ติดตามชมตอนแรก Explore MOROCCO # 1 : นครขาว-ฟ้า Rabat ได้ที่ https://th.readme.me/p/3007

ติดตามชมตอนสอง Explore MOROCCO # 2 : ย้อนเวลาสู่เมืองโรมัน Volubilis ได้ที่ https://th.readme.me/p/3010

ติดตามชมตอนสาม Explore MOROCCO # 3 : เข้าตามตรอก ออกตามซอย ใน Fes ได้ที่ https://th.readme.me/p/3011


ผมหลับๆ ตื่นๆ อยู่ตลอดเวลา รถบัสมีจอดแวะพักระหว่างทางเหมือนรถทัวร์บ้านเราที่จะแวะพักทานข้าวมื้อดึก แต่ที่นี่ถ้าใครอยากทานอะไรก็หาซื้อเอง ไม่มีหางบัตรแลกอาหารเหมือนบ้านเราครับ

เมอร์ซูก้า (Merzouga) เป็นเมืองในทะเลทรายซาฮาร่า ซึ่งเป็นทะเลทรายที่ใหญ่ที่สุดในโลก ครอบคลุมถึง 10 ประเทศในแอฟริกา ตลอด 1 วัน 1 คืน เราจะได้สัมผัสกับทะเลทรายซาฮาราอย่างเต็มอิ่มครับ

ราว 05.45 น. รถก็มาจอดสนิทที่ท่ารถ เป็นอันว่าเรามาถึง Merzouga อย่างปลอดภัย ฟ้ายังคงมืดสนิท มีเพียงคณะเราคณะเดียวที่เหลืออยู่ในรถ เมื่อก้าวเท้าลงจากรถก็เริ่มรับรู้ได้ว่า อากาศภายนอกมันช่างหนาวเหน็บซะเหลือเกิน พยายามมองหาคนที่ บ.ทัวร์ส่งให้มารับเรา แต่ก็มองไม่เห็นใครเลย แต่เพียงไม่ถึง 1 นาที ก็มีแสงไฟรถส่องมาที่เรา แล้วเรียกชื่อเรา เป็นอันว่า เราไม่ต้องมายืนหนาวสั่นอยู่ข้างถนนแล้ว การท่องเที่ยวในซาฮาราของเรานั้น เราต้องซื้อ Package Tour ของที่นี่ครับ

บ.ทัวร์พาเรามาส่งยังโรงแรม Riad DAR TAFOUYTE และให้เราพักผ่อนเพื่อตุนแรงกันสักนิดหน่อย ก่อนที่จะออกลุยกันตลอดวันครับ ภายในที่พักจะแบ่งเป็น 2 ห้องนอน 1 ห้องนั่งเล่น 1 ห้องน้ำครับ ยังพอมีเวลาสัก 2 ชั่วโมงก่อนที่จะทานอาหารเช้า ผมเลยของีบเอาแรงสักหน่อยครับ

8 โมงก็ออกมาทานอาหารที่ห้องอาหารของโรงแรมครับ

บรรยากาศภายในห้องอาหาร ที่นี่มี wifi ให้เล่นด้วย ใครจะไปเชื่อว่าขอบๆ ทะเลทรายจะมี wifi ให้เล่นด้วย แต่ wifi ที่นี่สัญญาณค่อนข้างแกว่ง คือเดี๋ยวเล่นได้ เดี๋ยวเล่นไม่ได้ครับ

อาหารเช้าก็คล้ายๆ กับทุกโรงแรมที่ผ่านมา ขนมปัง แยม ชีส ไข่ โยเกิต น้ำส้มและกาแฟครับ

มีสระว่ายน้ำด้วยน๊า ว่ายน้ำไป ชมวิวทะเลทรายไปพร้อมๆ กันด้วยน๊า

นี่คือห้องพักของเรา ด้านบนมีลานสำหรับยืนชมวิวมุมสูงด้วยครับ

วิวจากลานชมวิวบนห้องพักของผม สามารถชมวิวได้ 360 องศากันเลยทีเดียว เห็นหมู่บ้านริมทะเลทรายของชนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ในทะเลทรายซาฮาร่า ซึ่งส่วนใหญ่คือเบอร์เบอร์ที่เป็นชนเผ่าทัวเร็ก (Tuareg) รวมถึงเห็นภูเขาทรายขนาดใหญ่ ซึ่งเดี๋ยวเราจะไปนอนด้านหลังภูเขาทรายที่เห็นครับ

หลังอาหารเช้า เราเริ่มออกนั่งรถเที่ยวรอบๆ ทะเลทรายครับ

โดยปกติพื้นที่บริเวณซาฮาราจะไม่เหมาะกับการเพาะปลูก เพราะฝนตกน้อยมาก แต่บริเวณใกล้ๆ โรงแรมยังพอมีแหล่งชุ่มน้ำอยู่บ้าง จึงทำให้ชาวบ้านแถวนี้ยังยึดอาชีพเกษตรกรรมเป็นอาชีพเสริม พืชที่ปลูกได้ในบริเวณนี้มีเพียงอินทผาลัม หัวหอม มะเขือเทศ และมันฝรั่งครับ

มิตซูบิชิ ปาเจโร 4x4 คือพาหนะที่พาเราออกไปตะเวนรอบภูเขาทะเลทรายครับ วันนี้ถึงแม้ท้องฟ้าจะปิด มีเมฆมาก แต่เราก็ยังได้เห็นพระอาทิตย์ทรงกลดครับ

ทะเลทรายซาฮาร่า (Sahara Desert) เป็นทะเลทรายที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ที่สุดในโลก มีเนื้อที่ประมาณ 9.3 ล้านตารางกิโลเมตร หรือเทียบได้กับอเมริกาทั้งประเทศเลยครับ ซาฮาร่าตั้งอยู่ทางตอนเหนือของทวีปแอฟริกาครับ

จุดหมายแรก คนขับพาเราไปจอดที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง สักพักก็มีชายผิวดำสวมชุดประจำเผ่าสีขาว ซึ่งตัดกับสีผิวเป็นอย่างมากออกมาต้อนรับคณะของพวกเราครับ

ภายในบ้านของชนผิวดำครับ


มีการมาร้องเพลงประกอบดนตรีให้เราฟัง เครื่องดนตรีมี 3 ชนิด ประกอบด้วยกลอง เครื่องดีดรูปทรงคล้ายกีต้าร์บ้านเรา และอีกสิ่งหนึ่งคล้ายๆ กับกรับ+ฉิ่งผสมกันครับ มีการเสิร์ฟชามิ้นท์และถั่วคั่วให้เราทานระหว่างชมการแสดงด้วย ก่อนที่จะจบการแสดง มีการเชิญให้พวกเราออกไปเต้นรำกับเขาด้วย

หลังจบการแสดง จะมีการนำซีดีผลงานของพวกเขาออกมาให้พวกเราชม หากเราสนใจก็สามารถซื้อกลับไปฟังที่บ้านได้ แต่ผมไม่ได้อุดหนุนเขาเพียงแต่ให้สินน้ำใจสำหรับการแสดงไปแทนครับ

เครื่องดนตรีของชนผิวดำที่นำมาแสดงให้เราได้ชมได้ฟังกันครับ

จุดหมายที่สอง เดินทางกันต่อสู่จุดชมวิวครับ

ฝั่งหนึ่งสามารถชมเนินทรายได้อย่างสวยงามมากๆ อีกฝั่งให้ความรู้สึกเหมือนทะเลทรายดำในประเทศอียิปต์ ที่ที่ผมเคยมีโอกาสได้สัมผัสมาแล้ว

ผ่านหมู่บ้านร้าง

และมาจอดแวะที่เหมืองขุดแร่แห่งหนึ่ง เห็นว่าแร่ที่นี่ส่งทางยุโรปครับ

บริเวณปากบ่อขุดแร่ มีพ่อค้ามาขายเศษหิน ที่บอกกับพวกเราว่าเป็นฟอสซิลครับ นอกจากนี้ยังมีผงแร่ที่คนขับรถบอกว่าเอาไปใช้เป็นส่วนผสมของอายแชโดว์ อันนี้เท็จจริงอย่างไรไม่ทราบนะครับ เพราะเขาเล่ามาอีกที

จากนั้นก็นั่งชมบรรยากาศไปเรื่อยๆ ที่เห็นทิวเขาไกลๆ โน่น ด้านหลังคือประเทศแอลจีเรียครับ

ซักพักคนขับรถตาดี มองเห็นชนเร่ร่อนที่กำลังเลี้ยงอูฐอยู่ เลยพาพวกเราเข้าไปชมกันใกล้ๆ ครับ

โฉมหน้าคนขับและคนพาเที่ยวให้กับคณะเรา บริการดีเชียว อยากจะให้จอดตรงไหนขอให้บอก จัดให้เราตลอดทางครับ


แล้วก็มาแวะที่ที่พักของชนเผ่าเร่ร่อน โชเฟอร์จอดรถให้เราถ่ายรูป เราเลยขอใช้โดมที่พักเป็นที่พักของพวกเราสำหรับทานมื้อเที่ยงกันซะเลยครับ

เจ้าของบ้านนำชามิ้นท์และถั่วคั่วมาต้อนรับเรา คนขับรถอาสาบริการชงชาให้กับพวกเรา ขอบอกว่าถั่วคั่วยิ่งเคี้ยวยิ่งมันแบบหยุดไม่อยู่ครับ ทานคู่ชามิ้นท์หวานๆ หอมๆ ร้อนๆ มันเข้ากันมากๆ เลยทีเดียว

มื้อเที่ยงของเราเป็นขนมปังครับ วัตถุดิบประกอบด้วยชีส มะเขือเทศและมะกอกดอง กรรมวิธีปรุงก็แบบง่ายๆ ครับ จับส่วนผสมทั้ง 3 ยัดๆ ใส่ขนมปังเป็นอันเสร็จพิธี

หลังมื้อเที่ยง ก็ชมบรรยากาศรอบๆ ทะเลทรายกันต่อ เส้นทางที่คนขับพาเราไปตั้งแต่เช้าจนถึงช่วงบ่าย จะวนเป็นวงกลมรอบทะเลทรายครับ

ประมาณบ่ายสองโมงครึ่งเราก็กลับมาถึงที่พักอีกครั้ง เพื่อเตรียมเก็บของใช้เล็กๆ น้อยๆ เช่น แปรงสีฟัน ยาสีฟัน เสื้อกันหนาว เพื่อจะนำไปใช้กลางทะเลทราย คืนนี้เราจะนอนท่ามกลางหมู่ดาว กลางทะเลทรายซาฮาราครับ

บ่ายสามโมง เราเริ่มออกเดินทางสู่ทะเลทรายซาฮาร่ากันครับ แต่รอบนี้เราไม่ได้นั่งรถแล้ว แต่เราจะขี่อูฐเข้าไปด้านในทะเลทราย

สำหรับจุดขึ้นอูฐก็อยู่ด้านหน้าของที่พักเรานั่นเอง ก่อนเดินทางคนจูงอูฐจะนำเชือกมาผูกไว้ที่ปากล่างของอูฐ แล้วนำเชือกมาคล้องกับอูฐที่อยู่ตัวหน้าเพื่อจัดรูปขบวนครับ

เมื่อจัดการจัดระเบียบอูฐเรียบร้อยแล้ว ก็ออกเดินทางกันเลยครับ

อูฐที่นี่เป็นอูฐแบบโหนกเดียว ทำให้เวลานั่งต้องควบคุมตัวเองให้ดีๆ ผมเองเคยมีประสบการณ์การนั่งอูฐมาก่อนหน้านี้แล้ว 2 ครั้ง ทั้งแบบอูฐโหนกเดียวและแบบสองโหนก จึงทำให้ผมไม่กังวลอะไรมากนัก แต่ที่ต้องระวังก็คือตอนที่อูฐยืนและอูฐนั่งนี่แหล่ะครับ ถ้าจับไม่ดี มีร่วงแน่นอน

เท่าที่ได้สัมผัสทะเลทรายมาแล้ว หนนี้เป็นหนที่สาม ผมประทับใจที่นี่มากที่สุดเลยครับ มันเห็นเนินทะเลทรายสีทองกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา มองไปทางไหนก็สวยงาม น่าค้นหาซะจริงๆ

วันนี้ท้องฟ้าไม่ค่อยเป็นใจสักเท่าไร มีเมฆปกคลุมมาก แดดหุบๆ โผล่ๆบางทีแสงแดดก็ดูอ่อนแรงซะเหลือเกิน ผมถอดใจที่จะได้เห็นแสงสุดท้ายกลางทะเลทรายแล้ว อูฐพาเรามาอยู่กลางทะเลทรายได้สักพัก ผมเลยขอให้คนจูงอูฐหยุดพักเพื่อขอถ่ายภาพช่วงที่ยังพอมีแดดอยู่ เพราะมองดูแล้ว หากเราไปถึงที่พัก ผมคิดว่าแสงคงหมดพอดี ขอแนะนำว่า หากเราต้องการจะหยุดถ่ายภาพตรงไหนขอให้บอกคนจูงอูฐได้เลยนะครับ เพราะถ้าไม่บอก เขาจะพาเรานั่งอูฐรวดเดียวไปจนถึงที่พักครับ

ผมแวะได้สักพักก็รีบออกเดินทางต่อ เพราะว่ากลัวจะมืดระหว่างทางครับ

เขียวๆ ที่เห็นด้านขวา คือพื้นที่ชุ่มน้ำ ซึ่งจะเป็นที่พักของเราในคืนนี้ครับ

เราใช้เวลาราว 1 ชั่วโมงก็มาถึงบริเวณที่พักของเรา เต้นท์ที่พักของเรามีพื้นที่ส่วนกลางสำหรับทำกิจกรรมรอบกองไฟ และมีเต้นท์ที่พักเรียงรายอยู่โดยรอบ มีห้องน้ำรวมให้อีก 2 ห้อง ครับ

หลังจากเก็บของเข้าเต้นท์เรียบร้อยแล้ว คนจูงอูฐก็แนะนำให้เรารีบขึ้นไปยัง เอร์ก เชบบี้ (Erg Chebbi Dunes) ซึ่งเป็นเนินทรายที่สูง อยู่ด้านข้างของที่พักของเรานั่นเอง เพื่อไปชมพระอาทิตย์ตกท่ามกลางทะเลทราย ผมแหงนคอตั้งบ่าเพื่อประเมินความสูงของเนินทราย คนจูงอูฐบอกว่าใช้เวลาในการปีนประมาณ 45 นาที ผมคำนวณเวลาดูแล้ว กว่าเราจะขึ้นถึงด้านบนสุดคงไม่ทันพระอาทิตย์ตกอย่างแน่นอน เราเลยมองหาเนินทรายที่ไม่สูงจนเกินกำลังของเราจะขึ้นไหว เพื่อขึ้นไปนั่งชมริ้วคลื่นของทะเลทรายครับ

กว่าจะขึ้นได้แต่ละเนิน มันช่างลำบากและเหนื่อยมากๆ เหมือนเดินย่ำเท้าอยู่กับที่ครับ อีกทั้งเรายังต้องแข่งกับเวลาด้วย เพราะอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้าแล้ว ยิ่งเพิ่มความเหนื่อยให้กับผมมากขึ้น

ไม่ไกลจากเต้นท์ที่พักของเรามากนัก ก็ยังมีพื้นที่ชุ่มน้ำที่ทำเป็นที่พักเหมือนกับเต้นท์ของเราเช่นกัน

เสียดายที่ฟ้าไม่เป็นใจ เราเลยไม่เห็นแสงสุดท้ายสวยๆ เลยครับ

สภาพเต้นท์ที่พักของเราครับ ตัวเต้นท์ด้านนอกเป็นผ้าหนาๆ ส่วนด้านในมีผ้าตกแต่งให้ดูสวยงาม มีโคมไฟให้ส่องสว่าง 1 ดวง ที่สำคัญ มีเตียงนอนด้วย

เรานอนเล่นกันสักพักก็ถึงเวลาอาหารมื้อค่ำ เลยมานั่งรออาหารในเต้นท์ที่จัดเตรียมไว้เป็นห้องอาหาร สักพักอาหารก็นำมาเสิร์ฟ มื้อนี้มีอาหาร 2 เมนู เมนูแรกลักษณะเหมือนข้าวยำ คือมีผักต่างๆ นานาชนิด รสชาติบอกไม่ถูกเหมือนกัน ส่วนอีกเมนูหนึ่งเป็นไก่อบผัก สองเมนูนี้เสิร์ฟพร้อมขนมปังและซุป ลักษณะซุปรสชาติเหมือนลูกเดือย สำหรับมื้อนี้ผมได้ขนมปัง ไก่อบ และซุปลูกเดือยช่วยชีวิตเอาไว้ครับ

ก่อนนอนขอออกมาชมทะเลดาวกันสักหน่อยครับ แต่ชมได้ไม่นานก็คงต้องยอมแพ้ความหนาว รีบหนีกลับเข้าเต้นท์ ไปนอนซุกผ้าห่มอุ่นๆ ดีกว่า ช่วงค่ำหลังอาหารจะมีการ้องรำของชนพื้นเมืองด้วย แต่ผมไม่อยากทนหนาวครับ เลยขอนอนพักผ่อนดีกว่า เพราะตอนเช้าผมต้องออกเดินทางแต่เช้ามืดครับ

เช้าวันใหม่ เราต้องนั่งอูฐเพื่อเดินทางกลับโรงแรมกันตั้งแต่ตี 5 เพื่อที่จะไปให้ทันขึ้นรถบัส ที่จะไปยังเมืองวอซาเซท (Ouarzazate) ครับ

ต้องยอมรับถึงความชำนาญในเส้นทางของคนจูงอูฐจริงๆ ครับ รอบตัวเรามองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากความมืด มีเพียงแสงสว่างเล็กๆ ที่ส่องออกไปด้านหน้า ด้วยระยะความสว่างไม่ถึง 2 เมตร เขาก็ยังสามารถพาเราเดินทางกลับสู่โรงแรมได้ บรรยากาศบนหลังอูฐยามนี้มันช่างหนาวเหน็บซะเหลือเกิน

เรากลับมาถึงโรงแรมพร้อมกับแสงแรกของวัน นึกเสียดายมากๆ ที่ไม่มีโอกาสได้อยู่รอดูแสงแรกที่จะสาดส่องลงไปยังริ้วคลื่นของทะเลทราย

เห็นแสงแบบนี้แล้วมันช่างบาดใจผมซะเหลือเกิน หากใครอยากจะมาสัมผัสความยิ่งใหญ่ของซาฮาร่า ผมแนะนำให้เช่ารถมาจะดีกว่านะครับ คุณจะได้มีเวลาสัมผัสซาฮาร่าในช่วงเวลาสำคัญๆ อย่างในช่วงพระอาทิตย์ตกและพระอาทิตย์ขึ้นได้นานกว่าผม

หลังทานมื้อเช้าเรียบร้อย ผมขอขึ้นไปเก็บภาพประทับใจอีกครั้งบนลานชมวิวเหนือห้องพักของผม จากนั้นคนขับรถพาผมไปส่งยังท่ารถครับ

สำหรับเพื่อนคนไหนสนใจทริปขี่อูฐ นอนกลางทะเลทรายซาฮาร่า คงต้องซื้อแพคเกจทัวร์เอานะครับ ค่าแพคเกจขี่อูฐไป-กลับ, นอนเต้นท์กลางทะเลทราย, ค่าห้องพักที่ RiadDAR TAFOUYTE รวมถึง อาหารเช้า 2 มื้อ และอาหารค่ำ 1 มื้อ ราคาอยู่ที่ 40 EUR/คน และถ้าใครอยากนั่งรถชมบรรยากาศรอบทะเลทรายเหมือนผม ก็เหมารถเพิ่มอีกคันละ 150 EUR/คัน รวมอาหารกลางวันแบบปิกนิก รถ 1 คันสามารถนั่งได้ 4 คนครับ


ติดตามชม Explore MOROCCO # 5 : ตะลุยเมืองแห่งภาพยนตร์ Ouarzazate ได้ที่ https://th.readme.me/p/3013

ลุงเสื้อเขียว

 วันอังคารที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 14.36 น.

ความคิดเห็น