ติดตามชมตอนแรก Explore MOROCCO # 1 : นครขาว-ฟ้า Rabat ได้ที่ https://th.readme.me/p/3007

ติดตามชมตอนสอง Explore MOROCCO # 2 : ย้อนเวลาสู่เมืองโรมัน Volubilis ได้ที่ https://th.readme.me/p/3010

ติดตามชมตอนสาม Explore MOROCCO # 3 : เข้าตามตรอก ออกตามซอย ใน Fes ได้ที่ https://th.readme.me/p/3011

ติดตามชมตอนสี่ Explore MOROCCO # 4 : แผ่นฟ้าจรดผืนทราย ที่ Merzouga ได้ที่ https://th.readme.me/p/3012

ติดตามชมตอนห้า Explore MOROCCO # 5 : ตะลุยเมืองแห่งภาพยนตร์ Ouarzazate ได้ที่ https://th.readme.me/p/3013


แล้วเราก็มาถึง Marrakesh อย่างปลอดภัยในเวลาราว 15.00 น. Taxi ไม่สามารถพาเราเข้าไปยังในโซน Medina ได้ เราจึงใช้เทคนิคเดิมในการไปยังโรงแรม คือจ้างรถลากเพื่อขนกระเป๋าและให้เขาเป็นคนนำทางไปยังโรงแรมครับ จุดประสงค์ที่เข้าโรงแรมก่อนก็เพราะต้องการจะนำกระเป๋าไปเก็บ แล้วจึงออกสำรวจเมือง Marrakesh ครับ

ขนาดคนเข็นรถเข็นซึ่งเป็นคนในพื้นที่ยังต้องถามเส้นทางการไปโรงแรมตลอดเช่นกัน แล้วประสาอะไรกับเรา ที่ไม่เคยรู้จักเมืองนี้มาก่อน คิดถูกแล้วจริงๆ ที่จ้างรถเข็นนำทาง ไม่ต้องเดินงมหาทางไปโรงแรม แถมไม่ต้องลำบากลากกระเป๋าเข้าตามตรอกออกตามซอยเพื่อจะไปยังที่พักของเรา

ที่เห็นด้านหน้า นั่นคือประตูที่พักของเราในคืนนี้ Equity Point Hostels ครับ

บริเวณ Lobby และพื้นที่สำหรับให้แขกได้นั่งพักผ่อนครับ เมื่อ Check in เสร็จแล้วทางโรงแรมจะสอบถามถึงการเดินทางของเราว่าเราไปที่ไหนมาบ้าง เราแจ้งว่าได้เดินทางเข้าไปยังซาฮาร่าด้วย ทางโรงแรมจึงขอให้เรานำเสื้อผ้าที่ใส่ในวันนั้นออกมา เพื่อให้ทางโรงแรมไปอบเพื่อฆ่าเชื้อโรคครับ ถ้าเราไม่เอาเสื้อผ้าออกมา เขาจะไม่อนุญาตให้เราเข้าไปในโซนห้องพักครับ

ที่พักของที่นี่ดูดีคล้ายโรงแรมเป็นโรงแรมมากกว่าทุกโรงแรมที่ผมได้เข้าพักมา ภายในค่อนข้างกว้างขวาง มีพื้นที่ให้แขกได้นั่งพักผ่อนมากกว่า ดูแล้วไม่อึดอัด แถมมีพื้นที่สีเขียวอยู่กลางโรงแรมด้วยครับ

มีมุมสำหรับให้เล่น Internet ด้วยครับ

ที่สำคัญ มีสระว่ายน้ำอยู่กลางโรงแรมเลยครับ


ห้องพักของผมอยู่ชั้นล่าง เปิดประตูมาก็เจอสระน้ำเลย ภายในห้องเป็นเตียง 2 ชั้น มีห้องน้ำในตัว และมีตู้เสื้อผ้าให้ 1 ตู้ครับ

ห้องน้ำอาจจะแคบไปสักนิดในส่วนของห้องอาบน้ำ เนื่องจากทางโรงแรมทำเป็นผนังกั้นไว้ สนนราคาห้องนี้อยู่ที่ 60 EUR/ห้องครับ

ห้องพักมี 2 ชั้น และมีห้องอาหารอยู่บนชั้นดาดฟ้าครับ

หลังจากเก็บข้าวของและพักผ่อนกันพอหอมปากหอมคอแล้ว ก็ถึงเวลาเริ่มออกสำรวจเมือง Marrakesh กันครับ

Marrakesh เป็นราชธานีเก่าแก่แห่งที่ 2 ของโมร็อกโก ต่อจากเมืองหลวงแห่งแรกคือ Fes เป็นเมืองที่อยู่ทางตอนใต้ของประเทศ มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก Marrakesh เคยเป็นอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ ซึ่งช่วงหนึ่งได้ชื่อว่าเป็น มหานครแห่งมาห์เกร็บ (Mahgreb-ภูมิภาคทางตะวันตกของโลกอาหรับ) ปัจจุบันมาร์ราเกชใหญ่เป็นอันดับสามของประเทศครับ

ในอดีต Marrakesh เป็นโอเอซิส เป็นที่พักของกองคาราวานอูฐที่มาจากทางตอนใต้ของโมร็อกโก ถือเป็นเมืองชุมทางของพ่อค้าต่างๆ ครับ

จากการที่ Marrakesh เป็นจุดเริ่มต้นและสิ้นสุดของขบวนการค้า จึงทำให้ที่นี่เป็นแหล่งพบปะของผู้คน โดยมีจัตุรัสจามา เอล ฟานา (Djemaa el-Fna) ตั้งอยู่กลาง Medina เป็นศูนย์กลาง เล่ากันว่าเมื่อขบวนสินค้าจากที่ต่างๆ มาเจอกันก็จะมีการตั้งแคมป์ ตั้งตลาดมารวมอยู่ในจัตุรัสแห่งนี้ ปัจจุบันจัตุรัสจามา เอล ฟานาก็ยังคงเป็นศูนย์กลางของ Medina เช่นเดิม หากแต่จุดตั้งแคมป์ที่เคยมีได้เปลี่ยนไปเป็นคาเฟ่บนดาดฟ้า ร้านน้ำส้มคั้น ลานอาหาร รวมถึงลานการแสดงต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการโชว์งู การเต้นระบำ เหมือนคล้ายๆ การโชว์อับดุลตามงานวัดบ้านเราครับ

ใจกลางจัตุรัสมีผู้คนมากมาย บ้างก็มาจับจ่ายซื้อสินค้า บ้างก็มามุงดูการแสดง ยิ่งช่วงเย็นคนยิ่งมากันอย่างมากมาย ดูสับสนวุ่นวายไปหมดครับ

สำหรับใครที่ชอบเก็บบรรยากาศแนว Life ผมขอให้ข้อมูลสักนิดว่า หากจะถ่ายภาพการแสดงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการโชว์งู การเต้นระบำ หรือการแสดงจำอวดต่างๆ อาจจะต้องเสียค่าถ่ายรูปด้วยนะครับ ขนาดแค่ใช้โทรศัพท์ถ่ายภาพ เจ้าของการแสดงยังตามมาเรียกเก็บเงินเลยครับ

อีกหนึ่งเอกลักษณ์ของ Medina ที่ไม่เหมือนใครคือ สิ่งปลูกสร้างที่อยู่ภายใน Medina จะถูกฉาบด้วยปูนสีส้มๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลกำหนดไว้ คนท้องถิ่นที่นี่จะเรียกว่าเมืองสีชมพู หรือ Pink City อาจกล่าวได้ว่า Marrakesh เป็นเมืองที่มีเสน่ห์ สวยงามดั่งเมืองในละคร จึงได้สมญานามว่าเป็น A city of Drama ครับ

องค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมของสหประชาชาติ (ยูเนสโก-UNESCO) ได้ประกาศให้เขตเมืองเก่าของ Marrakesh เป็นมรดกโลกทางด้านประวัติศาสตร์ด้วยนะครับ

ใกล้เวลาพระอาทิตย์จะลาลับขอบฟ้าแล้ว ผมรีบขึ้นไปหาทำเลทองเพื่อจะรอชมแสงสุดท้าย รอบๆ จัตุรัสจามา เอล ฟานาจะมีร้านอาหารรวมถึง Café ที่จะมีชั้นดาดฟ้าเป็นจุดขายให้นักท่องเที่ยวที่มาจากทั่วทุกมุมโลกที่มาเที่ยวที่ Marrakesh ได้ขึ้นไปชมบรรยากาศยามเย็น ณ จัตุรัสแห่งนี้ครับ

ผมเลือกที่จะขึ้นไปบนชั้นดาดฟ้าของ Café AQUA ครับ ทำไมถึงเลือกร้านนี้ อย่างแรกเลยคือทำเลที่จะรอชมแสงสุดท้ายค่อนข้างดี อย่างที่สองคือ ราคาของอาหารระดับกลางๆ ครับ ค่ำนี้ผมได้Mushroom Pizza, Lasagna และ พายไก่อบชีส โดยรวมแล้วผมพอใจทั้งรสชาติอาหารและราคาครับ

แล้วเวลาที่ทุกคนเฝ้ารอก็มาถึงครับ ถึงแม้ว่าวันนี้ฟ้าจะปิดบ้าง แต่ก็ยังพอให้เราได้เห็นความงามที่ธรรมชาติรังสรรค์ขึ้น แสงสีส้ม ชมพู ต่างออกมาอวดสีสันให้เราชมแบบเต็มๆ มันช่างประทับใจตรึงตาเสียเหลือเกิน

สีสันแห่ง Marrakesh ได้เริ่มขึ้นแล้ว ร้านรวงต่างทยอยเปิดไฟ เพิ่มความน่าสนใจให้กับจัตุรัสจามา เอล ฟานา ขึ้นมาอีกเยอะเลยครับ

Café AQUA คือพิกัดที่เรารอชมแสงเย็นกันครับ

หลังสิ้นแสงสุดท้าย ผมก็มาเดินชมวิถีชีวิตของชาว Marrakesh ที่จัตุรัสจามา เอล ฟานา มีร้านค้ามากมาย อย่างร้านนี้เป็นรถเข็นขายน้ำส้มคั้นสด พ่อค้าพยายามโพสท่าให้เราถ่ายรูป แล้วเรียกให้เราช่วยอุดหนุนครับ

ร้านนี้ขายหอยเอสคาโก้ (Escargot) ลักษณะคล้ายๆ หอยทาก ซึ่งเป็นเมนูยอดนิยมของชาวฝรั่งเศส พ่อค้าจะนำหอยเอสคาโก้ไปนึ่ง แล้วขายในราคาที่ไม่แพง ถ้วยละประมาณ 5Dh ผมไปยืนด้อมๆ มองๆ จนพ่อค้าเรียกให้ไปลองชิม รสชาติออกจืดนิดๆ ผมนึกถึงน้ำจิ้ม Seafood บ้านเราขึ้นมาทันทีครับ

มีร้านอาหารแบบแผงลอยมากมาย ไม่ว่าจะเป็นอาหารพื้นเมือง ปิ้งย่าง หรือ Sea food เสียดายที่เราอิ่มท้องมาจาก Café AQUA มาแล้ว แต่ไม่เป็นไร เรายังคงต้องค้างที่ Marrakesh อีกคืน ดังนั้นเลยวางแผนไว้ว่า มื้อเย็นวันพรุ่งนี้เราจะมาลองอาหารพื้นเมืองของโมร็อกโกกันครับ

หลังจากเดินชมสีสันของ Medina กันเต็มอิ่มแล้ว ก็คงต้องกลับมาพักผ่อนกันแล้ว ทีแรกกะจะมาเล่นน้ำที่สระว่ายน้ำ แต่ยิ่งดึกอากาศยิ่งหนาว เลยขอไปนอนซุกผ้าห่มอุ่นๆ แทนครับ

เช้าวันใหม่เราขึ้นไปทานมื้อเช้ากันที่ชั้นดาดฟ้าของโรงแรมครับ อากาศเย็นมากๆ

ที่นี่จะจัดอาหารเป็นแบบ buffet ครับ ซึ่งไม่เหมือนกับโรงแรมต่างๆ ที่ผมเข้าพักมา ไลน์อาหารก็คล้ายๆ กับหลายๆ โรงแรม แต่ที่นี่ดูน่าทานดีครับ

มีขนมเค๊กน่าจะมีส่วนผสมของแอพริคอต นอกจากนี้ยังมีแพนเค๊ก รวมถึง Caramel Mousse ครับ

วันนี้เราวางแผนจะสำรวจ Marrakesh กันให้ทะลุปุโปร่งครับ หลังเต็มอิ่มกับมื้อเช้าแล้วก็เริ่มออกเดินทางกัน

เริ่มกันที่พระราชวังบาเฮีย (Bahia Palace) ที่นี่เสียค่าเข้าชม 10Dh ครับ พระราชวังบาเฮียเป็นพระราชวังของท่านมหาอำมาตย์ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแทนยุวกษัตริย์ในอดีต สร้างขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 โดย Si Moussa อัครมหาเสนาบดีครับ

มีน้ำพุและสวนเขียวอยู่กลางพระราชวังเลยครับ สวนเขียวก็มีต้นไม้หลากหลายสายพันธุ์ แต่ที่ดูตื่นตาตื่นใจผมที่สุดคงจะเป็นต้นส้มซึ่งช่วงที่ผมไปเป็นช่วงที่ส้มกำลังออกผลเต็มต้นเลยครับ

สถาปัตยกรรมในพระราชวังบาเฮียเป็นสถาปัตยกรรมแนวสมัยใหม่ คือผสมผสานศิลปะแบบมุสลิมและโมร็อกโกไว้ด้วยกัน โดยผู้สร้างตั้งใจจะให้เป็นพระราชวังที่ยิ่งใหญ่และหรูหราที่สุดในสมัยนั้น พระราชวังมีการตกแต่งโดยการแกะสลักปูนปั้น (Stucco) อย่างอ่อนช้อยสวยงามครับ

ภายในพระราชวังบาเฮียมีห้องทั้งหมดราว 150 ห้อง แต่มีเพียง 8 ห้องที่ได้รับการบูรณะและเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าเยี่ยมชมครับ

มีการวาดลายบนไม้และประดับประดาด้วยโมเสกเป็นลวดลายที่สวยงามละเอียดอ่อนมาก

ว่ากันว่าที่นี่มีการวางแผนก่อสร้างและตกแต่งอย่างเร่งรีบ จึงเป็นที่วิจารณ์กันว่ารายละเอียดหลายๆ อย่างในพระราชวังแห่งนี้ยังไม่สมบูรณ์ลงตัว ผมแอบนึกในใจว่า นี่ขนาดยังไม่สมบูรณ์ลงตัว ยังสวยงามขนาดนี้ ถ้าหากว่าสมบูรณ์ลงตัว จะสวยงามขนาดไหนกันเนี่ย

จากนั้นเราเดินเท้ากันต่อสู่จุดหมายต่อไปคือ สุสานแห่งราชวงศ์ซาเดียน (Saadian Tombs)

มองไปทางไหนก็เห็นแต่สีชมพูของบ้านเรือนครับ

ผ่านร้านรวงขายสินค้ามากมาย

อีกสินค้าหนึ่งที่น่าสนใจนั่นก็คือ ชา ซึ่งมีชาหลากหลายชนิดมาก แต่ที่อยากจะแนะนำว่าไม่ควรพลาดคือชากุหลาบแห่งเมืองเอล เคลลา มากูนา เมืองนี้มีชื่อเสียงเรื่องการเพาะปลูกกุหลาบไว้ทำเป็นน้ำดอกกุหลาบ (rose water) ที่มีชื่อเสียงของโมร็อกโกครับ

เดินกันต่ออีกสักนิดจะพบ Kasbah Mosque ครับ

Kasbah Mosque ไม่อนุญาตให้คนที่นับถือศาสนาอื่นที่ไม่ได้นับถือศาสนาอิสลามเข้าไปด้านในครับ ผมเลยต้องถ่ายภาพจากด้านนอกประตูเท่านั้น

ติดกับ Kasbah Mosque จะมีซอยเล็กๆ เพื่อเข้าไปยัง สุสานแห่งราชวงศ์ซาเดียนครับ

ประตูบริเวณทางเข้าสุสาน เราต้องเสียค่าเข้าชมที่นี่ด้วย คนละ 10 Dh ครับ สุสานแห่งนี้ถูกทิ้งร้างมากกว่า 2 ศตวรรษ ภายหลังได้รับการบูรณะ และเปิดให้เข้าชมความงดงามในแบบฉบับของศิลปะแบบมัวริส (Moorish) แท้ๆ

สุสาน แห่งราชวงศ์ซาเดียน เป็นสถานที่ฝังพระศพของกษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ในราชวงศ์ซาเดียน 60 พระองค์ภายในมีหลุมฝังศพมากมาย ผมไม่มีข้อมูลเลยว่าหลุมฝังศพที่เห็นอยู่เบื้องหน้าเป็นหลุมฝังศพของใคร แต่เท่าที่สังเกตคือ จะมีหลุมฝังศพอยู่ 3 จุด จุดแรกคือบริเวณลานกลางแจ้ง

จุดที่สองอยู่ในโครงสร้างของอาคาร ซึ่งยังดูไม่ได้พิเศษอะไรมากนัก

แต่จุดสุดท้าย อยู่ในห้องโถงที่มีความวิจิตรอลังการ มีเสาคอลัมน์หินอ่อนสีสวย ลวดลายงานปูนที่ประดับประดาบนผนังและเพดานอย่างสวยงามครับ

จากนั้นเราหา Taxi เพื่อเดินทางกันต่อสู่สวนเมนารา (Menara Garden)

การเข้าชมสวนเมนารา ไม่เสียค่าเข้าชมแต่อย่างใด ภายในสวนมีพื้นที่กว้างขวางเลยทีเดียว ในความคิดผม คำว่า"สวน" น่าจะเต็มไปด้วยพรรณไม้ดอกไม้ประดับที่แข่งกันออกดอกบานสะพรั่ง มองไปทางไหนก็สบายหูสบายตา และจากข้อมูลที่ผมได้มา สวนแห่งนี้เป็นสวนต้นแบบที่ราชวงศ์โมรอคโคนิยมกัน ความคิดและจินตนาการของผมในตอนนั้นมันเลยเถิดไปว่า สวนนี้คงจะสวยกว่าสวนแม่ฟ้าหลวง ที่เชียงรายอย่างแน่นอน แต่ความจริงมักไม่ตรงกับความคิด สวนเมนาราที่อยู่ตรงหน้าผม มีแต่ต้นมะกอกครับ มองไปทางไหนก็เจอแต่ต้นมะกอก

เดินต่อไปอีกหน่อยเห็นมีโครงสร้างอาคาร และมีบ่อเก็บน้ำอยู่ด้วย ผมเลยเดินมุ่งหน้าสู่อาคารหลังนั้น

เมื่อเดินถึงตัวอาคารก็เห็นมีจุดที่ต้องชำระเงินค่าเข้าชม ไหนๆ ก็ยอมเดินตากแดดมาจนถึงแล้วเลยไม่อยากเสียแรงเปล่า จัดแจงไปชำระค่าเข้าชมซะให้เรียบร้อย ค่าเข้าชมที่นี่อยู่ที่ 10 Dh ครับ

ผมไม่รู้เลยว่าอาคารแห่งนี้มีความสำคัญอย่างไร รู้แต่เพียงว่าภายในอาคารแทบไม่มีอะไรที่น่าสนใจเลยครับ

เมื่อเดินออกจากอาคารชั้นล่าง ก็จะพบกับบ่อเก็บน้ำ ส่วนชั้นบนสามารถชมบ่อเก็บน้ำมุมสูงได้ครับ สำหรับเพื่อนคนไหนมีโปรแกรมที่จะมาเที่ยวชมที่นี่ หากมีเวลาจำกัด ผมไม่แนะนำให้แวะมาเที่ยวครับ เพราะจะเสียเวลาเปล่า เก็บเวลาไปเที่ยวจุดสำคัญอื่นๆ จะดีกว่าครับ

จากสวนเมนาราเรายังมีโปรแกรมอีกสวนหนึ่งนั่นก็คือสวนจาร์ดีน มาจอแรล (Jardin Majorelle) ผมชักเริ่มหวั่นๆ กับคำว่า "สวน" ของโมร็อกโกแล้วครับ แต่เนื่องจากว่าเรามีเวลาใน Marrakesh เต็มวัน ถ้าหากไม่หาสถานที่เที่ยว จะทำให้เราเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ เราเลยเรียก Taxi เพื่อให้ไปส่งยังสวนจาร์ดีน มาจอแรลครับ

ด้านหน้าของสวนจาร์ดีน มาจอแรลครับ การจะเข้าไปชมภายในสวนจะต้องเสียค่าเข้าชมด้วย ในราคา 70 Dh แต่ถ้าจะเข้าชมพิพิธภัณฑ์ด้วย ต้องเสียเพิ่มอีก 30 Dh ครับ

เมื่อก้าวเท้าเข้ามาด้านใน ให้ความรู้สึกที่แตกต่างจากสวนเมนาราราวฟ้ากับเหวเลยครับ ที่สวนแห่งนี้พบเจอแต่ความร่มรื่น เย็นสบาย สีสันสดใสครับ

สวนจาร์ดีน มาจอแรล (Jardin Majorelle) หรือ สวนอีฟส์ เเซงต์ โลรองต์ (Yves Saint Laurent Gardens) ถูกออกแบบโดย อีฟส์ เเซงต์ โลรองต์นักออกแบบแฟชั่นดีไซน์แห่งปารีส ในช่วงที่โมร็อกโกตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส อีฟส์ เเซงต์ โลรองต์ ได้มาพักผ่อนหลังจากเคร่งเครียดจากงานออกแบบแฟชั่นโชว์ที่โมร็อกโก หลังจากที่อีฟส์แซงต์มาเยือนมาราเกซก็หลงไหลเมืองนี้เป็นอย่างมาก เลยขอซื้อบ้านหลังนี้เพื่อไว้เป็นที่พักผ่อน ซึ่งบ้านหลังดังกล่าวเป็นของเศรษฐีแห่งมาราเกซ ภายในสวนโดดเด่นด้วยสีน้ำเงินสดและสีส้มเป็นองค์ประกอบครับ

นอกจากนี้ยังมีต้นไม้ทะเลทรายนานาพรรณปลูกอยู่โดยรอบของบ้าน บางต้นสูงใหญ่เกือบ 3 เมตร บางต้นก็แตกหน่อเป็นกอใหญ่ บางต้นก็ออกดอกสวยงามครับ

มองไปทางไหนก็สะดุดตากับสีสันสดใสครับ

บริเวณนี้คล้ายๆ กับห้องสมุดครับ

พื้นที่ส่วนนี้เป็นที่จัดแสดงผลงานของอีฟส์ เเซงต์ โลรองต์ใน Concept "LOVE"

จุดนี้เป็นอนุสรณ์ที่รำลึกถึง อีฟส์ เเซงต์ โลรองต์ลักษณะเป็นเสาหินครับ

ถึงแม้ว่าการเข้าชมสวนครั้งนี้จะเสียค่าเข้าชมค่อนข้างสูง แต่หลังจากที่ได้ใช้เวลาอยู่ในสวนแห่งนี้ร่วมชั่วโมงทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลาย ได้เห็นอะไรสวยๆ งามๆ เหมือนได้ชาร์จแบตเตอรี่ให้กับตัวเองจนเกือบเต็มพอที่จะเดินเที่ยวกันต่อไปครับ

หลังจากเรียกพลังในตัวเองกลับมาได้ค่อนข้างเยอะแล้ว ก็เดินทางกันต่อ สู่มัสยิดคูตูเบียครับ

มัสยิดคูตูเบีย (Koutoubia Mosque) เป็นมัสยิดใหญ่และเก่าแก่ที่สุดใน Marrakesh อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมือง หอนี้มีความสูงถึง 70 เมตร จึงทำให้เวลาเดินไปแห่งใดในตัวเมืองก็จะเห็นมัสยิดแห่งนี้ได้ มัสยิตแห่งนี้ไม่อนุญาตให้คนต่างศาสนาเข้าชมด้านในครับ

แล้วก็ถึงเวลาเที่ยงครับ เราแวะทานที่ร้านอาหารในย่านจัตุรัสจามา เอล ฟานา

ได้ยินมาว่าไก่ย่างที่โมร็อกโกอร่อย มื้อนี้เลยได้ฤกษ์ลองชิมดู ขอยืนยันกับคำกล่าวขานครับ ไก่ย่างอร่อย รสชาติดี และหนังก็ยังกรอบมากๆ อีกด้วย

เครื่องในไก่ เสิร์ฟมาพร้อมกับไก่ย่างครับ ผมไม่แน่ใจว่าให้มาทานคู่กับไก่ย่างเหมือนกับเป็นน้ำจิ้มของไก่ย่างหรือเปล่า

สำหรับเมนูนี้เหมือนเป็นไส้กรอกเนื้อครับ ทานตอนร้อนๆ อร่อยดีครับ

คืนนี้เราวางแผนกันไว้ว่าจะเปลี่ยนที่พัก เนื่องจากที่พักคืนแรกของเราใน Marrakesh มันอยู่ค่อนข้างลึกและไม่สะดวกเท่าที่ควร หลังมื้อเที่ยงเราเลยทำการย้ายที่พัก เราเลือกจะเข้าพักที่ L'HEURE D'ETE ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจัตุรัสจามา เอล ฟานา ครับ

ทางเข้า L'HEURE D'ETE ก็ยังคงอยู่ในตรอกซอกซอยเหมือนโรงแรมอื่นๆ ที่ได้เข้าพักมา แต่ที่นี่ไม่ลึกลับมากเหมือนโรงแรมอื่นๆ เมื่อเปิดประตูเข้ามาก็จะเจอ Lobby เลย

ด้านข้างของ Lobby เป็นพื้นที่สำหรับให้แขกได้มานั่งพักผ่อนครับ

หลัง Check in เสร็จเรียบร้อยแล้ว พนักงานเชิญเราขึ้นไปจิบ Welcome Drink พร้อมของว่างที่ชั้นดาดฟ้าของโรงแรมครับ

ถือเป็นชั่วโมงของ Afternoon tea เลยละกันครับ

ชั้นดาดฟ้ายังมี Daybed ให้นอนเล่นชิวๆ ด้วยครับ

ที่เลิศที่สุดเห็นจะเป็น Jacuzzi บนชั้นดาดฟ้า ที่สามารถแช่น้ำไปและชมวิว Marrakesh ไปพร้อมๆ กันครับ

มาดูห้องพักของผมกันบ้างครับ ภายในห้องกว้างขวางพอประมาณ ตกแต่งได้น่านอนกว่าคืนแรกมากครับ

ถึงแม้ว่าภายในห้องพักจะไม่มีหน้าต่าง แต่ทางโรงแรมได้ออกแบบให้ประตูสามารถเปิดบางส่วนของประตูออกมาคล้ายบานหน้าต่าง เพื่อให้มีแสงสว่างส่องเข้ามาในห้องและทำให้ห้องดูไม่อึดอัดครับ

ภายในห้องน้ำขนาดกำลังดีครับ

หลังจากเก็บกระเป๋าและพักผ่อนกันพอหอมปากหอมคอแล้ว ช่วงบ่ายแก่ๆ ผมเลยออกไปเดินสำรวจใน Medina บ้างดีกว่าครับ

ร้านค้าที่อยู่ใน Medina มีทั้งแบบเป็นร้านค้าที่มีการเช่าสถานที่และแบบแผงลอยครับ

ช่วงเย็น คนยิ่งเดินจับจ่ายเยอะครับ

ร้านนี้ขายมะกอกดอง หลากหลายสีสัน

ร้านนี้ขายเครื่องแกงโมร็อกโก

ร้านขายเครื่องทองเหลือง เวลาที่เปิดไฟในร้านแล้วทำให้ดูเหลืองอร่ามไปทั้งร้านเลยครับ

ร้านขายรองเท้าหนัง สินค้า Handmade ทุกชิ้นครับ

เราเดินตามหา Riad Yima (แนะนำโดยหนังสือ Lonely planet) อยู่นาน กว่าจะเจอ

Riad Yima เป็นร้านขายของที่ระลึกที่ออกแบบโดยศิลปิน เป็นทั้ง Gallery และ Tearoom ครับ ต้องยอมรับเลยว่าสินค้าของที่นี่ขายไอเดียจริงๆ เพราะของแต่ละอย่างไม่สามารถหาซื้อได้ใน Medina ครับ

สำหรับใครที่ต้องการหาซื้อของฝากให้กับคนที่บ้าน ผมแนะนำให้หาซื้อของฝากที่ Medina ให้เรียบร้อยนะครับ เพราะที่นี่มีสินค้าให้เลือกสรรมากมาย แถมราคาก็สามารถต่อรองได้พอสมควรครับ

ใกล้ถึงช่วงเวลาที่ผมรอคอยอีกแล้ว นั่นก็คือการชมแสงสุดท้ายของวัน ผมเลือกที่จะมาชมแสงสุดท้ายที่เดิม คือบริเวณ จัตุรัสจามา เอล ฟานา แต่วันนี้จะเปลี่ยนมุมให้แตกต่างจากเมื่อวานครับ

เย็นนี้ผมเลือกขึ้นไปเก็บแสงสุดท้ายบนชั้นดาดฟ้าของภัตตาคารซึ่งตั้งอยู่บริเวณหัวมุมถนนครับ ร้านนี้เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก การจะเข้าไปด้านในนั้นจะต้องทำซื้อเครื่องดื่มอะไรก็ได้ ถึงจะมีสิทธิ์เข้าไปด้านใน ผมเองพยายามเลือกเครื่องดื่มที่ราคาถูกสุด เลยเลือกเป็นน้ำมิรินด้า ด้วยราคาสูงถึง 20 Dh (มิรินด้าทั่วไปขาย 5 Dh)

ได้มุมนี้มาก็ถือว่าคุ้มค่ากับค่าน้ำอัดลมที่เสียไปครับ

แล้วมื้อค่ำนี้ผมก็มาตามสัญญา ถ้ามา Marrakesh แล้วไม่มาทานอาหารพื้นเมือง ก็เหมือนมาไม่ถึง Marrakesh ผมไม่รู้หรอกว่าร้านไหนอร่อย แต่จะใช้วิธีสังเกตลูกค้าของแต่ละร้านว่าร้านไหนคนเยอะกว่ากัน แล้วก็มาสะดุดตากับร้านนี้ครับ เพราะคนเยอะเหลือเกิน ร้านนี้ขายอาหารทะเลทอด มีทั้งปลาหมึกและปลาหลากหลายชนิดทอด ผมเลยสั่งมาพิสูจน์กันครับ

ทางร้านจะเสิร์ฟมะเขือยาวเผาแบบขูดเละเอาแต่เนื้อ, มะเขือเทศที่ผ่านกรรมวิธีของทางร้าน, เฟรนช์ฟรายส์ รวมถึงขนมปัง ให้มาทานคู่กับอาหารทะเลทอด มื้อนี้ผมขอวางช้อน ส้อม มีด และขอใช้มือเพื่อเพิ่มอรรถรสในการทาน ให้เหมือนกับคนพื้นเมืองบ้าง ขอบอกว่าอร่อยใช้ได้เลยครับ

เสร็จจากอาหารมื้อค่ำ ผมคงต้องกลับไปนอนพักผ่อน ตุนแรงเพื่อเตรียมลุยต่อในวันพรุ่งนี้ครับ


ติดตามชม Explore MOROCCO # 7 : Casablanca เมืองท่าใหญ่สุดแห่งแอฟริกา ได้ที่ https://th.readme.me/p/3026

ความคิดเห็น