หลายคนเอาฤกษ์เอาชัยด้วยการขอพรไหว้พระเพื่อเป็นมงคลแก่พวกเราพวกเราก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน แต่ไหว้พระในประเทศมาหลายปีแล้ว เลยเยี่ยมดูดู 'พม่า 1 วัด 5 วัด' เอ๊ะ .. ! ราคาไม่แพงเหมือนกันนะจร้าราคาก็ดีไม่เหมือนใคร

การเตรียมการในพม่าในช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นการผ่อนปรนและการเตรียมการใด ๆ ที่เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แต่ต้องเตรียมการให้พร้อมสำหรับการเดินทางครั้งนี้ ส่งเงินภาษีศุลกากรบวกกับรายละเอียดต่าง ๆ ทั้งการแลกเปลี่ยนเงินความหลากหลายของเวลาการแต่งตัวและรายละเอียดปลีกย่อยอีกเล็กน้อยที่ผู้เดินทางจำเป็นต้องรู้ที่สะดวกรับการเตรียมการเหมือนกันเพราะคนขี้เกียจหาข้อมูลดูจากใบนัดหมายนี่แหละ

แล้วก็เดินทางมาถึงสนามบินดอนเมืองเพื่อเดินทางไปหลายครั้งในช่วงหกโมงเช้า 06.30 น. สนามบินดอนเมืองไม่ได้เหมือนกันเลยขอเลือกนั่งดูสวย ๆ ที่ร้านกาแฟถึงเวลาเข้า Gate แวะซื้อของกินรองท้องสักหน่อยหน่อยเพราะเที่ยวบินกองทัพต้องเดินไปอีกครั้งต่อไป


นั่งเครื่องยังไม่ทันก็ไปถึงสนามบินพม่าซะแล้วเดินออกมาอย่างรวดเร็วไม่ต้องรอใครรีบโหลดกระเป๋าตัวเองอย่างหวุดหวิดไม่เหมือนใครมากนักเมื่อลงเครื่องเสร็จแล้วก็จะมีหัวหน้าคนไทย ประสานงานต่าง ๆ ให้คำแนะนำรวมถึงให้บริการรสบัสที่ใช้ตลอดการเดินทางด้วย

สถานที่แรกที่จะไปคือ 'เจดีย์ชเวดากอง' เป็นหนึ่งในมหาเจดีย์ศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวพม่าเคารพนับถือ ตัวเจดีย์ทำด้วยทองคำทั้งหมด ไกด์ท้องถิ่นเล่าให้ฟังว่าด้่วยความศรัทธาของชาวบ้าน จึงนำทองมาบริจาคเพื่อก่อเป็นเจดีย์ที่มีความสวยงามอย่างที่เห็นในปัจจุบัน ซึ่งก็จริงดั่งว่าเพราะเจดีย์ชเวดากองนั้นงดงามมากโดยเฉพาะในยามเช้าต้องแสงอ่อน การเข้าไปในเจดีย์จะต้องถอดรองเท้าและถุงเท้าก่อน เพราะว่าภายในเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ หากเป็นบ้านเรานั้นพระธาตุจะอยู่บนยอดฉัตรของเจดีย์ แต่ที่พม่าพระธาตุจะถูกฝังลงดิน ดังนั้นก่อนเข้าไปจึงต้องถอดรองเท้าและถุงเท้าเพื่อเป็นการทำความเคารพนั่นเอง

นอกจากองค์เจดีย์ที่สวยงามใหญ่โตแล้ว ยังมีเจดีย์น้อยใหญ่ที่เป็นศิลปะแบบพม่า มีความสวยงามอ่อนช้อยและดูมีมนต์ขลังมากทีเดียว รอบๆ ฐานยังประกอบไปด้วยพระประจำวันเกิดที่สามารถเข้ามาไหว้ขอพรได้ และนอกจากนี้ยังมีองค์เทพทันใจยุคแรกที่เกิดมาพร้อมกับเจดีย์ เป็นองค์เดียวที่ไม่ชี้มือเชื่อกันว่าเป็นเทพที่คอยปกปักษ์รักษาเจดีย์ชเวดากอง ในบริเวณโดยรอบจะสามารถพบเห็นพระพุทธรูปศิลปะแบบพม่าสร้างไว้ในศาลาอยู่หลายจุด และสำหรับนักธุรกิจต้องมาไหว้องค์สุริยัน - จันทรา เพราะชาวพม่าเชื่อว่าสามารถบันดาลพรด้านธุรกิจได้

ไกด์ค่อนข้างให้เวลากับการชมเจดีย์ชเวดากองนานทีเดียว ฉะนั้นโปรแกรมต่อไปคือร้านอาหารเพราะต้องเผื่อเวลารถติด การจราจรของพม่านั้นไม่แพ้ไทยเลย...ติดขั้นสุด พอมาถึงร้านอาหารก็เกือบเที่ยงพอดี ทัวร์เลี้ยงบุฟเฟ่ต์ซีฟู้ด เป็นแบบปิ้งย่างและมีหม้อต้มแยกของใครของมัน ในส่วนของอาหารนั้นหลากหลายมากครบทุกส่วนของการปิ้งย่าง และยังมีเมนูทานเล่นอีกหลายเมนูถือว่าคุ้มค่าอยู่ ร้านอาหารพนักงานบริการดีมากประทับใจ

หลังท้องอิ่มก็ออกเดินทางกันต่อ โปรแกรมต่อไปอยู่ที่วัดพระนอนตาหวานหรือพระพุทธไสยาสน์ เจาทัตยี เป็นพระนอนองค์ใหญ่ที่โดดเด่นด้วยดวงตาเป็นแก้วแวววาวที่สั่งผลิตพิเศษจากต่างประเทศ มีการตกแต่งขนตา แต่งหน้าทาปากให้ดูมีสีสันสวยงามสะท้อนศิลปะแบบพม่า บนเศียรประดับอัญมณีหลายชนิดยามต้องแสงแดดจึงเห็นเป็นเหมือนสีรุ้ง พระบาทที่มีภาพวาดลายธรรมจักร ตรงกลางฝ่าพระบาทล้อมรอบด้วยรูปมงคล 108 ประการ ที่แสดงให้เห็นถึง อากาศโลก สัตว์โลก และสังขารโลก ที่องค์พระแต่งด้วยจีวรมีลักษณะพลิ้วไหวสวยงามสมจริง

สถานที่ต่อไปคือเจดีย์โบดาทาวน์ เป็นที่บรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้าที่อัญเชิญมาจากอินเดียเมื่อ 2000 กว่าปีก่อน ในสมัยสงครามโลก ระเบิดของฝ่ายพันธมิตได้ตกลงกลางองค์เจดีย์จึงทำให้พบโกศทองคำที่บรรจุพระเกศาธาตุและพระบรมธาตุอีก 2 องค์รวมถึงพระพุทธทอง สำริด เงินอีกกว่า 700 องค์ มีสิ่งของมีค่าทางพระพุทธศาสนาที่ประเมินค่าไม่ได้ จึงถูกบูรณะขึ้นใหม่ ในเจดีย์โบดาทาวน์แห่งนี้ยังมีเทพทันใจหรือนัตโบโบยี สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวพม่านับถือบูชา ไกด์ก็ได้สอนวิธีสักการะอย่างถูกต้องด้วยการให้ม้วนเงินจ๊าด 1 ใบ และแบงค์ไทย 1 ใบ ม้วนเสร็จแล้วสอดใส่กันไว้ นำไปสอดไว้ในนิ้วของเทพทันใจที่ชี้ออกมา จากนั้นให้เก็บแบงค์ไทยใส่กระเป๋าไว้ แล้วพรที่ขอจะสำเร็จ

และฝั่งตรงข้ามกันของเจดีย์ยังมีเทพกระซิบหรือที่ชาวพม่าเรียกว่าอะมาดอว์เมี๊ยะ ตามตำนานเล่าว่าเป็นธิดาพญานาคที่ศรัทธาในพุทธศาสนา จึงรักษาศีลและเป็นมังสวิรัส เมื่อตายไปจึงกลายเป็นนัตหรือที่คนไทยเรียกว่าเทพ ชาวพม่านิยมมาสักการะบูชาเพื่อขอพร ซึ่งเวลาขอพรจะต้องกระซิบข้างหูและบูชาด้วยน้ำนม ข้าวตอก ดอกไม้ และผลไม้

หลังจากจบทัวร์วัดแล้วก็ได้เวลาการเดินเล่นที่ตลาดสก๊อต เป็นตลาดที่รวมอัญมณีและพระเครื่อง พระพุทธรูปเอาไว้มากมาย รวมถึงของใช้จิปาถะก็มีให้เลือกชมด้วยเช่นกัน เป็นตลาดที่ไม่ใหญ่มากเดินไม่เหนื่อย เลยถือโอกาสนั่งพักผ่อนมองวิถีชาวพม่าก็เพลินไปอีกแบบ ข้าวของต่างๆ นั้นก็เหมือนบ้านเราเลย บางอย่างก็นำเข้าจากไทยนี่แหละ เหมาะกับคนที่ชอบมาดูอัญมณีหรือพระพุทธรูปมากกว่ามาช้อปปิ้งซื้อข้าวของเครื่องใช้

ออกจากตลาดก็เริ่มเย็นแต่ทริปนี้ยังไม่หมด เพราะยังเหลือที่สุดท้ายคือวัดพระหินอ่อน ด้วยการจราจรช่วงเย็นที่ติดขัดมากๆ กว่าจะไปถึงวัดก็พระอาทิตย์ตกดินเสียแล้ว วัดพระหินอ่อนเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปแกะสลักหินอ่อนขนาดใหญ่ โดยสลักจากหินเพียงก้อนเดียวที่มีความสวยงามและมีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศพม่า โดยพระพุทธรูปองค์นี้ มีกระจกครอบไว้เพื่อปรับอุณหภูมิให้ตัวองค์พระ เพื่อป้องกันการเสียหายของหยกหรือหินอ่อนเพราะหากอากาศร้อนเกินไป หยกหรือหินอ่อนอาจเกิดรอยร้าวหรือแตกได้ ขนาดองค์พระมีความสูง 37 ฟุต กว้าง 24 ฟุต แกะสลักโดยช่างฝีมือชาวมัณฑะเลย์ ที่ด้านหลังขององค์พระนั้นจะมีลักษณะปานที่มองแล้วคล้ายๆ พระธุดงค์ อันนี้ไกด์บอกมาเลยเดินไปดูจะว่าเหมือนก็เหมือนอยู่ทางไกด์บอกว่าเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ

และแล้วก็จบทริปอย่างสวยงามได้เวลากลับบ้าน ซึ่งก็เป็นไปตามโปรแกรมที่วางไว้ครบหมดไม่มีตกหล่นเลยสักที่ในราคา 2992 บาท (ไม่รวมค่าไกด์ 2000 บาท) ส่วนตัวถือว่าคุ้มค่าเพราะการออกนอกประเทศในราคาแบบนี้ไปเองก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งการเดินทางในพม่าด้วยแล้วหากไม่ชำนาญพื้นที่ก็คงจะงงหนักมาก ไกด์ท้องถิ่นและหัวหน้าไกด์บริการดีให้ข้อมูลละเอียด เป็นทริปที่รู้สึกดี อิ่มบุญมาก

Siren Queen

 วันพฤหัสที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 เวลา 21.54 น.

ความคิดเห็น