รวบรวมความกล้า ก้าวขาขึ้นรถไฟอีกครั้ง : Overcome yourself by train again

highlights:

  • เท้าความถึงการกลัวรถไฟในอดีต
  • บรรยากาศที่ดีมากๆ บนรถไฟ

---------------------------------------------------------------------------------

เอาจริงๆ กล้าพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าการรวบรวมความกล้าขึ้นรถไฟไทยอีกครั้ง เป็นจุดเริ่มต้นที่เราก้าวออกจาก Comfort zone ของเราอย่างแท้จริง

// ย้อนกลับไปสมัยเมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้วที่ประเทศเรายังมีรถไฟที่เรียกว่า "รถไฟฟรี" ตอนนั้นก็ไม่รู้นึกยังไงจะไปสอบที่สนามขอนแก่นด้วยการนั่งรถไฟ 555555 

อ้อนึกออกแล้ว (พอเริ่มเขียนภาพเหตุการณ์ตอนนั้นก็เริ่มแว็บเข้ามาในหัว) ด้วยความที่สมัยเมื่อเกือบสิบปีที่แล้ว การจะไปขอนแก่นโดยที่ไม่เคยไปมาก่อน มันไม่ได้ง่ายอย่างทุกวันนี้ ที่มีรีวิวบอกทุกสิ่งอย่างระเอียดยิบ ซึ่งสมัยก่อนเราก็ได้แต่อาศัยถามคนรอบๆ ตัวที่เคยไป บวกกับหาข้อมูลในเน็ตที่ช่างน้อยนิดเสียเหลือเกิน

สรุปรวมๆ ว่า ไปขอนแก่นนะจะต้องนั่งรถไปที่ บขส ใหม่ บขส เก่า นู้นนี่ในตัวอำเภอเมืองก่อน แล้วต่อรถจากตัวอำเภอเมืองเนี่ยไปที่ของแก่น ซึ่งตอนนั้นเราก็เด็กมาก พอฟังว่าต้องเปลี่ยนรถ ต่อรถ นั่งรถสองต่อก็เลยกลัวจ้าาาา 5555 แบบสมัยนั้นโทรศัพท์ยังใช้ซิมเน็ตอยู่เลยอะแกรรร โทรศัพท์ยังไม่รู้จักเลยว่า Wi-Fi คืออะไรอะ ข้อมูลที่มีในเน็ตก็น้อยเกินไปจนไม่ได้ทำให้เราอุ่นใจด้วย แล้วประจวบเหมาะกับช่วงนั้นข่าวก็ประโคมเกี่ยวกับรถไฟฟรีเยอะมากกกกก เราก็เลยเอาวะ นั่งรถไฟไปขอนแก่นแล้วกันต่อเดียวถึง ไม่หลงแน่นอน แล้วความวายป่วงก็ได้เริ่มต้นขึ้น 5555555555 

จำได้รางๆ ว่าตอนนั้นมันไม่มีแอพเช็คตารางรถไฟ อาศัยคำบอกเล่าของคนที่เคยไปคือต้องไปรอเช้าๆ ประมาณหกโมงเช้า จะมีรถไฟไปขอนแก่น เราก็เลยไปรอตามเขาว่า พอไปถึงสถานีนายสถานีบอกว่ามีรถไปขอนแก่นรอบ 06.18 ปรากฏรถไฟมาจริง คือเกือบเจ็ดโมงครึ่ง แล้วกำหนดการณ์ถึงขอนแก่นประมาณเที่ยงๆ ถึงจริงบ่ายสองจ้าาาาา แล้วคือรถไฟฟรีอะเนอะ มันก็คือรถไฟชั้น 3 สมัยนี้ ตอนเราไปน่าจะเป็นช่วงหน้าร้อน อื้อหือ ทั้งร้อน ทั้งอบ ทั้งนานเลยอะแมร่ แถมเมารถไฟรุนแรง การดูวิวข้างทางก็ไม่สนุกอีกต่อไป คือขาไปว่าแย่แล้วขากลับยิ่งแย่กว่า 

ขากลับเราไม่ได้กลับรถไฟฟรี เรากลับรถไฟเสียเงินจ้าา ความพีคของขากลับก็ไม่แพ้ขามาเช่นกัน ด้วยความที่ first impression ของเราที่ขอนแก่นมันไม่ดี พอสอบเสร็จเราก็จะไม่ทนแล้ว อยากกลับบ้านแล้ว ก็เลยเดินไปสถานีรถไฟว่ามีรถไฟเที่ยวไหนให้เรากลับบ้านคืนนี้ได้อีกไหม จำได้ว่าได้เที่ยวดึกเลยแหละสักสี่ห้าทุ่ม แต่อยากกลับบ้านแล้วจะกี่โมงก็เอาหมด 

ปรากฏไม่รู้เป็นวันวินาศสันตะโรยังไง คือคนบนรถไฟเต็มทุกที่นั่ง แล้วตั๋วที่เราได้นั่งติดกับห้องน้ำ ห้องน้ำรถไฟอะแกรรรร กลิ่นมันเป็นอะไรที่เกินทนมาก คือเราต้องนั่งดมมันแต่ต้นทางยันไปปลายทาง OMG!!! ยัง ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น ตรงข้ามเราคือผู้ชายสองคน เมาหนึ่งคน หน้าตาน่ากลัวอีกหนึ่งคน ไม่กล้าหลับเลยจ้าาาาา กลัวมากกกกกกกกก แล้วด้วยสภาพแบบนี้เราก็ยิ่งอยากจะถึงบ้านเร็วขึ้นไปอีก แต่อยู่ๆ รถไฟก็จอดรออะไรไม่รู้เกือบสองชั่วโมง โอ้แมรรร่ กว่าจะได้ถึงบ้านคือยับเยินมาก ไม่กล้าขึ้นอีกแล้วรถไฟไทย TT^TT //

คือแค่ Intro นี่ก็ควรจะเข็ดขยาดได้แล้วนะ 555555 ดังนั้นนี่เลยเป็นที่มาว่าทำไมแค่การขึ้นรถไฟมันคือการก้าวออกจาก Comfort zone ของเราอย่างแท้จริง

จุดเริ่มต้นจริงๆ คือ "เราอยากนั่งรถไฟไปปีนัง" ([นั่งรถไฟไปเที่ยวปีนัง&ตามหาคาเฟ่ harry 2020 (ตอนที่ 1)]) แต่การที่จะนั่งรถไฟไปปีนังได้เนี่ยถ้าเราไม่เคยนั่งรถไฟมาก่อนนี่อาจตายได้เลยนะ 5555 บวกกับเรายังฝังใจกับเหตุการณ์ข้างบน ถ้านั่งไปปีนังจะได้ตายของจริงอยู่บนรถไฟนั่นแหละ เราเลยลองซ้อม นั่งรถไฟกลับบ้านก่อนเลย ระยะทางสั้นๆ กำลังพอดี 4 ชั่วโมง บนรถไฟชั้น 3 น่าจะพอไหวแหละ

ด้วยเทคโนโลยีก้าวไกลของยุคปัจจุบัน รถไฟไทยเขามีทั้งแอพดูตารางรถไฟ แอพติดตามขบวนรถไฟใดใดมากมาย เช็คได้ที่ -> https://play.google.com/store/apps/details?id=marstech.srt.timetablefares&hl=en_US ในเว็บเราไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ ส่วนใหญ่เราจะเช็คในแอพ จะบอกหมดเลยว่ามีขบวนไหนบ้าง กี่โมงถึงกี่โมง ที่นั่งเป็นยังไง ราคาเท่าไหร่ แอพนี้ดีมากจริงๆ

ทีนี้ขบวนที่ไปบ้านเราได้มี 2 ขบวน คือรอบที่เป็นรถแอร์ ตอน 10.05 กับรอบที่เป็นพัดลม ตอน 11.40 ใจเราเนี่ยอยากลองขึ้นรถพัดลมไปเลยจะได้รู้ว่าจะรอดไหม อีกใจนึงก็กลัวจะไม่รอดแล้วเป็นเหมือนข้างบนอีก แต่ด้วยอะไรหลายๆ อย่าง ทำให้เราต้องจำใจไปรอบ 11.40 ที่เป็นรถพัดลมนั่นเอง 

พอมาถึงหัวลำโพงครั้งแรกก็ยืนงงไปพักใหญ่เพราะซื้อตั๋วไม่เป็น 55555 นึกว่าจะเหมือนรถทัวร์ที่แบ่งเป็นภาคๆ แบ่งเป็นยี่ห้อๆ แต่ที่นี่คือเข้าไปซื้อได้ทุกช่องเลย เราก็บอกว่าไปสถานีปากช่อง ราคา 36 บาท ถูกมากกกกก แล้วพอซื้อตั๋วเสร็จในตั๋วมันบอกเราทุกอย่างยกเว้นชานชาลา เราก็เลยต้องเงยหน้าดูกระดานดำๆ ว่าขบวนรถที่เราจะไปคือขบวนไหน ก็ไปรอชานชาลานั้นเลย ของเราไปสถานีปากช่องแต่ขบวนที่เราไปคือ กรุงเทพ-สุรินทร์ ขบวน 233 ต้องไปรอที่ชานชาลาที่ 8 เหมือนที่สนามบินเลย

ชานชาลาที่ 8 อยู่ไหนน้าาาา

ด้วยความที่เรามาถึงสถานีช้า ก็วิ่งหาชานชาลา ไปเลยจ้าาาา กลัวตกรถไฟ

พอขึ้นมาถึงบนรถก็เจอป้าใจดีคนนึง เราก็ถามเขาว่าในตั๋วไม่ได้บอกที่นั่งจะนั่งยังไงดี ป้าแกก็บอกว่านั่งตรงไหนก็ได้ เราก็เลยเลือกนั่งฝั่งขวาแล้วกัน

รถไฟออกช้ากว่าในตั๋วประมาณ 15 นาที ก็ถือว่ารับได้แหละ นั่งไปสักพักก็จะมีคนมาตรวจตั๋ว

แล้วก็มีของมาขายตลอดทาง ไม่อดแน่นอน แต่จะอร่อยไหมก็อีกเรื่อง 5555

นั่งๆ ไป ดูวิวข้างทางไปเพลินๆ แล้วได้วิวแบบแจ็คพอตมากกกกกก คือไม่คิดว่าวิวรถไฟจะมีอะไรแบบนี้ด้วย สวยมากกกกก ประทับใจที่ตรงนี้เลย เพราะเราเป็นคนชอบถ่ายรูป วิวนี้ก็ไม่ได้มาเห็นบ่อยๆ อย่างงี้นี่เองคือวิวรถไฟที่คนเขาติดใจกัน

แล้วมันมีหลายโค้งมากๆ

นั่งถูกฝั่งสุดๆ

เราไปตอนหน้าฝนภาพมันก็จะดูชุ่มฉ่ำๆ ไม่แห้ง ฟีลดีมากกกก อากาศดี ไม่อบ

บางช่วงก็จะมีฝนตกมาด้วย เหมือนอยู่ต่างประเทศเลยย นี่หรอรถไฟไทยที่เรากลัวตอนเด็กๆ คือมาตอนนี้เราประทับใจมากจริงๆ 

ในที่สุดเราก็มาถึงสถานีรถไฟปากช่องแล้ววว ช้าแค่ 15 นาที ถือว่าเวลาดีกว่าที่คิดเลยแหละสำหรับรถไฟชั้น 3 อะนะ 

โดยรวมแล้วในการนั่งรถไฟครั้งนี้เราประทับใจมากๆๆๆ วิวดี นั่งสบาย ห้องน้ำไม่แย่ดีกว่าที่คิดไว้เยอะเลย และเราก็ต้องขอบคุณตัวเองที่ตัดสินใจมาขึ้นรถไฟอีกครั้ง มันเปลี่ยนมุมมองของเราที่มีต่อรถไฟไทยไปเยอะมากๆ เลย แล้วมันทำให้เรารู้ว่าอย่าเอาประสบการณ์หรือความกลัวเดิมๆ มาปิดกั้นตัวเอง กลัวอะไรก็ให้ออกไปลอง แล้วสิ่งที่ได้กลับมามันคือสิ่งที่มีค่าสำหรับเรา ^^ และสามารถติดตามการเดินทางอื่นๆ ของเราได้ที่ เพจ "Try to Try ก็แค่ออกไปลอง" แล้วจะรู้ว่าการก้าวออกจาก Comfort zone ของตัวเองมันสนุกแค่ไหน

ขอบคุณที่ติดตามค่าาาา ❤
Try to Try ก็แค่ออกไปลอง

ความคิดเห็น