ติดตามชมตอนแรก Explore MOROCCO # 1 : นครขาว-ฟ้า Rabat ได้ที่ https://th.readme.me/p/3007
ติดตามชมตอนสอง Explore MOROCCO # 2 : ย้อนเวลาสู่เมืองโรมัน Volubilis ได้ที่ https://th.readme.me/p/3010
ติดตามชมตอนสาม Explore MOROCCO # 3 : เข้าตามตรอก ออกตามซอย ใน Fes ได้ที่ https://th.readme.me/p/3011
ติดตามชมตอนสี่ Explore MOROCCO # 4 : แผ่นฟ้าจรดผืนทราย ที่ Merzouga ได้ที่ https://th.readme.me/p/3012
ติดตามชมตอนห้า Explore MOROCCO # 5 : ตะลุยเมืองแห่งภาพยนตร์ Ouarzazate ได้ที่ https://th.readme.me/p/3013
ติดตามชมตอนหก Explore MOROCCO # 6 : Marrakesh มหานครแห่งมาห์เกร็บ ได้ที่ https://th.readme.me/p/3022
ติดตามชมตอนเจ็ด Explore MOROCCO # 7 : Casablanca เมืองท่าใหญ่สุดแห่งแอฟริกา ได้ที่ https://th.readme.me/p/3026
เช้าวันใหม่ กี้ขอแยกตัวเพื่อเดินทางต่อสู่โปรตุเกส เราเลยต้องวางแผนหาที่เที่ยวใกล้ๆ Casablanca กัน แล้วมติก็ออกมาที่เมือง El JADIDA ครับ
ก่อนออกเดินทาง ก็ขอตุนแรงด้วยอาหารเช้าของทางโรงแรมก่อนครับ
สำหรับการเดินทางไปเมือง El JADIDA ผมเลือกเดินทางโดยรถไฟ โดยไปขึ้นรถไฟที่สถานี Casa Voyageurs รถไฟที่ไป El JADIDA มี 7 รอบต่อวัน คือ 08.27 น., 09.20 น., 10.27 น., 12.27 น., 14.27 น., 16.27 น. และ 17.27 น. ค่ารถจาก Casa Voyageurs – El JADIDA 35 Dh ครับ
เราใช้เวลาเดินทางประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่งก็มาถึง El JADIDA จากนั้นต้องต่อ Taxi เพื่อเข้าไปยังตัวเมือง ค่า Taxi ขาเข้าเมืองอาจจะโดนขูดรีดบ้างเนื่องจากสถานีรถไฟอยู่ห่างออกมาจากตัวเมืองพอสมควร ไม่ค่อยมีรถ Taxi ผ่าน ดังนั้นจึงต้องเหมา Taxi ที่อยู่ด้านหน้าสถานีรถไฟ ผมโดนค่า Taxi ไป 30 Dh ครับ
EL JADIDA เดิมชื่อ มาซากัน (Maxzgan) เป็นภาษาโปรตุเกส เป็นเมืองที่อยู่ริมชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก เป็นเมืองโบราณที่เคยเป็นเมืองท่าที่สำคัญของโมร็อกโกที่ทำการค้ากับชาวฟินีเชียน ในปี ค.ศ.1502 ชาวโปรตุเกสขึ้นฝั่งที่นี่
Taxi พามาส่งที่ป้อม El Brijia El Jaida ซึ่งเป็นป้อมปราการที่มีสถาปัตยกรรมทางการทหารแบบเรอเนสซองส์ ในปี ค.ศ.1562 ป้อมถูกโจมตีโดยชาวอาหรับแต่ไม่สำเร็จ ระหว่าง ค.ศ.1580 – 1640 ต้องตกอยู่ภายใต้การปกครองของชาวสเปน และกลับมาถูกปกครองโดยชาวโปรตุเกสอีกครั้ง El Brijia El Jaida ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมของโมร็อกโกในปี ค.ศ. 2004 ครับ
จากที่ได้เดินเที่ยวอยู่ภายในป้อม สังเกตได้ว่าบ้านเรือนที่อยู่ภายในป้อมก่อสร้างตามสถาปัตยกรรมที่แสดงให้เห็นถึงการแลกเปลี่ยนอิทธิพลระหว่างวัฒนธรรมยุโรปและโมร็อกโก ถึงแม้ว่าบ้านเรือนจะดูเก่า แต่ก็ยังคงหลงเหลือให้เห็นถึงความสดใสของชีวิตความเป็นอยู่ในสมัยนั้นครับ
ด้วยความยิ่งใหญ่ของป้อมปราการที่มีปืนใหญ่บนกำแพง เมืองที่หันหน้าสู่ทะเลไว้ป้องกันข้าศึกรุกรานและความยิ่งใหญ่ของกำแพงเมืองที่ยังสมบูรณ์ ซึ่งทอดยาวไปตามหาดทรายอันสวยงาม มันเป็นเสน่ห์และมนต์ขลังของเมืองนี้
ภายในป้อมปราการอันยิ่งใหญ่ยังมีอ่างเก็บน้ำใต้ดิน (Underground cistern) ซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างที่ถือว่ามีความยิ่งใหญ่มากที่สุดในเมือง EL JADIDA ภายในได้รับการตกแต่งอย่างงดามในรูปแบบเรเนสซอง ผมเสียดายเป็นอย่างมากที่ก่อนจะมาเมืองนี้ผมไม่ได้ศึกษาข้อมูลมาดีพอ จึงไม่ทราบว่าที่นี่มีอ่างเก็บน้ำใต้ดินด้วย และที่สำคัญอ่างเก็บน้ำก็อยู่ในบริเวณที่ผมเดินอยู่ในป้อมแห่งนี้ด้วย
สำหรับมื้อเที่ยง ผมมาทานที่ร้าน TCHIQUITO แนะนำโดยหนังสือ Lonely Planet ซึ่งร้านนี้อยู่ในตลาดที่อยู่ตรงข้ามกับป้อม El Brijia El Jaida ครับ อาหารก็จะเป็นที่คุ้นเคยกับผมแล้ว เพราะช่วงหลังทานแต่อาหารประเภทนี้ทุกมื้อ นั่นก็คืออาหารทะเลทอดครับ Set อาหารทะเล ราคา 40 Dh และเฟรนฟรายอีก 5 Dh ครับ
หลังจากอิ่มท้องแล้วผมได้เดินย้อนกลับมาทางชายหาดเพื่อจะเดินไปยังสะพานปลา ระหว่างทางมีร้านอาหารสไตล์เดียวกับที่ผมเพิ่งไปทานมาอยู่บริเวณหน้าหาดเป็นแนวยาวเลยครับ
ที่บริเวณสะพานปลาก็เช่นกัน มีร้านแผงลอยที่นำซาดีนมาย่างขายกันสดๆ เลยครับ
ติดกับสะพานปลาเป็นชายทะเลครับ ถึงหาดทรายจะไม่ขาวและดูไม่สะอาด แต่ก็มีคนพื้นเมืองมาพักผ่อนกันเยอะมากครับ
บรรยากาศของเมือง EL JADIDA ครับ
ได้เวลาอันควร ผมจึงเรียก Taxi เพื่อกลับไปยังสถานีรถไฟ ช่วงที่ต่อรองราคากับ Taxi ก็สนทนากันไม่ค่อยรู้เรื่อง ต้องใช้ภาษามือในการต่อรองราคา เราพยายามจะต่อราคาให้ต่ำกว่าขามา (30 Dh) เพราะขามาเหมือนภาคบังคับ เขาว่าราคาไหนมาเราก็ต้องใช้บริการ แต่ขากลับมีรถให้เลือกเยอะ เลยคิดว่าน่าจะได้ราคาที่ถูกกว่า 30 Dh แต่ Taxi ก็เปิดราคามาในราคา 15 Dh เมื่อคูณ 2 คนก็คือ 30 Dh เราก็พยายามต่อราคาลงอีก แต่ Taxi ก็ยังคงยืนราคานั้นตามเดิม เราก็เลยต้องขึ้นรถอย่างจำใจครับ เมื่อขึ้นรถมาแล้ว โชเฟอร์คงกลัวว่าเราจะเข้าใจผิดเรื่องราคา เขาก็เลยหยิบเงินจำนวน 15 Dh ให้เราดูสรุป เป็นอันเข้าใจตรงกัน
เมื่อถึงสถานีรถไฟ เราก็ควักเงินจำนวน 30 Dh ยื่นให้เขา เขาก็รับมาแล้วโบกมือ ผมคิดในใจว่า สงสัยโดนลูกเล่นของ Taxi อีกแล้ว หลังจากที่เขาโบกมือ เขากลับส่งเงินคืนให้เราจำนวน 15 Dh ผมงี้ถึงกับน้ำตาคลอ ไม่คิดว่าจะมีคนซื่อสัตย์แบบนี้ด้วย คือที่เขาบอก 15 Dh ตั้งแต่แรก นั่นคือราคาต่อคัน ไม่ใช่ราคาต่อคน เราเข้าใจผิดไปเอง แล้วจริงๆ เขาไม่จำเป็นต้องคืนเงินให้เราก็ได้ เพราะตอนนั้นเรายินดีที่จะจ่าย 30 Dh แล้ว ก่อนที่จะล่ำลาจากเขา เราก็ขอบคุณเขาเป็นการใหญ่
รถไฟที่จะกลับไปยังCasa Voyageurs มี 7 รอบต่อวัน คือ 08.30 น., 10.30 น., 11.30 น., 12.30 น., 14.30 น., 17.30 น. และ 18.30 น. ผมเลือกที่จะกลับรอบ 14.30 น. ครับ
เมื่อมาถึงสถานี Casa Voyageurs แล้ว ก็เดินเล่นต่อใน Medina ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่พักของผมเลย บรรยากาศใน Medina ค่อนข้างเล็กและดูไม่คึกคักเหมือนที่ Marrakesh หรือ Fes อาจจะเป็นเพราะ Casablanca ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวก็เป็นได้ครับ มื้อเย็นนี้ผมเลือกทาน Pizza ที่ Agarta Café ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับ Casa Port ครับ
มื้อค่ำนี้ได้ Tuna Pizza และ Vegetables Pizza อิ่มหนำแล้วก็กลับไปพักผ่อนยังที่พักครับ
วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วที่จะได้อยู่เที่ยวในโมร็อกโก วันนี้เลยจัดโปรแกรมชิวๆ รอบๆ Casablanca ครับ
วันนี้ขอใช้เวลาแบบไม่เร่งรีบบ้างสักวัน หลังอาหารเช้าก็ค่อยๆ เดินทอดน่องไปตามลายแทงที่ Lonely Planet แนะนำ จุดแรกคือ Wilaya เดิมที่นี่เป็นกรมตำรวจ แต่ปัจจุบันเป็น governor's office ครับ
ฝั่งตรงข้ามของ Wilaya จะเป็นลานกว้าง ซึ่งอยู่ในพื้นที่ของ Palace Mohammed V ระหว่างที่ผมกำลังถ่ายภาพฝูงนกพิราบอยู่บริเวณนั้น ก็มีชายที่แต่งกายดูผิดแผกไปจากชาวโมร็อกโกได้เดินผ่านเข้ามาในเฟรมพอดี ผมคิดว่าชุดที่เห็นน่าจะเป็นชุดพื้นเมืองครับ เพราะผมสังเกตว่าเขาจะคอยเรียกให้นักท่องเที่ยวมาถ่ายรูปกับเขาแลกกับค่าถ่ายรูปครับ
เห็นป้ายชี้บอกทางมาที่โบสถ์ Cathédrale du Sacré Coeur ผมเองก็ไม่รอช้าครับ เพราะผมมองเห็นยอดแหลมของโบสถ์ตั้งแต่ตอนที่ผมกำลังถ่ายฝูงนกพิราบแล้ว โบสถ์โรมันคาธอลิกส์แห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1930 ตามข้อมูลบอกว่า ออกแบบโดย Paul Tornon ภายในทั้งสองด้านกำแพงประดับด้วยกระจกสี (Stain glass) ที่งดงาม ซึ่งบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับคริสต์ศาสนา แต่ผมไม่ได้เข้าไปด้านในหรอกครับ เพราะรู้สึกเหมือนโบสถ์จะปิด โบสถ์นี้นับเป็นโบสถ์แรกที่ผมเห็นในโมร็อกโกครับ
ใกล้ๆ กับโบสถ์คริสต์ มีทิวต้นปาล์มปลูกไว้อย่างเป็นระเบียบมาก
เดินผ่านอุโมงค์ต้นไม้ อดไม่ได้ที่จะยกกล้องขึ้นมาถ่ายครับ กิ่งก้านสาขาของต้นไม้ถูกตัดแต่งได้อย่างสวยงามมากๆ
ช่วงเช้าผมเดินเก็บบรรยากาศได้เพียงเท่านี้ ก็ถึงเวลามื้อเที่ยงแล้ว เที่ยงนี้เราลงมติกันว่าจะกลับไปทานอาหารทะเลกันที่ Marche Central อีกครั้งเพราะติดใจในความสดอร่อยของอาหารทะเลครับ
มื้อนี้ถือเป็นมื้อสั่งลาโมร็อกโก เลยขอฟู่ฟ่ากันสักนิด จากวันแรกที่มาถึงตลาดแห่งนี้ เราแอบเห็น lobster ตัวเขื่อง เราคิดกันไปเองว่าราคาน่าจะไม่แพงเท่าเมืองไทย เพราะที่นี่ติดมหาสมุทรแอตแลนติก วันนี้เลยขอเข้าไปสอบถามราคาสักหน่อย พ่อค้าบอกว่า กิโลกรัมละ 250 Dh เมื่อคำนวณเป็นค่าเงินบาทก็ตกประมาณกิโลกรัมละ 900 บาท เราก็มโนกันไปเองว่าราคาคงถูกกว่าเมืองไทยแน่นอน (อยู่เมืองไทยก็ไม่เคยรู้หรอกว่า lobster ที่เมืองไทยขายกิโลกรัมละเท่าไร) ด้วยอาการอยากจะลองทาน เลยรีบตกลงราคาโดยที่ไม่ได้ต่อราคากับพ่อค้าเลยlobster ที่วางอยู่บนแผงมีอยู่ 3 ตัวครับ มีตัวเล็กสุด 1 ตัว น้ำหนัก 8 ขีด และตัวใหญ่อีก 2 ตัว หนักตัวละประมาณ 3 กิโลกรัม คงไม่ต้องคิดนะครับว่าผมจะเลือก Size ไหนไปเป็นมื้อกลางวันของผม
ระหว่างที่รอพ่อครัวกำลังเผากุ้งให้เรา เราเลยสั่งเมนูที่คุ้นเคย นั่นคือปลาทอดกับซาดีนเผา เสียดายที่ข้าวหมกทะเลยังทำไม่เสร็จ เนื่องจากเรามาถึงก่อนเวลาร้านจะเปิดครับ
แล้วจานที่เรารอคอยก็มาถึง lobster ตัวขนาดเท่าแขนตอนนี้นอนแน่นิ่งอยู่ในจานเป็นที่เรียบร้อย ผมค่อยๆ เคี้ยวบริเวณลำตัวของ lobster เพื่อให้ได้รับรู้ถึงความหวานให้นานที่สุดส่วนบริเวณมันกุ้งที่หัวlobster เมื่อโดนไฟจนแห้ง รสชาติของมันกุ้งจะออกรสชาติเค็มๆ มันๆ ครับ อร่อยมากเลยทีเดียว สำหรับค่าเผากุ้งทางร้านคิดค่าบริการ 20 Dh ครับ
หลังมื้อเที่ยง เราวางแผนจะไปนั่ง Tram เพื่อชมเมือง Casablanca กัน โดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่สถานี AIN DIAB PLAGE ซึ่งเป็นสถานีสุดท้ายของเส้นทางนี้ครับ
สถานี Marche Central ตั้งอยู่ด้านหน้าของตลาดที่เราทานมื้อเที่ยงเลยครับ สถานี Tram เป็นแบบง่ายๆคล้ายๆ ป้ายรถเมล์บ้านเรา มีตู้ซื้อตั๋วอยู่บริเวณด้านหน้าสถานี สำหรับค่าโดยสาร ราคา 6 Dh ตลอดสายครับ (การซื้อตั๋วครั้งแรก ระบบจะคิดราคา 7 Dh ซึ่งเป็นค่าตั๋ว 1 Dh และค่าโดยสารอีก 6 Dh สำหรับการโดยสารในครั้งต่อไป สามารถใช้ตั๋วเดิมเติมเงินได้ต่อครับ)
เราใช้เวลาเดินทางเกือบครึ่งชั่วโมงก็มาถึงสถานี AIN DIAB PLAGE ครับ จากนั้นเพียงแค่ข้ามฟากถนน มหาสมุทรแอตแลนติกก็จะมาปรากฏอยู่เบื้องหน้าเราครับ
คลื่นลมค่อนข้างแรงเลยทีเดียว ดูแล้วชายหาดบ้านเราสวยกว่าเยอะครับ ชายหาดแห่งนี้เป็นที่พักผ่อนของชาวโมร็อกโก บ้างก็มานอนพักผ่อนริมทะเล บ้างก็มาเล่นกีฬากัน
ผมอยู่ที่ชายหาดสักพักก็เดินทางกันต่อ รอบนี้เรียก Taxi เพื่อให้พาเราไปส่งยัง Morocco Mall ครับ
Morocco Mall ตั้งอยู่ในย่านหรู Boulevard Mohammed V ริมมหาสมุทรแอตแลนติก เป็นมอลล์ที่ใหญ่ที่สุดในแอฟริกา ภายในมีสินค้าให้เลือกชอปปิ้งมากมาย รวมถึงอะควาเรียมขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางห้างเลยครับ
ผมใช้เวลาเดินอยู่ใน Morocco Mall ได้สักพัก ก็มีมติว่าคงต้องกลับที่พักกันแล้วเพื่อเตรียมตัวเก็บกระเป๋า เพราะพรุ่งนี้เราต้องออกเดินทางกันแต่เช้า ก่อนเข้าที่พักก็เลยแวะหามื้อค่ำทานก่อนที่จะเข้าโรงแรมครับ
ใกล้ๆ ร้าน Pizza ที่เราฝากท้องไว้เมื่อคืน มีร้านค้าเล็กๆ ที่มีคนมามุงทั้งเช้าและเย็น ผมสังเกตตั้งแต่เมื่อวานช่วงที่ทาน Pizza แล้วครับ ค่ำนี้เลยขอไปสำรวจสักหน่อยว่าเขาขายอะไรกัน
แท้จริงแล้วร้านนี้ขายอาหารว่างประเภทขนมปังกับชามิ้นท์ครับ จะบอกว่าเป็นขนมปังก็ไม่ใช่ เพราะอาหารว่างที่ว่าลักษณะจะคล้ายๆ กับโดนัททอดจนด้านนอกกรอบ จากนั้นพ่อค้าจะผ่าตรงกลางและทาแยมเอพริคอต โดยรวมแล้วอร่อยดีครับ ราคาชิ้นละ 2 Dh เอง สำหรับใครอยากจิบชามิ้นท์ด้วย ก็สามารถสั่งเพิ่มได้ในราคา 1.5 Dh ครับ เมื่อทานกันจนอิ่มแล้วก็กลับไปพักผ่อนที่ห้องครับ
ถึงเวลาต้องอำลาโมร็อกโกแล้วครับTaxi ที่เรานัดไว้มารับตามเวลาที่เรานัดไว้ 06.30 น. เราเริ่มออกเดินทางกันสู่สนามบิน ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงก็มาถึงยังสนามบินครับ
เรามาถึงสนามบินก่อนเวลานานมาก เนื่องจากวันที่กี้เดินทางไปโปรตุเกส กี้ส่งข้อความมาว่าให้มาถึงสนามบินเร็วหน่อย เพราะกระบวนการของ ตม.ค่อนข้างช้า แต่เนื่องจากว่าวันนี้เรามาถึงกันแต่เช้า เลยอาจทำให้ผู้โดยสารคนอื่นยังมาไม่เยอะ เราเลยผ่านกระบวนการต่างๆ ไปได้ค่อนข้างเร็ว
จุดสแกนก่อนที่เข้าไปยัง gate หากจะว่าตรวจเข้มก็ว่าได้ เพราะทุกคนที่ผ่านจุดสแกนจะต้องถอดรองเท้าและนำรองเท้าเข้าเครื่องสแกน จะว่าหย่อนยานก็ว่าได้ เพราะน้ำดื่มที่เราเสียบไว้ข้างเป้ สามารถนำเข้าไปใน gate ได้ครับ
สำหรับประตูทางออกขึ้นเครื่องจะมี 2 ชั้น เราได้ gate ชั้นล่าง ซึ่งชั้นล่างมีร้านค้าน้อยมาก มีเพียงร้านอาหารเล็กๆ อยู่ 1-2 ร้าน แนะนำว่าให้ขึ้นไปที่ gate ชั้นบนนะครับ ชั้นบนจะมีร้านอาหารค่อนข้างเยอะ มี Duty Free และดูโอ่โถงกว่า gate ด้านล่างมากๆ ครับ
และการนั่งเครื่องบินที่ยาวนานของผมก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง 10.50 น. เราโบกมืออำลา Morocco ครับ
เมื่อเครื่องทะยานขึ้นฟ้า มองลงมาก็เห็นสุเหร่าแห่งกษัตริย์ฮัสซันที่ 2 อย่างชัดเจน
พยายามที่จะข่มตาไม่ให้หลับ เพราะอยากให้ร่างกายเพลีย เหตุผลเพียงแค่เมื่อถึงเมืองไทย ร่างกายจะได้พร้อมพักผ่อน และจะได้ไม่เกิดอาการ Jet lag ครับ
ก่อนแสงสุดท้ายจะมาทักทาย ทางสายการบินก็เริ่มให้บริการอาหารมื้อเย็นกับเรา ตามเมนูมีให้เลือก 2 เมนูคือ ไก่ และ ปลา ใจผมอยากจะทานปลา แต่เมื่อแอร์ฯ มาเสิร์ฟถึงแถวผม ปรากฏว่าเมนูปลาหมดไปเสียแล้ว มื้อนี้ผมเลยได้เมนูไก่มาแทนครับ เมื่อเปิดแผ่นฟอยล์ออกมา ผมแทบจะเบือนหน้าหนี เพราะไปเจอเมนูคล้ายๆ กับคูสคูสไก่ ซึ่งเป็นอาหารพื้นเมืองที่ผมเจอมื้อแรกที่เฟส รู้สึกไม่ค่อยจะถูกปากผมเลย แต่เนื่องจากผมกลัวว่าจะหิว จึงเลือกทานแต่ไก่และของหวานเท่านั้นครับ
ทานอาหารไปพร้อมชมแสงสุดท้าย ณ น่านฟ้าอียิปต์ครับ
เราใช้เวลาประมาณ 7 ชั่วโมงก็มาถึง Abu Dhabi ครับ และมีเวลาประมาณ 1 ชั่วโมงเพื่อจะเปลี่ยนเครื่อง เรียกได้ว่าเดินจ้ำกันกระหืดกระหอบกันเลยทีเดียว
เราทะยานขึ้นเหนือน่านฟ้า Abu Dhabi ในเวลา 12.10 น. ขานี้ผิดแผนนิดหน่อยครับ เพราะผมทนความง่วงไม่ไหวเลยเผลอหลับไป อีกอย่างไฟล์ทนี้ผมไม่ได้นั่งริมหน้าต่างด้วยเลยไม่มีอะไรทำได้ดีไปกว่าการนอนหลับครับ ขานี้ผมไม่ได้ถ่ายภาพเลยเนื่องจากพอรู้ว่าไม่ได้นั่งริมหน้าต่างจึงนำเป้กล้องไว้บนที่เก็บสัมภาระครับ
เมื่อแสงแรกมาทักทาย แอร์ก็เริ่มเสิร์ฟอาหารเช้าอีกครั้ง มื้อนี้เป็นไก่สะเต๊ะครับ ผมมโนว่ารสชาติคงคล้ายหมูสะเต๊ะบ้านเรา แต่ผิดครับ รสชาติไม่แตกต่างจากอาหารพื้นเมืองของโมร็อกโกเลย เราใช้เวลาเดินทางประมาณ 6 ชั่วโมงก็มาถึงเมืองไทยโดยสวัสดิภาพ จากนั้นก็มารอรับกระเป๋าที่สายพาน แต่ปรากฏว่าคนมาถึงแต่กระเป๋ายังมาไม่ถึง กระเป๋าของผมตกค้างอยู่ที่สนามบิน Abu Dhabi ครับ ทางพนักงานของ ETIHAD แจ้งเราว่ากระเป๋าจะมาถึงเมืองไทยราว 1 ทุ่ม แต่ผมคงไม่อยู่รอกระเป๋าเป็นแน่ๆ เพราะต้องรีบกลับมาทำงานต่อ พนักงานเลยให้ผมทิ้งที่อยู่ไว้และทางสายการบินจะส่งกระเป๋าให้ถึงบ้านเลยครับ พี่นัท ซึ่งอยู่ใน กทม.อยู่แล้ว เมื่อกระเป๋ามาถึงทางสายการบินก็นำไปส่งให้ในทันที สำหรับผมอยู่ลพบุรี ทางสายการบินก็ส่งตรงมากับรถของบริษัทให้ในเช้าวันรุ่งขึ้น ส่วนพี่ตั้มซึ่งอยู่ที่อุบลฯ ทางสายการบินก็ส่งตรงสู่สนามบินอุบลราชธานี ก็ถือว่าเป็นความรับผิดชอบที่สายการบินมีให้กับเราครับ
ทริปนี้ถือเป็นอีกหนึ่งทริปที่ผมได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ หลายอย่างกลับมา ได้เห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็น ได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ มากไปกว่านั้นผมรู้สึกประทับใจกับมิตรภาพและความมีน้ำใจระหว่างเดินทางของคนที่นี่ ถึงแม้ว่าผมจะโดนเอาเปรียบจากคนที่นี่บ้างตอนเข้าพักที่เฟส หรือตอนนั่ง Taxi ที่ไม่ยอมเปิดมิเตอร์ และโขกราคาค่าโดยสารจากผม แต่ผมคิดว่ามันเป็นธรรมดาของมนุษย์ที่ต่างต้องดิ้นรนเพื่อปากท้องของตัวเอง เมืองไทยเองก็ยังมีการเอาเปรียบนักท่องเที่ยวเหมือนกัน
การเดินทางคือการค้นหาคำตอบเพื่อมาเติมเต็มให้กับชีวิต ความเป็นจริงมันอาจไม่ได้สวยงามตามใจคิด มันมีทั้งด้านสว่างจนทำให้เราประทับใจ หรือด้านมืดที่จะทำให้เราจำไม่รู้ลืม แต่ทั้งหมดทั้งมวล มันคือความสุขที่ได้เดินทางออกไปสู่โลกกว้าง
เล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับโมร็อกโก
1.เวลาที่โมร็อกโก ช้ากว่าเมืองไทย 7 ชั่วโมง
2.ชาวโมร็อกโกไม่ชอบถ่ายรูป เพราะมีความเชื่อว่าถ้าถ่ายรูปแล้วจะอายุสั้น
3.ผมว่าเมืองไทยสะอาดกว่าที่โมร็อกโก ยิ่งตาม Medina จะเห็นมีเศษขยะมากมาย ผมอยู่โมร็อกโกวันเดียวก็แพ้อากาศเสียแล้ว แล้ววันต่อมามีอาการน้ำมูกเขียว ยิ่งอยู่หลายวัน สมาชิกทุกคนก็มีอาการเป็นหวัดกันทุกคน ผู้ที่จะไปเที่ยวโมร็อกโกควรเตรียมยาแก้แพ้อากาศ ยาแก้ไข้ และ Mask ไปด้วย
4.อาหารพื้นเมืองบางอย่างจะไม่ถูกปากคนไทย แต่ก็มีอาหารบางอย่างที่รสชาติไม่ต่างจากบ้านเรา เช่น ไก่ย่าง อาหารทะเลทอด
5.ของฝาก ควรหาซื้อที่ Medina ในเมือง Marrakesh หรือ Fes เพราะมีของให้เลือกมากมาย หากมาหาซื้อที่ Casablanca แล้วจะเสียใจ เนื่องจากมีของให้เลือกน้อยมาก
6.ชากุหลาบ,ชามินท์ ถือเป็นของฝากที่สามารถนำกลับเมืองไทยได้ง่ายที่สุด
7.หากต้องการซื้อเครื่องหนัง เช่น รองเท้าหนัง กระเป๋าหนัง แนะนำให้หาซื้อที่ Fes เพราะจะได้หนังแท้อย่างแน่นอน เครื่องหนังถือเป็นสินค้าชิ้นดีประจำเมือง Fes
ข้อมูลของสถานที่ท่องเที่ยว อ้างอิงจาก
http://sameaf.mfa.go.th/th/country/africa/tips_detail.php?ID=4194&SECTION=41
http://www.oceansmile.com/Morocco/Morocco.htm
http://www.holidaythai.com/Morocco-Guide-61.htm
หนังสือ Lonely Planet
ลุงเสื้อเขียว
วันอังคารที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 21.18 น.