Where you come from? พอเราไม่ตอบก็จะทายชื่อประเทศต่างๆ นานา Japan? China? Malaysia?… พอเราไม่ตอบอีก ทีนี้ก็งัดคำทักทายของแต่ละชาติออกมาทักทายเรา บ้างก็หนีห่าวว บ้างก็อาริกาโตะ แต่ถ้าหากเราเผลอไปสนทนาด้วย ตอบไปว่า I come from Thailand เท่านั้นแหล่ะครับ เขาจะร้อง Oh.. Tony Jaa แล้วทำท่าเหมือนชกมวย

เรื่องการขายของ ผมว่าพ่อค้าที่นี่มีมารยาทดีครับ ถ้าหากเขามาเชื้อเชิญให้เราเข้าไปดูของ แต่เราไม่สนใจแล้วเดินผ่านไป เขาจะไม่ตามตื้อเรา ไม่เหมือนกับหลายๆ ที่ ที่พยายามจะยื้อยุดฉุดกระชากให้เราไปดูสินค้าในร้านเขาให้ได้

ภายใน Medina จะแบ่งพื้นที่ออกเป็นย่านขายสินค้า แต่ละย่านก็จะขายต่างชนิดกัน เช่นย่านนี้ขายผ้า ก็จะมีแต่ร้านขายผ้า จะไม่มีสินค้าอื่นมาแทรกเลย

ย่านนี้คือ Henna Souq จะขายน้ำมันที่เอามาเขียน Henna ครับ

ย่านนี้จะขายพวกกระเบื้องเคลือบดินเผาเพ้นท์ลายสวยงาม ผมว่าถ้าเทียบกับเมืองไทยก็น่าจะคล้ายๆ กับชุดเบญจรงค์ครับ ถือเป็นอีกหนึ่งสินค้าที่น่าสนใจที่จะซื้อเป็นของฝากหรือของใช้ครับ

ย่านนี้เป็นย่านขายรองเท้าหนัง อีกหนึ่งสินค้าที่แนะนำครับ

ย่านนี้เป็นย่านขายน้ำผึ้ง เนย ด้านบนเหมือนจะเป็นโรงเย็บตัดหนังอีกด้วยครับ

ร้านนี้กำลังทำที่นั่งสำหรับวางบนอูฐครับ

สินค้าหลากหลายมาก ทั้งพรม โคมไฟ เครื่องเทศ ชา หรือแม้แต่มะกอกดองครับ

ขนมปังที่ทางโรงแรมเสิร์ฟให้เราทุกมื้อเช้าครับ ขายกันแบบนี้เลย

ลวดลายตามผนังหรือโครงสร้างของประตู สวยงามมากครับ

บางช่วงที่เดินผ่านซอยแคบๆ เห็นมีไม้ค้ำยันแบบนี้แล้วก็เสียวๆ ว่ามันจะถล่มลงมาใส่หัวเหมือนกัน

ทับทิมครับ หวาน อร่อย ชื่นใจ

ก่อนมื้อเที่ยง เราแวะเที่ยวชมเมเดอร์ซา บูอิมาเนีย (Merdersa Bou Imania) ที่นี่เสียค่าเข้าชม 20 Dh ครับ

เมเดอร์ซา บูอิมาเนีย (Merdersa Bou Imania) เป็นโรงเรียนสอนพระคัมภีร์ เป็นสถาปัตยกรรมแบบมัวร์ที่สวยงามมาก สร้างขึ้นในช่วง ค.ศ.1351 – 1356 เป็นสถานที่ทางศาสนาอิสลามเพียงไม่กี่แห่งที่อนุญาตให้บุคคลต่างศาสนาเข้าชมด้านใน

ภายในมีลวดลายของโมเสกและการสลักปูนปั้นตามโค้งประตูสวยงามมากเลยครับ พื้นปูหินอ่อนและมีอ่างน้ำเล็กๆ อยู่กลางโรงเรียนด้วยครับ

เดินออกมาจาก เมเดอร์ซา บูอิมาเนีย พลันสายตาก็มองเห็นนาฬิกาน้ำ (Water clock) นาฬิกาสมัยโบราณ ซึ่งติดตั้งอยู่เหนือประตูร้านค้าเป็นแนวยาว

ผมไม่มีข้อมูลเลยว่า Water clock มีประวัติมายาวนานอย่างไร มีการใช้งานอย่างไรและปัจจุบันยังคงใช้การได้อยู่หรือไม่

และบริเวณ Water clock เป็นที่ตั้งของ Café Clock ซึ่งเราจะฝากท้องสำหรับมื้อเที่ยงนี้ครับ

แฮมเบอร์เกอร์เนื้ออูฐครับ เสิร์ฟพร้อม French fries เนื้ออูฐออกสาบหน่อยๆ

แฮมเบอร์เกอร์เนื้อแกะ เสิร์ฟพร้อม French fries เช่นกันครับ

สลัดไก่ครับ โดยรวมแล้วรสชาติอาหารมื้อนี้ถูกปากกว่ามื้อแรกของเมื่อวานครับ

หลังจากอิ่มท้องแล้ว เราก็มุ่งหน้าสู่จุดหมายต่อไปของเราคือพระราชวังหลวงแห่งเฟส (The Royal Palace) ครับ

เดินไปเรื่อย ผ่านกำแพงเมือง

ผ่านสวนอะไรสักอย่าง มองแล้วน่าจะเป็นที่พักผ่อนของชาวเฟส แต่วันนั้นสวนปิด เลยได้แต่เก็บบรรยากาศอยู่ด้านนอกครับ

เดินมั่วไปมั่วมา เห็นป้ายเขียนบอกว่า The Royal Palace อยู่ด้านหลังกำแพง เราก็ไปด้อมๆ มองๆ ก็ไม่เห็นว่ามันจะมีทางเข้าไปด้านใน แล้วด้านหลังกำแพงก็ไม่เห็นจะมีวังอะไรเลย แต่ฝั่งตรงข้ามของกำแพงนี้ซิ น่าสงสัยว่ามันคืออะไร เพราะเห็นมีทหารยืนอารักขา แถมห้ามถ่ายรูปซะด้วย ใจแอบคิดว่าคงเป็นด้านหลังของ The Royal Palace เป็นแน่ๆ แต่เท่าที่หาข้อมูลมา ผมก็เห็นมีคนถ่ายรูปที่ประตูบริเวณ The Royal Palace กันมากมาย คิดว่าจุดที่ผมอยู่ตรงนี้คงไม่ใช่ The Royal Palace แน่นอน เพราะสิ่งที่เคยเห็นในรูปกับสิ่งที่ผมเห็นอยู่ตอนนี้มันไม่เหมือนกันเลย แต่ก็พยายามเดินหา The Royal Palace อยู่นาน แต่ก็ไม่เจอ เลยถอดใจ กลับไปยังโรงแรมครับ

เมื่อถึงโรงแรม เราจัดแจงอาบน้ำอาบท่าเพื่อเตรียมเดินทางต่อไปยังเมืองเมอร์ซูก้า (Merzouga) คืนนี้เราจะนอนกันบนรถบัสครับ

เราฝากทางโรงแรมเป็นผู้จองรถบัสให้ ค่ารถ 170Dh ค่าบริการจองรถที่โรงแรมเรียกเก็บเพิ่มจากเราอีก 30 Dh ครับ สภาพรถบัสคล้ายๆ กับรถทัวร์ ป.2 บ้านเรา ไม่มีห้องน้ำในรถ เมื่อได้เวลา20.30 น. ก็เริ่มออกเดินทางครับ


ติดตามชม Explore MOROCCO # 4 : แผ่นฟ้าจรดผืนทราย ที่ Merzouga ได้ที่ https://th.readme.me/p/3012

ความคิดเห็น