ตีพิมพ์ครั้งแรก - หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันเสาร์ที่ 20 มกราคม 2561
ในชื่อบทความ "วัด อาหาร การเดินทาง มนต์ขลังแห่งเมียนมา"
ได้รับอนุญาตในการนำลงเว็บไซต์นี้แล้ว
โดย text ทั้งหมดในบันทึกนี้เป็นต้นฉบับก่อนการ Edit โดยบรรณาธิการ
ผู้เขียน - วนิดา แก่นจันทร์
ตีพิมพ์ครั้งที่ 2 - เว็บไซต์ mailoreview.com
ย้อนไป 6 ปีก่อน (บทความนี้เขียนเมื่อปี 2561) เมื่อครั้งเมียนมาเปิดประเทศใหม่ๆ ฉันและเพื่อนก็เป็นหนึ่งในกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปสัมผัสประเทศแห่งความศรัทธาและมีมนต์ขลังประเทศนี้ พม่า ที่ไม่เคยคิดเลยว่าจะได้มาเยือน เรื่องราวในความทรงจำที่แม้จะนานแล้วแต่ก็คงจำได้เด่นชัดอยู่ในหัวใจ
เมียนมา วันเดียวเที่ยว 10 วัด
ฉันและเพื่อน ๆ เดินทางออกจากสนามบินสุวรรณภูมิในช่วงเช้าของวันที่ 10 พฤษภาคม ไปถึงสนามบินย่างกุ้ง 8 โมงเช้า ทีมของเรามีทั้งหมด 9 คน แต่แบ่งกันเดินทาง ทำให้ก๊วนเที่ยวเซ็ตแรกมีกันแค่ 4 คน แน่นอนว่าเป็นสาวล้วน หลังออกจากสนามบินพวกเราทั้งหมดเรียกแท็กซี่ซึ่งจอดอยู่ด้านหน้าให้ขับพาพวกเราเที่ยว แผนการเที่ยวของวันนี้ทั้งวันระหว่างรอชาวคณะมากันครบของพี่สาว คือการตะลุยเที่ยววัดในย่างกุ้งให้ได้มากที่สุด!!. วัดแรกเราก็ไปไกลหน่อย ขับรถออกไปยังเมืองสิเรียม เพื่อไปสักการะเจดีย์เยเลพญา เจดีย์กลางน้ำอายุกว่าพันปี ตามตำนานเล่าว่าเจดีย์แห่งนี้ไม่มีวันน้ำท่วม และสามารถรองรับผู้คนที่มากราบไหว้ได้เป็นจำนวนมาก เรียกว่าเท่าไหร่ก็ไม่มีวันเต็มพื้นที่เลยทีเดียว
ฉันยังคงคอนเซ็ปต์ หลับ ๆ ตื่น ๆ นอนไปตลอดทาง เมื่อถึงจุดหมายก๊วน 4 สาวของพวกเราก็เติมพลังด้วยอาหารท้องถิ่นเมียนมาเป็นมื้อแรกซึ่งรสชาติอร่อยใช้ได้ อิ่มท้องแล้วก็ออกไปจัดแจงซื้อดอกไม้สำหรับสักการะ ก่อนจะนั่งเรือสำหรับรับส่งนักท่องเที่ยวไปยังเกาะกลางน้ำอันเป็นที่ตั้งของเจดีย์นั่นเอง ฉันชอบวัดนี้ ด้วยพื้นที่อยู่กลางน้ำ ทำให้บรรยากาศเย็นสบายอยู่ตลอด เมื่อเข้าไปในบริเวณวัด จะเรียกว่าคนเยอะ ก็เยอะ แต่ความรู้สึกในตอนนั้นกลับเดินสบายไม่เบียดเสียดกันเลย... เอ!! หรือตำนานที่กล่าวกันไว้จะเป็นจริงกันนะ
หลังจากกราบขอพร เดินชมความงดงามขององค์ประธานของวัด เดินลงมาให้อาหารปลากันสนุกสนานเพียงพอแล้ว พวกเราก็นั่งรถกลับเข้าเมืองย่างกุ้งกันอีกครั้งเพื่อไปวัดต่อไป!! แม้ระยะทางกว่า 40 กิโลเมตรใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งจะทำให้เราคิดว่า คงเที่ยวได้ไม่ครบ 10 ตามเป้าหมายเป็นแน่ แต่เอาเข้าจริง เห้ย!! พวกเราทำได้
วัดถัดมาที่พวกเราสี่สาวแวะไปกราบคือสถานที่ที่คนไทยส่วนใหญ่ต้องแวะมา นั่นคือ เจดีย์โบตะทาวน์ สถานที่ประดิษฐานของนัตโบโบยี หรือเทพทันใจที่คนไทยรู้จักกันเป็นอย่างดี ซึ่งพวกเราก็ไม่พลาดที่จะขอพร ทำตามวิธีอย่างเคร่งครัด ระหว่างเข้าคิวรอกราบฉันก็ซักซ้อมอีกหลายครั้งเพื่อไม่ให้ผิดพลาด เตรียมธนบัตรที่เหมือนกัน 2 ฉบับ ฉันใช้ธนบัตรของเมืองไทย ม้วนซ้อนกันไว้ ยกของไหว้เข้าไปยืนอยู่ด้านหน้าองค์เทพทันใจ โดยให้หน้าผากของเราจรดกับนิ้วชี้ของท่าน อธิษฐานในใจถึงสิ่งที่ต้องการอย่างแน่วแน่ จากนั้นเดินอ้อมไปจับไม้เท้าลูบ 3 ครั้ง...
อิ่มบุญแล้ว ยังเหลือเวลาพวกเราจึงเดินชมภายในเจดีย์โบตะทาวน์ ซึ่งที่นี่เป็นหนึ่งในศาสนสถานสำคัญของเมืองย่างกุ้ง ด้วยเป็นสถานที่ประดิษฐานพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้านั่นเอง ออกจากเจดีย์โบตะทาวน์ ก็ยังเหลือเวลาให้พวกเราไปยังวัดต่อ ๆ ไป ซึ่งเป็นวัดท้องถิ่นของชาวเมียนมา มาคิดดูอีกที เหตุที่ทำให้เราเดินทางสักการะวัดต่าง ๆ ได้มากถึง 10 วัดเช่นนี้ เพราะพี่คนขับแท็กซี่ผู้ใจดีพาเราซ่อกแซ่กไปตามเส้นทางลัดเป็นแน่แท้...
ไปแล้วต้องชิม...อาหารท้องถิ่นนั้นอร่อย
มืดแล้วสำหรับวันแรกที่ทรหด พวกเราแยกย้ายเข้าห้องพัก เก็บข้าวของ พักเอาแรงสักครู่ กระเพาะก็ทำงานอีกแล้ว จึงตัดสินใจไปเดินเล่นยามค่ำคืนในย่านเจดีย์สุเล ซึ่งเป็นจุดศูนย์รวมของคนที่นี่ ใจกลางเมืองย่างกุ้ง บรรยากาศยามค่ำคืน แสงไฟถนนสลัว ๆ ก็สร้างความตื่นเต้นไม่น้อย พวกเราเดินไปอย่างตื่นตาตื่นใจ ผ่านผู้คนมากมายทั้งคนท้องถิ่นเมียนมา และคนต่างชาติที่เข้ามาอยู่อาศัยและทำงานที่นี่
พวกเราเดินจากที่พักไปไกลพอสมควร ผ่านตรอกซอกซอยที่แยกออกจากถนนใหญ่ ต้นซอยจะมีร้านอาหารเพิงเล็ก ๆ อยู่ประปราย เรามาหยุดที่ร้านอาหารคล้ายๆ ร้านข้าวราดแกง แม่ค้าจะมีกับข้าวทำใส่หม้อไว้ให้ลูกค้าเลือก ตั้งใส่จานเล็น มานั่งกินรวมกัน กับข้าวของชาวเมียนมาจะมีความมันน้ำมันเยอะพอสมควร ด้านรสชาตินั้นฉันคิดว่าก็ถูกปากคนไทยได้ไม่ยากเลยล่ะ
อาหารอีกอย่างที่ได้ลองที่ย่างกุ้ง ใช้หมี่กรอบ ถั่วแผ่น ผักเล็กน้อย และส่วนผสมอะไรบางอย่างที่ฉันก็จำไม่ได้แล้ว พ่อค้าคลุกทั้งหมดเข้าด้วยกัน ดูแล้วไม่ค่อยน่ารับประทานเท่าไหร่ แต่เมื่อตัดอคติและตักเข้าปากเคี้ยว ฉันก็ร้องด้วยความลิงโลด พร้อมชวนเพื่อนๆ ให้ลองมาชิม เพราะว่ามันอร่อยมากอย่างไม่น่าเชื่อจริง ๆ
ประสบการณ์ขึ้นเขาด้วยรถขนหมูที่เมียนมา
อีกหนึ่งสถานที่ทางศาสนาที่สำคัญของเมียนมา และเป็นสถานที่อันดับต้นๆ ที่คนไทยจะเดินทางไปกัน คงไม่พ้นพระธาตุไจทีโย หรือ พระธาตุอินทร์แขวนที่คนไทยรู้จักคุ้นเคย หลังจากคืนแรก สมาชิกชาวแก็งทัวร์เมียนมาก็ครบจำนวนแล้ว วันรุ่งขึ้นพวกเรามีแผนเดินทางไปพระธาตุอินทร์แขวน สิ่งที่เรียกความตื่นเต้นให้ฉันมากคือการขึ้นรถขนหมู ที่เขาว่ามันช่างหวาดเสียวมากเสียเหลือเกิน
รถขนหมู ที่พวกเราเรียกกันนั้นเป็นรถสี่ล้อไม่มีหลังคา มีม้ามั่งวางไว้เป็นแถว ๆ ให้คนขึ้นไปนั่ง เมื่อผู้โดยสารขึ้นเต็มเมื่อไหร่รถก็จะขับออกไป ระหว่างทางต้องผ่านป่าเขาลำเนาไพร และเส้นทางขรุขระคดเคี้ยว บ้างลาดชัด บ้างทางเล็กจนน่ากลัว หลังจากขับมาได้สักระยะหนึ่ง ระหว่างทางรถได้เลี้ยวเหวี่ยงคนจนได้ที่ เสมือนเปลแกว่งไกวกล่อมเด็กนอน และก็คงคอนเซ็ปต์เดิม ฉันหลับ!! อีกจนได้
ตื่นมาด้วยสภาพงัวเงีย พี่ร่วมทริปบอกว่าเราต้องเดินเท้าขึ้นอีกเพื่อให้ถึงบริเวณที่พักสำหรับผู้มาสักการะพระเจดีย์ เมื่อถึงข้างบนแล้ว เพื่อนร่วมทริปผู้ชายได้ขึ้นไปปิดทองละสัมผัสองค์พระเจดีย์เพื่ออธิษฐานสิ่งที่ปรารถนา ส่วนผู้หญิงจะยืนได้ตรงบริเวณระเวียงที่เตรียมไว้ให้เท่านั้น...
แม้จะไม่ได้ไปใกล้ แต่ความรู้สึกตืนตั้นใจและอิ่มบุญก็เอ่อล้นในใจของฉันอย่างไม่ลืมเลือนจริง ๆ
ก๊วนเที่ยวเมียนมาพากันไปทั้งเจดีย์ชเวดากอง พระธาตุมุเตา พระราชวังบุเรงนอง และสถานที่อีกมากมายแต่ก็ยังไม่เพียงพอสำหรับการสัมผัสเมืองแห่งศรัทธาเมืองนี้ได้เลย ระหว่างที่นั่งซึมซับความสงบที่วัดแห่งหนึ่งของเมืองย่างกุ้ง ฉันเห็นขบวนแห่งานอุปสมบทของเด็กชายคนหนึ่ง ฉันทบทวนสิ่งที่เห็นจนชินตาเมื่อไปวัดแต่ละวัด นั่นคือ ชาวเมียนมาที่ตั้งใจมากราบไหว้สิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจของพวกเขาด้วยท่าทางอันเป็นเอกลักษณ์ ... สำหรับเด็กชายคนนั้นก็คงไม่ต่างกัน
สิ่งอันพันละน้อยของวัฒนธรรมท้องถิ่นของชาวเมียนมา ที่สังเกตจากการท่องเที่ยวในครั้งนี้ เปรียบเสมือนการเข้าใกล้ความเป็นเมียนมามากขึ้นอีกนิด
- การก้มกราบสักการะพระพุทธรูปในศาสนสถานต่าง ๆ ของชาวเมียนมา สำหรับผู้ชายจะมีวิธีอันเป็นเอกลักษณ์ นั่นคือ นั่งยอง พนมมืออธิษฐานก่อนก้มตัวกราบ เข่าชิดพื้น
- ที่ประเทศเมียนมา การจราจรติดขัดไม่ต่างจากกรุงเทพฯ สักเท่าไหร่ และวัฒนธรรมการขับรถของคนที่นี่ก็มีเอกลักษณ์ไม่น้อย เพราะผู้ขับจะขับรถเลนขวา และรถส่วนใหญ่ที่วิ่งบนถนนจะมีพวงมาลัยอยู่ทางขวา!
- ประสบการณ์การสั่งเครื่องดื่มในเมียนมาเมื่อ 6 ปีก่อน ถามหาโค้ก เป๊บซี่ใส่น้ำแข็งนั้นยากพอตัว เพราะชาวเมียนมาไม่นิยมดื่มน้ำใส่น้ำแข็ง ครั้งนั้นแม่ค้าต้องไปหาน้ำแข็ง (ที่ใช้ในการแช่ขวดน้ำ) มาใส่กับโค้กให้เลยทีเดียว
- พวกเราพักที่ East Hotel ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวงเวียน Sule มากนัก ตกกลางคืนเดินออกจากที่พักเข้ามาใกล้ๆ วงเวียน ก็จะเจอกับร้านรวงข้างทาง ขายอาหาร และเห็นตึกรามบ้านช่องน่าตื่นตา
วนิดา แก่นจันทร์
Nida Mailo
วันพุธที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2563 เวลา 12.39 น.