ทริปนี้เริ่มต้นจากที่ไม่ได้ตั้งใจแล้วเปลี่ยนเป็นตั้งใจมาก(ฮาๆๆๆ) เรื่องของเรื่องคือกะจะพักการไปต่างประเทศในปีนี้ แต่เพื่อนกลับบอกบอกด้วยประกายของความหวังว่า
"แกพาฉันไปเที่ยวญี่ปุ่นหน่อย ไปเมืองก็ได้นะๆๆ" เมื่อได้ยินแบบนี้คนที่อ่อนไหวเรื่องเที่ยวอย่างเราก็ต้องจัดทริปขึ้นมาสิคะรออะไร ทริปใบไม้เปลี่ยนสีคันไซจึงเริ่มขึ้น เราเริ่มต้นจากจองที่พักในโอซาก้าผ่าน Airbnb เป็นอพาร์ทเมนท์ในย่านฮิตของโอซาก้านั่นก็คือย่านชินไซบาชิ ใกล้ทั้งแหละช้อปและรถไฟ พวกเราจะพักที่นี่ทั้ง 5 คืนเลยจึงต้องเลือกทำเลที่ง่ายต่อการไปไหนมาไหนแถมกลับมาถึงก็ช้อปต่อได้อีก(ฮาๆๆๆ) และจะบอกว่าที่พักเขาไม่แพงเลยเฉลี่ยต่อหัวก็ตกหัวละ 1,000 เท่านั้นเอง จากนั้นก็จองเครื่อง ครั้งนี้ใช้บริการของ ANA จ๊ะ ทุกอย่างเรียบร้อยจะเริ่มเดินทางแล้วนา
แพลนเที่ยววันที่ 1 = arashiyama, ป่าไผ่, วัดทอง
แพลนเที่ยววันที่ 2 = ศาลเจ้าฟุชิมิอินริ, วัดโทฟุคุ, วัดเออิคันโด, วัดน้ำใส
แพลนเที่ยววันที่ 3 = วัดหลวงพ่อโต, สวนสาธารณะนารา, ปราสาทโอซาก้า
แพลนเที่ยววันที่ 4 = น้ำตกมิโนโอ, ช้อปปิ้งย่านกลูลิโกะ
โอซาก้า วันแรกของการมาถึงก็ตกบ่ายแก่ๆ ไปแล้วจ้า เลยได้แค่เดินช้อปปิ้งย่านกลูลิโกะเพราะอยู่ใกล้ที่พักมากแบบเดินออกมาหน้าปากซอยอะไรอย่างนี้ อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้ขนาดเดินทางมาทั้งวันพวกนางยังมีแรงเดินยันห้างปิดเลยค่ะคุ๊ณ
อะราชิยะมะ วันที่ 2 ของการเที่ยว(มหกรรมแห่งการเดินกำลังจะเริ่ม) พวกตื่นแต่เช้าและตุนอาหารเช้าจากแฟมิลี่มาร์ทลงเป้ของตัวเองและมุ่งหน้าไปสถานีรถไฟไปอะราชิยะมะ เริ่มต้นเดินทางวันแรกก็หลงเลยจ้า ดีที่เอะใจเลยตัดสินใจไปเคาะถามคนขับรถไฟ คำตอบคือ "คุณขึ้นผิดขบวน เดี๋ยวถึงที่ต่อรถผมจะมาบอก" คุณขามันเป็นการหลงที่ฟินมากเพราะคนขับหล่อมากและใจดีมาก โอวว! ไม่ติดว่าเพื่อนมาด้วยจะหลงไปยันสุดทางเลยล่ะค่ะ ในที่สุดพวกเราก็มาถึงและเริ่มออกเดินจากสถานีรถไฟเล็กๆ มุ่งหน้าสู่สะพานเท็นเก็ตสึระหว่างที่เดินไปก็มีฝนตกปรอยๆ ลงมาบ้างแต่ก็ถือว่าเป็นสีสรรของการเดินทาง ความง่ายไม่มีอุปสรรคเลยบางทีทริปนั้นอาจจะไม่น่าจดจำเลยก็ได้ เสน่ห์ของที่นี่เราว่ามันคือบ้านไม้ สายน้ำ และภูเขา
ป่าไผ่ เต็มอิ่มกับสายน้ำและภูเขาแล้วพวกเราก็ตามหาป่าไผ่ต่อ และเราก็ไปเดินวนอยู่บนเขาจนได้ฮีโร่คนไทยมาช่วย "น้องจะไปป่าไผ่กันใช่ไหม มาตามพี่มา" ขอบคุณคนไทยที่ไม่เคยทิ้งกันแม้ว่าจะอยู่ต่างแดน พอถึงป่าไผ่ความสงบก็หายไปค่ะ แม้ว่าเราจะตื่นตามกับความงามแค่ไหนก็หามุมถ่ายรูปไม่ได้เลยคนแน่นมาก แต่ถึงยังไงก็ไม่ได้ทำให้อารมณ์เสียนะคะเพราะทุกคนมีแต่รอยยิ้ม ที่ชอบเที่ยวมากอย่างหนึ่งก็คือไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เจอแต่รอยยิ้มนี่แหละ
วัดวัดเทนริว-จิ ออกจากป่าไผก็ทะลุไปวัดวัดเทนริว-จิ ที่นี่เป็นวัดเซนมีการจัดสวนน้ำที่ออกแนวเซ็นให้คิดคติธรรมจากการมองและค้นหาจากข้างในจริงๆ ถามว่าเรามองออกไหม ตอบเลยว่าไม่ สิ่งที่ได้คือที่นี่สวยและสงบลึกๆ จากการได้นิ่งมอง
วัดทอง ค่าเข้า 400 เยน ออกจากวัดเทนริว-จิ พวกเราก็จัดข้าวเที่ยงแถบหน้าวัดนั่นแหละ ที่นี่มีร้านอาหารตลอดแนวเลย แนะนำว่าไอติมชาเขียวอร่อยมาก จากนั้นพวกเราก็ขึ้นรถไฟสาย local เพื่อไปวัดทองกัน
ศาลเจ้าฟุชิมิอินาริ มาเริ่มวันที่ 3 กันค่ะ วันนี้เราเริ่มที่ศาลเจ้าฟุชิมิอินาริกัน สองข้างทางของทางเดินที่จะศาลเจ้าเต็มไปด้วยของกินแต่ละอย่างน่าจัดทั้งน๊าน แต่เราต้องไม่ไขว่เขวค่ะเราต้องไปให้ถึงจุดหมายก่อนแล้วค่อยกลับมากิน (ฮ่าๆๆ ยังไงการกินก็สำคัญเสมอ)
วัดโทฟุคุ ออกจากศาลเจ้าก็ต่อรถไฟไปวัดโทฟุคุ ค่าเข้าที่นี่ 400 เยนเท่านั้นและเปิดตั้งแต่ 9 โมง ถึง 4 โมงครึ่งจ๊ะ เดินเข้าวัดไปถึงกับตะลึงในความงามของใบไม้เปลี่ยนสี มองไปทางไหนก็แดงสวยงามไปหมดจนเหมือนทุกมุมที่เราหันไมองคือมุมเดียวกันไปหมด และสิ่งที่ชวนตะลึงอีกอันคือคนเยอะกว่าที่ป่าไผ่อีก (ฮ่าๆๆๆ)
วัดเออิคันโด ไปต่อกันค่ะไม่มืดเราไม่กลับ ต่อรถไฟปู๊นๆ ไปที่วัดเออิคันโด ที่นี่เปิด 9 โมง ถึง 5 โมงเย็น ค่าเข้า 400 เย็น เราว่าน่าจะเป็นวัดที่เราประทับใจที่สุดในทริปแล้ว ที่นี่คนไม่เยอะมาก ใบไม้สวยงามสมกับใบไม้เปลี่ยนสีจริง แดง เหลือง ส้ม มีครบ ตรงกลางวัดมีสวนให้นั่งจิบชาพร้อมกับชมสายน้ำไสๆ ค่อยๆ ไหลผ่านสายตาของเราไป มันสงบสุขแบบบอกไม่ถูก
ย่านกิออน ระหว่างรอรอบเข้าวัดน้ำใส คือถ้าจะดูไฟต้องรอรอบหลัง 6 โมงเย็น พวกเราก็เดินเที่ยวย่านกิออนก่อน แถบนี้มีเสน่ห์มากตรงบ้านเรือนที่ดูมีความเก่าโบราณแบบญี่ปุ๊นญี่ปุ่น มีร้านค้าข้าวให้ช้อปให้ชมไปตลอดสองข้างทาง ความมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวทำให้เดินได้ไม่เบื่อ ที่นี่เขาเคยดังมากเรื่องเกอิชา
วัดน้ำไส ที่สุดท้ายของวันนี้คือวัดน้ำไส ค่าเข้า 300 เยน สาเหตุที่เลือกเป็นที่สุดท้ายเพราะอยากดู Night Light อยากเห็นความงามของแสงไฟที่ลอดผ่านใบไม้ที่กำลังเปลี่ยนสี อยากรู้ว่ามันจะขับสีกันให้งามได้ขนาดไหน และก็สมใจเมื่อได้มาเห็น มันงามจริงๆ นอกจากสายน้ำศักดิ์สิทธิของที่นี่ก็มีแสงไฟและสีของใบไม้ในยามค่ำคืนนี่แหละที่ทำให้นี่พิเศษขึ้นมาทันที
วัดหลวงพ่อโตและสวนสาธารณะนารา วันที่ 4 ของการเที่ยวเริ่มด้วยการเป็นคนสายบุญ (ฮ่าๆๆ) เราไปไหว้พระใหญ่กันที่นารา แต่ด้วยพลานุภาพของคนสายบุญ google map ก็เดินหลง เดินวนอยู่ในทุ่งกว้าง สุดท้ายตัดสินใจปิดและเดินหากันเอง โชคดีของการหลงคือทำให้ได้เห็นน้องกวางน้อยกำลังหากินอยู่ใต้ต้นเป๊ะก๋วย พอถ่ายภาพน้องกวางเสร็จก็เห็นทางไปวัดเลยของเค้าดีจริงๆ
สวนสาธารณะนารา จากวัดหลวงพ่อโตเราก็มาเดินชมสวนสาธารณะนารากันต่อ ที่นี่คนชอบมาเพราะมีกวางและสวนสวย ความสวยของที่นี่ทำให้มีคนมาถ่ายภาพ pre-wedding กันอยู่หลายจุด
ปราสาทโอซาก้า อิ่มเอมกับบรรยากาศของนาราแล้วพวกเราก็กลับเข้าโอซาก้าเพื่อไปเที่ยวปราสาท พักโอซาก้าทุ๊กวันแต่เพิ่งจะเที่ยวโอซาก้าก็ปาไปวันที่ 3 ที่ 4 เข้าไปแล้ว เช่นเคยเริ่มวันด้วยการหลง การเดินไปปราสาทพวกเราก็หลงอีกเหมือนเดิม (ฮ่าๆๆ) สุดท้ายต้องไปถามยามที่ตึกข้างทาง พอยามได้ยินคำว่าปราสาทปุ๊ปลุงก็กวักมือให้เดินตามทันที ตามไปได้ 3 ก้าวลุงชี้ให้ดูตัวปราสาท โถๆๆๆ ฉันก็เดินวนโดยไม่เงยหน้าดูอะไรเล๊ย คิดว่าน่าจะเกิดจากพวกเราอยากทำสถิติจำนวนก้าว (ฮ่าๆๆ)
น้ำตกมิโนโอ วันสุดท้ายของการเที่ยวเป็นวันที่ไม่ต้องรีบตื่นเหมือนวันก่อนๆ เพราะโปรแกรมอยู่ในโอซาก้านี่เอง จุดหมายของพวกเราวันนี้อยู่ที่น้ำตกมิโนโอ ที่นี่มีสองข้างในการเทรคกิ้งที่สวยงาม ตลอดทางเดินขึ้นน้ำตก 2 กิโลกว่ามีแต่ความสวยงามตลอดทาง ต้องบอกเป็นการเดินที่เพลินและสนุกมากเรียกได้ว่าต้องยกกล้องถ่ายรูปตลอดเส้นทางกันทีเดียว และที่นี่ต้องขอนิยามการเที่ยวใหม่ว่าปลายทางที่ว่าสวยระหว่างทางนั้นสวยกว่า
การเดินทางในคันไซทริปนี้เราใช้ kansai thru pass บัตรเดียวไปได้ครบทั้งภูมิภาค สามารถใช้ได้ทั้งรถไฟฟ้าใต้ดินและบัสจ้า
Titi goaround
วันศุกร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 เวลา 14.46 น.