..รุ่งอรุณแห่งวันใหม่ บนผืนป่าใหญ่แห่งที่ราบสูงโบโลเวน เมื่อคืนอากาศกำลังเย็นสบายมีฝนตกพรำๆไม่ถึงกับหนาวมาก พวกเราเริ่มต้นกันหุงหาอาหารกันแต่เช้า เพื่อเตรียมตัวเดินทางต่อ และตระเตรียมเสบียงเผื่อมื้อกลางวันระหว่างทาง


ผมขยับกายออกมาจากเต้นท์ มุ่งตรงไปยังลำธารที่เราข้ามกันเมื่อวานเพื่อ อาบน้ำล้างหน้าล้างตาซักหน่อย ลำธารที่เราใช้กินใช้อาบสายนี้เป็นลำน้ำสาขาที่ไหลมาจากต้นน้ำในป่าใหญ่ซึ่งอยู่ในเขตป่าสงวนดงหัวสาวแห่งที่ราบสูงโบโลเวนที่เราจะไปสำรวจกัน แวะถ่ายภาพความงามของสายน้ำช่วงเช้าสักพักก็ขึ้นไปหาอะไรกินที่แคมป์ เช้าๆแบบนี้ไม่มีอะไรเหมาะกว่ากาแฟร้อนๆสักถ้วย เข้าป่าทีไรกินกาแฟแทบทุกมื้อ

เจ้าคุณปู่สามารถกลับมาใช้งานได้อีกครั้งจากฝีมือเจ้าของผู้รู้ใจเห็นบอกว่าแก้ไขแก้ขัดกันไปก่อนเพื่อให้ใช้งานได้ พวกเราจัดแจงเก็บแคมป์ เก็บสัมภาระขึ้นรถเพื่อย้ายแค็มป์ไปยังจุดที่ใกล้ที่สุดของตัวตาดวันนี้ดีหน่อยที่ทางลูกหาบหาไม้มาขัดเพื่อให้คนที่ยืนหลังรถมีหลักไว้เกาะไม่โยนตัวกันไปมาเหมือนเมื่อวาน

พวกเราออกเดินทางกันตอน 8 โมงเช้า ออกมาไม่ถึงกิโล เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เจ้าคุณปู่ก็ถึงกาลอวสาน..สิ้นใจไม่สามารถไปต่อได้ เพราะลูกปืนเฟืองท้ายเกียร์แตก ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาชุบชีวิตนานเท่าไหร่

ในสถานการณ์ที่ขาดผู้นำทริปอย่างพี่กัณฑ์ พวกเราระดมสมองกันว่าจะทำอย่างไรกันดีต่อจากนี้ ทางสารถีแจ้งว่าต้องเอาอะไหล่จากข้างนอกมาเปลี่ยน ซึ่งแน่ล่ะว่าต้องเสียเวลาอีกนานกว่าจะซ่อมเสร็จ พวกเราเลยตัดสินใจทิ้งสัมภาระเดินตัวเปล่า เอาแต่อาหารและน้ำดื่มไปกินกลางวันระหว่างทาง และให้รถขนสัมภาระมาทีหลังเมื่อซ่อมเสร็จ พอตัดสินใจกันได้ พวกเราก็เริ่มเดินกันทันที ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเราปรารถนามากกว่าการนั่งรถไปเสียอีก เพราะจากการสัมผัสการยืนบนหลังรถวันแรกกับทาง offroad มันไม่เหมาะกันซะเลย

สภาพเส้นทางที่เราเดินจะผ่านทุ่งหญ้าเขียวขจี เดินลุยผ่านแอ่งน้ำ ข้ามห้วย ผ่านป่าละเมาะ และไร่กาแฟ เดินตามถนนที่ชาวบ้านใช้สัญจรกันเพื่อบรรทุกเมล็ดกาแฟออกจากไร่ ถึงทางเดินจะสบาย แต่ก็ลื่นเอาการ ไม่ว่ารองเท้ายี่ห้อดีขนาดไหนก็ลื่นล้มคะมำกันหลายราย

พวกเราเดินข้ามลำน้ำที่ตัดผ่านเส้นทาง ประมาณ 3 สายผ่านไร่กาแฟ ขึ้นเนินทางชันเตี้ยๆ อีก สองสามเนินผ่านหมู่บ้าน เดินเท่าไหร่ก็ไม่ถึงสักที แต่ด้วยระยะทางที่ไกลพอดู ทำให้เหนื่อยกันพอสมควร เรามาถึงจุดพักทานข้าวกลางวันกันตอน บ่าย 2 ที่ริมลำธารบริเวณใกล้หัวตาดแห่งหนึ่ง จากจุดนี้เดินต่อไปอีกไม่เกิน 3 ชั่วโมงเราจะได้ตั้ง camp กันริมลำธารใกล้กับตาดเซคำพอแล้ว อาการตอนนี้บางคนเท้าเริ่มเปื่อย บางคนก็ตะคริวขึ้นเพราะด้วยอากาศที่เย็น และตัวเปียกชื้นอยู่ทั้งวัน เพราะสภาพภูมิอากาศช่วงนี้เป็นฤดูฝน แสงแดดแทบไม่มีให้เห็นตลอดทั้งวัน

เราพักกินกลางวันกันริมลำธารตอนบ่ายโมง และได้โทรหาทางคนขับรถ ถามอาการว่าเป็นอย่างไรบ้าง ปรากฏว่า รถไม่สามารถซ่อมเสร็จได้ทันเวลาจึงตามมาไม่ได้ ทำให้พวกเราต้องระดมความคิดกันอีกรอบว่าจะเอาอย่างไรกันดี จะไปต่อก็ยังเดินอีก 3 ชั่วโมง ถ้าหยุดแล้วเดินกลับก็จะไม่ถึงเป้าหมายที่เราตั้งไว้ ผลสรุปคือมีบางส่วนเดินกลับไปเพื่อตั้งแคมป์ที่เดิม ส่วนใหญ่จะเป็นรุ่นใหญ่ที่ประสพการณ์โชกโชนเคยผ่านจุดนี้กันมาแล้วเมื่อ 4 ปีก่อน ขออาสาเดินกลับไปแคมป์เพื่อเตรียมอาหารเย็นรอให้พวกเรา

ส่วนพวกเราสรุปว่าจะเดินกันไปต่อถึงแม้ขากลับ จะเดิน night trail กันก็ตาม แต่ไม่ได้ไปยังเป้าหมายที่ต้องการ เพราะต้องใช้เวลานานพอสมควร ลูกหาบบอกว่าข้างหน้าเดินอีกประมาณ 3 กิโลจะมีอีกตาดนึงที่ยังไม่มีผู้ใดลงไปสำรวจ ชื่อตาดเซคำพอใหญ่ ทำให้เราค้นพบว่า ตาดเซคำพอจริงๆมี 2 ตาดคือ เซใหญ่ กับ เซน้อย ตอนปี 54 ที่ไปกันคือเซน้อย ดังนั้นเราจึงไม่รอช้ายอมเดินกันอีกประมาณ 3 กิโล เพื่อเข้าไปชมตาดตัวใหม่นี้ทันทีว่าจะมีความสวยงามขนาดไหน..ทางเดินหลังจากนี้ก็มีขึ้นเนินลงเนินเตี้ยๆประมาณ 2-3 เนินแล้วตัดทางลงไปยังหัวตาด เส้นทางต้องปีนป่ายเดินลุยลำธารและโขดหินไต่ไปตามชั้นต่างๆของแก่งที่ลื่นมากต้องพยายามทรงตัวให้ดี พอเดินมาสักระยะจะมาเจอหัวตาด มองลงไปมีความสูงมากน่าจะประมาณ 20 เมตรได้

ลูกหาบหาทางตัดทางลงไปยังด้านล่าง ทางลงลำบากมากไม่มีอุปกรณ safety ใดๆมีแค่เชือกเล็กๆเส้นเดียวที่มัดกับต้นไม้ไว้ช่วงที่ชันๆกันไว้ไม่ให้ไถลลื่นลงไปเบื้องล่างใช้เวลาสักพักก็ลงมาถึงด้านล่างของน้ำตก ลักษณะน้ำตกเป็นสายน้ำที่ไหลทอดตัวมาจากเวิ้งผาที่สูงชันลงมายังแอ่งด้านล่างและก็ไหลลงไปตามโตรกผาแอ่งเล็กแอ่งน้อยต่างๆต่อไป เราใช้เวลาซึมซับบรรยากาศเก็บภาพ ชักรูปกันเป็นที่ระลึกว่าครั้งหนึ่งเราได้มาสำรวจยังตาดตัวใหม่เป็นกลุ่มแรก ถึงแม้ความสวยงามและอลังการอาจจะไม่เทียบเท่าตาดเซคำพอน้อย แต่ก็ภูมิใจที่ได้ฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆเข้ามาถึงจนได้ ขากลับลงมาเท่าไหร่ขาขึ้นก็ต้องขึ้นไปเท่านั้น พอไต่ขึ้นมาถึงหัวตาด ลูกหาบตัดทางใหม่เพื่อย่นระยะทางลง โดยการมุดลอดไปตามกอไผ่ที่ขึ้นเรียงรายบริเวณเชิงผา เหน็ดเหนื่อยกันพอสมควรเพราะต้องโหนต้องเหนี่ยวรั้งรากไม้เพื่อพยุงตัวขึ้นไปด้านบน เรียกได้ว่าบางครั้งต้องคลานสี่ขาเพื่อมุดลอดไปให้ได้ พอพยุงกายขึ้นมาด้านบนก็ต้องเดินกลับทางเดิม

ขากลับเราต้องเดิน night trail กัน ข้าวเย็นก็ไม่ได้กิน อาศัยใครมีขนม ก็มาแบ่งกันกิน และยังมีข้าวที่เหลือกลางวันอีกนิดหน่อยพอประทังความหิวกันไปได้บ้าง เราเดินกลับกันทางเก่าโดยมีแสงจากไฟฉายนำทาง หกล้มกันไปตลอดทาง จนมาถึงจุดที่รถเสีย เจ้าคุณปู่ยังจอดสงบนิ่งอยู่ที่เดิม โดยมีคนขับและช่างซ่อมจากข้างนอกมาช่วยกัน เพื่อที่จะได้เดินทางออกจากป่าได้ในวันพรุ่งนี้ สรุปแล้วจากจุดรถเสีย มายังเซคำพอน้อย เราใช้ระยะเดินทางไปกลับ จนถึง camp ก็น่าจะ 30 กิโลได้ ออกเดินทางตั้งแต่ 8 โมงมาถึงแค็มป์ก็เที่ยงคืนพอดี และใช้เวลาไป 16 ชั่วโมงในการเดินทางวันนี้ กลับมาถึง camp พวกที่มาถึงกันก่อนก็หลับกันไปหมดแล้ว ด้วยความหิวเดินไปหาอะไรกินที่พวกที่กลับมาก่อนทำไว้ให้ แต่ก็กินอะไรไม่ลง ลงไปอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัวที่ลำธารที่เย็นจัด กลับมามุดเข้าเต้นท์หลับเป็นตาย…ขอบคุณภาพประกอบรีวิวบางภาพของ ไอ้คล้าวผจญภัย ด้วยครับ

clip สำรวจตาดเซคำพอ ตอนที่ 2

สำรวจตาดเซคำพอ 1

สำรวจตาดเซคำพอ 3


-ขอขอบคุณเพื่อนๆที่ได้เข้ามาชม และ กด like กด share เป็นกำลังใจน่ะครับ

-แลกเปลี่ยนข้อมูล หรือพูดคุย สอบถามข้อมูลการเดินทาง ได้ที่ Fanpage : สตั๊ดดอยร้อยเรื่องราว

-ติดตามบทความเก่าๆ ได้ที่นี่ครับ ทริปเดินทางทั้งหมด

















สตั๊ดดอย ร้อยเรื่องราว

 วันพุธที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 10.25 น.

ความคิดเห็น