หลีเป๊ะ เกาะเล็กๆที่อยู่ทางฝั่งทะเลอันดามันและเป็นเกาะสุดท้ายท้ายสุดที่อยู่ในเขตประเทศไทย...


     ประเทศไทยเป็นที่ขึ้นชื่อในด้านการท่องเที่ยวมากมาย รายได้หลักๆของประเทศก็มาจากภาคการท่องเที่ยว และสถานที่ ที่ชาวต่างชาติชอบมาเที่ยวก็คือทรัพยกรทางธรรมชาติในบ้านเราอันอุดมสมบูรณ์ หนึ่งในนั้นก็คือเกาะหลีเป๊ะ เกาะเล็กๆที่อยู่ในความดูแลของ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะลุเตา และเป็นเกาะที่อยู่สุดท้ายของประเทศไทยในฝั่งอันดามันเลยทีเดียว... เอาล่ะ เราลองมาหาข้อมูลเที่ยวเกาะนี้กันดีกว่า....


   เกาะหลีเป๊ะ นั้นห่างจากฝั่งราว 85 กิโลเมตร อยู่ในเขต จ.สตูล ซึ่งอยู่ภาคใต้ฝั่งตะวันตก เขตพื้นที่ด้านบนติดกับ จ.ตรัง ด้านตะวันออกติดกับ จ.สงขลา  ฉนั้นการเดินทาง ส่วนมากเลือกที่จะใช้บริการเครื่องบินซะมากกว่า ด้วยหนทางที่ยาวไกล นั่งเครื่องไปลง หาดใหญ่ดีกว่า  เราลองหาข้อมูลเที่ยวเกาะหลีเป๊ะดูแล้ว ทริปที่เป็นพื้นฐานเลยคือ ไป3วัน2คืน โดยวันแรกก็นั่งเรือมาเกาะหลีเป๊ะ ถึงแล้วพักผ่อน ทานอาหาร เดินเล่น รับบรรยากาศค่ำคืน วันรุ่งขึ้นไปดำน้ำ กลับมาพักที่เกาะ ชมวิวกลางคืนได้อีกคืน อีกวันตื่นมาเก็บของกลับ อยู่ที่รายละเอียดปลีกย่อยว่าจะจัดสรรเวลาไปทำอะไรบ้าง หลักๆประมาณนี้ ทีนี้พอรู้คร่าวๆแล้วว่า โปรแกรมเที่ยวจะประมาณนี้ จึงมองหาที่พัก ที่พักที่นั่นมีหลากหลายราคามาก ไล่ตั้งแต่โฮสเทลแบบนอนรวม ห้องน้ำรวม ยันโรงแรมหรู อยู่ที่งบประมาณที่พร้อมจะพึงจ่ายได้ 

   เมื่อลองคำนวนค่าใช้จ่ายต่อหัวไล่ตั้งแต่ค่าเรื่อไป-กลับเกาะ ค่าที่พัก ค่าเรือดำน้ำ จองเป็นแพคเกจ จะคุ้มกว่าซื้อแยกหรือไปซื้อหน้างานนะครับ  เราสอบถามไปหลายเจ้ามาเจอเจ้านี้ "เที่ยวสนุกทัวร์แอนด์ทราเวล" ให้ข้อมูลได้ไว ดูน่าเชื่อถือและที่สำคัญ ถูกกว่าเจ้าอื่นๆที่สอบถามมา เราเลยตกลงปรงใจ จองทริปนี้กะเจ้านี้แล้วกัน 3วัน2คืน พักที่ บันดาหยารีสอร์ท คนละ 3,091 บาท รวมค่าเรือไป-กลับเกาะ ค่าที่พักสองคืน ค่าเรือไปดำน้ำ อาหาร 3 มื้อ(เช้าที่โรงแรม2มื้อ ที่เรือวันดำน้ำ1มื้อ)


    เราขับรถไปเองครับ เพราะระหว่างการเดินทาง ข้างทางก็สำคัญเสมอ ขับเหนื่อยแหละแต่สนุกดี  เปิดจีพีเอสมุ่งหน้าท่าเรือปากบาราเลยครับ ทางสบายแต่ไกลและเมื่อย555 ถึงสตูลเช้าแวะทานอาหารเช้าตามท้องถิ่นร้านนี้ก่อนเลยครับ

    ผู้คนส่วนใหญ่ที่นั่นนับถือศาสนาอิสลามครับ เห็นร้านนี้ชาวบ้านมาจอดซื้อไก่ทอดกัน เราก็ลองเข้าไปดู ก็มีข้าวแกงขายด้วย เลยสั่งข้าวราดแกง แล้วก็ไก่ทอด ไก่ทอดอร่อย แต่ข้าวแกงผมว่ายังสู้ทางฝั่งนครฯกับสุราษฯไม่ได้ 

   จากร้านเมื่อสักครู่ขับมาร้อยเมตร เราก็เอารถไปฝากไว้ที่จอดรถ โชคสมุทร ค่าจอดรถวันละ100 สามวันสามร้อยครับ...ที่จอดมีหลังคา มีคนเฝ้า กล้องวงจรปิด รั้วกำแพงล้อมรอบ   

ว่าแต่เอ้..ตังค์ไปไหนน้าาา....

    จากที่จอดรถ คนรับฝากรถก็พาเรานั่งรถมอไซค์พ่วงข้างมาส่งยังที่ที่เราจองทริปมา เพื่อไปจ่ายตังค์ส่วนที่เหลือและรับเอกสารการเดินทาง ไม่ไกลประมาณร้อยเมตร ติดต่อเสร็จก็เดินข้ามถนนมาหน่อยนึงและตรงนี้จะเป็นศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เดินเข้าไปก็เป็นท่าเรือปากบารา 

     ที่จริงเรามาถึงเรือเที่ยวแรกด้วย 09.30 น.แต่ไม่อยากรีบ มองดูผู้คนทยอยลงเรือเที่ยวแรกกัน เราไปรอบ 11.30 ดีกว่า ได้แวะจอดสองที่ เกาะตะรุเตากับเกาะไข่ รอบแรกเขาไม่แวะ...

     พอจะมีเวลาให้เดินเล่นรอบๆท่าเรืออยู่

    เรือสปี๊ดโบ๊ทกำลังเครื่อง250สามตัว พุ่งทยานออกจากท่าใช้เวลาไม่กี่สิบนาทีก็ถึงจุดแวะแรกคือ เกาะตะลุเตา ซึ่งเคยเป็นทัณฑสถานกักกันนักโทษตั้งแต่เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2481 เคยมีการกักกันนักโทษมากถึง 4,000 คน ต่อมาในปี พ.ศ.2516 ได้มีการประกาศให้เป็นอุธยานแห่งชาติตะรุเตา

   น้ำใส ทรายขาว แดดเผาดีฉิบหายเลย5555

   นี่เลย เรามีพาสปอร์ตของกรมอุทยานแห่งชาติด้วย เอามาปั้มสักหน่อย 

   จากเกาะตะรุเตา เขาจะให้แวะถ่ายรูปเข้าห้องน้ำได้ประมาณ15นาที มีร้านค้าสวัสดิการด้วยนะ แล้วก็นั่งเรือต่อมาอีกสักยี่สิบนาทีก็มาจุดจอดแวะที่สองคือเกาะไข่ 

     เออนี่..นางพันธุรัตน์ นี่หว่า...

   นักท่องเที่ยวก็แวะถ่ายรูปตรงจุดนี้กันเนี่ยแหละ

  จุดนี้ก็จอดให้แวะถ่ายรูปได้15นาที ไม่มีห้องน้ำหรือร้านค้าแต่อย่างใดนะครับ

  คราวนี้ก็นั่งเรือต่อมาเกือบๆครึ่งชั่วโมง จนเรือมาจอดเทียบท่าเป็นทุ่นลอยน้ำ ตรงหน้าหาดพัทยา มีเจ้าหน้าที่ของรีสอร์ทต่างๆมารอรับ คอยสั่งเกตุเอา ของเราพักที่ "บันดาหยา"  พอเจอเจ้าหน้าที่เราก็เข้าไปหาเลย เขาก็ติ๊กชื่อในใบจอง แล้วก็ให้ร่มเรามา เรารอรับกระเป๋าสักครู่แล้วเจ้าหน้าที่จะขนกระเป๋าไปยังที่พักให้

ทำการเช็คอินเรียบร้อย พนง.ขนกระเป๋าพาไปยังห้องพัก เราเก็บของเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วไปหาไรกินและไปเล่นน้ำดีกว่า...

    ข้าวกลางวันมื้อนี้เป็นมื้อที่ไม่อร่อยเลย ข้าวผัดปูจานนี้ 150 ปูก็ไม่สดมีกลิ่น รสชาดเพี้ยนเลย ร้านนี้มีส้มตำด้วย จานละร้อย ข้าวเหนียวสามสิบ(ปริมาณเท่ากับ5บาทร้านหมูปิ้งอ่ะ) ไม่ได้ถ่ายรูปไว้ ร้านอยู่กลางๆซอยวอล์คกิ้งสตรีทค่อนไปทางด้านหน้า 

   เราเลือกที่จะไปเล่นน้ำบริเวณหาดซันไรซ์ เมื่อเดินไปทางซ้ายสุดของหาด จะเห็นวิวพระอาทิตย์ตกลับขอบฟ้าลงทะเล สวยไปอีกแบบ และขณะที่เรามาเล่นน้ำ ระหว่างเกาะหลีเป๊ะถึงเกาะอาดัง น้ำลงพอดี จึงเห็นเป็นสันทรายสีขาวโผล่อยู่กลางน้ำ บอกได้ว่าอย่างเหมาะ... เราก็ว่ายก็เดินไปเกาะกลางแหละ

 จะรู้มั้ยว่าเดินลงมาแค่เอวจากหาดซันไรซ์ ในช่วงน้ำลง จะพบกับดอกไม้ทะเล ปะการัง หอยเม่น และเหล่าปลาที่แฝงตัวอยู่ดงดอกไม้ทะเล

  ไม่ได้โม้ นีโม่ก็มา  รูปแคปเจอร์จากไฟล์วีดีโอของ gopro hero 8 มานะครับ  เล่นน้ำจนหกโมงแล้วน้ำเริ่มขึ้น เลยต้องว่ายกลับเข้าฝั่ง ขาไปเท่าเอวขากลับจะถึงคออยู่แล้ว5555

  กลับที่พักอาบน้ำเรียบร้อย ลงมาเดินหน้าหาด จากที่พักเรา ลงมาก็จะเรียงรายไปด้วยร้านอาหารนั่งกินดื่มมากมายยาวตลอดแนวหาดพัทยาเลย

  เราเดินไปท้ายซอย walking street เลยแยกที่เป็นเซเว่นที่สอง ตรงไป นั่งกินก๋วยเตี๋ยวเนื้อชามละ70 ถือว่าอร่อยใช้ได้เลย  เดินกลับมากลางซอยก็พบกับป้าร้านหนึ่ง ยืนอยู่หน้าร้านคอยเรียกลูกค้า ก็เลยเข้ามาดูเพราะมีเมนูหลากหลายดี อาหารตามสั่ง ซีฟู๊ด น้ำผลไม้ โรตี เรียกได้ว่ามีครบ เลยสั่งโรตีมากินเล่น พร้อมกับข้าวสักสองอย่างใส่ถุงไว้ไปกินที่ห้องแกล้มเบียร์

   เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากทานอาหารเช้าที่โรงแรมแล้ว เราก็ไปดำน้ำกัน ขอบอกว่าอาหารที่โรงแรมมีเยอะมาก เรียกได้ว่ากินไปขี้ไปเลยแล้วกัน...คุ้มทีเดียวเชียว  เรือมารับเรา9โมงตรง และที่ลงเรือลำเดียวกับเราก็มีทั้งหมดรวมเราด้วย9ชีวิต เรือชื่อว่า โชคบูรพล9  งวดนี้9มาแน่...

  ไต๋เรือพาไปลงจุดแรก ล่องน้ำจาบัง ที่ที่มีปะการัง7สี แต่ทว่า น้ำแรง ลึกและขุ่น ลงไปเกาะเชือกก้มดูแปปเดียว ไต๋แนะนำให้ไปดีกว่า เจอปลาฝูงใหญ่อยู่ฝูงนึงจะกัดกูมั้ยเนี่ย

   ปลาไรวะ ตัวยาวเชียว...

  ไปกันต่อจุดจอดที่สองของด้านหลังเกาะหินงาม 

   เกาะหินงาม หินแม่งงามจริง เวลาโดนน้ำแล้ว หินมันจะดำๆเลื่อมๆสะท้อนน้ำสะท้อนแดดสวยเลย ห้ามเก็บหินห้ามเรียงหินนะครับมีเจ้าหน้าที่เฝ้าอยู่

  หลังจากนั้นก็ไปจุดจอดที่สามเกาะไรไม่รู้ ลืมชื่อ มีปะการังผักกาดเยอะอยู่ แล้วก็มีชายหาดขนาดย่อมๆ อยู่นิดนึง ซึ่งเรือจะจอดอยู่นอกฝั่ง เราก็ว่ายเข้าไปเอง

จุดจอดที่สี่ เกาะราวี เรือจะแวะให้เราทานข้าวที่นี่ เรือมีข้าวกล่องน้ำดื่มให้ บนเกาะมีร้านค้า ห้องน้ำ ระหว่างทานอาหารระวังลิงด้วยนะครับ มันจ้องเราอยู่บนต้นไม้ตลอด ใครวางขนมเผลอไว้ มันมาหยิบหนีขึ้นต้นไม้เอาได้ง่ายๆเลยนะ หน้าหาดเป็นทรายขาวลงไปหน่อยก็เป็นปะการัง ดำดูหน้าหาดได้เลย

     และจุดจอดสุดท้ายที่ห้า เกาะอาดัง ใช้เวลาที่นี่อยู่นาน ขึ้นเรือมามีผลไม้ให้ทานล้างคอด้วย

     ยัง ยังไม่พอกลับมายังมาลงน้ำสระอีก...

 จากวอล์คกิ้งสตรีทถึงแยกเซเว่นที่สอง เลี้ยวขวาไปหน่อยร้านจะอยู่ซ้ายมือ เห็นชาวบ้าน คนทำงานที่นี่มายืนซื้อกันเราเลยซื้อมั่ง เอ้ย..ไม่แพงนี่หว่าไม้ละสิบบาทยี่สิบบาท ข้าวเหนียวสิบบาท(ถูกกว่าร้านแรกก็โอเคแล้ว555)เลยสั่งทั้งเนื้อและไก่ย่าง มองดูในร้านเห็นมีโต๊ะเก้าอี้ เลยสอบถามปรากฎว่ามีอาหารตามสั่งและก๋วยเตี๋ยวด้วย เอาเลยจากใส่ถุงไม่ต้องแล้วพี่ใส่จานมาเลยนั่งกินนี่แหละ สั่งข้าวสั่งก๋วยเตี๋ยวมาอีกทีนี้  ไม่ได้ถ่ายรูปกินอย่างเดียว 

  ตบท้ายคืนนี้ มาเอาบรรยากาศริมทะเล สักหน่อย

"เสียงคลื่น ซัดสาด มองเห็นไกลสุดขอบฟ้า มีทะเลทุกเวลา แต่บางทีไม่มีเธอ" หรือจะ "คืนนี้จันทร์นวลผ่องมองแล้วคิดถึงแต่เธอ ตัวฉันยืนมองเหม่อถามว่าเธออยู่ที่ใด"

  เช้าวันรุ่งขึ้น ทานอาหารเช้าเสร็จ เก็บของเช็คเอ้าท์ เดินมาท่าเรือ รอบ 11.00 น. กลับเข้าฝั่งแล้วจ้า...

***อัพเดทคลิปมาให้ชมกันแล้วนะครับ***



   ทริปนี้เป็นทริปกระทันหันมาก สืบเนื่องจากตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว อยากไปเที่ยว ญาจางประเทศเวียดนาม ไปเล่นน้ำ ไปเล่นเครื่องเล่น ไปกินซีฟู๊ดที่เขาว่ากันว่าถูกกว่าไทยเป็นไหนไหน  ก็เลยจองตั๋วเครื่องบินแต่เนิ่นๆ เอาวันที่ 9-11 มีนาคม63 ไปเลย ได้มีเวลาเก็บตัวเก็บตังค์เตรียมความพร้อมไปเที่ยว.. แต่แล้วอะไรก็เกิดขึ้นได้ COVID-19 กระช่อนไปทั่วโลก ถึงแม้เวียดนามจะมีผู้ติดเชื้อน้อย รัฐบาลไม่ได้ประกาศให้เป็นประเทศเสี่ยง แต่นโยบายบริษัทที่ทำงานใครไปประเทศที่มีผู้ติดเชื้อ กลับมาก็ต้องกักตัวเองก่อนโดยใช้วันลาพักร้อนหรือหักเงิน ไอครั้นจะไปก็ไม่สบายใจพว้าพะวง สายการบินก็ไม่ยกเลิกเที่ยวบินหรือคืนเงินให้เพราะรัฐบาลไม่ได้บอกว่าเวียดนามเป็นประเทศสุ่มเสี่ยง สุดท้ายเราก็ต้องยอมทิ้งตั๋วเครื่องบินนั้นไป...

     ในเมื่อลางานไว้แล้วนี่ อย่าให้เสียฟิวส์ หาที่เที่ยวในประเทศก็ได้วะ จึงเป็นที่มาของทริปหนี โควิด จากต่างประเทศ ที่จริงก็ไม่ได้หนีหรอก บ้านเราเสี่ยงกว่าบ้านเค้าอีก แต่เที่ยวในประเทศก็ได้ อย่างน้อยบริษัทก็ยังไม่ห้าม5555 

     สุดท้ายบางอย่างอาจไม่ต้องการความพร้อมร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ได้ จะลงมือทำอะไรรอให้พร้อม หรือลงมือทำเลยทั้งๆที่ยังไม่พร้อมอาจได้ผลที่ดีกว่ามัวแต่รอเวลาให้พร้อมจนมันอาจล่วงเลยเวลาที่เหมาะสมไปแล้วก็ได้... 


แพคเกจ 3วัน2 คืน จาก "เที่ยวสนุกทัวร์แอนด์ทราเวล"

พักทั้งสองคืนที่ "บันดาหยา รีสอร์ท"


++++ เผื่อมีอะไรไถ่ถาม ฝากติดตามเพจด้วยนะคุณที่รัก ++++

https://www.facebook.com/travel1night2days

Sikhorn Palanan

 วันอาทิตย์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2563 เวลา 02.12 น.

ความคิดเห็น