ในปัจจุบัน 'จักรยาน' เริ่มเข้ามามีอิทธิพลในสังคมเมืองมากขึ้น
ครั้งนี้ เราเลยอยากมาแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวสำหรับคนที่ชอบปั่นจักรยาน
แบบไม่ต้องเดินทางไปไหนไกล และยังได้สัมผัสกับชุมชนที่ยังคงความเป็นวิถีชีวิตแบบชาวบ้าน เมื่อพร้อมแล้วเราจะพาเพื่อนๆไปปั่นกินลมชมวิว กันที่ บางกะเจ้า กันเลยค่ะ

บางกะเจ้า ตั้งอยู่ที่อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ รูปร่างของพื้นที่คล้ายกระเพาะอาหารที่ล้อมรอบด้วยแม่น้ำเจ้าพระยา และเป็นพื้นที่เขียวชอุ่มด้วยสวนป่าชุมชนขนาดใหญ่ จนได้รับการยกย่องจาก Time Magazine เมื่อปี 2006 ให้เป็น The Best Urban Oasis of Asia

เรามาเริ่มต้นกันที่การเดินทางกันก่อนเลยดีกว่าเน๊อะ .. สำหรับการเดินทางมาที่บางกะเจ้านั้นไม่ยาก สามารถไปได้หลายเส้นทางแต่เราข้อเน้นการเดินทางสำหรับผู้ที่ไม่มีรถยนต์ส่วนตัวแล้วกันเน๊อะ เราอยากแนะนำให้มาเที่ยวในวันเสาร์หรือวันอาทิตย์ เพราะ ตลาดน้ำบางน้ำผึ้งและพิพิธภัณฑ์จะเปิดให้เข้าชมด้วยค่ะ มาแล้วจะได้ไม่เสียเที่ยว ..

รถไฟฟ้า

- BTS : มาลงที่สถานีบางนา ออกประตูทางออก 2 (วัดบางนาใน) แล้วต่อรถ Taxi ไปลงที่ท่าเรือวัดบางนานอก ราคาประมาณ 50 บาท หากใครไปคนเดียวมีมีวินมอเตอร์ไซด์ให้บริการเช่นกัน บอกพี่วินมอเตอร์ไซด์ไปท่าเรือวัดบางนานอก ราคา 20 บาท แล้วก็ต่อเรือข้ามฟากไปลงท่าวัดบางน้ำผึ้งนอก ราคาเที่ยวละ 4 บาท เรือข้ามฟากนี้สามารถนำรถมอเตอร์ไซด์หรือจักรยานลงไปได้ด้วยนะ ราคาเที่ยวละ 10 บาทค่ะ เรือจะมาทุกๆ 10 นาทีค่ะ (เราเลือกเดินทางเส้นทางนี้ ^^)

- MRT : มาลงที่สถานีศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิต์ ออกประตูทางออก 4 (ซอยไผ่สิงโต) แล้วต่อ Taxi ไปลงที่ท่าเรือวัดคลองเตยนอก ราคาประมาณ 50 บาท แล้วก็ต่อเรือข้ามมาที่ท่าเรือบางกะเจ้า

รถประจำทาง

- นั่งรถเมล์สาย 4, 72, ปอ.72, 102, ปอ.102 ซึ่งสุดสายที่การท่าเรือแห่งประเทศไทย เดินเข้าซอยเลียบกำแพงวัดคลองเตยนอกไปประมาณ 200 เมตร ก็ต่อเรือไปลงที่ท่าเรือบางกะเจ้า


ณ ท่าเรือวัดบางน้ำผึ้งนอก

เมื่อมาถึงท่าเรือ สิ่งแรกที่เรามองหา คือ ร้านเช่าจักรยาน .. ร้านเช่าจักรยานที่บางกะเจ้ามีอยู่หลายร้านเลยค่ะ อยู่ที่เราว่าจะเลือกร้านไหน ราคาการเช่าแต่ละร้านก็แตกต่างกันไป บางร้านก็จะมีโปรโมชั่นดีดีไว้คอยดึงดูดลูกค้า .. อย่างร้านที่เราเลือก เดินออกจากท่าเรือมาทางขวามือเลยค่ะ ร้านชื่อ แดง&แหม่ม เบอร์โทรศัพท์ตามรูปด้านล่างนี้เลยจ๊ะ ..

ร้านนี้ เป็นร้านของ สจ. ที่นี่ค่ะ (ชาวบ้านแซวว่า นี่จักรยาน สจ. จอดตรงไหนก็ไม่หาย ฮ่าๆ) .. ร้านนี้มีจักรยานให้เลือกหลายแบบแล้วแต่ว่าเราจะชอบแบบไหน ราคาอยู่ที่ ทั้งวัน 60 บาท ถูกมาก! และมีโปรโมชั่นตรงที่ได้ตั๋วเรือค่ากลับฟรีค่ะ แหะๆ .. อย่าลืม เอาจักรยานมาคืนตอน 6 โมงเย็นนะคะ เราแอบคืนเลยเวลาไปตั้ง 20 กว่านาที แต่เค้าก็ยังรอเราเอาจักรยานมาคืน ขอโทษค๊า .. เมื่อได้จักรยานคันที่เราพอใจแล้ว อย่าลืมให้ที่ร้านสูบยางรถให้ด้วยนะคะ เมื่อทุกอย่างพร้อม จ่ายเงิน ! วางบัตรประชาชน ! แล้วเราก็ลุย! บางกะเจ้ากันเลยดีกว่าค่ะ .. เราเลือกจักรยานแม่บ้านเพราะมีตะกร้าหน้ารถไว้ใส่ของ อิอิ


คำแนะนำ

1. หน้าร้อนแบบนี้ อย่าลืม พกน้ำดื่ม เอาไว้ดื่มตอนดับกระหายด้วยนะคะ จะได้มีแรงปั่น เตรียมยาดม เอ่อ จำเป็นไหม เผื่อไว้ก็ดี แหะๆ

2. แนะนำให้เช่าจักรยานแยกคันกันดีกว่าค่ะ ไม่แนะนำให้ซ้อนเลย เพราะ ทางแคบ กลัวจะเกิดอันตราย และระยะทางที่บางกะเจ้า ก็หลายกิโลอยู่ค่ะ สงสารคนขี่ เน๊อะ ^^

3. กลับมาอาจมีขาสั่น หรือปวดขาบ้าง เตรียมยานวดไว้ก็ดี ด้วยความห่วงใยจากเจ้าของกระทู้ ปิ๊งๆ

แผนที่แหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ

สถานที่แรกที่เราจะไปกัน ก็คือ ร้านพบรัก ณ บางน้ำผึ้ง ร้านนี้เคยเป็นโลเคชั่นถ่ายละครเรื่อง 'ภพรัก' ที่หมาก-เบลล่าเล่น ใครได้ดูบ้างเอ่ย? .. ที่เราเลือกมาที่นี่ก่อน เพราะ หิว คำเดียวเลยค่ะ ฮ่าๆ กองทัพต้องเดินด้วยท้องสิ จริงไหม! .. พอออกจากร้านเช่าจักรยานก็ขี่ตรงมาเลยค่ะ ตามทางไปเรื่อยๆจะเจอร้านพบรัก แต่จะเจอร้าน Bangkok Tree House ก่อนนะ จากที่เราอ่านรีวิวจากที่นี่ ร้าน Bangkok Tree House ราคาอาหารค่อนข้างสูง แต่ได้บรรยากาศถ่ายรูปค่ะที่นี่ เลยตั้งใจว่าจะมาเก็บภาพถ่ายตอนเย็นขากลับ เลยเลือกที่จะข้ามร้านนี้ไปก่อน เลยไปที่ร้านพบรักกันต่อเลยค่ะ ..

ตลอดเส้นทางจะมีป้ายบอกทางอยู่เรื่อยๆ ไม่ต้องกลัวหลง

ถึงแล้วร้านพบรัก ณ บางน้ำผึ้ง

บรรยากาศที่ร้านโรแมนติกสุดๆ ที่นั่งตรงนั้นเรียก VIP เลยก็ว่าได้ ส่วนตั๊ว..ส่วนตัว เหมาะแก่การสวีทสุดๆ

ส่วนเรา ได้โต๊ะริมน้ำแค่นี้ก็ดีถมเถแล้วค่ะ ฮ่ะฮ่าฮ่า ..

นี่คืออาหารที่เราสั่ง .. ข้าวผัดต้มยำทะเล 120 บาท และน้ำอัญชันน้ำผึ้งมะนาว แก้วละ 55 บาท .. สำหรับรสชาติอาารที่นี่ เราให้คะแนน 10/10 เลยค่ะ อิ่มมาก อร่อยมาก ขอบอกต่อ ..

เมื่อท้องอิ่ม เราก็มุ่งหน้าต่อ ดูจากแผนที่แล้วบ้านธูปอยู่ใกล้สุดจากที่ที่เราอยู่ เราจะไป บ้านธูป กันค่ะ .. แผนที่ได้ได้มาอาจดูยากนิดนึง แต่เราอาศัยถามทางจากชาวบ้านแถวๆนั้นเอาค่ะ ชาวบ้านค่อนข้างน่ารัก เวลาขับรถสวนกันเค้าจะจอดให้เราไปก่อนด้วยค่ะ .. ก่อนถึงบ้านธูปเราเจอบ้านที่สอนทำลูกประคบ ขี่จักรยานผ่านหอมกลิ่นสมุนไพรมากๆ แต่ที่นี่เราไม่ได้แวะนะคะ ขับผ่านไปที่บ้านธูปเลย ..

บ้านธูปหอมสมุนไพร วิสาหกิจชุมชนแห่งนี้เป็นแหล่งเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นและวิถีชีวิตไทยผ่านกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การทำผ้ามัดย้อม การทำอาหารไทย การทำธูป และที่บ้านธูปนั้นยังมีให้บริการไกด์ท้องถิ่นด้วยค่ะ ราคาวันละ 300 บาท และมีจักรยานให้เช่าพร้อมเลยค่ะ สามารถติดต่อได้ที่นี่เลย เบอร์โทร 02-815-0729 ทริปนี้ขอสนับสนุนไกด์ท้องถิ่นนะคะ เพราะ เค้าเป็นคนในพื้นที่เองจะรู้แหล่งท่องเที่ยวดีกว่าไกด์ต่างถิ่นค่ะ แถมยังเป็นการสร้างรายได้ให้กับคนในชุมชนด้วยนะ เราเชียร์เลยถ้าใครสนใจไกด์นำทาง .. เอ่อ! ลืมบอกไปเลย การทำธูปและการทำอาหาร ต้องจองล่วงหน้านะคะ ส่วนใหญ่จะสอนเฉพาะเป็นกรุ๊ปใหญ่ๆ (วันธรรมดาจะไม่ค่อยว่างสำหรับคนวอคอินเพราะกรุ๊ปส่วนใหญ่จะลงวันธรรมดา ส่วนวันเสาร์-อาทิตย์จะรับเฉพาะลูกค้าวอคอินค่ะ) .. ชาวต่างชาติไม่ว่าจะเป็น ทัวร์จีน ทัวร์ฝรั่งเศส หรือนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ มักจะมาแวะเยี่ยมชมที่นี่อยู่บ่อยๆ ..


การผลิตธูปหอมสมุนไพร สูตรส่วนผสมของที่นี่เป็นสูตรเฉพาะ กลิ่นต่างๆเกิดจากสมุนไพรในธรรมชาติเอามาดัดแปลงเป็นกลิ่นของธูป อย่างเช่น กลิ่นเปลือกส้ม กลิ่นตะไคร้ กลิ่นมะกรูด กลิ่นขมิ้น กลิ่นอบเชย กลิ่นสะเดา (คนอินเดียชอบกลิ่นนี้มาก มักสั่งเป็นสินค้าส่งออกคราวละเยอะๆ) โดยคุณสมบัติสามารถใช้จุดไล่ยุงได้และมีกลิ่นหอม คุณลุงที่สอนทำธูปบอกว่า ตอนนี้กำลังทดลองกลิ่นพริกไทยอยู่ค่ะ แปลกใหม่ไหมล่ะ ปกติเราจะเจอกันแต่กลิ่นกุหลาบ กลิ่นดอกลาเวนเดอร์ กลิ่นมะลิ .. นี่แหละค่ะ เป็นเอกลักษณ์ของที่นี่ สร้างความแตกต่างให้เป็นจุดขาย ... แถมเค้ายังนำเอาผลิตภัณฑ์ที่เราเห็นว่า ใช้ประโยชน์ไม่ได้ อย่างเช่น ขุ่ยขี้เลื่อนของการเลื่อยไม้ไผ่มาทำแคร่ เค้าก็นำมาทดลองจับนู่นผสมนี่ จนสามารถนำมาปั้นขึ้นรูปของแท่งธูปได้ .. ใครสนใจอยากทำธูปหอมสมุนไพรด้วยตนเองค่าสอนคนละ 60 บาทเท่านั้น ..

วัตถุดิบหลัก

1. ไม้มะม่วงบด

2. ไม้จันทร์เหนียวบด

3. แกนในไม้ไผ่

4. สมุนไพรต่างๆ เช่น เปลือกส้ม ตะไคร้ มะกรูด ขมิ้น อยเชย สะเดา

5. องค์ประกอบอื่นๆ เช่น น้ำ สีผสมอาหาร น้ำมันตะไคร้

ขั้นตอนการผลิต

1. ล้างทำความสะอาดและบดสมุนไพรให้เป็นผงละเอียดด้วยเครื่องบดหรือตำครกหินก็ได้

2. นำส่วนผสมมาคลุกเคล้าให้เข้ากัน

3. ใส่น้ำนวดให้นุ่มมือและใส่สีอาหารลงไปเพื่อความสวยงาม

4. นำแกนไม้ไผ่ที่ตัดแต่งไว้เป็นแท่ง นำส่วนผสมที่คลุกแล้วมาปั้นให้เป็นแท่ง เหลือส่วนล่างไว้เล็กน้อย

5. นำไปตากแดดไว้ประมาณ 2-3 วัน ควรเป็นแดดอ่อนๆ รอให้ธูปแห้ง ห้ามไม่ให้นำไปตากไว้ที่แดดจัดเพราะจะทำให้ธูปแตกได้

6. หลังจากนนั้นนำเข้าตู้อบใช้อุณหภูมิประมาณ 100 องศาเซลเซียส ประมาณ 1 ชั่วโมง

7. บรรจุใส่ถุงจัดจำหน่าย

ธูปเล็ก จุดหมดแท่งประมาณ 45 นาที ธูปใหญ่ จุดหมดแท่งประมาณ 4 ชั่วโมง

การทำผ้ามัดย้อม สอนโดยกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรบางน้ำผึ้ง ที่เข้ามาอบรมวิชาชีพแล้วมาช่วยสอนนักท่องเที่ยวทำผ้ามัดย้อมกันค่ะ .. ก่อนอื่น เราต้องมาเลือกผ้าเลือกลายกันก่อน ผ้าจะมี 2 แบบให้เลือก คือ ผ้าผืนใหญ่ ราคา 120 บาท ผ้าผืนเล็ก(ครึ่งนึงของผืนใหญ่) ราคา 100 บาท เราเลือกผืนใหญ่เลยมาทั้งทีเนอะ ขอบอกก่อนว่า ไม่เคยทำผ้ามัดย้อมมาก่อนเลยค่ะนี่เป็นครั้งแรกเลย ..

ส่วนลายผ้ามีให้เลือกหลายแบบเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็น ลายธรรมดา ลายดอกไม้ ลายสามเหลี่ยม ลายก้นหอย มีหอยคู่ หอยเดี่ยว หอยลาย แยกไปด้วยนะคะ หรือายตามใจฉันก็มีเหมือนกัน เห็นมีคนทำลายหัวใจด้วย แต่เราเลือกลายหอยเดี่ยว (แอบถามครูที่สอนว่าลายไหนยากสุด ครูบอกว่า ลายก้นหอยเนี่ยแหละยากที่สุด แต่คนมักเลือกทำมากที่สุดด้วย) ผ้ามัดย้อมลายหอยเดี่ยวของเราจะออกมาเป็นยังไง มาดูไปพร้อมๆกันเล้ยยย ....

1. เอาตะเกียบวางตรงกึ่งกลางของผ้า แล้วค่อยๆหมุนจับจีบมาเรื่อยๆ (รูปที่ 1) จนรู้สึกว่าเวลาหมุนผ้าผ้าเริ่มฝืดแล้ว ก็ค่อยๆจัดระเบียบชายผ้าให้โค้งมาตามแนวจนหมดชาย (รูปที่ 2)2. ใช้หนังยางรัดผ้าที่เราหมุนแบ่งช่องเป็นช่องแบบ Pizza (รูปที่ 3) เราเลือกให้ช่องมี 5 ช่อง สีบนผ้าจะได้มี 5 สี (รูปที่ 4)

3. พอแบ่งช่องเสร็จแล้ว ค่อยๆดึงตะเกียบออก และเอาน้ำมาฉีดพรมๆเพื่อให้เวลาที่เราลงสีสีจะได้ซึมทั่วถึงกัน (รูปที่ 5)

4. แล้วเราก็จะไปลงสีกันค่ะ (รูปที่ 6)

สีที่ใช้จะเป็นสีมัดย้อม ทางกลุ่มผ้ามัดย้อมจะให้เราสวมถุงมือก่อนที่จะลงสี จุ่มชุ่มๆเลยสีจะได้ซึมทั่วถึงกัน ลงสีละช่องตามใจเราเลยค่ะ บนสีอะไรด้านล่างก็สีนั้น (จะมีคุณครูสอนประกบตอนเราลงสี สามารถขอคำแนะนำจากครูได้เลย) ..

สีที่ทางกลุ่มผ้ามัดย้อมมีให้มีด้วยกัน 5 เฉดสี คือ เหลือง ฟ้า น้ำเงิน ส้ม ชมพู ถ้าใครอยากได้สีอื่นต้องทาผสมกันเอง ตามทฤษฏีสีที่เราเคยเรียนมาเอามาประยุกต์ใช้ซะเลย เช่น สีน้ำเงินผสมสีชมพูจะได้สีม่วง สีน้ำเงินผสมสีเหลืองจะได้สีเขียว เป็นต้น

5. ลงสีให้ครบทั้งหมด ก็จะได้แบบรูปที่ 7 เลย สีที่เราเลือกสวยไหมๆ ^^


6. เมื่อเสร็จนำกระดาษทิชชู่มาห่อ (รูปที่ 8) แล้วกดๆให้สีซึมทั่วถึงกัน กระดาษทิชชู่จะช่วยดูดซึมสี สีจะสมูทมากขึ้น (รูปที่ 9)

7. ค่อยๆแกะกระดาษทิชชู่ออก (รูปที่ 10)

8. นำผลงานผ้ามัดย้อมของเราไปตากแดดให้แห้งค่ะ แดดจัดขนาดนี้แห้งเร็วแน่นอน

นี่แหละค่ะ ผลงานชิ้นเอกของเราเลย สุดยอด! ปรบมือรัวๆ ..

ปล.เมื่อถึงบ้านแล้วนำไปพึ่งลมในร่มสัก 2 วันนะคะ แล้วค่อยซักน้ำเปล่าสัก 2 ครั้ง เป็นอันเสร็จพิธี

เหตุการณ์สุดประทับใจ ตอนที่เรามาถึงบ้านธูปในตอนแรก เราได้รับการต้อนรับจากคุณลุงคนนึง (ลืมถามชื่อเลยค่ะ) คุณลุงให้การต้อนรับแขกผู้มาเยือนได้อย่างอบอุ่นมาก ในระหว่างที่เรารอผ้าแห้ง คุณลุงก็คอยบอกให้มาทานน้ำเย็นๆก่อน มีอะไรตรงไหนบ้าง กลัวเราจะร้อน คุณลุงพูดจาเพราะมากค่ะ พอเราทำกิจกรรมเสร็จเราจะไปต่อที่ตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง เราดูแผนที่แล้วงงๆ คุณลุงคนเดิมก็มาแนะนำให้ไปทางหลังบ้านจะใกล้และถึงเร็ว เมื่อบอกทางเสร็จสรรพเรียบร้อย เราก็ไปตามทางที่คุณลุงบอก พอเราถึงตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง ก็พบว่า คุณลุงปั่นจักรยานตามมาก คุณลุงมาส่งค่ะกลัวเราจะหลงทาง น่ารักมากๆเลย น้ำใจของคุณลุงเราจะไม่ลืมเลย ..


ตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง ตลาดนี้จะเปิดเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ นักท่องเที่ยวจะมาแวะพักทานมื้อกลางวันกันที่นี่ค่ะ มีผลิตภัณฑ์ของชุมชมมาขายหลายหลายให้เราเลือกซื้อเลือกทานกันได้เลย

ถ้ามาเดินช่วงเที่ยงๆ คนจะเยอะหน่อยนะคะ ถ้าบ่ายๆเย็นๆตลาดก็จะเริ่มวายแล้ว ..

มาเดินตลาดน้ำในหน้าร้อนอย่ากลัวร้อนนะ เรามีที่แนะนำให้นั่งพักคลายร้อนมาฝากกัน ร้านชื่อ เรือนนมสด เชิญชมและพักผ่อน ฟรี!

ที่นี่มี 'เมี่ยงคำ' ขายด้วยนะคะ .. ชุดเล็ก 20 บาท ชุดใหญ่ 30 บาท กลับบ้านชุดละ 35 บาท

กาแฟโบราณที่นี่ก็มีขาย น้ำดื่มแก้ดับกระหายที่นี่ก็มีขาย นั่งจิบน้ำเย็นๆในวันที่อากาศร้อนๆก็ชื่นใจดีนะ ราคาก็ไม่แพงด้วยค่ะ

บรรยากาศที่ร้านเป็นบ้านทรงไทย โดยใช้ใต้ถุนบ้านมาทำเป็นที่นั่งพักผ่อนให้กับนักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับบ้านโบราณ มีลมโกรกมาเบาๆ เหมาะสำหรับเป็นที่นั่งพักคลายร้อนได้ดีทีเดียวค่ะ

เอาล่ะค่ะ ! เมื่อพักพอหายเหนื่อยแล้ว เส้นทางต่อไปนี้ จะปั่นจักรยานกันยาวๆเลย .. สถานที่ต่อไปที่เราจะไปกันก็ คือ พิพิธภัณฑ์ปลากัดไทย ลุย! ออกจากตลาดมาทางตำบลกอบัวค่ะ ปั่นตามทางมาเรื่อยๆจะมีป้ายบอกเป็นระยะๆ ถ้าไม่แน่ใจถามชาวบ้านเท่านั้นดูได้ค่ะ เส้นทางปั่นค่อนข้างไกลพอสมควร อย่างที่บอกตอนแรก มีขาสั่น ปวดตูดเลย .. แต่มาแล้วก็ต้องมาให้สุดสิเน๊อะ ..

พิพิธภัณฑ์ปลากัดไทย ก่อตั้งขึ้นมาส่งเสริมด้านการท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ ในรูปแบบ 'พิพิธภัณฑ์เพื่อการเรียนรู้และการพักผ่อนหย่อนใจ' .. นักท่องเที่ยวจะได้ทราบประวัติความเป็นมาของปลากัดไทยและความสวยงามของปลากัดสายพันธุ์ต่างๆที่ได้จัดแสดงไว้ เช่น ปลากัดหางยาว ปลากัดหม้อ ปลากัดยักษ์ ปลากัดหางพระจันทร์เสี้ยว

สามารถเยี่ยมชมได้ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 10.00 น. - 17.00 น. .. ขี่จักรยานมาตามเส้นทางสวนสาธารณะศรีนครเขื่อนขันธ์พิพิธภัณฑ์จะอยู่เลยสวนสาธารณะไปหน่อยนึง ที่นี่ไม่เสียค่าชม แต่จะเป็นการบริจาคใส่กล่องตามกำลังศรัทธาค่ะ อย่าลืม แวะลงทะเบียนในสมุดเยี่ยมชมด้วยนะ รถจักรยานต้องจอดตรงพื้นที่ที่ทางพิพิธภัณฑ์จัดไว้ด้านหน้า แล้วเดินชมบรรยากาศรอบๆเอาค่ะ .. พิพิธภัณฑ์มีร้านกาแฟให้บริการ หลังจากปั่นจักรยานมาก็สามารถมาแวะจิบเครื่องดื่มให้หายเหนื่อยได้ด้วย

หลังจากพักให้หายเหนื่อยแล้ว เราก็ปั่นจักรยานย้อนกลับมาที่ สวนสาธารณะศรีนครเขื่อนขันธ์ กันค่ะ ...

สวนศรีนครเขื่อนขันธ์ เรียกสั้นๆว่า 'สวนศรี' ตอนเย็นๆจะมีคนมาเดินเล่น นั่งเล่นให้อาหารปลา ขี่จักรยาน ออกกำลังกาย ดูๆแล้วเหมือนสวนรถไฟหรือจตุจักรเลยค่ะ เปิดให้เข้าตั้งแต่ 05.00 น. - 19.00 น. ที่นี่ห้ามนำรถยนต์เข้า ซุ้มน้ำตรงสะพานทางเข้าจะมีจักรยานให้เช่าชั่วโมงละ 30 บาทค่ะ .. ใครนำรถส่วนตัวมาสามารถจอดและเช่าจักรยานจากที่นี่ได้เลย

ที่สวนศรีนี้มีแลนด์มาร์กด้วยนะ ถ้าดูตามแผนที่ของสวนศรีแล้ว ต้องไปจุดที่ 14 หอดูนก (เราขี่จักรยานวนอยู่หลายรอบมากหาไม่เจอสักที มีความบกพร่องเรื่องการดูแผนที่ ฮ่าๆ) แต่เราก็มาถึงหอดูนกนะ ..

หอดูนก มี 3 ชั้น พอขึ้นไปชั้นบนมองลงมาจะเป็นจุดถ่ายรูปที่เค้าฮิตกัน จนกลายเป็นแลนด์มาร์กของที่นี่ ใครมาที่นี่ต้องมาถ่ายกันแทบทุกราย ..

เราอยู่ที่นี่จนเย็นเลยค่ะ ยังไม่ได้ไป Bangkok Tree House เลย ขากลับเราเลยเร่งปั่นกลับอย่างเร็วจี๋ก่อนจะหมดแสง .. แต่ระหว่างทางกลับเราได้ผ่านฟาร์มเห็ดช่างแดง .. เห่ย เราชอบกินเห็ด เราอยากแวะอ่ะ นิสนึงเน๊อะ มาทั้งที แวะเลยค่ะ ^___^


ฟาร์มเห็ดช่างแดง เป็นแหล่งเรียนรู้การเพาะเห็ด ตั้งแต่วิธีการเพาะเชื้อ การเพาะเห็ด การดูแล เป็นต้น .. ที่นี่มีเห็ดหลายชนิดเลยค่ะ อาทิเช่น เห็ดหลินจือ เห็ดฮังการี เห็ดหิมาลัย เห็ดนางฟ้า .. มีผลิตภัณฑ์แปรรูปจากเห็ด เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ขายเป็นสินค้า OTOP ด้วยนะคะ มาแวะ ชม ชิม ช้อป กันที่นี่ได้เลยค่ะ ..

ฟาร์มเห็ดช่างแดงยังมีบริการทัวร์จักรยาน (BIKE TOUR) มีบริการคนนำทางพาเที่ยวด้วยจักรยานทุกมุม ตรอก ซอก ซอย รอบๆตลาดน้ำบางน้ำผึ้งและคุ้งบางกะเจ้า สามารถติดต่อพี่ปอนด์ ได้ที่เบอร์นี้เลย 084-082-1140 ราคาแล้วแต่จะตกลงกันนะคะ FB: PonponTourGreenZone หรือเพจ จักรยานธรรมดา แต่... พาไปทุกที่ กด like พี่ๆเค้าได้ พี่ๆค่อยข้างเป็นกันเองและคุยสนุกค่ะ .. สำหรับใครที่ชื่นชอบการรับประทานเห็ดที่นี่ก็เป็นร้านอาหารด้วยนะคะ เราฝากท้องมื้อเย็นไว้ที่นี่แหละ รายการอาหารทุกอย่างจะเกี่ยวกับเห็ดหมดเลยค่ะ (ไม่มีเนื้อสัตว์นะคะ เป็นอาหารเจ) .. เราสั่งมาลองทานกัน 3 อย่าง อร่อยทุกอย่างทานเกลี้ยงไม่เหลือ บอกเราชอบทานเห็ดจริงๆ ค่าเสียหายประมาณ 150 บาทกับสามเมนูค่ะ ^_^

เมนูแรก เห็ดชุบแป้งทอด แนะนำเลยค่ะ เมนูนี้ .. กรอบ เห็ดไม่เหนียวเลย อร่อย ปลาบปลื้ม ~

เมนูที่สอง ลาบเห็ด เมนูนี้สำหรับเรา เราเฉยๆนะ ทานได้ ทานหมดด้วย แต่แอบชอบเมนูแรกมากกว่า ^^

เมนูที่สาม วุ้นเห็ด เป็นของหวานที่ทานได้เพลินๆ เป็นวุ้นที่ด้านในมีเนื้อเห็ดก็แปลกไปอีกแบบ .. อิ่มแล้วสิ ตะวันก็จะลาไปแล้ว รีบปั่นให้ไวมุ่งหน้าสู่ Bangkok Tree House กันดีกว่าค่ะ ทันไหมๆ มาลุ้นกัน ..


Bangkok Tree House เรามาถึงที่นี่ก็ตะวันเกือบลับขอบฟ้าแล้ว .. Bangkok Tree House เป็นทั้งที่พักและร้านอาหาร เราไปถึงประมาณหกโมงเย็นร้านก็ปิดแล้วค่ะ เหลือแต่แขกที่มาเข้าพัก .. ที่นี่ตกแต่งอย่างมีสไตล์ เป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยวที่ชอบถ่ายรูป มีมุมเก๋ๆหลายมุม สามารถเข้ามาเดินเล่น ชมสถานที่ หรือแวะพักนั่งทานอะไรเล่นก็เข้ามาได้เลยค่ะ แต่อาหารแอบแพงนิดนึงนะสำหรับเรา .. อร่อยไม่อร่อยลองมาพิสูจน์นะ เราพิสูจน์ไม่ทันมั่วแต่ฝอยอยู่ที่อื่น ^^ ได้แต่ถ่ายรูปเก็บบรรยากาศรอบๆมาฝากเพื่อนๆจ๊ะ

ปล. ขอบคุณภาพจากกล้อง SONY A5000 และ Iphone 6S ที่ทำให้เราได้ภาพสวยๆตลอดทริปนี้
(รูปทั้งหมดไม่ผ่านการแต่งใดๆทั้งสิ้น อยากให้รูปออกมาสดจริง ตามคุณภาพของกล้อง)

ขอบคุณทุกๆคนที่ติดตาม หากผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย ยินดีน้อมรับทุกคำติชม
ขอบคุณแป้งฟักคู่รักนักเดินทางผู้ร่วมทางไปกับเราในครั้งนี้และเป็นผู้ถ่ายภาพให้ในทริปนี้

.. เจอกันเดินทางครั้งต่อไป ..

In My Eye

 วันพฤหัสที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 22.56 น.

ความคิดเห็น