ติดตามชมตอนแรก Explore MOROCCO # 1 : นครขาว-ฟ้า Rabat ได้ที่ https://th.readme.me/p/3007
ติดตามชมตอนสอง Explore MOROCCO # 2 : ย้อนเวลาสู่เมืองโรมัน Volubilis ได้ที่ https://th.readme.me/p/3010
ติดตามชมตอนสาม Explore MOROCCO # 3 : เข้าตามตรอก ออกตามซอย ใน Fes ได้ที่ https://th.readme.me/p/3011
ติดตามชมตอนสี่ Explore MOROCCO # 4 : แผ่นฟ้าจรดผืนทราย ที่ Merzouga ได้ที่ https://th.readme.me/p/3012
ติดตามชมตอนห้า Explore MOROCCO # 5 : ตะลุยเมืองแห่งภาพยนตร์ Ouarzazate ได้ที่ https://th.readme.me/p/3013
ติดตามชมตอนหก Explore MOROCCO # 6 : Marrakesh มหานครแห่งมาห์เกร็บ ได้ที่ https://th.readme.me/p/3022
สำหรับโปรแกรมในวันนี้เราจะเดินทางจาก Marrakesh ไปยัง Casablanca โดยรถไฟครับ ซึ่งรถไฟจะออกเวลา 08.45 น. ครับ
โรงแรมจะเสิร์ฟอาหารเช้าในเวลา 08.00 น. เราเลยขึ้นไปกดดันโรงแรมเพื่อให้เสิร์ฟอาหารเช้าก่อนเวลานิดหน่อย แต่ทางโรงแรมก็ได้เตรียมความพร้อมไว้เรียบร้อย เลยสามารถเสิร์ฟอาหารเช้าได้เร็วกว่าเวลานิดหน่อยครับ
Set อาหารเช้าดูกระจุ๋มกระจิ๋มดีครับ แต่ก็ทำให้เราอิ่มท้องได้เหมือนกัน มื้อนี้ประทับใจองุ่น ดูผลไม่ค่อยน่าทานแต่หวานมาก หลังอาหารเช้าผมรีบตรงดิ่งเพื่อไปเรียก Taxi ให้ไปส่งเรายังสถานีรถไฟ Marrakesh ครับ
สถานีรถไฟดูสวยงามไม่เบา จากโรงแรมมายังสถานีรถไฟ ใช้เวลาไม่ถึง 15 นาทีครับ หลังจากซื้อตั๋วเรียบร้อยแล้ว ก็รีบไปจับจองที่นั่งให้เรียบร้อย บนขบวนรถไฟจะนั่งตรงไหนก็ได้เพราะในตั๋วไม่ได้ระบุที่นั่ง เวลายังพอมีเหลือ ผลเลยมาเดินเก็บบรรยากาศบริเวณชานชาลา กำลังจะยกกล้องถ่ายภาพเลย ก็มีเจ้าหน้าที่ส่งสัญญาณบอกห้ามถ่ายภาพอีกเช่นเคยครับ สำหรับค่ารถไฟจาก Marrakesh – Casablanca ราคา 90 Dh ครับ
เราใช้เวลาอยู่บนรถไฟราว 3 ชั่วโมงครึ่งครับ
แล้วก็มาถึงยังสถานีรถไฟ Casa Voyageurs จากนั้นเราก็เรียก Taxi ให้ไปส่งยังโรงแรมเพื่อเก็บกระเป๋าให้เรียบร้อยก่อนออกสำรวจเมือง Casablanca ครับ
Casablanca เป็นเมืองใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของโมร็อกโก ตั้งอยู่ริมมหาสมุทรแอตแลนติกทางฝั่งตะวันตกของประเทศ และเป็นเมืองท่าที่ใหญ่ที่สุดในทวีปแอฟริกา แต่เดิมเป็นแค่เมืองท่าเล็กๆ แต่มาโด่งดังมีชื่อเสียงไปทั่วโลกเมื่อภาพยนตร์แนวโรแมนติกเรื่อง Casablanca ออกฉายในปี ค.ศ.1942 จนทุกวันนี้ Casablanca ก็กลายเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของประเทศไปแล้ว แต่น่าแปลกนะครับ ภาพยนตร์เรื่อง Casablanca ก็จริง แต่ความเป็นจริงแล้วภาพยนตร์ดังกล่าวไม่ได้ใช้ฉากที่ถ่ายทำใน Casablanca เลย
เราจองที่พักที่ Hotel Central ไว้ ซึ่ง โรงแรมนี้อยู่ฝั่งตรงข้ามท่าเรือเลยครับ
บริเวณชั้นล่างของโรงแรม เมื่อเปิดประตูเข้ามาจะพบกับพื้นที่ให้แขกได้นั่งเล่น ถัดเข้าไปจะเป็น Lobby อยู่ติดกับบันไดครับ
บริเวณห้องอาหารจะอยู่ติดกับ Lobby เลยครับ
ภาพมุมสูง จะเห็นประตูที่อยู่ข้าง Lobby นั่นคือห้องอาหารครับ
แต่ละชั้นจะมีพื้นที่ให้แขกได้มานั่งพักผ่อน จุดนี้มีแขกมาใช้บริการเยอะ เพราะสามารถมานั่งเล่น wifi ได้ครับ (สัญญาณ wifi ไปไม่ถึงในห้องพักครับ)
ห้องพักผมอยู่บนชั้น 3 เรียกได้ว่าเดินกันเหนื่อยพอสมควรเพราะโรงแรมไม่มีลิฟต์ ภายในห้องตกแต่งสไตล์โทนสีขาว ฟ้า ดูน่ารักดีครับ มีทีวีให้ด้วย
ภายในห้องน้ำ กว้างขวางพอประมาณ
ประตูห้องพักทำจากบานไม้หนามาก แถมปิดไม่สนิดด้วย เวลาเปิดปิดห้องด้วยกุญแจก็ค่อนข้างยากด้วยครับ สนนราคาห้องพักอยู่ที่ 600 Dh/คืนครับ
ห้องนี้เป็นแบบเตียงใหญ่เตียงเดียว พื้นที่ในห้องจะแคบกว่าห้องแบบ 3 เตียงครับ
หลังจากเก็บของเข้าที่เรียบร้อยแล้ว ก็ออกไปหามื้อเที่ยงทานกันครับ
จากโรงแรมเราเดินเท้าไปยัง Marche Central เพื่อมาหาของทานที่ตลาดแห่งนี้ครับ
ปากทางเข้าตลาดมีร้านขายดอกไม้ แสงกำลังลงสวยเลยครับ
ด้านในตลาดมีอาหารทะเลขายมากมาย ไม่ว่าจะเป็นกุ้ง หอย ปู ปลา หาได้ที่ตลาดแห่งนี้ สดๆ ตัวใหญ่ๆ สมกับที่อยู่ติดกับมหาสมุทรแอตแลนติกและทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเลยครับ
ด้านหลังของตลาดจะมีร้านอาหารมากมาย ส่วนใหญ่เน้นขายอาหารทะเลครับ เราสามารถซื้ออาหารทะเลจากตลาดแล้วเอามาให้ที่ร้านปรุงก็ได้ ผมเลือกร้านที่ติดทางเข้า-ออกของตลาดครับ เพราะเห็นมีลูกค้ามากกว่าร้านอื่นๆ
นั่งปุ๊บ ทางร้านก็เริ่มนำเอาออเดิร์ฟมาเสิร์ฟ ลักษณะคล้ายๆ ยำผัก ซึ่งประกอบด้วยมะเขือเทศ, แตง หั่นเป็นลูกเต๋า หัวหอมซอยหยาบ ตามมาด้วยขนมปังและถั่วอะไรสักอย่างที่มีลักษณะคล้ายกับน้ำจิ้มครับ
ผมสั่งอาหารทะเลทอด ซึ่งมีทั้งปลาหมึกหั่นเป็นแว่น กุ้งทอด และปลาทอด
ซาดีนย่างครับ
Seafood Paella ลักษณะเหมือนข้าวหมกไก่ แต่เป็นหมกอาหารทะเลแทน มีทั้งหอย ปลาหมึก กุ้ง รสชาติดีทีเดียว สั่งมาจานเดียวไม่พอ เลยต้องขอเบิ้ลสองครับ อาหารอร่อย ราคาอาหารก็ไม่แพงด้วย ตกเมนูละประมาณ 40-50 Dh ครับ มื้อนี้ Happy กันทุกคนครับ
หลังมื้อเที่ยง เราออกสำรวจเมือง Casablanca กันต่อ เราเรียก Taxi เพื่อให้ไปส่งยังสุเหร่าแห่งกษัตริย์ฮัสซันที่ 2 (Hassan II Mosque) ครับ
สุเหร่าแห่งนี้ตั้งอยู่ริมมหาสมุทรแอตแลนติก เป็นสุเหร่าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโมร็อกโกและใหญ่เป็นอันดับสองของโลกรองจากสุเหร่าที่เมืองเมกกะ สร้างขึ้นในวโรกาสเฉลิมพระชนม์ครบ 60 พรรษาของกษัตริย์ฮัสซันที่ 2 แห่งโมร็อกโก สุเหร่าแห่งนี้ใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 6 ปี แล้วเสร็จสมบูรณ์เมื่อปี ค.ศ.1993 ครับ
รูปทรงของสุเหร่าแห่งกษัตริย์ฮัสซันที่ 2 เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า ยาว 200 เมตร กว้าง 100 เมตร การตกแต่งทั้งภายในและภายนอกสุเหร่าเป็นไปตามเอกลักษณ์ของศิลปะมุสลิมที่ผสมผสานงานศิลปะพื้นเมืองของโมร็อกโกได้อย่างกลมกลืน ใช้สีขาวและเขียวอันเป็นสัญลักษณ์ของศาสนาอิสลาม
สุเหร่าแห่งนี้มีหอ Minaret ที่สูงที่สุดในโลก คือสูงถึง 210 เมตร หอ Minaret อยู่ทางด้านใต้ของสุเหร่า เป็นองค์ประกอบหลักของสุเหร่าที่ไว้ใช้ประกาศเรียกผู้คนให้มาทำละหมาด มีรูปทรงสี่เหลี่ยม สร้างบนฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัส ด้วยความยาว 25 เมตรทั้งสี่ด้าน สร้างด้วยหิน เรียกได้ว่าถ้ายืนอยู่ใกล้ๆ หอ Minaret จะต้องแหงนคอตั้งบ่า ถึงจะมองเห็นยอดของหอ Minaret ครับ
สุเหร่าแห่งกษัตริย์ฮัสซันที่ 2 ออกแบบโดยสถาปนิกชาวฝรั่งเศส มิเชล แปงโซ (Michel Pinseau) เป็นศิลปะสไตล์โมร็อกโก และใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ผสมผสานเข้าไป ทั้งเครื่องทำความร้อน สำหรับอุ่นพื้น หลังคาเลื่อนเปิดให้แสงส่องเข้ามาได้ มีประตูเหล็กบานใหญ่ที่ใช้ไฟฟ้าในการเลื่อนขึ้นและลงอีกด้วย
การเข้าชมสุเหร่าแห่งกษัตริย์ฮัสซันที่ 2 ไม่เสียค่าเข้าชมนะครับ แต่ถ้าหากนักท่องเที่ยวต้องการจะเข้าชมด้านในสุเหร่า จะมีเวลาการเปิดให้เข้าชมด้านในเป็นรอบๆ โดยในวันเสาร์-พฤหัส จะมี 4 รอบ คือรอบ 09.00 น., 10.00 น., 11.00 น. และ 14.00 น. ส่วนในวันศุกร์จะมีเพียง 3 รอบ คือรอบ 09.00 น., 10.00 น. และ 14.00 น. โดยเข้าชมได้รอบละประมาณ 1 ชั่วโมง และต้องเสียค่าเข้าชมคนละ 120 Dh ครับ
เมื่อก้าวเท้าเข้ามาภายในสุเหร่า ผมถึงกับอึ้งเลยครับ เพราะความยิ่งใหญ่และความสวยงามที่อยู่ตรงหน้า มันเกินบรรยายจริงๆ เห็นว่าภายในสุเหร่าสามารถจุคนได้ราว 25,000 คนเลยทีเดียว
ภายในสุเหร่ามีบริเวณกว้างใหญ่มาก แบ่งเป็นหลายส่วน มีห้องโถงกลางยาว และส่วนที่แยกไว้เป็นมิห์รอบหรือสถานที่อิหม่ามนำพิธีละหมาด มีเสาต้นใหญ่ๆ อยู่รายล้อมรอบห้อง สกัดจากหินอ่อน หินแกรนิต และหิน onyx ทำให้เสาแต่ละต้นมีความแตกต่างกันออกไป สำหรับโคมไฟและไฟช่อที่ใช้ประดับภายในสุเหร่านั้นนำเข้ามาจากประเทศอิตาลีครับ
ลวดลายบริเวณประตู สวยงามมากๆ ครับ
หลังคาโดมทำจากไม้ซีด้าแกะสลักอย่างละเอียดบรรจง
ลวดลายช่างละเอียดอ่อน งามเกินบรรยายจริงๆ ครับ
เราจะชมด้านในได้ไม่ถึงชั่วโมง ก็จะมีเจ้าหน้าที่มาตามให้ออกไปชมจุดอื่นครับ
ผนังด้านนอกของสุเหร่าแห่งกษัตริย์ฮัสซันที่ 2 สร้างจากหินอ่อน มีซุ้มประตูที่แกะสลักอย่างประณีตบรรจงราวกับผ้าลูกไม้ที่ถักทออย่างละเอียด
เราเข้ามาชมอีกจุดหนึ่งซึ่งอยู่ชั้นล่างของสุเหร่าครับ
ชั้นล่างของสุเหร่าแห่งกษัตริย์ฮัสซันที่ 2 จัดไว้เป็นห้องเพื่อชะล้างทำความสะอาดก่อนทำละหมาด (purification halls) กว้าง 18,800 ตารางเมตร มีลักษณะเหมือนบ่อน้ำพุ กระจายอยู่ทั่วพื้นที่ครับ
ภายในห้องทำความสะอาด เพดานบางจุดจะเป็นกระจกใส ทำให้สามารถมองเห็นบรรยากาศภายในสุเหร่าได้ด้วยครับ
สุเหร่าแห่งกษัตริย์ฮัสซันที่ 2 หันหน้าสู่เมืองเมกกะ และตั้งอยู่ตรงจุดทิศตะวันตกเฉียงเหนือที่ชาวมุสลิมเรียกว่า ดาร์ อัล อิสลาม (Dar Al Islam) แปลว่า ดินแดนแห่งอิสลาม (Land of Islam) เป็นจุดเชื่อมของอารายธรรมอันหลากหลายที่อยู่ล้อมรอบโมร็อกโก อันได้แก่ แอฟริกา ยุโรป เมดิเตอร์เรเนียน และอาหรับครับ
ด้านข้างของสุเหร่าแห่งกษัตริย์ฮัสซันที่ 2 จะติดกับมหาสมุทรแอตแลนติก คนโมร็อกโกจะมานั่งพักผ่อน กินลมชมวิวอยู่ตลอดแนวฝั่งเลยครับ
มีชายหาดหินเล็กๆ ด้วย
การก่อสร้างสุเหร่าแห่งนี้ใช้แรงงานที่เป็นชาวโมร็อกโกทั้งหมด 35,000 คน โดยใช้วัสดุที่หาได้ภายในประเทศโมร็อกโกทั้งหมด ยกเว้นโคมไฟและไฟช่อที่ใช้ประดับภายในสุเหร่าครับ
ช่วงเย็นจะมีชาวโมร็อกโกออกมาพักผ่อนบริเวณสุเหร่าแห่งนี้เป็นจำนวนมากครับ
ผมอยู่ที่นี่ราว 4 ชั่วโมง เพื่อรอเก็บบรรยากาศยามค่ำครับ
ถึงแม้ว่าค่าเข้าชมภายในสุเหร่าจะค่อนข้างแพง แต่ผมแนะนำว่าอย่าเสียดายเงินเลยครับ มีสุเหร่าไม่กี่แห่งในโมร็อกโกจะเปิดให้คนต่างศาสนาเข้าชม แถมข้างในสุเหร่าแห่งนี้ก็ไม่ธรรมดา เพราะมันอลังการงานสร้างมาก รับรองว่าเมื่อเข้าไปชมด้านในแล้วจะไม่เสียดายเงินค่าเข้าเลยครับ
หลังสิ้นแสง เหมือนจะสิ้นใจ ผมคงต้องไปเติมพลังกันก่อน มื้อเย็นนี้ผมได้ร้านอาหารเล็กๆ ใกล้ๆ กับที่พักเรา แนวอาหารสไตล์ Seafood เหมือนกับที่เราทานเมื่อช่วงบ่ายแต่ว่ามีเมนูที่แตกต่าง ลักษณะคล้ายๆ ออส่วน รสชาตินุ่มละมุนดี ราคาประมาณ 40-50 Dh ครับ คืนนี้หมดแรงเลยครับ
ติดตามชม Explore MOROCCO # 8 : เที่ยว El JADIDA เหมือนได้มาโปรตุเกส ได้ที่ https://th.readme.me/p/3027
ลุงเสื้อเขียว
วันอังคารที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 20.44 น.