ฉันนั่งรถไฟ...ไปหลังคาโลก A journey to Tibet and the Everest Base Camp!

ตอนที่ 1: จากกรุงเทพฯ - ไปเฉิงตู - มุ่งสู่ลาซา

เรื่องราวมันเกิดขึ้นหลังจากได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่ง “นั่งรถไฟไปหลังคาโลก” (ที่เป็นกระทู้แนะนำในพันทิพนี่แหละค่ะ) เป็นเรื่องราววัยรุ่นไทยเรียนจบใหม่ๆ ออกไปไขว่คว้าหาประสบการณ์ ผ่านการเดินทางขึ้นรถไฟจากหัวลำโพงไปถึงทิเบต อ่านรอบแรก ให้หวนคิดถึงความรู้สึกตื่นตาตื่นใจของตัวเองที่ได้เดินทางออกไป “เห็น” โลกเป็นครั้งแรก เลยตัดสินใจวางแผนใช้วันหยุดยาวช่วงสงกรานต์ไปเยือนดินแดนหลังคาโลก “ทิเบต” อีกสักครั้ง คราวนี้ตั้งใจจะต้องนั่งรถไฟสายที่สูงที่สุดในโลกให้ได้ แถมไปปิ๊งไอเดียจากโปรแกรมทัวร์ที่พาดั้นด้นไปถึง Everest Base Camp อีก ทีนี้แผนการที่วางไว้เลยกลายมาเป็นรูปเป็นร่าง ทริป 11 วัน 3 โลเคชั่น ใน1 ประเทศจึงได้เริ่มขึ้น

ตารางการเดินทาง

Day 1: กรุงเทพฯ-เฉิงตู โดยสายการบินไทย ถึงเฉิงตูราว 2 โมงเย็น ลากกระเป๋าไปรับตั๋วรถไฟ – เช็คอินที่โฮสเทล – กินหม้อไฟเสฉวน (หม่าล่า)

Day 2: ศูนย์แพนด้า!!! – เดินเล่นย่าน Wide and Narrow Alley (Kuanzhai Xiangzi) – แพคกระเป๋าเตรียมกินนอนบนรถไฟเป็นเวลา 2 คืน

Day 3: ขึ้นรถไฟไปหลังคาโลก – นอนกลิ้ง กินมาม่า เสพย์หนังสือ ฟังเพลงดูหนังไปตามทาง – คืนแรกบนรถไฟ

Day 4: กินนอนเม้าท์กับเพื่อนใหม่ชาวจีน บนเส้นทางรถไฟที่สูงที่สุดในโลก - (รถไฟไต่ระดับฝึกงับอ๊อกซิเจน) – คืนที่สองบนรถไฟ

Day 5: ตื่นเช้ามาชมวิว ดูพระอาทิตย์ขึ้น - ถึงลาซา โดยสวัสดิภาพ – เค้าให้พักแต่เราออกไปเดินเล่นกิน KFC ถึงลาซา

Day 6: อยู่ดีๆก็ได้ไป Drepung Monastery – ออกกำลังขาและหัวใจไตปอดต่อที่ Potala Palace – เดินเล่นตลาด Bakhor Street

Day 7: ออกเดินทางบนถนนสายมิตรภาพทิเบต – เนปาล มุ่งหน้าสู้เมือง ชิกาซส์ (Shigaze/Shigatse)

Day 8: มุ่งหน้าหาอ้อมกอดหิมาลัย – Everest Base Camp –ชมแสงสุดท้ายแตะยอดเขา Everest – พัก Rongbuk Hotel สัมผัสความเย็นติดลบ 15 องศา บนความสูงเหนือน้ำทะเลกว่า 5,000 เมตร

Day 9: ชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ Everest Base Camp ความทรงจำที่ดีทีสุดอีกครั้งกับยอดเขาเอเวอร์เรสท์ – เดินทางกลับสู่เมืองชิกาซส์ (Shigaze)

Day 10: วัดTashilunpo Monastery – เดินทางกลับสู่เมืองลาซาผ่านเส้นทางชมแม่น้ำ

Day 11: ออกเดินทางแต่เช้าตรู่สู่สนามบิน Lhasa Gongga – ไฟลท์มาถึงเฉิงตู ต่อเครื่องกลับกรุงเทพฯโดยสวัสดิภาพ เย่!

ค่าใช้จ่ายโดยประมาณ

1. ตั๋วเครื่องบิน กรุงเทพฯ-เฉิงตู-กรุงเทพฯ โดยสายการบินไทย : THB 13,XXX

2. ตั๋วเครื่องบิน จากลาซา – เฉิงตู โดยสายการบิน Sichuan Airlines : THB 6,XXX

3. CHINA VISA : THB 1,000

4. FlipFlop Lounge Hostel 2 คืน ในเฉิงตู : THB 1,990 = ตกคนละแค่ THB 663เท่านั้น!!

5.ค่าทริปทิเบต-EBC รวมตั๋วรถไฟเฉิงตู – ลาซา Soft Sleeper คนละ 1,XXX USD

6. ค่าเดินทางในเฉิงตู / ค่าทัวร์แพนด้า / ค่าทิป / ค่าอาหาร / ค่าขนม / ค่า Mobile Roaming / จิปาถะยิบย่อย – ไม่นับ 555

*แนะนำถ้าไปหลายคนเปิดโรมมิ่ง (นี่ใช้ของ AIS ค่ะ) แล้วแชร์ Hot Spot กันนะคะ เล่น FB/LINE etc. ได้เลยไม่ต้องพึ่ง VPN.

*ในส่วนของการเดินทางท่องเที่ยวในทิเบต เราไม่สามารถแบกเป้ขึ้นรถไฟ หรือขึ้นเครื่องไปลงลาซาแล้วเดินดุ่มๆหาเที่ยวเองได้นะคะ ไปทิเบตต้องมีใบอนุญาติ (ที่เรียกกันง่ายๆว่า ใบPermit) ต้องใช้บริการบริษัททัวร์นำเที่ยวเท่านั้นค่ะ บริษัทที่แนะนำ ก็หาเอาในกระทู้พี่น้องใน Pantip นี่แหละค่ะ สรุปได้เลือกใช้บริการของ Tibet Vista ( www.tibettravel.org ) ซึ่งถือว่าบริการได้มาตรฐาน ราคาดี และคุณภาพเยี่ยมค่ะ เราซื้อแพคเกจ Tibet + EBC Everest Base Camp และให้เขารวมตั๋วรถไฟจากเฉิงตูไปลาซาด้วยเลย การจองไม่ยากค่ะ พนักงานที่ติดต่อ (ภาษาอังกฤษ) ก็ว่องไวและครบถ้วนดี ไกด์ คนขับรถ ที่พัก โดยรวมถือว่าประทับใจและให้ 5 ดาวไปเลยค่ะสำหรับการบริการของ Tibet Vista.


พร้อมแล้ว ลุ๊ย!!!!

DAY 1 : ลาก่อนฤดูร้อนเมืองไทย - บินไปเฉิงตูกับสายการบินแห่งชาติ

ออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิ สู่เฉิงตูประเทศจีนด้วยสายการบินแห่งชาติ ถึงสนามบินปุ๊บก็เดินดุ่ยๆลากกระเป๋ามาหารถ Airport Bus สาย no.2 ที่มีสถานีปลายทางคือ สถานีรถไฟเฉิงตู สายเหนือ (North Railway Station) สนนราคาคนละ 15 หยวน ใช้เวลาเดินทางราว 45นาทีเราก็มาถึงสถานีรถไฟกันค่ะ

ทำการบ้านมาหนักมากเรื่องภาษาอังกฤษที่ไม่ต้องใช้ และภาษาใบ้ที่แสนจะจำเป็น (ฮา) แต่เอาเข้าจริงๆ คนที่นี่ใจดีมากค่ะ เราสามารถสื่อสารได้ด้วยคำง่ายๆ และได้รับการช่วยเหลือเป็นอย่างดีจากเจ้าหน้าที่ตำรวจและสถานีรถไฟค่ะ แถมเจ้าถิ่นก็ใจดีอีกด้วย ถึงจะสื่อสารกันด้วยภาษาไม่รู้เรื่องแต่เราก็เข้าใจกันได้ (ด้วยภาษาใบ้555)

Tibet Vista จะจองตั๋วรถไฟให้เรา และให้รหัสจองตั๋วมา พร้อมกับ Tiber Permit ที่เราต้องปรินท์เป็นสีมาแสดงที่สถานีรถไฟ เพื่อรับตั๋ว และแนะนำให้เก็บปรินท์ไว้กับตัวคนละชุดตลอดการเดินทางค่ะ อุ่นใจ ได้ใช้ตลอด (Tibet Permit ตัวจริงจะอยู่ที่ไกด์ของเราที่ลาซาค่ะ เราจะได้เห็นก็ตอนที่เราถึงลาซาแล้ว ตัวที่เราปรินท์สี สามารถใช้แทนกันได้ขณะเดินทางค่ะ)

ได้ตั๋วกระดาษมาแล้ว ทีนี้เราก็ลากกระเป๋าลงรถใต้ดินกันค่ะ รถใต้ดินในเฉิงตู สะดวก สะอาด และประหยัดมากๆ ต่อเที่ยวระยะใกล้ถึงระยะกลางราคาประมาณ 2-3หยวนเท่านั้นเองคุ่มค่าที่สุด เรานั่งจากสถานี North Railway Station มาถึงสถานี Chunxi Road (เปลี่ยนขบวนที่สถานี Tianfu Square-ที่เราแอบเรียกง่าสยามสแควร์555)

แล้วก็เดินลากกระเป๋าข้ามถนนมาอีกประมาณ 200 เมตรก็ถึงซอยที่Hostel ของเราตั้งอยู่ค่ะ FlipFlop Lounge Hostel (เจ้าของเดียวกันกับ Lazybones อันโด่งดัง) ห้องที่เราพักคือห้อง Triple สำหรับ 3 คน – สะอาดและสบายดีมากคุ้มเกินคุ้มราคาค่ะ (จองผ่าน Agoda ในราคา 1999 บาทสำหรับ 3 คน 2 คืน/ไม่รวมอาหารเช้า) ทั้งทำเล น้องๆพนักงาน การสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษ ความช่วยเหลือต่างๆ ป้าแม่บ้าน ลุงช่างไฟ ขอยก 5 ดาวให้เลยค่ะ Chengdu FlipFlop Lounge Hostel.

( www.facebook.com/ffchengdu )

ตกเย็น อากาศกำลังดีที่ 15 องศา เราเลยเดินข้ามถนนมาหาหม้อไฟหม่าล่า อาหารขึ้นชื่อของมณฑลเสฉวน (สำหรับคนไม่กินเนื้อวัว ก็อาจต้องอดใจเพราะน้ำมันที่ใช้เป็นไขมันวัวค่ะ อดกิน 555) สืบสาวความจากเพื่อนร่วมโต๊ะได้ความว่า เผ็ดร้อนอร่อยสนั่นสั่นปลายประสาทมากค่ะ ห้ามพลาดทีเดียวเชียว

คืนแรกในเฉิงตูผ่านไปด้วยดี หลับฝันดัตื่นเช้าพรุ่งนี้เราจะไปดูหมีแพนด้ากันค่ะ

Day 2: มาเฉิงตู ต้องดูหมีแพนด้า!!!– เดินเล่นย่าน Wide and Narrow Alley (Kuanzhai Xiangzi) – ดูโชว์หน้ากากแบบฟลุ๊คๆ

ตอนแรกเรากะว่าจะเหมาแท๊กซี่ไปดูหมีแพนด้ากันค่ะ แต่พอดีที่FlipFlop มีทัวร์แพนด้าขาย แล้วก็พอดีอีกที่ว่าวันนี้ไม่มีใครจอยไปกับเรา เท่ากับว่า เราได้รถส่วนตัวไปดูหมีแพนด้า สนนราคาที่ 120 หยวน / คน รวมค่าเข้าชมศูนย์แพนด้า+รถส่วนตัวไป-กลับ (ถ้านั่งแท๊กซี่ไปเองจะตกประมาณ 60-80 หยวน / เที่ยว ตั๋วเข้าชม 58 หยวน/คน) รถจะมารับเราตอน 7:15เช้า ตอนแรกก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องรับแต่เช้าขนาดนั้น แต่พอขากลับออกกจากศูนย์แพนด้าถึงได้เข้าใจค่ะ ว่ามวลหมู่มหาชนคนจีนและนักท่องเที่ยวหลัง 10โมงเช้า เยอะมาก มากเสียจนต่อคิวเข้าศูนย์ฯ ยาวพะเนินเทินทึก นึกขอบใจเจ้าหน้าที่ FlipFlop เบาๆที่จองทัวร์ให้มารับเราตอนเช้า (เช้าขนาดพอมาถึงประตูยังไม่เปิดอ่ะ 555)

เข้ามาก็อย่าลืมซื้อตั๋วรถนำเที่ยวภายในศูนย์นะคะ นั่ง 2 รอบ ราคา 10หยวน/คน เดินไกลแน่นอน แนะนำให้นั่งรถค่ะ – อาณาบริเวณโดยรอบกว้างขวางและสูงชันพอหอมปากหอมคอ ใช้บริการรถนำเที่ยวจะสะดวกรวดเร็วดีกว่าด้วยค่ะ

จุดที่คนขับรถของเราแนะนำให้ไปดูคือ Moonlight Nursery House (24) เดินต่อมาถึง (25) – จากนั้นเราก็นั่งรถศูนย์ย้อนไปที่ Sunshine Nursery House (11)– แล้วก็เดินตามแผนที่ ไปดูตามจุด 12-13-14 และ 15 ค่ะ ถือว่าคุ้มค่าเวลามาก เดินไม่ไกลและเป็นการเดินลงเนินเสียส่วนใหญ่

เราจบทริปศูนย์แพนด้าที่บึงหงส์ค่ะ หาขนมกับกาแฟกินเพลินๆ ดูผู้คน พาลูกหลานมาเที่ยวกัน ที่น่าแปลกและประทับใจคือ ความสะอาด ไม่มีขยะบนพื้นเลยค่ะ ถังขยะมีอยู่ทั่วไป เค้าห้ามสูบบุหรี่ด้วย และดูเหมือนทุกคนจะปฏิบัติตามกฏเป็นอย่างดี เห็นแล้วชื่นชมค่ะ

คนขับรถกลับมาส่งเราที่โรงแรมตอนบ่าย-แวะพักแป๊บนึงเราก็เดินไปสถานีรถใต้ดินค่ะ (Metro) – จากสถานี Chunxi Road ไปสถานี People Park เพื่อไปเดินเล่นย่าน Wide and Narrow Alley (Kuanzhai Xiangzi) ออกจากสถานีมาทางออก Exit D1 เดินขึ้นมาแล้วก็มองตรงไปข้างหน้า เดินตรงข้ามถนนขึ้นไปเลยค่ะ จะเห็นสัญลักษณ์ทางเข้า Wide and Narrow Alley (Kuanzhai Xiangzi) เป็นเสาหน้าตาประหลาด นั่นล่ะค่ะทางเข้าเดินเข้าไปโลด

สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านรวง ขายทั้งของที่ระลึก จิปาถะ ขนม เครื่องดื่ม รวมไปถึงร้านอาหารค่ะ มี 2 ซอย สามารถเดินทะลุถึงกันได้ เราใช้เวลาสำรวจที่นี่จนถึงเย็นค่ะ (รวมไปถึงสำรวจสตาร์บัคส์ด้วยแหะๆ)

มีร้านรับแคะหูด้วยค่ะ แอบไปยืนดู น่าจะเพลินดีทีเดียว

ตอนเย็นเรากะว่าจะไปดูโชว์เปลี่ยนหน้ากากที่ร้านน้ำชาชื่อดัง Shu Feng Ya Yun Sichuan Opera แต่ว่าไม่ได้จองล่วงหน้า เลยเต็มค่ะ แต่โชคช่วยระหว่างเดินต๊อกแต๊กอยู่กมีสาวจีนใจดียื่นเมนูมาให้แล้วชักชวนให้เข้าไปดูโชว์ในร้านน้ำชาของเธอ ด้วยสนนราคา 35 หยวน/คน เราก็ไม่รอช้าค่ะ รีบตามน้องเข้าไปเลย ก็พอดีได้เวลาโชว์เริ่ม โชคดีจริงๆ (ราคานี้ไม่รวมค่าเครื่องดื่มและของว่าง ซึ่งจะมีพนักงานมาถามเราด้านในค่ะว่าจะสั่งอะไรไหม ต้องใช้แอพ แปลภาษาอยู่นาน ว่า “ฉันมาดูโชว์อย่างเดียวนะจ๊ะ ไม่กินไม่ดื่มอะไรทั้งนั้นล่ะจ้ะ” 555

*ขออนุญาติไม่อธิบายรูปแบบโชว์ ขอเล่าด้วยรูปแล้วกันเนอะ ระยะเวลาทั้งหมดประมาณ 45 นาทีไม่น่าเกินค่ะ ดูเพลินๆบันเทิงดี คุ้มค่าเงิน 35 หยวน  

กลับมาแพคกระเป๋า เตรียมตุนมาม่า และขนมเพื่อไปกินอยู่บนรถไฟ สองคืนค่ะ พรุ่งนี้เราจะนั่งรถไฟไปหลังคาโลกกัน

Day 3: ขึ้นรถไฟไปหลังคาโลก – นอนกลิ้ง กินมาม่า เสพย์หนังสือ ฟังเพลงดูหนังไปตามทาง – คืนแรกบนรถไฟ

เราออกจากโรงแรมราวๆเที่ยง ลงรถใต้ดินไปสถานีรถไฟ North Railway Station รถไฟเราออกเวลา 14:48 ขบวนที่Z322 เฉิงตู-ลาซา

ใช้เวลาเดินทางประมาณ 44 ชั่วโมงโดยประมาณ งานนี้เราเตรียมพร้อมมากค่ะ ทั้งมาม่า ปลากระป๋อง โจ๊กคัพแบบซอง กาแฟ โกโก้ ขนมนมเนย เพียบ กะว่าไม่อดตายแน่นอน

มาถึงหน้าสถานี ต้องตรวจเอกสาร ให้เตรียมตั๋วรถไฟ พร้อมพาสปอร์ทและ Tibet Permit ที่ปรินท์สีมาแนบให้เจ้าหน้าที่ตรวจก่อนเดินเข้าสถานีได้ค่ะ มีสแกนสัมภาระ เรียบร้อยแล้ว เราจองตั๋วแบบ Soft Sleeper เลยไม่ต้องไปรอที่ Waiting Room แต่ไปนั่งรอที่ Waiting Room สำหรับ Soft Sleeper ได้เลย (พอสแกนกระเป๋าเสร็จมองตรงไปเจอเคาน์เตอร์เลยค่ะ-มีภาษาอังกฤษด้วย)

โชว์ตั๋วรถไฟแล้วเข้าไปนั่งรอสวยๆได้เลย มีน้ำร้อนให้เติมมีที่ชาร์จแบตด้วยค่ะ

พอใกล้เวลาเราก็ดูที่บอร์ดค่ะ ถึงเป็นภาษาจีนแต่ตัวเลขขบวนรถและชานชาลาจะเป็นภาษาอังกฤษ เข้าใจง่ายไม่ต้องห่วง ก่อนเวลารถออกสัก20 นาทีเค้าจะประกาศเลขที่ชานชาลาแล้วเราก็เดินไปเลยค่าา (ตามขบวนเจ้าบ้านไปค่ะ เค้าบอก "หล่าซา" ก็เดินตามเค้าไปเลย ชานชาชา 7)

เลขที่นั่ง บน-ล่าง มีบอกที่ข้างหน้าเคบินค่ะ ดูไม่ยากเลย เรามากัน 3 คน ได้ 1 ห้อง / Soft Sleeper เป็นคลาสที่ดีที่สุดบนรถไฟสายนี้ค่ะ ของดีมีน้อย จองยาก ต้องจองล่วงหน้า - ความสบายให้ 8 เต็ม 10 ค่ะ บนรถมีตู้กดน้ำร้อนฟรี 24 ชม. ห้องน้ำรับได้ค่ะ มีทั้งแบบตะวันตกและตะวันออก (ยองๆ) ความสะอาด ... ถือว่าพอรับได้ไม่ฝันร้ายมาก อิอิ มีอ๊อกซิเจนต่อท่อตลอดขบวน ตอนรถไต่ระดับคืนวันที่ 2 เค้าก็ห้ามทุกคนสูบบุหรี่(แต่ก็มีคนแอบสูบบ้าง) และเปิดอ๊อกซิเจนตลอดขบวนค่ะ สำหรับใครที่ไม่ไหวสามารถขอท่อหายใจจากเจ้าหน้าที่ประจำรถได้ค่ะ

สำหรับกระเป๋าเดินทาง แนะนำไซส์ไม่เกิน 20-22 นิ้วค่ะ ถ้าเกินนี้อาจยัดใต้เตียงหรือที่เก็บเหนือศรีษะไม่ได้ ถ้าไซส์ประมาณ 24-26 ยังพอยัดใต้โต๊ะข้างเตียงได้ค่ะ แต่จะกินพื้นที่ส่วนกลางนิดนึง เห็นฝรั่งบางคนต้องเอาวางบนเตียงแล้วนอนขาพาดไปตลอดทาง เพราะกระเป๋าใหญ่มากกก

ห้องของเรา มีพี่สาวชาวจีนแชร์ด้วย 1 คน เตียงบน พี่สาวใจดีมากแบ่งขนมเรากินตลอดทางเลยค่ะ ชวนคุยถึงแม้ว่าเราแทบจะไม่เข้าใจภาษาจีนเลย แต่กลับสื่อสารกันได้

จากนั้น ก็ดูวิวผ่านทีวีโลกจอยักษ์ อย่างเพลิดเพลินลืมเวลากันไปเลยค่า

บ๊ายบายยย

สุดลูกหูลูกตา

คืนนี้เผลอหลับไปเมื่อไหร่ไม่รู้ค่ะ...หมอนสะอาด ผ้าห่มอุ่นๆ นอนสบาย ....

Day 4: กินนอนเม้าท์กับเพื่อนใหม่ชาวจีน บนเส้นทางรถไฟที่สูงที่สุดในโลก - (รถไฟไต่ระดับฝึกงับอ๊อกซิเจน) – คืนที่สองบนรถไฟ

ตื่นแต่เช้า รีบเข้าห้องน้ำก่อนที่จะคลาคล่ำด้วยผู้คน ... แล้วก็ไม่ผิดหวังค่ะห้องน้ำสะอาดเอี่ยวพร้อมใช้ อิอิ

เราใช้ชีวิตอยู่บนรถไฟโดยอาศัยกาแฟถุง มาม่าต้มและโจ๊กคัพ - แต่...ความหวังของเราในวันนี้คือโยเกิร์ตในตำนานที่สถานี Xining - ใจเราจดจ่ออยู่กับนาฬิกาและชื่อสถานีรถไฟ.

XINING

รถจอดแล้วเย่ .... รถจอดประมาณ 20 นาทีค่ะ เราลงไปเดินแต๊ดแต๋มองหารถเข็นขายโยเกิร์ต และเราก็ได้เจอ!!!

กล่องดำเป็นแนวธัญพืชค่ะ กล่องขาวลายฟ้า เป็นแนวโยเกิร์ตแบบเซ็ตตัว อร่อยทั้งคู่ อร่อยจริงอะไรจริง มีให้กินถึงที่ทิเบตเลยค่ะ ใครได้ไปขอให้ลองค่ะ แนะนำ แนะนำ

เราไม่ได้ไปลองตู้เสบียงเลย เพราะกักตุนเสบียงมาเยอะมาก กลัวกินไม่หมด (มาม่าต้มยำใส่ปลากระป๋องอร่อยมากกกก) - ขนมกรอบแกรบ จนถึงข้าวกล่อง มีเข็นมาขายบริการถึงห้องตั้งแต่เช้ายันเย็นค่ะ เรียกซื้อได้ ราคาแพงกว่าข้างล่างนิดหน่อยเท่านั้น

เวลาไหลไปเรื่อยๆ บางคนก็นอนบางคนก็อ่านหนังสือ บางคนก็คุยเม้ามอยกันระหว่างเคบิน บางคนก็ดูหนัง ... นี่โหลดหนังไปดู 6 เรื่อง จบค่า!

ก่อนนอนคืนนี้เรากินยา Diamox คนละ 1 เม็ด คืนนี้รถไฟจะไต่ระดับสู่สถานีรถไฟที่สูงที่สุดในโลก สถานี Tanggula railway station ที่ความสูง 5,068 m. (แต่เราคงหลับไม่ได้ตื่นขึ้นมาดู)

Day 5: ตื่นเช้ามาชมวิว ดูพระอาทิตย์ขึ้น - ถึงลาซา โดยสวัสดิภาพ – เค้าให้พักแต่เราออกไปเดินเล่นกิน KFC ถึงลาซา

เช้าแล้ว ตื่นเช้าเหมือนเดิมค่ะ .... ไปเข้าห้องน้ำ 555

วิวอย่างนี้ .... ใครจะไปหลับลง

เรามาถึงเมืองลาซาตรงเวลาเป๊ะ 09:55 พอข้ามสะพานนี้ไปก็เข้าสู่สถานีรถไฟลาซาแล้วค่ะ

พอมาถึงปุ๊บ จะออกจากสถานีรถไฟได้เราก็ต้องโชว์เอกสารอีกรอบค่ะ พาสปอร์ท ตั๋วรถไฟ และใบ Permit ที่ปรินท์มา เจ้าหน้าที่ก็พาไปทำเรื่องที่ออฟฟิศด้านนอกสถานีประมาณ 5 นาทีก็เรียบร้อย เราโทรหาไกด์และเดินออกไปรอด้านนอกถนน - ไกด์มารับเราพร้อมกรุ๊ปอีก 4-5 คน

จากสถานีรถไฟไปโรงแรมของเราประมาณ 20 นาที เราพักที่โรงแรม Gang-gyan Lhasa Hotel (4 ดาว) ความสะอาด สะดวกสบายได้มาตรฐานค่ะ พนักงานพูดอังกฤษสื่อสารได้ บริการดี ทำเลก็ดี มีร้านสะดวกซื้อหน้าทางเข้าโรงแรม และที่ล๊อบบี้มีร้านขายของ (รับแลกเงินด้วย) มีคลินิกพร้อมแพทย์ดูแลตลอด24 ชม. ในกรณีที่มีอาการAMS หรือแพ้ความสูงด้วยค่ะ - เดินไป Potala Palace ได้ค่ะ ประมาณ 1.5 กม.-อยู่ห่างจากตลาดBakhor และวัดโจคังแค่เดิน 5 นาที ถือว่าทำเลดีมาก

เราพักแป๊บนึง แล้วก็ออกไปหาข้าวกินค่ะ - เราเลือกเดินไปทาง Potala Palace เดินผ่านร้านขายขนมไข่ หอมน่ากินเลยซื้อมา 2 อัน ราค 5 หยวน อร่อยมาก!

เดินโต๋ไปเต๋มา ... หลังจากอกหักเจอร้าน Spinn Cafe แล้ว แต่ว่ายังไม่เปิด เลยตัดสินใจหาข้าวกินที่ร้านบะหมี่ข้างๆกัน ... สั่งโดยการใช้นิ้วจิ้มได้มาสองรายการค่ะ เป็นเกี๊ยวหมู กับหมี่คลุกน้ำมันเสฉวนหน้าถั่ว อร่อยดีค่ะ แต่ออกเลี่ยนเล็กน้อย 555 (โดนไป 20 หยวน แบบตกใจในราคาเล็กน้อยแต่ก็เข้าใจค่ะ ราคานักท่องเที่ยวแน่นอน .. ทั้งทริปที่ตกใจโดนฟันราคามีร้านนี้ร้านเดียวนะคะ ร้านอื่นไม่โดน)

แล้วเราก็เดินค่ะ ... เดินไปเรื่อยมุ่งหน้าไป Potala Palace สุดท้ายทนเสียงเรียกร้องของธรรมชาติไม่ไหว (ง่วง) เลยตัดสินใจวกกลับโรงแรมค่ะ

ก่อนกลับแวะซื้อ KFC (ด้วยภาษามือ) กลับไปเป็นอาหารเย็นด้วยเลย (ที่ลาซา มีร้านแนวฟาสท์ฟู้ดและร้านกาแฟหลายร้าน มีBread Talk ด้วยนะเออ ใครได้มาลองแวะเดินในห้างสรรพสินค้าดูค่ะ มีหลายร้านทีเดียว)

จบตอนที่ 1 สำหรับรีวิวนี้ก่อนนะจ๊ะ ไปต่อกันตอนที่ 2 นะจ๊ะ เดี๋ยวมันจะยาวววววไป

ฝากเพจนิด กดติดตามกันได้ค่ะ ไม่รกแน่นอนเพราะนานๆขยันที : https://www.facebook.com/ww4travel/

กดไลค์เหอะ ... อยากเจอ 555

หรือจะ Instagram: @nickyww4trvl อันนี้บ้าลงรูป ใครชอบดูรูปไปกด Follow กันได้ค่า

Will Work For Travel

 วันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 11.48 น.

ความคิดเห็น