ติดตามชมตอนแรก Explore MOROCCO # 1 : นครขาว-ฟ้า Rabat ได้ที่ https://th.readme.me/p/3007

ติดตามชมตอนสอง Explore MOROCCO # 2 : ย้อนเวลาสู่เมืองโรมัน Volubilis ได้ที่ https://th.readme.me/p/3010

ติดตามชมตอนสาม Explore MOROCCO # 3 : เข้าตามตรอก ออกตามซอย ใน Fes ได้ที่ https://th.readme.me/p/3011

ติดตามชมตอนสี่ Explore MOROCCO # 4 : แผ่นฟ้าจรดผืนทราย ที่ Merzouga ได้ที่ https://th.readme.me/p/3012


โปรแกรมสำหรับวันนี้ เราจะเดินทางจากเมอร์ซูก้า (Merzouga) ไปยังเมืองวอซาเซท (Ouarzazate) ที่เราไม่เลือกเหมารถไป เพราะว่าเราจะตรงดิ่งเข้า Ouarzazate โดยไม่แวะเที่ยวระหว่างทางครับ ดังนั้นการเลือกใช้บริการรถบัสจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เพราะประหยัดเงินในการเดินทางที่สุดครับ

คนขับรถพาเรามาส่งยังท่ารถ ซึ่งเป็นท่าเดียวกันและบริษัทเดียวกันกับที่เราเดินทางจาก Fes มายัง Merzouga ครับ

ค่ารถจาก Merzouga ไปยัง Ouarzazate 145 Dh ล้อหมุนเวลา 08.00 น. ครับ

บรรยากาศสองข้างทางทำให้ผมเพลิดเพลินได้ตลอดเส้นทาง เพราะภูมิประเทศแบบนี้หาไม่ได้ที่บ้านเราครับ ผ่านโอเอซิส ดงปาล์ม

ผ่านภูมิประเทศที่ดูแห้งแล้ง มองเห็นเทือกเขาแอตลาส (Atlas Mountains) ซึ่งเป็นแนวเทือกเขาที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือและทางเหนือของทวีปแอฟริกา พาดผ่านตั้งแต่ชายฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของโมร็อกโกที่บริเวณอ่าวอากาเดีย (Agadir) ริมฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ขึ้นไปจนจรดชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของตูนิเซีย มีความยาวของเทือกเขาโดยรวมประมาณ 2,500 กม. ครับ ในช่วงฤดูหนาวภูเขาแอตลาสจะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะครับ

ผ่านเมืองเล็กเมืองน้อย ให้เราได้กดชัตเตอร์ไปตลอดทาง

รถบัสจอดแวะให้ผู้โดยสารได้พักทานมื้อบ่ายกันที่ปั๊มน้ำมัน โดยให้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง ข้างๆ ปั๊มน้ำมันจะเป็นร้านอาหาร ดูจากหน้าตาเมนูแล้ว คิดว่าสเต๊กไก่คงจะเหมาะกับเราที่สุดครับ จานนี้ 50 Dh เราเองก็ลืมบวกลบเวลาในการปรุงสเต๊กไก่ของทางร้าน เพราะกว่าจะมาเสิร์ฟก็กินเวลาไปกว่า 10 นาทีครับ ดังนั้นเวลาที่เหลือเราจึงต้องรีบทานแบบไม่พูดไม่จากันเลย ยอมรับว่ามื้อนี้เหนื่อยกับการทานจริงๆ ครับ

จากนั้นก็เริ่มเดินทางกันต่อผ่านเมืองอีกหลายเมืองกว่าจะถึง Ouarzazate ครับ

Ouarzazate ดินแดนที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น "ประตูสู่ทะเลทราย" เดิมเป็นที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ ในปี 1928 ฝรั่งเศสได้ตั้งกองกำลังทหารและพัฒนาให้ที่นี่เป็นศูนย์กลางการบริหาร Ouarzazate เป็นเมืองที่สำคัญที่สุดทางตอนใต้ในฐานะเป็นจุดเชื่อมของเส้นทางการค้าระหว่างทะเลทรายซาฮาร่ากับเมืองที่อยู่เหนือขึ้นไป ปัจจุบัน Ouarzazate เป็นเมืองที่ค่อนข้างเงียบสงบแต่ยังคงความเก่าแก่โบราณด้วย

Ouarzazate เป็นเมืองที่ถูกส่งเสริมให้เป็นเมืองท่องเที่ยวที่แวดล้อมไปด้วยสตูดิโอภาพยนตร์ และมีการพัฒนาพื้นที่ในทะเลทรายเพื่อการทำกิจกรรมต่างๆ เช่น การขี่อูฐ กิจกรรมผจญภัยกลางทะเลทราย

รถบัสที่ผมนั่งไม่ได้สุดสายที่ Ouarzazate นะครับ ราว 16.00 น. คนขับรถก็ตะโกนบอกว่า ถึงOuarzazate แล้ว หลังจากลงรถเรียบร้อยก็หา Taxi เพื่อให้ไปส่งยังที่พักของเราครับ

ที่พักอยู่ห่างจากตัวเมืองเล็กน้อย คืนนี้เราเข้าพักที่ Dar Rita คนดูแลเป็นคนผิวสี ทีแรกก็ดูน่ากลัว แต่เขาให้การต้อนรับเราเป็นอย่างดีครับ

มี Welcome Drink เป็นชามินท์ รวมถึงของว่างครับ ที่นี่จะมีส้มไว้ให้แขกได้ทานด้วย ใครอยากทานก็หยิบทานได้เลยครับ

มาดูบรรยากาศภายในที่พักกันครับ

ห้องนี้เป็นแบบเตียงเดี่ยวครับ สีห้องดูจี๊ดมากๆ

ภายในห้องน้ำ

ห้องพักอีกห้องนึ่งเป็นเตียงคู่ครับ ห้องพักแบบเตียงคู่จะดูกว้างกว่าแบบห้องเตียงเดี่ยว แต่เตียงคู่ไม่ได้วางคู่กันเหมือนตามโรงแรมทั่วไป แต่จะวางให้ได้ตามแปลนของห้องมากกว่า (จริงๆ แล้วห้องนี้สามารถนอนได้ 3 คน เพราะเตียงเดี่ยว 1 เตียงมีขนาดใหญ่สามารถนอนได้ 2 คน ส่วนอีกเตียงเป็นเตียงเล็ก สามารถนอนได้เพียง 1 คน) คืนนี้เราจองมา 2 ห้อง เพราะที่นี่ไม่มีห้องพักแบบ 4 เตียง สนนราคาอยู่ที่ 60 EUR/ห้องครับ

ดูจากเวลาแล้วยังพอมีเวลาเหลือพอที่เราจะแวะสำรวจเมือง Ouarzazate กัน จากที่พักเราเดินออกมาที่ถนนใหญ่แล้วเรียก Taxi เพื่อให้ไปส่งยัง ป้อมทาเริท (Taourirt Kasbah)

ป้อมทาเริท เป็นป้อมแห่งตระกูลกลาวี ลักษณะของป้อมเป็นอาคารขนาดใหญ่ ด้านหน้าเป็นลานกว้าง ภายในตัวอาคารขนาดใหญ่จะแบ่งเป็นห้องเล็กห้องน้อยมากมาย มากจนทำให้ผมเดินหลง งงอยู่ในนั้นกับพี่นัท 2 คนเป็นเวลานานครับ เรียกได้ว่าใจคอไม่ดีเลยเหมือนกัน

มีการตกแต่งเพดานและผนังห้องด้วยสีสันและลวดลายที่สวยงามมากครับ

ห้องบนสุดด้านบน สามารถมองชมเมือง Ouarzazate ได้ในระยะไกลครับ มองเห็นทะเลสาบด้วย

การเข้าชมที่นี่ต้องเสียค่าเข้าชมถึง 20 Dh ถามว่าคุ้มไหม ตอบเลยว่าไม่คุ้มค่าเงินครับ เพราะดูแล้วผมไม่เห็นว่าจะมีอะไรโดดเด่นซักเท่าไรเลย นอกจากลวดลายบนเพดานที่พอจะเห็นถึงความสวยงามครับ แต่ถ้าเก็บที่ 10Dh ผมว่าก็ยัง OK ครับ

มองดูด้านหลังของป้อมทาเริทก็พอจะรู้ว่าเต็มไปด้วยห้องเล็กห้องน้อยมากมายครับ

ด้านหน้าของหอทาเริทมีร้านขายของที่ระลึกด้วยครับ

ฝั่งตรงข้ามของหอทาเริท เป็น Musée de Cinema เป็นสถานที่ที่จัดแสดงนิทรรศการขนาดเล็กที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในเมือง Ouarzazate ไม่ว่าจะเป็นชุดของนักแสดง รวมถึงอุปกรณ์ประกอบฉากอื่นๆ ถือเป็นอีกทางเลือกที่สะดวกถ้าหากว่าเราไม่มีเวลาไปดูสตูดิโอขนาดใหญ่ที่อยู่นอกเมืองครับ แต่ที่นี่ผมเองก็ไม่ได้เข้าไปชมนะครับ

ด้านข้างของ Musée de Cinema เป็นที่ขายของฝากเช่นกันครับ


บรรยากาศของเมือง Ouarzazate มีฉากหลังเป็นเทือกเขาแอตลาสด้วย นี่ขนาดยังไม่มีหิมะปกคลุม ยังสวยงามไม่เบา ไม่อยากจะนึกเลยว่าถ้าบนยอดเขามีหิมะปกคลุมด้วยมันจะสวยงามขนาดไหน

เดินกันจนเมื่อย แถมหิวอีกต่างหาก เลยหาแวะทานมื้อค่ำก่อนที่จะเข้าที่พักครับ

มื้อนี้ขอเป็นสเต๊กอีกครั้งครับ มีทั้งเนื้อวัว เนื้อแกะ เนื้อไก่ เสิร์ฟมาพร้อมกับข้าวผัดกับเครื่องแกงของโมร็อกโกครับ อร่อยดีเหมือนกันครับ

กลับมาถึงที่พัก แวะนั่งพักที่ห้องรับรองแขกของทางโรงแรมกันสักแป๊บ ทานส้มที่ทางโรงแรมเตรียมไว้ให้สักเล็กน้อย ก่อนขึ้นไปนอนพักผ่อนครับ

เช้าวันใหม่เรามีแผนจะเดินทางไปยังเมืองมาราเกซ (Marrakesh) แต่ว่าเราจะแวะเที่ยวกันระหว่างทางด้วย ดังนั้นในวันนี้เราจึงเหมา Taxi คันใหญ่ ซึ่งเป็นรถเบนซ์รุ่นเก่าไปกันครับ สำหรับค่าเหมา Taxi อยู่ที่ 1,200 Dh ครับ

ก่อนออกเดินทางก็คงต้องเติมพลังกันก่อนครับ

เท่าที่ผ่านมา ผมรู้สึกว่าอาหารเช้าที่นี่จะสมบูรณ์มากที่สุดเลยครับ มีผลไม้ นมสดพร้อมซีเรียลขนมปังก็อร่อยด้วย กรอบนอกนุ่มใน ผมฟาดไปหมดก้อนใหญ่ เลยแกล้งทำเป็นแย๊บพี่ตั้มว่าให้ลองทานดู เผื่อพี่ตั้มไม่ทานจะได้เสร็จผม พี่ตั้มจึงจัดการฉีกขนมปังออกมา เพื่อจะนำแยมไปทาด้านใน ปรากฏว่าสิ่งที่พี่ตั้มเห็นคือจุดสีดำๆ กี้แอบสงสัยว่าอาจจะเป็นไส้ของขนมปังหรือไม่ แต่เท่าที่สังเกตดู มันลักษณะเหมือนราเลยครับ เป็นจังหวะเดียวกับที่คนดูแลโรงแรมมาพอดี เลยให้เขาดู เขาท่าตกใจและยิ้มๆ แบบขอโทษ อุต๊ะ!! ผมดันกัดทานไปทั้งชิ้นโดยที่ไม่ได้สังเกตเลยว่าด้านในจะเป็นเหมือนกับที่พี่ตั้มเจอหรือไม่

Taxi จอดรอเราอยู่ที่ด้านหน้าของโรงแรมเรียบร้อยแล้ว 08.15 น.เราจึงได้ฤกษ์ออกเดินทางกันครับ ระหว่างทางคนขับก็ชวนเราคุยไปตลอดทาง คนขับอธิบาย คำว่า "Ouarzazate" มีความหมายเดียวกับ " No problem" และเล่าต่อว่าประชากรของที่นี่ส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพ 3 อย่างคือ เกี่ยวกับการท่องเที่ยว พลังงาน และธุรกิจภาพยนตร์ครับ ระหว่างทางที่ไปยัง Marrakesh จะผ่าน Studio หลายแห่ง คนขับก็ถามเราว่าจะจอดถ่ายรูปไหม มีเหรอที่เราจะไม่จอดครับ

แวะจอดที่หน้าโรงถ่ายถึง 2 แห่งครับ จากนั้นก็เดินทางต่อ เพราะระยะทางยังอีกไกล

ระหว่างทาง มีร้านขายสินค้าด้วย คล้ายๆ กับบ้านเราเลยครับ

ผ่านเมืองเล็กเมืองน้อยที่อยู่เคียงข้างเทือกเขาแอตลาสครับ

เราแวะชมไอท์ เบนฮาดดู (Ait Ben Haddou) ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมือง Ouarzazate อยู่บนเส้นทางการค้าโบราณแบบคาราวานระหว่างทะเลทรายซาฮาร่ากับเมืองมาราเกซและเมืองที่อยู่เหนือขึ้นไป ระหว่างทางที่เราเข้าไปยังไอท์ เบนฮาดดูมองเห็นอูฐรอให้บริการนักท่องเที่ยวอยู่ครับ

ไอท์ เบนฮาดดู เป็น "เมืองป้อมปราการ" (fortified city) หรือ คซาร์ (ksar) ซึ่งจะเป็นกลุ่มอาคารที่สร้างด้วยโคลนดินแห้งสีแดง มีกำแพงล้อมรอบ เคยเป็นแหล่งชุมชนที่อยู่อาศัย ตั้งอยู่ริมฝั่งซ้ายของแม่น้ำเมลลาห์ (Mellah) โดยปกติจะแห้งผาก ยกเว้นในช่วงฤดูหนาวและฤดูใบไม้ผลิครับ

ไอท์ เบนฮาดดู มีชื่อเสียงอย่างมากในเรื่องความยิ่งใหญ่ของป้อมปราการหรือคัสบาห์หลายๆ ป้อมที่สร้างต่อเรียงรายกัน ถูกสร้างให้เป็นเมืองป้อมปราการโดยชนเผ่านักรบที่ควบคุมเทือกเขาแอตลาสครับ

คัสบาห์ (Kasbah) เป็นทั้งเมืองที่อยู่อาศัยและป้อมปราการเพื่อป้องกันภัยจากศัตรูที่รุกรานมา ปัจจุบันชนพื้นเมืองที่เคยอาศัยอยู่ภายในไอท์ เบนฮาดดูได้ย้ายออกมาตั้งบ้านเรือนที่อีกริมฝั่งของแม่น้ำ จะเหลืออยู่ไม่กี่ครอบครัวที่ยังคงอาศัยอยู่ภายในเมืองป้อมปราการโบราณแห่งนี้ และยึดอาชีพขายของที่ระลึกให้กับนักท่องเที่ยวเป็นหลัก

คัสบาห์มีรูปร่างเป็นสี่เหลี่ยม สร้างด้วยโคลนดินตากแห้งหรืออิฐสีแดง และอาจมีการนำหญ้าหรือฟางแห้งมาผสม มีกำแพงหนาและสูงใหญ่อยู่โดยรอบคัสบาห์ กำแพงส่วนใหญ่จะมีช่องเล็กๆ สำหรับให้คนที่อยู่ข้างในมองออกมาข้างนอก แต่คนข้างนอกจะไม่สามารถมองเห็นข้างในได้ ภายในกลุ่มอาคารที่อยู่ในคัสบาห์จะแบ่งออกเป็นห้องต่างๆ หลายห้องมาก ไม่ว่าจะเป็นห้องที่อาศัย ห้องครัวและห้องเก็บพืชพันธุ์ธัญญาหาร ประตูเป็นไม้ทั้งหมดซึ่งเปิดได้เฉพาะจากข้างในเท่านั้น

ส่วนด้านนอกที่มุมทั้งสี่ด้านของคัสบาห์จะมีหอคอยสูงไว้คอยตรวจลาดเลาและป้องกันศัตรู คัสบาร์จึงดูคล้ายกับปราสาทที่มีป้อมปราการและกำแพงโดยรอบ ปัจจุบันสภาพของไอท์ เบนฮาดดูได้ถูกทำลายเสียหายลงไปมากจากแรงลมและฝนที่ตกหนัก


ฝั่งตรงข้ามของ ไอท์ เบนฮาดดู จะเป็นที่อยู่อาศัยของชนพื้นเมืองที่ได้ย้ายออกไปจากภายไอท์ เบนฮาดดู มีแม่น้ำเมลลาห์ที่เกือบจะแห้งขอดกั้นระหว่างเมืองเก่าและเมืองใหม่ สำหรับฝั่งเมืองใหม่ปัจจุบันกลายเป็นที่อยู่อาศัยและมีธุรกิจโรงแรมผุดขึ้นมากมาย หากใครมีโปรแกรมจะมาค้างในตัวเมือง Ouarzazate ผมแนะนำว่าให้มาค้างแถวนี้จะดีกว่าครับ เพราะคุณจะได้สัมผัสกับบรรยากาศทั้งช่วงพระอาทิตย์ตกและพระอาทิตย์ขึ้นเลยครับ


ไอท์ เบนฮาดดู ได้ใช้เป็นฉากในการถ่ายทำภาพยนตร์ที่โด่งดังหลายเรื่อง เช่น Lawrance of Arabia , Jesus of Nazareth และ Gladiator ครับ

จากด้านบนสุดสามารถยืนชมวิวได้แบบ 360 องศาเลยครับ

องค์การยูเนสโก (UNESCO) ประกาศยกย่องให้ ไอท์ เบนฮาดดู เป็นมรดกโลกทางด้านประวัติศาสตร์ตั้งแต่ ปีค.ศ. 1987 สำหรับการเข้าชมที่นี่ เสียค่าเข้าชมคนละ 10Dh ครับ

หลังจากตากแดดตัวดำกันร่วมชั่วโมง ผมคงต้องเดินทางกันต่อ เพราะหนทางยังอีกยาวไกล

ต้องผ่านเส้นทางที่สูงชันที่ลัดเลาะไปตามไหล่เขา

มีจุดแวะพักรถกลางทางด้วยครับ

สภาพภูมิประเทศที่แปลกตา มันทำให้ผมอดใจที่จะขอให้โชเฟอร์จอดถ่ายรูปไม่ได้

มีหมู่บ้านอยู่ท่ามกลางหุบเขา ที่แวดล้อมด้วยต้นไม้ใหญ่ที่ยามนี้พร้อมใจกันเปลี่ยนสี จากสีเขียวเป็นสีน้ำตาล ดูแล้วพาลให้รู้สึกเหือดแห้งในใจครับ

ด้วยสภาพความเก่าของ Taxi ที่นำพาเรามาจาก Ouarzazate ช่วงเวลาที่ผ่านทางลงเขาและเข้าโค้งนั้น เมื่อโชเฟอร์เหยียบเบรกเมื่อไร ก็จะรับรู้ได้ถึงความไม่สมบูรณ์ของตัวรถ ผมเองนั่งภาวนาอยู่ในใจ ขออย่าได้เป็นอะไรในระหว่างทางเลย

ติดตามชม Explore MOROCCO # 6 : Marrakesh มหานครแห่งมาห์เกร็บ ได้ที่ https://th.readme.me/p/3022

ลุงเสื้อเขียว

 วันอังคารที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 16.10 น.

ความคิดเห็น