ท่ามกลางสถานการณ์ฝุ่นควันพิษ PM 2.5 แตะระดับ 300-400 มคก./ลบ.ม.
ซึ่งทะลุค่ามาตราฐานไป 7 เท่า !
ส่งผลให้สภาพอากาศในเชียงรายเข้าขั้นอันตราย !!
และผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19
ที่ขยายวงกว้างไปทั่วโลกและทั่วประเทศไทย
ผู้คนหวาดวิตกจนไม่รู้จะเดินหน้าไปทางใด ทั้งเรื่องสุขภาพกาย สุขภาพใจ
และสภาพติดขัดของเศรษฐกิจ
มู้ด แอนด์ โทน รอบตัวเป็นสีขะมุกขมัว
แต่ชีวิตยังต้องการแรงบันดาลใจจากอะไรบางอย่าง
เพื่อต่อลมหายใจแห่งความหวัง …
ในช่วงต้นเดือนมีนาคม 2020 ก่อนที่อาจจะมีการ ‘ล็อกดาวน์’
ผมได้ตัดสินใจออกเดินทางอีกครั้ง ...
เป็นการเดินทางเพื่อ ‘ตามรอยกินรี’ ไปที่จังหวัดเชียงราย
เพราะส่วนหนึ่งในนิยามและความหมาย การเดินทางท่องเที่ยวของผม
คือ การได้เรียนรู้ และเข้าใจสิ่งที่เป็นไปด้วยตัวเอง
ในช่วงเวลาแบบนี้ เราคงได้พบเจอเรื่องราวมากมาย
จากการเดินทางทริปนี้ …
..........
ปกติผมเดินทางภายในประเทศด้วยสายการบินราคาประหยัด
ที่บินจากสนามบินดอนเมือง
แต่ทริปนี้ เที่ยวบินที่จะพาพวกเราเดินทาง
จากกรุงเทพ สู่เชียงราย เป็นเที่ยวบินช่วงเช้ามืด
ของสายการบินเวียดเจ็ท ซึ่งเทคออฟจากสุวรรณภูมิ
อาจเป็นเพราะเวลาที่ยังเช้าอยู่ หรืออาจเพราะสถานการณ์โควิด-19
ผู้คนในสุวรรณภูมิดูบางตาจนแปลกตา
อย่างไรก็ตาม เที่ยวบินของพวกเรา ซึ่งมีผู้โดยสารอยู่เต็มลำ
ออกบินตรงเวลา ไม่มีดีเลย์
และลงจอดตามกำหนดการที่ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย
หลังแวะกินข้าว ดื่มกาแฟแบบเบาๆ
พวกเราก็ไปแวะไปสำรวจบรรยากาศในเชียงรายที่แรก คือ วัดห้วยปลากั้ง
ซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขาในตำบลริมกก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย
โดยมีสถาปัตยกรรมผสมผสานแบบจีนและล้านนา
หนึ่งในไฮไลท์วัดแห่งนี้ คือ รูปปั้นองค์เจ้าแม่กวนอิมขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
ซึ่งมีความสูงประมาณ 79 เมตร หรือเทียบเท่ากับตึกสูง 25-26 ชั้น
จากบริเวณลานจอดรถไปที่รูปปั้น สามารถที่จะเดินไปหรือจะนั่งรถที่ทางวัดจัดไว้ก็ได้
วันนี้ผู้มาเยี่ยมชมที่วัดน้อยมาก ซึ่งหากพิจารณาจากขนาดของลานจอดรถ
ผมคาดเดาดูว่า หากเป็นช่วงก่อนการระบาดของโควิด-19
บริเวณวัดน่าจะมีนักท่องเที่ยวชาวจีน และชาวไทยมาเที่ยวชมมากกว่านี้
จากวัดห้วยปลากั้ง พวกเราออกเดินทางไปยังจุดหมายที่สอง
คือ วัดร่องเสือเต้น ซึ่งอยู่ห่างกันราวๆ 6-7 กม.
หากให้พูดถึงแลนด์มาร์คเชิงศิลปะคู่แผ่นดิน ในจังหวัดเชียงราย
เราอาจนึกถึงพิพิธภัณฑ์บ้านดำของอาจารย์ถวัลย์ และวัดร่องขุ่นของอาจารย์เฉลิมชัย
แต่ราวๆ 4 ปีที่ผ่านมา เกิดสถาปัตยกรรมแห่งใหม่ที่น่าสะดุดตาขึ้นมาในเชียงราย
นั่นก็คือ วัดร่องเสือเต้น แห่งนี้
ซึ่งสร้างและออกแบบโดย อาจารย์พุทธา กาบแก้ว หรือสล่านก ศิลปินพื้นบ้านชาวเชียงราย
ผู้เป็นลูกศิษย์ช่วยงานสร้างวัดร่องขุ่นของอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ จนได้ซึมซับ
ศิลปะแนวพุทธศิลป์จากอาจารย์เฉลิมชัย มาประยุกต์สร้างวิหารวัดร่องเสือเต้นขึ้น
โดยออกแบบมีเฉดสีน้ำเงินฟ้าตัดสีทอง จนโดดเด่นมีเอกลักษณ์
เป็นจุดหมายที่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ ต่างอยากมาเห็นด้วยตาตัวเอง
จากวัดร่องเสือเต้น ขยับต่อเข้ามาถึงใจกลางเมือง ที่วัดพระแก้วเชียงราย
ซึ่งเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองของคนเชียงราย โดยเป็นวัดที่ค้นพบพระแก้วมรกต
ก่อนที่จะย้ายมาประดิษฐานอยู่ ที่วัดพระแก้ว กรุงเทพฯ ในปัจจุบัน
จากการเดินทางไปเยี่ยมชมวัดสำคัญทั้งสามแห่ง
ผมได้มีโอกาสพูดคุยสอบถามนักท่องเที่ยวต่างชาติ
ถึงความรู้สึกของพวกเขาต่อสถานการณ์ระบาดของเชื้อโควิด-19
(เป็นช่วงเวลาก่อนการระบาดใหญ่ในยุโรป)
ซึ่งนักท่องเที่ยวได้พูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แสดงความรู้สึกมั่นใจ
ในการเดินทางมาเที่ยวที่จังหวัดเชียงราย และมีความประทับใจในสถาปัตยกรรม
วัฒนธรรม อาหารประจำถิ่น และความเป็นมิตรของผู้คนจังหวัดเชียงราย
รวมถึงจังหวัดอื่นๆ ที่พวกเขาได้ไปเที่ยวมา
ในฐานะคนไทย ได้ยินแบบนี้ รู้สึกภูมิใจและมีความหวัง
ในการกอบกู้การท่องเที่ยวไทย หลังจากวิกฤตครั้งนี้
เผลอแป๊บเดียว เวลาเดินทางมาถึงช่วงเที่ยง ตรงเวลากับที่เสียงท้องเริ่มร้องส่งเสียง
ทริปนี้พวกเราเช็คอินเข้าพักที่ โรงแรม เดอะ ริเวอร์รี บาย กะตะธานี
หลังจากเก็บกระเป๋าเสร็จ ก็รีบตรงไปที่ห้องอาหาร ไชน่า การ์เดนท์ ซึ่งได้ยินชื่อเสียงมานาน
ถึงรสชาติเลิศรส ของสูตรลับอาหารจีนต้นตำรับกวางตุ้ง
และติ่มซำกว่า 20 รายการที่ทำสดใหม่ทุกวัน
มาถึงแล้วจะรอช้าอยู่ทำไม รีบลิ้มลองพิสูจน์รสกันเลยดีกว่า
ว่ากันว่า ‘อาหารเลิศรสคือบ่อเกิดแห่งความสุข’
เป็นประโยคที่จริงแท้ปฏิเสธไม่ได้ โดยเฉพาะเวลานี้
ที่ติ่มซำเนื้อแน่น และของหวานตบท้าย
อย่างเนื้อพุทราจีนทอดนอนเรียงราย อยู่ในท้องเรียบร้อยแล้ว …
หลังจากอิ่มท้องกับอาหารจีนรสเลิศในมื้อเที่ยงกันแล้ว ก็ถึงเวลาออกเที่ยวกันต่อ
จากธุรกิจการเกษตร ในนามเดิม ‘ไร่บุญรอด’
เพื่อส่งเสริมการเพาะปลูกข้าวบาร์เลย์ ในภาคเหนือตอนบน
สู่การเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์เพื่อการเรียนรู้ และส่งเสริมรายได้
ในนาม ‘สิงห์ปาร์ค (Singha Park) เชียงราย’
จนถึงรางวัล ‘กินรี’ อุตสาหกรรมท่องเที่ยว (Thailand Tourism Awards) ประจำปี 2562
ประเภทแหล่งท่องเที่ยวเพื่อการเรียนรู้ จากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
วันนี้ จึงเป็นโอกาสดีที่เราจะได้เรียนรู้แนวคิดและหลักการดำเนินงาน
ของภาคธุรกิจที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
ในแบบฉบับของสิงห์ปาร์คด้วยกัน
แต่ก่อนที่จะไปนั่งรถฟาร์มชมวิว ผมขอแวะไปลองชิมชาที่ร้านเปิดใหม่ ‘ร้านชาไทย’
ที่อยู่ตรงจุดชมวิวไร่ชากันก่อน
ถ้ามีเวลาทั้งวัน ก็อยู่ที่นี่ได้นะ บรรยากาศดีจริงๆ
แต่รถฟาร์มทัวร์กำลังจะออกแล้ว แดดร่มลมตก ท้องฟ้าจะเข้าสู่ช่วงเวลาชั่วโมงสีทอง
อย่ารีรออยู่เลย !
จุดแรกแวะไปทักทาย น้องยีราฟกับน้องม้าลาย กันก่อน
เจ้าหน้าที่บอกว่า ก่อน 5 เย็นโมงพวกน้องๆ ก็จะกลับเข้าบ้านกันแล้ว
นึกถึงเด็กๆ ที่ได้มาเที่ยวที่นี้ คงมีความสุขมาก
ที่ได้อยู่ใกล้ๆ ยีราฟ ม้าลาย ม้าโพนี่ และวัววาตูซี่ แบบนี้
ขอบคุณที่เดินทางไกล มาให้พวกเราได้เห็นใกล้ๆ นะ
ถัดจากจุดชมชีวิตสัตว์ เราไปชมแปลงผักออแกนิคกัน
ไม่รู้ว่าคุณจะชอบดูแปลงผักหรือเปล่า แต่ผมว่ามันดูแล้วสบายใจนะ
ยิ่งวิวรอบๆ สวยมากขนาดนี้ รีแลกซ์ได้มากเลย
รถฟาร์มพาพวกเรามาจอดที่ไร่ชาอู่หลง เพื่อให้เราได้ชิมชา และลงไปเก็บใบชา
ซึ่งแน่นอนว่าต้องไม่ลืมกดชัตเตอร์เก็บภาพสวยๆ แน่นอน
เพราะวิวรอบกายตอนนี้ สวยงามจริงๆ ครับ
แม้ทุกสิ่งอย่างจะวุ่นวาย โกลาหลเพียงใด แต่ธรรมชาติก็ไม่เคยจะเร่งรีบ
เมื่อเราได้อยู่กับธรรมชาติ จงเรียนรู้จักความสงบ
ใช้ความสงบเพื่อพบเห็นโลกที่งดงามอย่างแท้จริง
เรียนรู้ชีวิตจากพืชพันธุ์และสรรพสัตว์ และเรียนรู้จักตัวตน และคนรอบข้าง
ซึ่งนั่นคงทำให้ชีวิตมีความสุขขึ้นอีกเยอะเลย …
แสงอาทิตย์สุดท้ายของวัน กำลังจะลาลับขอบฟ้า
รถฟาร์มทัวร์ของพวกเรามาจอดที่ Zipline Tower และกิจกรรมการเรียนรู้ฐานสุดท้าย
ซึ่งไม่ควรพลาดเลย นั่นก็คือ การโหนสลิง ซิปไลน์จากหอสูง 9 ชั้น !!
ยิ่งสูง ใจยิ่งสั่นไหว แต่พอได้ร้องตะโกนออกมา มันส์สะใจจริงๆ !!
แสงอาทิตย์ลับจากฟ้าแล้ว พวกเราลงรถที่จุดจอดหน้าร้านอาหารภูภิรมย์
ปิดท้ายการเดินทางที่น่าอภิรมย์ในวันนี้ ด้วยบรรยากาศริมระเบียงชมวิวกลางคืนกลางไร่
และอาหารรสเลิศ ซึ่งพวกเราสั่งกันมาลิ้มลองเต็มที่ ทั้งผัดหมี่ สลัด ยอดใบชาทอดกรอบ
และเห็ดทอดกรอบ รวมถึงไก่ย่างภูภิรมย์ และที่ขาดไม่ได้คือ ขาหมูเยอรมันจานเด็ด
เรียกว่าจัดเต็มแทบจะทุกเมนูแนะนำ อิ่มอร่อยประทับใจไม่รู้ลืม
มากินข้าวในบรรยากาศกลางไร่แบบนี้ ที่ขาดไม่ได้คือดนตรีโฟล์คซอง
และที่นี้มีวงทริโอ เครื่องดนตรี 3 ชิ้น ซึ่งบรรเลงได้หมดทั้งเพลงรุ่นเก่า รุ่นใหม่
ทั้งไทยและสากล รวมถึงโฟล์คซองคำเมืองซึ่งขาดไม่ได้แน่นอน
อาหารดีๆ บรรยกาศดีๆ แบบนี้ สามารถไปพักผ่อนกันได้แบบครอบครัวเลยครับ
..........
เช้าแล้ววันใหม่ ตื่นมาพบอากาศกำลังดีเลยครับ
วันนี้มีกิจกรรมอีกเพียบรออยู่ งั้นก็อย่าช้า ลงไปเติมพลังงานด้วยอาหารเช้ากันเลย
ที่โรงแรม เดอะ ริเวอร์รี มีห้องอาหารชื่อว่า Blossom ซึ่งให้บริการทั้งอาหารเช้า
แบบบุฟเฟต์นานาชาติ รวมถึงอาหารกลางวันแบบล้านนา และอาหารเย็นแบบนานาชาติอีกด้วย
สิ่งที่ผมประทับใจตั้งแต่เดินเข้ามาในห้องอาหาร คือการออกแบบและตกแต่งภายใน
ด้วยคอนเซ็ปท์ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากสีสันของดอกไม้ในภาคเหนือ
รวมถึงกระจกใสบานใหญ่ ทำให้เรามองออกไปเห็นแม่น้ำกก และวิวดอกไม้ยามเช้าที่สดใส
หากในยามเช้า ได้ทานอาหารดีๆ ท่ามกลางบรรยากาศที่สวยงาม
ก็จะทำให้ทั้งวันที่เหลือเป็นอีกวันที่ดีของเราเลย …
จากโรงแรม พวกเรามุ่งหน้าไปทางทิศเหนือสู่อำเภอแม่สาย โดยจะใช้เวลาเดินทาง
ประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ก็ไม่นานเกินไป
เดี๋ยวแวะชิลร้านกาแฟสวยๆ ระหว่างทางสักหน่อยดีกว่าเนาะ
ร้านนี้ชื่อ Parabola อำเภอแม่จันครับ
ส่วนมากพอบอกว่าไปแม่สาย ก็จะนึกถึงตลาดเหนือสุดแดนสยาม แม่สาย-พม่า ใช่มั้ยครับ?
แต่รอบนี้พวกเราไม่ได้ไปช็อปปิ้งที่ตลาดพรมแดนนะครับ
ทริปตามรอยกินรี ทริปนี้พวกเราจะไปเยี่ยมชมวิถีชุมชน ‘บ้านปางห้า’ ที่มีการพัฒนา
และต่อยอดคุณค่าทรัพยากรท้องถิ่น ปรับวิถีชาวบ้านให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวชุมชน
ได้อย่างน่าสนใจ
นี่ไงครับ น้ำปลาหวานฐิติยาแค่ทางเข้าหมู่บ้านก็เจอของดีแม่สายแทบจะทันที
ลองชิมไปนิดเดียวเอง รีบซื้อกลับบ้านเลย เหะเหะ
การเดินทางเข้าไปที่หมู่บ้านไม่ยากเลยครับ ถนนเรียบสะดวกมาก
มีวิวทุ่งนาสีเขียวตัดสลับให้ผ่อนคลาย
เลี้ยวรถเข้าไปจอดได้เลยที่ โรงงานกระดาษสาจินนาลักษณ์เลยครับ
ทางตัวแทนกลุ่มชาวบ้านจะทำการต้อนรับด้วยรอยยิ้มอย่างกระตือรือล้นเลยครับ
ถึงตรงนี้ ต้องขอเล่าให้ฟังสักนิด ถึงความน่าสนใจของหมู่บ้านปางห้าแห่งนี้
โดยอาณาบริเวณของหมู่บ้าน ตั้งอยู่เหนือสุดของไทยติดชายแดนพม่า
มีเพียงแม่น้ำรวกกั้นอยู่จึงมีพี่น้องหลายชาติพันธุ์อาศัยอยู่รวมกัน
ชุมชนบ้านปางห้า มีกิจกรรมดีๆ ให้นักท่องเที่ยวได้เรียนรู้หลายอย่าง ทั้งการทำผลิตภัณฑ์
จากกระดาษสา มาร์คหน้าด้วยใยไหมทองคำ นั่งรถอีต๊อกไปฐานกิจกรรมการตีมีด
และสัมผัสวิถีชีวิตชาวบ้านด้านการเกษตร ที่สวนฝรั่งกิมจู รวมถึงกิจกรรมทำขนม
ทำอาหารพื้นบ้านต่างๆ มากมาย ...
นอกจากนี้ ยังมีที่พักแบบโฮมสเตย์ สำหรับนักท่องเที่ยวที่อยากสัมผัสบรรยากาศยามค่ำคืน
ก็สามารถเลือกพักค้างคืนกันได้ ที่บ้านสวนอุ้ยคำและที่จินนาลักษณ์
ซึ่งมีบริการทั้งแบบแอร์และแบบพัดลมให้เลือก
ส่วนนักท่องเที่ยวแบบวัน เดย์ ทริป อย่างพวกเรา แม้คืนนี้จะไม่ได้นอนพักที่นี่
ก็ยังมีกิจกรรมท่องเที่ยวให้ทำอีกเพียบ แต่ขออนุญาตพักเที่ยง
แล้วไปทานเตี๋ยวโตกตอง (ก๋วยเตี๋ยวต้มยำแห้งเสิร์ฟบนใบตอง)
ที่บ้านสวนอุ้ยคำก่อนนะครับ
เข้าสู่ช่วงบ่าย เพื่อไม่ให้หนังท้องตึงหนังตาหย่อน ไปต่อกันที่ฐานเวิร์คช้อปทำกระดาษสากันเลย
สำหรับกิจกรรมนี้ พวกเราสามารถโชว์ทักษะทางศิลปะกันเต็มที่ ด้วยการลงมือออกแบบ
จัดวางลวดลายลงบนกระดาษสา นับเป็นงานพรีเมียม ที่มีชิ้นเดียวในโลก
โอ้ว สุดยอด! เอากลับบ้านไปใส่กรอบได้เลย
จากฐานกระดาษสา จินนาลักษณ์ รถอีต๊อกก็มาจอดรอรับ
เพื่อจะพาพวกเราเดินทางไปที่ฐานเรียนรู้การตีมีด บ้านคุณลุงดงแสง
ซึ่งฐานนี้จะเป็นกิจกรรมสาธิตวิธีการตีมีดแบบโบราณ
ด้วยภูมิปัญญาที่ส่งต่อกันมาจากสิบสองปันนา ที่นับวันจะหาดูได้ยากแล้ว
นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวสามารถมาหัดตีมีด เรียนรู้เรื่องของการทำมีดได้จากคุณลุง
เรียนรู้เรื่องการตีมีดเสร็จแล้ว ไปเที่ยวกันต่อที่ฐานเกษตรอินทรีย์
สวนฝรั่งกิมจูของคุณป้าลัดดา ที่นี่เราจะได้เรียนรู้เรื่องของการทำเกษตรปลอดสารพิษ
เทคนิคการดูแลต้นฝรั่ง ด้วยวิธีเกษตรอินทรีย์ จากคุณป้าลัดดา
รวมถึงทำกิจกรรมเดินเก็บฝรั่งจากสวน และชิมฝรั่งเนื้อสีชมพูที่หวานอร่อยสุดๆ
เนื่องจากเวลามีจำกัด พวกเราจึงรีบกลับไปปิดท้ายฐานกิจกรรม ที่โรงงานกระดาษสา
จินนาลักษณ์กันอีกครั้ง เพื่อเรียนรู้ที่มาของการต่อยอดจากกระดาษสา
สู่การคิดค้นนวัตกรรม ผลิตภัณฑ์เสริมความงาม การมาร์คหน้าด้วยใยไหมทองคำ
โดย คุณจินนาลักษณ์ ชุ่มมงคล เจ้าของกระดาษสาจินนาลักษณ์
และที่น่าประทับใจที่สุด คือ เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการเลี้ยงตัวไหมในชุมชน
แล้วให้ตัวไหมสร้างใยถักทอ ออกมาเป็นผืนแผ่น ผ่านกระบวนการต่างๆ
จนนำสู่การทำเป็นผลิตภัณฑ์มาร์คหน้าได้สำเร็จ ในชื่อแบรนด์ CEILK
ที่มีคุณสมบัติช่วยบำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื่น เปล่งปลั่ง ปลอดภัย ไร้ผลข้างเคียง
จนได้รับรางวัล นวัตกรรมดีเด่นจากหลายหน่วยงาน
และจากผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมมาจากชุมชน ใยไหมทองคำ ได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในบริการ
ของทิวา ราตรี สปาระดับห้าดาวของโรงแรม เดอะ ริเวอร์รี บาย กะตะธานี อีกด้วย
และจากรางวัล “กินรี” สาขาแหล่งท่องเที่ยวเพื่อการเรียนรู้ ปี 2562
โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ซึ่ง จินนาลักษณ์มัลเบอร์รี่สาเปเปอร์ ได้รับในครั้งนี้
คงไม่ใช่รางวัลของใครคนหนึ่งคนใด หากแต่เป็นรางวัลของชาวชุมชนทุกคน
และนั่นทำให้พวกเราได้รู้จัก และได้เดินทางมาเที่ยวชมชุมชนบ้านปางห้า แม่สาย
จนรู้สึกอยากบอกต่อ ชวนเชิญให้ทุกท่านได้มีโอกาส
จัดทริปมาเที่ยวชุมชนการเรียนรู้แห่งนี้กันสักครั้งนะครับ
..........
จากอำเภอแม่สาย พวกเรารีบตรงดิ่งกลับโรงแรม
ไม่ใช่ว่าเหนื่อยหนักอยากกลับไปพัก แต่ทราบมาว่า บนชั้น 10 ของโรงแรม
มีร้านอาหาร ที่สามารถเห็นแสงอาทิตย์ตกดิน รวมถึงแสงไฟระยิบระยับ
ยามค่ำคืนที่โรแมนติกที่สุดแห่งหนึ่งในเชียงราย มีโอกาสทั้งทีแบบนี้พลาดไม่ได้
The Peak Wind and Grill คือ ชื่อห้องอาหารบน Rooftop ที่มีการตกแต่งที่สวยหรู
พร้อมวิวพาโนราม่าอลังการ ติดริมแม่น้ำกก
และสิ่งที่โดนใจผมมากที่สุด คือ ศิลปะการจัดแต่งอาหารบนจาน
ซึ่งเห็นแล้วเกิดสองความรู้สึกปนกัน …
ทั้งอยากกินและไม่กล้ากิน … แต่สุดท้ายก็เกลี้ยงแหละครับ
โดยเมนูที่ได้ชิมวันนี้มีทั้ง ปลาหิมะย่าง น่องเป็ดกงฟี พอร์คดูโอ ซุปเห็ด
สเต็กปลาแซลมอน และสเต็กเนื้อ Argentinian tenderloin
ด้วยบรรยากาศที่สุดโรแมนติก รสชาติอาหารที่สุดอร่อย
รวมถึงเสียงดนตรีบรรเลงที่สุดแสนไพเราะ
ปิดท้ายกิจกรรมท่องเที่ยววันนี้ได้อย่างสมบรูณ์แบบเลยครับ
The Peak จึงเป็นห้องอาหารที่พีคสมชื่อ และแนะนำว่าเป็นจุดที่ห้ามพลาด
ทั้งสำหรับนักท่องเที่ยวต่างถิ่นและคนเจียงฮายเจ้าถิ่นเองเช่นกันครับ
..........
ที่เดอะ ริเวอร์รี พวกเราพักห้อง Deluxe River โดยจากห้องพักจะเห็นวิวแม่น้ำกก
ซึ่งเป็นอีกหนึ่งจุดวิวไฮไลท์ของโรงแรม และด้วยขนาดห้องที่กว้างขวางตกแต่ง
แบบศิลปะร่วมสมัยสไตล์ลานนาผสานความคลาสสิค (Classic meets contemporary)
ที่มีโทนสีที่อบอุ่น ทำให้ผู้เดินทางมาพักได้รู้สึกผ่อนคลายเต็มที่
เมื่อได้ลองเดินสำรวจไปทั่วโรงแรม ทั้งทางเข้าด้านหน้าโรงแรม หรือบริเวณด้านข้าง
เลียบแม่น้ำกก เรื่อยไปจนถึงสระว่ายน้ำ จะเห็นถึงการออกแบบจัดวางสถานที่ได้อย่างลงตัว
เด่นชัดในเชิงศิลปะร่วมสมัยที่บอกเล่าความหมายที่งดงามตามรอยวิถีไทย
และด้วยดีไซน์ที่มีเอกลักษณ์อันโดดเด่นนี้เอง โรงแรมเดอะ ริเวอร์รี บาย กะตะธานี จึงได้รับรางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย (Thailand Tourism Awards) ครั้งที่ 12 ประจำปี 2562
หรือรางวัลกินรี "ประเภทที่พักนักท่องเที่ยว สาขา ดีไซน์โฮเทล" และเป็นโรงแรมเดียว
ในจังหวัดเชียงราย ที่ได้รับรางวัลในปีที่ผ่านมา
..........
ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพฯ ช่วงบ่ายคล้อยวันนี้ ยังมีเมนูอีกสองแบบที่ผมต้องลิ้มลอง
เมนูเที่ยงวันนี้ก็ต้องเป็นแบบขันโตกอยู่แล้ว มาภาคเหนือทั้งที
จะไม่ทานคงนับว่ามาไม่ถึง จัดมาเลยทั้งเซ็ท น้ำพริกอ่อง น้ำพริกหนุ่ม แกงฮังเล
แกงหน่อไม้ ลาบคั่ว ไส้อั่ว เสริฟ์พร้อมผักลวก แคบหมู และข้าวเหนียวสองสี
ต้องบอกเลยว่า มื้อนี้ลำแต้แต้
ทานอาหารคาวแล้วต้องตามด้วยอาหารหวาน (และกาแฟ) ก่อนที่รถจะมารับ
พวกเราตรงดิ่งไปที่ล็อบบี้ เลาจน์ของโรงแรม สั่งเบเกอรี่หน้ามะม่วงแบบโฮมเมด
และกาแฟลาเต้อัญชัน แล้วนั่งชิล ทบทวนทริปกันสักนิด …
ต้องยอมรับว่า ความรู้สึกก่อนทริปที่เริ่มต้นด้วยคำถามและความกังวล
แตกต่างออกไปเมื่อทริปใกล้จบ
ซึ่งความรู้สึกตอนนี้ กลับเต็มไปด้วยความหวังและแรงบันดาลใจ
และทุกทริปเดินทาง มันมักจะจบลงด้วยความรู้สึกที่คล้ายกัน
ผมถามตัวเองว่า อะไรที่สามารถเปลี่ยนความรู้สึกของเราได้ …
คำตอบที่ได้คือ …
“แรงบันดาลใจ เกิดจากสถานที่ จากผู้คน
และเรื่องราวที่เราได้พบเจอระหว่างทาง”
ก่อนจบบันทึกการเดินทางจากทริปนี้
จึงอยากขอส่งกำลังใจให้ชาวเชียงราย รวมถึงชาวไทยทุกคน
ให้มีพลังใจและความหวังอยู่เสมอแม้ในยามสถานการณ์ที่ยากลำบาก
หากเรายังมีน้ำใจต่อกัน เห็นใจ ช่วยเหลือกันและกัน
เราจะก้าวพ้นเหตุการณ์วิกฤตในครั้งนี้ไปพร้อมกัน
ขอให้ทุกคนแข็งแรง และมีความสุขมากๆ
แล้วออกเดินทางไปด้วยกัน ในทริปต่อไปครับ
เอก CrossCutting Journey #ในที่ซึ่งรู้สึกดี
สามารถติดตามดูภาพถ่าย วีดีโอ และเรื่องราวอื่นๆ ของพวกเราได้ที่
PAGE: https://www.facebook.com/thecrosscutting/
และฝากกด SUBSCRIBE ติดตาม การทำวีดีโอของพวกเราเรา เพื่อเป็นกำลังใจได้ที่
YOUTUBE: https://www.youtube.com/channel/UCxhpTomG0Tw0GG0vwJt7uaA
Ekk CrossCutting ในที่ซึ่งรู้สึกดี
วันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2563 เวลา 18.20 น.