เสียงนาฬิกาดังขึ้นตอนตีสี่ สี่สิบ เรารีบลุกขึ้นมาล้างหน้า แต่งตัว เก็บของใส่กระเป๋าเป้เพื่อไปสนามบิน คุณลุงขับรถพาเราไปส่งที่สนามบินบาราฆัสตั้งแต่เช้า เพื่อไปเซบีย่า
พูดถึงเซบีย่าหรือ Seville เป็นอีกหนึ่งเมืองที่ถ้าหากได้มาเที่ยวสเปนแล้วไม่ควรพลาด ด้วยสถาปัตยกรรม โบสถ์ ลักษณะบ้านเมืองที่มีความสวบงามเป็นเอกลักษณ์ แม้ว้าจะมีเวลาไม่มาก สำหรับเรา แค่เพียงหนึ่งวันที่ได้มาเดินชมเมืองเซบีย่าก็ถือว่าคุ้มมากๆแล้ว
เซบีย่าเป็นเมืองทางตอนใต้ของสเปนในแคว้น Andalucia
การเดินทางจากมาดริดไปเซบีย่าที่นิยมมีสองทางคือเครื่องบินไม่ก็รถไฟ ครั้งนี้ที่จองเครื่องบินเพราะตอนแรกเว็บรถไฟยังไม่ออกตารางเดินทาง แม้เราจะrefresh เว็บล่วงหน้ากว่า30วัน เพราะกลัวพลาดทุกอย่างเต็มในช่วงปีใหม่ เลยตัดสินใจกดจองตั๋วเครื่องบินไปละกัน ราคาไม่ต่างกันมาก ประมาณสองพันบาททั้งคู่ รถไฟใช้เวลาเดินทางประมาณ2ชั่วโมงครึ่ง แต่จะดีหน่อยที่ไปจอดในมืองเลย เดินทางไปสถานที่เที่ยวต่างๆง่าย
เครื่องบินเดินทางหนึ่งชั่วโมงไปถึงแล้วต้องนั่งบัสเข้าเมืองไปอีกประมาณห้าสิบนาที
เราเช็คอินออนไลน์กับกับเครื่องself check in เรียบร้อย เดินเข้าไปในเกทระหว่างเดินระลึกขึ้นได้ว่าไม่มีแบงก์5 ติดตัวมาเลย และรสบัสก็รับแบงก์ใหญ่สุดแค่แบงก์ 5 เราเลยตัดสินใจไปซื้อขนมในเกท ราคา2.2.5 ให้แบงก์ 10 ไปพนักงานหันมามองหน้าเหมือนจะไม่พอใจ ที่ให้แบงก์ใหญ่เค้าไป เราขอแลกเป็นแบงก์5 สองใบเค้าก็ส่ายหัวไม่ให้ ตอนนั้นรู้สึกเฟลๆตัวเองเหมือนกัน แต่ก็เข้าใจคนที่นี่แหละ เหมือนเราซื้อของ10บาทแต่จ่ายแบงก์พันมั้ง ไหนๆตอนนี้ก็มีแบงก์ห้าติดอยู่กระเป๋า สองใบ พร้อมเศษเหรียญอีกนิดนึงก็คงพอเป็นค่ารถจากสนามบินเข้าเมืองเซบีย่า
รอเกทไม่นานพนักงานก็เรียกผู้โดยสารขึ้นเครื่อง เครื่องสายการบิน Iberia express ลำเล็ก ที่นั่งสามที่นั่งสองฟาก เรารีบนอนเอาแรง ใช้เวลาชั่วโมงนิดๆก็ถึงเซบีย่าแล้ว
สนามบินที่นี่เล็กๆ เดินออกมาทางออก ก็จะเจอที่ขึ้นรสบัสมีคนต่อคิวอยู่จำนวนหนึ่งเราต้องไปลงที่ metropol parasol
รถบัสสายeA วิ่งจากสนามเข้าเมือง ราคาตลอดสาย 4 ยูโร ซึ่งจะแพงกว่ารถบัสสายอื่นๆธรรมดาที่วิ่งในเมือง
ขึ้นรถบัสมาแล้ว มองวิวข้างทาง ไปเกือบครึ่งชั่วโมงก็ลงไปขึ้นบัสอีกคัน ระหว่างรอบัส สังเกตสภาพบ้านเมืองเงียบมาก ผู้คนแทบไม่มี รู้สึกเหมือนตอนไปนิวซีแลนด์เลย อากาศไม่หนาวเท่ามาดริดนะเพราะอยู่มาทางใต้กว่า
เรานั่งรถบัส10 นาทีกว่าๆ ก็มาจอดที่สถานที่ las setas เวลาสิบโมงเป๊ะ แต่ทัวร์ที่เราจองไว้เริ่ม 11 โมง เรามีเวลา1ชั่วโมงเลยคิดว่าจะไปหาไรกินเป็นช้าวเช้า
เดินไปไม่ไกลก็เจอร้านนึงดูมีคนพอประมาณ เป็นร้านที่ไม่ได้ดูหรูหรามาก ให้ความรู้สึกเป็นกันเอง เหมือนมานั่งกินอาหารเช้าแล้วคุยกัน
เราเดินเข้าไปดูเมนูหน้าร้าน พนักงานหนุ่มใจดีก็เดินเข้ามาแนะนำเป็นภาษาสเปนด้วยท่าทางเป็นมิตร แต่เราฟังไม่ออกเลย แล้วเค้าก็ฟังภาษาอังกฤษที่เราพูดออกบ้างไม่ออกบ้าง แต่โชคดีที่มีเมนูภาษาอังกฤษราคาไม่แพง 2-4ยูโรต่อจานก็เป็นอาหารเช้าได้แล้ว เราสั่งไข่เจียวสเปน น้ำส้มคั้น และชอกโกแลตร้อน เลือกที่นั่งตรงบาร์เพราะมาคนเดียวระหว่างนั่งรอ คุณลุงที่ร้านก็เข้ามาทักทาย เป็นภาษาสเปนอีกแล้ว เราบอกว่ามาจากไทย เค้าก็พยายามพูดภาษาอังกฤษที่ปนสเปนเล็กน้อยออกมา เราจับใจความได้ว่าเค้าเคยไปเสม็ดที่ไทย
คุณลุงเห็นเราทำท่างง เลยยื่นgoogle translate จากโทรศัพท์ให้เราดู เค้าพูดว่า this time in Thailand is summer ใช่ไหม อ๋อออออ เค้าตั้งใจจะพูดอันนี้
“ นี่เดินทางมาคนเดียวหรอ”
“ใช่ค่ะ มาจากมาดริด”
คุณลุงก้มไปหยิบโทรศัพท์ก่อนจะ ยกมาให้เราอ่าน เป็นข้อความที่แปลจากภาษาสเปนเป็นอังกฤษว่า
“ you are traveling alone,brave”
เรายังจำความรู้สึกตอนนั้นได้อยู่เลย ถึงแม้จะไม่ใช่อะไรที่ยิ่งใหญ่แต่มันมีความสุขมาก เหมือนได้รับประกาศนียบัตร รางวัลอะไรอย่างนั้นเลย และรู้สึกมีกำลังใจมากๆ ขอบคุณนะคะคุณลุงที่พยายามจะสื่อสารประโยคนี้ออกมาให้หนูได้รู้ ถึงแม้ว่าจะมีกำแพงภาษามากั้นระหว่างเรา แต่ประโยคนี้มันมีความหมายต่อหนูมากๆ
ไข่เขียวมาแล้ว รสชาติไม่เหมือนที่ไทย รู้สึกหนาเหมือนใส่มันฝรั่งลงไปนิดนึง กินกับขนมปัง เรารู้สึกว่ามันจืดๆเลยขอซอสคุณลุงเค้า คุณลุงก็หยิบมาให้ตั้งหลายอันพร้อมบอกว่าเอาไปให้หมดเลยนะ ยัดใส่ซอกกระเป๋าข้างของกระเป๋าเป้ให้เราอีกด้วย ส่วนช็อกโกแลตที่นี่จะข้นสุดๆเหมือนที่ใช้จิ้มกินกับชูโรสเลย
รู้สึกถึงความเป็นกันเองของร้านอาหารแบบนี้มากๆ ราคาอาหาร7ยูโร โอเคเลยนะอร่อยด้วย
ก่อนกลับเราถ่ายรูปคู่กัน คุณลุงบอกลาเราพร้อมบอกว่าถ้ามีเวลา ก็ช่วยรีวิวให้ร้านหน่อยนะ
ได้ค่ะคุณลุง ขอบคุณสำหรับบรรยากาศดีๆในร้านอาหาร วันนี้ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีของเราในเซบีย่าเลย
เราเดินไปที่ las setas เวลา 11 โมง เห็นคนมายืนรอ free walking tour
เราจองของ heart of Seville ไว้ใจได้ ใครสนใจบองเข้าไปเช็ครายละเอียดในเว็บดูนะ
โดยเมื่อไปถึงเค้าจะแยกเป็นสองกลุ่มคือ ภาษาสเปนและอังกฤษ
กลุ่มคนที่มาบ้างมาเป็นคู่ มาเป็นครอบครัว เราเหมือนจะเป็นผู้หญิงเอเชียคนเดียวในกรุ๊ปนี้ แต่เราก็ไม่รู้สึกแตกต่างเลย ทัวร์นี้ใช้เวลาสองชั่วโมง โดยหลักๆคือจะพาเดินไปสถานที่เที่ยวสำคัญๆและเล่าประวัติความเป็นมาแต่ละที่ให้ฟัง โชคดีที่เมืองนี้เที่ยวง่าย แต่ละจุดเดินถึงกันหมด
ที่แรก las vetas
ไกด์เล่าว่าสี่งก่อสร้างทางไม้ที่ใหญ่ที่สุด เมื่อก่อนคิดว่าน่าเกลียด ไม่เหมาะสม
ข้างบนสามารถขึ้นไปชมวิวได้ จ่ายค่าเข้าถ้าจำไม่ผิดน่าจะ 3 ยูโร มีละติจูดที่เหมาะสมในการถ่ายโปสการ์ดของเมืองเซบีย่าด้วย
ลองสังเกตตึกนี้ดูดีๆ แต่ละช่องมีลักษณะไม่เหมือนกันทีเดียว ไกด์บอกว่าที่ต่างกันเพราะตอนนั้นrun out of money ทำให้หน้าต่างบางอันยังดูตกแต่งไม่สมบูรณ์
Catedral de Sevilla เป็นโบสถ์สไตล์ Gothic ที่ใหญ่ที่สุดในโลก สวยงาม อลังการขนาดนี้
ไม่แปลกใจเลยที่ได้เป็น UNESCO World's heritage สามารถเข้าไปชมข้างในได้นะ
ตรงนี้ไกดฺบอกว่าเป็นโรงแรมที่เก่าแก่มากในเมืองเซบีย่า ราคาต่อคืนก็ค่อนข้างแพง แต่จะได้ซึมซับบรรยากาศความคลาสสิกสมัยก่อน
ทัวร์มาจบที่หน้า plaza de espana
Plaza de Espana สร้างขึ้นสำหรับการจัดexhibition Ibero-American ในสมัยบก่อน เป็นงานที่มุ่งเน้นการเชื่อมโยงระหว่างสเปนกับประเทศอื่นๆ
ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายโมงเราเข้าไปถ่ายรูปที่ Plaza de espana
จะบอกว่าของจริงสวยมาก สวยกว่าในยูทูปที่เคยดูมา คนที่ออกแบบคือเก่งจริงๆ มีมุมถ่ายรูปสวยๆเยอะเลย
มาคนเดียวน่าเสียดายไม่มีใครถ่ายรูปให้ คราวนี้เราไม่ได้ขอให้คนอื่นถ่ายให้ แต่เราใช้ไม้เซลฟี่ มันก็เก็บภาพองค์ประกอบสวยได้ไม่หมด จึงตัดสินใจใช้ขาตั้งกล้องที่มากับไม้เซลฟี่ ภาพที่ได้
เราอยู่ในนี้ประมาณสี่สิบนาทีก็ตัดสินใจเดินออกมาแต่ก็ว่าจะกลับมาถ่ายอีกแน่นอน
เดินออกมาเพื่อไปเข้าดูalcazar ที่แถวก็ยังคงยาวมากเหมือนเดิม
แต่เราก็ซื้อตั๋วออนไลนมาแล้ว ราคา12 ยู เข้าแถวพิเศษได้เข้าเลย ข้างในเป็นสวนขนาดใหญ่ มีหลายจุดให้ไป เราตั้งใจจะไปถ่ายรูปตรงฉากที่ game of thrones เคยมาถ่ายทำ
The real Alcázar พระราชวังเก่าแก่แห่งศตวรรษที่ 11 เป็นสัญลักษณ์ของเมืองและยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกอีกด้วย
นอกจากจะได้ชมความสวยของสถาปัตยกรรมแล้ว ข้างในยังมีสวนอันร่มรื่นที่ถูกออกแบบให้เข้ากับพระราชวังให้
เดินเพลินๆชมความงามของที่นี่กัน
การตกแต่งด้วยกระเบื้องสีสีลวดลายงดงาม ทั้งผนัง เพดานด้านบน
ตอนนี้เลยเวลามื้อกลางวันมาแล้วเริ่มหิว เราเดินวนไปมาหน้าร้านอาหารหลายรอบมาก ใจนึงก็อยากกินนะ แต่ก็กลัวว่าจะแพง กลัวว่าไม่รู้จะสั่งไรบ้างเลยไม่กิน
มานั่งตรงข้างๆต้นไม้ หยิบเอาตอตีย่าที่เหลือจากเมื่อเช้ามากินแทน ก็พอรองท้องทำให้มีแรง
นี่เป็นอีกหนึ่งข้อดีของการมาคนเดียวนะ ประหยัดตังดี
หลังจากกินเสร็จก็ตั้งใจว่าจะเดินย้อนทางที่ไกด์พามาอีกครั้งเผื่อถ่ายเก็บรูปภาพ
ด้านหลังของมหาวิหารชุมชนชาวยิม barrio de Santa Cruz
จากตรงนั้นเราจะเดินกลับไปesplana ระหว่างทางผ่าน golden tower จุดนี้ไกด์ไม่ได้พามา แต่มันก็ไม่ไกลจากสถานที่อื่นเลย มองไปก็จะเห็น
Torre del Oro
ป้อมยามรูปทรงแปดเหลี่ยมคอยเฝ้าระวังศัตรูในสมัยก่อน สถานที่แห่งประวัติศาสตร์ที่ได้รับการรักษาอย่างดี
ขึ้นไปบนสะพาน มองเห็นวิวแม่น้ำGuadalquivirที่เหมือนเป็นเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงเมืองและสร้างทัศนียภาพอันสวยงามให้เมืองนี้
เราเดินย้อนกลับไปทางเดิมเข้าไปทางมหาลัย ตึกและถนนที่นี่ดูสะอาดและเป็นระเบียบมากๆ
Paladin de San Telmo ในอดีตเป็นมหาวิทยาลัยการเดินเรือปัจจุบันเป็นศาลาว่้ากลางแห่งแคว้นอันดาลูเซีย ถนนภายในบริเวณนี้ดูสะอาด สบายตามากๆ
ยังไงใครจะเดินไปPlaza de Espanaก็มาแวะผ่านมาเดินทางนี้ด้วยนะ
กลับไปที่Plaza de Espanaเพื่อไปถ่ายรูปต่อ ในช่วงยามเย็นแดดสีส้มแบบนี้ ที่นี่โคตรสวยเลย
อาคารรูปครึ่งวงกลมขนาดใหญ่ ออกแบบและก่อสร้างด้วยศิลปะผสมระหว่างศิลปะสมัยใหม่อาร์ตเดโกและศิลปะแบบมัวร์
ถ้าเห็นตรงนี้ เราสามารถขึ้นไปชมวิวข้างบนได้เช่นกัน
Parque de María Luisa
สวนนี้อยู่ตรงข้าม plaza de espana เลย เราไม่ได้เดินเข้าไปได้แต่ถ่ายรูปข้างนอก
ตอนนี้5โมงนิดๆว่าจะไปหาไรกิน เราเหลือบเห็นชิงช้าสวรรค์ เลยเดินไปใกล้ๆก็พบว่าเหมือนเค้าจัดงานอยู่ คล้ายงานวัดไทยเลย แต่คงเป็น Christmas market
ตอนแรกจะสั่งข้าวผัดสเปนแต่เค้าบอกวันนี้ไม่ได้ทำ
เลยสั่งอีกเมนูมากินแทนราคา4เหรียญ จำไม่ได้แล้วว่าเค้าเรียกว่าอะไร
บรรยากาศ
ตอนนี้หกโมงครึ่งแล้วยังไม่อยากกลับอยากเดินดูของในตลาดต่อ นานๆมาเที่ยวเมืองนอกแล้วจะได้เดินเที่ยวตลาดของบ้านเค้าบ้าง แต่ก็ต้องตัดสินใจเดินออก จุดที่ขึ้นรถบัส อยู่ใกล้ตลาดเลย เราเดินงงๆไปรอผิดฝั่งบ้าง เลยถามคนแถวนั้น เค้าก็บอกให้รอตรงนี้ แต่เรารอไปมารู้สึกนาน ตามgoogle map บอกให้ขึ้นeAก็ได้
เลยถามคุณป้า คุณป้าเห็นเราฟังไม่รู้เรื่องเลยเดินมาส่งที่ป้ายเดิม เจอกับคุณลุง พอรถใกล้มาเราถามคนข้างๆอีกว่าไปSanta justaใช่ไหม เค้าก็ไม่แน่ใจว่าใช่สายนี้ไหม
ตอนบัสมาเราถามเค้า เราก็ฟังไม่ออก แต่เหมือนเค้าจะไม่อยากให้ขึ้น คุณลุงคนเดิมก็ยังมาช่วยเราอีก
เราพยายามจะสื่อว่าถ้าไม่ไปคันนี้จะขึ้นรถไฟไม่ทัน แต่ก็ไม่มีใครเข้าใจ จังหวะนั้นแม้ประตูบัสปิดแล้ว เราก็วิ่งไปขอให้เค้าจอด เราขอขึ้นบัส และเข้าไปคุยกับคนขับอีกที คราวนี้เราเข้าใจแล้วเค้าพูดว่าถ้าขึ้นสายea จะเสีย 4 ยู แต่ถ้าขึ้นc2 จ่ายแค่1.5 ยูเองนะเราก็อ๋อเข้าใจละ ตอนแรกนึกว่าหมายถึงถ้าขึ้นคันนี้จะต้องเดินอีกสี่โล
ได้ค่ะ จ่ายเท่าไหร่ก็ยอมค่ะ ขอให้ไปทัน
เราหันไปขอบคุณคุณลุง
ถึงสถานีรถไฟ Santa justa ทุ่มนึงเป๊ะ เรากำลังจะเดินลงประตูหน้าแต่คนขับบอกให้ไปลงประตูหลัง ไอ่เราก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน
หน้าจอยังไม่แสดงเกทของรถไฟขบวนที่เราจะขึ้น เลยถามเจ้าหน้าที่ ทำไมยังไม่ขึ้นอีก
เค้าก็บอกว่า ไม่ต้องวอรี่ be happy 555 เดี๋ยวมันก็ขึ้น
แล้วก็ประกาศเป็นชานชลา7 ก่อนเวลารถไฟออกแค่10นาที! ทำเอาเราลุ้นตั้งนาน เรารีบเดินเข้าไป สถานีไม่ใหญ่ ไม่หลงแน่นอน
เดินลงไปข้างล่าง ตรวจเช็คกระเป๋า xray เห็นคนเช็คหันมามองเรา เรามองกลับไป อ้อออ เป็นพี่พนักงานที่เราไปถามเรื่องเกทรถไฟเมื่อกี้นี้เอง
รอหน้าเกทแล้วแต่ผลปรากฏว่ารถไฟเลท30นาทีได้ โหเราไม่ได้อะไรนะ แต่เกรงใจคนที่จะมารับที่มาดริดสิ ว่าจะดึกเกินไหม
รถไฟใช้เวลา2ชั่วโมงครึ่งเช่นเดียวกับขามา คนที่นั่งข้างๆเราเป็นชายหนุ่ม คาดว่าพี่แกคงมาคนเดียวเช่นกัน เราไม่ได้สนทนาอะไรกัน เราเหนื่อยมาก ผลอยหลับไป
ถึงสถานีatochaแล้วพี่หนอนยังอุตส่าห์พาไปดูสวนในสถานีอีก แม้ในตอนนั้นจะเป็นเวลาห้าทุ่มแล้ว อากาศเย็นสนิท เย็นขึ้นกว่าตอนกลางวันมาก
วันนี้ถือเป็นวันที่สนุกมาก เรามีความสุขมาก เหมือนเมืองเซบีย่าขโมยหัวใจเราไปเลย เข้าใจแล้วว่าทำไมก่อนมาที่นี่ เราอ่านรีวิวคนที่มาเที่ยวเมืองนี้ถึงอยากกลับไปอีกครั้ง
เราก็เป็นอีกคนหนึ่งที่จะบอกว่า สัญญาว่าจะกลับไปเหยียบที่นั่นอีกเช่นกัน
Nali
วันอังคารที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2563 เวลา 18.18 น.