เช้าวันที่ 3 ตื่นมาด้วยความรู้สึกระบมทั่วร่างจากการเดินหนักทั้งวันเมื่อวานนี้ วันนี้จะเป็นวันที่เราออกจากป่าเพื่อไปพักยังบ้านหนองหลวงเป้นคืนสุดท้าย ได้ยินเสียงคำรามเจ้าคุณปู่ดังใกล้เข้ามา แสดงว่ามันกลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง พวกเราจัดแจงเก็บแคมป์จัดของขึ้นรถกันโดยทันที และไม่ลืมที่จะเผาขยะที่เกิดจากการที่เราเข้ามาใช้พื้นที่ป่าในการประกอบอาหารไว้ไม่ให้เหลือซาก อะไรที่เผาไม่ได้เราก็ขนออกมาทิ้งข้างนอก


การเดินทางกลับเราก็ใช้เส้นทางเดิม ขับมาได้สักพัก มันก็เริ่มอีกแล้ว เจ้าคุณปู่เรามันคงจะลาโลกไปแล้วจริงๆคราวนี้ อาการที่เป็นก็เหมือนเดิม ที่ผ่านมาก็รักษาอาการแบบประคองกันไปก่อน แต่วันนี้สภาพไม่ไหวจริงๆ จอดรถติดต่อช่างจากภายนอกนำอะไหล่มาเปลี่ยน และไม่รู้ว่าจะเสร็จเมื่อไหร่ เลยให้หารถมารับพวกเราไปแทนไม่งั้นไม่ได้ออกจากป่ากันแน่

ช่วงที่รอรถมารับเราก็เอาผ้าใบมากางนั่งรอกันบนถนน บางคนก็นอนรอจนหลับ จนรุ่นใหญ่บางคนที่ยังฟิตอยู่เพราะไม่ได้เดินไปจนสุดกับพวกเราเมื่อวานทนไม่ไหว (เพราะเบียร์หมด) เลยตัดสินใจเดินไปเรื่อยๆเผื่อเจอร้านค้าของชาวบ้านจะได้นั่งจิบเบียร์รอแก้เซ็งไปพลางๆก่อน แต่ทางคนพื้นที่บอกว่าไกลอยู่น่ะ แต่ก็ไม่สามารถหยุดความกระหายของรุ่นใหญ่ได้

ระหว่างที่กำลังซ่อมรถอยู่ ส่วนพวกเรารออยู่ทางนี้ก็เริ่มมีอาการเซ็งๆ ก็มีมอเตอร์ไซด์เก่าๆคันนึงขับมาและฝากจดหมายน้อยมาถึงพวกเราว่า .. ถึงเพื่อนๆแบกเป้ พวกกูสบายดี นั่งแดกเบียร์ ไข่เจียว มาม่าอยู่ เสียใจที่พวกเมิงไม่ได้มาด้วย รักเพื่อน.."เดินไปข้างหน้าดีกว่านั่งกระดิกขาอยู่กับที่" ข้อความในนั้นทำให้บางคนถึงกับอยู่ไม่เป็นสุข ถึงกับเขีนตอบกลับไปว่า ไปถึงที่ชอบๆแล้ว ก้อหลับให้สบายเถอะพี่ "ชาติหน้ามีจริงเราคงได้เจอกันอีก"รักและหวังดี หลังจากนั้นกลุ่มที่สองก็ตัดสินใจตามกลุ่มแรกออกไป แต่คราวนี้เจ้าของรถสิบล้ออาสาขับกระบะไปส่ง แล้วก็หายกันไป เหลืออีกกลุ่มที่ยังนั่งรอรถมาเปลี่ยน

ในที่สุดก็มีรถบรรทุกขับเข้ามารับเรา เราจัดแจงย้ายของไปนั่งยังรถอีกคัน แล้วก็ขับออกมา เจอกลุ่มแรกกับกลุ่มสองนั่งซัดเบียร์ลาวกันอยู่ปากทางเข้าบ้านหนองหลวง จอดรับแล้วก็ขับเข้าหมู่บ้าน ถนนเข้าหมู่บ้านยังคงเป็นเอกลักษณ์เหมือนเดิม คือมีสภาพแบบดาวอังคาร เป็นหลุมเป็นบ่อ มีน้ำท่วมขัง ถ้าไม่ผ่านถนนเส้นนี้เหมือมาไม่ถึงบ้านหนองหลวงยังไงยังงั้น

กว่าจะมาถึงบ้านหนองหลวงก็เย็นแล้ว ต่างคนแยกย้ายกันไปอาบน้ำอาบท่า หุงหาอาหาร เตรียมที่นอน หามุมกันว่าจะเอามุมไหน พวกกลุ่มคนแบกเป้มาพักที่บ้านหนองหลวงกันทุกปี จนเป็นดองกับเจ้าของบ้านไปแล้วเพราะมีคนในคณะไปได้ลูกสาวเจ้าของบ้าน แต่งงานกันเป็นที่เรียบร้อยโรงเรียนลาวไปแล้ว เพราะฉะนั้นบ้านนี้จึงเป็นเหมือนบ้านหลังที่สองของพวกเราในการเดินทางมาลาวใต้ทุกครั้ง


หลังจากอิ่มหมีพีมันกับอาหารเย็นเรียบร้อยแล้วก็ถึงเวลาสังสรรค์กันตามแบบฉบับ"คนแบกเป้" โดยมี"พี่สิทธิ์"เป็นหัวหน้าคณะตลก,นักร้องนำ,นักดนตรี ร่วมกับบรรดาลูกหาบที่มาช่วยกันประสานเสียงและร่วมร้องเพลงสังสรรค์ไปกับพวกเราประกอบกับคืนนั้นในหมู่บ้านก็มีนักท่องเที่ยวชาวไทยมาพักกันหลายหลัง ก็เลยค่อนข้างจะเสียงดังกันตามนิสัยพี่ไทยอยู่บ้าง

ช่วงเช้าของบ้านหนองหลวงจะเป็นช่วงเวลาที่เรียบง่าย มีพระจากวัดป่าคีรีวงกตซึ่งอยู่ท้ายหมู่บ้านจะเดินมารับบาตรที่นี่ทุกเช้า พวกเราได้สัมผัสวิถีชีวิตขนบธรรมเนียมประเพณีการใส่บาตรที่เรียบง่ายของคนที่นี่ ภาพที่พระเดินมารับบาตรท่ามกลางสายหมอกยามเช้าติดตราตรึงใจยามที่ได้มาสัมผัส คนที่นี่จะนุ่งซิ่นสไบเฉียงใส่บาตรตามประเพณีของพวกเขาที่สืบทอดกันมายาวนาน พระท่านเตือนพวกเราชาวเมืองหลวงว่าเวลาใส่บาตรผู้หญิงอย่ายืนใส่มันเป็นภาพที่ไม่งาม และเตือนพวกเราถึงการถ่ายภาพ ปกติถ้าอยู่ภายในวัดท่านจะไม่อนุญาติให้ถ่ายภาพพระ แต่ตอนมาบิณฑบาตรท่านคงปฎิเสธไม่ได้ เพียงแต่ท่านแนะนำว่าไม่อยากให้นำไปเผยแพร่กันมากๆ ให้เผยแพร่กันในกลุ่มก็พอ เพราะไม่อยากให้ความเจริญหลั่งไหลกันเข้ามามากจนทำให้วัฒนธรรมที่ดีงามของคนที่นี่หายไป พอเสร็จสิ้นพิธีกรรมยามเช้า ก็ถึงช่วงสบายๆของแต่ละคนใครจะเดินเที่ยวถ่ายรูป หรือเดินไปวัด หรือจะเลยไปตาดเจ็ดชั้นซึ่งอยู่ใกล้ๆวัดก็ตามสะดวกเพราะเรายังมีเวลาเหลือก่อนเดินทางกลับ

ในที่สุดก็ถึงเวลาที่เราต้องเดินทางกลับกันแล้ว พวกเราถ่ายรูปกันมุมเดิมตอนขากลับแทบทุกปี และร่ำลาแม่เฒ่า พ่อเฒ่าเจ้าของบ้าน ปีหน้าฟ้าใหม่เราจะกลับมาเยือนกันใหม่อีกครั้ง

ขอบคุณผู้ร่วมทริปทุกท่าน แล้วพบกันใหม่


สำรวจตาดเซคำพอ 1

สำรวจตาดเซคำพอ 2


-ขอขอบคุณเพื่อนๆที่ได้เข้ามาชม และ กด like กด share เป็นกำลังใจน่ะครับ

-แลกเปลี่ยนข้อมูล หรือพูดคุย สอบถามข้อมูลการเดินทาง ได้ที่ Fanpage : สตั๊ดดอยร้อยเรื่องราว

-ติดตามบทความเก่าๆ ได้ที่นี่ครับ ทริปเดินทางทั้งหมด

















สตั๊ดดอย ร้อยเรื่องราว

 วันพุธที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 10.26 น.

ความคิดเห็น