ตอนที่ 3 ตอนจบจ้า: ใกล้แค่ลมหายใจ ไกลแต่ไม่เกินเอื้อม The Everest Base Camp
เรื่องราวมันเกิดขึ้นหลังจากได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่ง “นั่งรถไฟไปหลังคาโลก” (ที่เป็นกระทู้แนะนำในพันทิพนี่แหละค่ะ) เป็นเรื่องราววัยรุ่นไทยเรียนจบใหม่ๆ ออกไปไขว่คว้าหาประสบการณ์ ผ่านการเดินทางขึ้นรถไฟจากหัวลำโพงไปถึงทิเบต อ่านรอบแรก ให้หวนคิดถึงความรู้สึกตื่นตาตื่นใจของตัวเองที่ได้เดินทางออกไป “เห็น” โลกเป็นครั้งแรก เลยตัดสินใจวางแผนใช้วันหยุดยาวช่วงสงกรานต์ไปเยือนดินแดนหลังคาโลก “ทิเบต” อีกสักครั้ง คราวนี้ตั้งใจจะต้องนั่งรถไฟสายที่สูงที่สุดในโลกให้ได้ แถมไปปิ๊งไอเดียจากโปรแกรมทัวร์ที่พาดั้นด้นไปถึง Everest Base Camp อีก ทีนี้แผนการที่วางไว้เลยกลายมาเป็นรูปเป็นร่าง ทริป 11 วัน 3 โลเคชั่น ใน1 ประเทศจึงได้เริ่มขึ้นค่ะ
![](/f/32125/5e9bda8caec4373a7ea37752.jpg)
ฝากเพจนิด กดติดตามกันได้ค่ะ ไม่รกแน่นอนเพราะนานๆขยันที : https://www.facebook.com/ww4travel/
กดไลค์เหอะ ... อยากเจอ 555 หรือจะ Instagram: @nickywork_travel อันนี้บ้าลงรูป ใครชอบดูรูปไปกด Follow กันได้ค่า
พร้อมแล้วไปต่อกันกับภาค 3 ได้เลยค่า เอ้า ลุ๊ย!!!!
Day 8: มุ่งหน้าหาอ้อมกอดหิมาลัย – Everest Base Camp –ชมแสงสุดท้ายแตะยอดเขา Everest – พัก Rongbuk Hotel สัมผัสความเย็นติดลบ 15 องศา บนความสูงเหนือน้ำทะเลกว่า 5,000 เมต
วันนี้เราเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรม Manasarovar เมือง Shigatze แต่เช้าค่ะ (ก็ไม่เช้าเท่าไหร่ 9โมงแล้ว 555) ภารกิจแรกของเราคือไกด์ต้องไปทำ/รับใบอนุญาติ Aliens’ Travel Permit ใช้เวลาประมาณ 30 นาที เราก็เดินทางกันต่อค่ะ
![](/f/32125/5e9bda88aec4373a7ea3774a.jpg)
*การเดินทางมาทิเบต ใช้บริการของ Tibet Vista - ที่ช่วยอำนวยความสะดวกตลอดการเดินทาง รวมถึงใบอนุญาติ (Permit) ต่างๆ การเดินทางในทิเบตจนถึง Everest Base Camp เราต้องมีใบอนุญาติทั้งหมด 3 ใบ (นอกเหนือจากวีซ่าจีนที่เราต้องทำเองนะคะ)
1. Tibet Travel Permit
2. Frontier Pass
3. Aliens’ Travel Permit
และถ้าใครจะไป Hiking หรือ Trekking ก็จะต้องทำเรื่องขอใบ Mountaineering License อีกต่างหาก
http://www.tibettravel.org/tibet-travel-permit/permits-mt-everest.html
จุดแรกของวันเราประเดิมด้วย ความสูงระดับ 4,500 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล Tso La Pass -
![](/f/32125/5e9bda89aec4373a7ea3774b.jpg)
![](/f/32125/5e9bda87aec4373a7ea37746.jpg)
ตามมาด้วย Gyatso La Pass ที่ความสูง5,248 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล
- ประตูสู่เอเวอร์เรสท์ - ประตูสู่อุทยาน Qomolangma มารดาแห่งสวรรค์ ของชาวทิเบต (หรือ Sakaramata มารดาแห่งมหาสมุทร ของชาวเนปาล และ Everest ของชาวโลก)
![](/f/32125/5e9bda88aec4373a7ea37749.jpg)
จากนั้นก็เข้าสู่ความหรรษาของถนนที่คดเคี้ยววนไปวนมา ใครหลับได้หลับ ใครหลับไม่ลง ก็ยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปรัวๆ สนุกจะตาย 555
![](/f/32125/5e9bda87aec4373a7ea37745.jpg)
และจุดสูงสุดของเราในวันนี้ Gawu La Pass ที่ความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 5,198 เมตร จากจุดนี้เราจะสามารถมองเห็น เทือกเขาหิมาลัยและยอดเขาทั้ง 5 ของ Himalayas Range.
จากซ้ายไปขวา Makalu(8463m), Lhotse(8516m), Mt. Everest (8844.43m) and Cho Oyu (8201m) และ Shishapangma (8012m).
![](/f/32125/5e9bda8daec4373a7ea37755.jpg)
![](/f/32125/5e9bda8caec4373a7ea37751.jpg)
และเจ้าถิ่นผู้มีที่อยู่อาศัยเหนือระดับน้ำทะเลสูงถึง 5,198 เมตร - ดูมีความสุขกับสายลมและแสงแดดมาก (สุนัขที่นี่ส่วนใหญ่ขนฟูและเป็นมิตรค่ะ แต่ระวังเจ้าถิ่นแง่บเข้าให้บ้างก็ดี เลือดไหลบนนี้ดูจะไม่ใช่ไอเดียที่ดีนัก แหะๆ)
![](/f/32125/5e9bda88aec4373a7ea37748.jpg)
วันนี้อากาศไม่เอื้ออำนวย ยอดเขาเอเวอร์เรสท์ มีความขี้อาย แอบอยู่ใต้เมฆค่ะ ...
![](/f/32125/5e9bda88aec4373a7ea37747.jpg)
แต่ไม่เป็นไร วันนี้เราจะได้ไปอยู่ใกล้ๆ เห็นกันได้เต็มๆตาแน่นอน
มองสุดสายตา ... แค่มองไกลๆ ยังมีความสุขขนาดนี้ ...
![](/f/32125/5e9bda89aec4373a7ea3774c.jpg)
มีขึ้นก็ต้องมีลงเนอะ... วนลงไปรัวๆ คนขับรถเก่งมาก มีความเชี่ยวชาญในทุกโค้ง ... เพลิน ...
![](/f/32125/5e9bda8caec4373a7ea37753.jpg)
ถนนพับผ้า ... พับไปพับมา ... พอๆกับขาขึ้น
![](/f/32125/5e9bda8baec4373a7ea37750.jpg)
แวะทักทายกับเจ้าถิ่นผู้ครองถนน - จะทุ่มนึงแล้วได้เวลาเลิกงานของพวกแพะแกะเหมือนกัน - กลับบ้านกัน กลับบ้านกัน
![](/f/32125/5e9bda8aaec4373a7ea3774d.jpg)
หลังจากพับไปพับมากับถนนอันคดเคี้ยว เราก็มาถึง Rongbuk แล้ว เย่ ในที่สุด! การเดินทางกว่า 3,000 กม. เพื่อจุดมุ่งหมายของเรา ภูเขาเอเวอร์เรสท์
ที่พักของเรา ในค่ำคืนอันเหน็บหนาวนี้ Rongbuk Hotel (Guesthouse) โรงแรมที่คิดว่าเป็นที่พักที่สูงที่สุดแล้วในชีวิตนี้ 5,150 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล- ช่วงที่เราไปพวกเต๊นท์ที่เป็นเกสท์เฮ้าส์ ยังตั้งไม่เสร็จค่ะ เลยได้พักที่โรงแรมแทน
![](/f/32125/5e9bda91aec4373a7ea3775f.jpg)
ห้องสำหรับ 5 คน ที่นอนหมอนผ้าห่มสะอาดสะอ้านดี มีกระติกน้ำร้อนให้เราไปเติมน้ำได้ฟรีที่ห้องอาหาร ส่วนห้องน้ำ (ห้องส้วม) อยู่ด้านหลังส่วนของห้องพัก เป็นห้องน้ำแยกหญิง-ชายแต่เป็นแบบเปิดค่ะ คือ ซอยเป็นช่องเล็กๆ มีหลุมสี่เหลี่ยมอยู่ใช้สำหรับถ่ายหนักถ่ายเบา เอาเป็นว่านั่งลงปุ๊บคนเดินผ่านยกมือทักทายกันได้ (ฮา)
ปล.ไม่มีรูปมาให้ดู ..เกรงใจคนใช้บริการห้องน้ำค่ะ แหะๆ
![](/f/32125/5e9bda8aaec4373a7ea3774e.jpg)
วิวพันล้าน จากหน้าต่างห้องนอนของเราค่ะ - วิวเอเวอร์เรสท์-
![](/f/32125/5e9bda8daec4373a7ea37756.jpg)
เรามาถึงราวๆ 2 ทุ่มค่ะ แต่ฟ้ายังไม่มืด เลยได้โอกาสออกไปเก็บภาพยามเย็น (หรือค่ำ?) น่าเสียดายที่วัด Rongbuk ปิดซ่อม เราเลยอดเข้าไปไหว้พระด้านใน ได้แต่ยืนถ่ายรูปอยู่ด้านนอก
![](/f/32125/5e9bda8baec4373a7ea3774f.jpg)
ฟ้ายังปิด เมฆยังบดบัง ... ได้แต่มองจ้องไปแล้วอธิษฐาน ขอให้พรุ่งนี้อากาศดี เพี๊ยง!
![](/f/32125/5e9bda8caec4373a7ea37754.jpg)
*ความโชคดีของเรา*
ก่อนมา เราได้ศึกษาข้อมูลความทรมานในการนอนพักค้างคืนที่ตีนเขาเอเวอร์เรสท์ ทั้งความกดอากาศ ความขาดอ๊อกซิเจน และที่สุดคือความหนาวแบบสุดติ่งกระดิ่งแยคส์ ติดลบ เลข 2 ตัว ที่ทำให้เรารู้สึกครั่นคร้าม
แต่ แต่ แต่ พระเจ้าก็เมตตาเรา ไกด์ของเราเสกผ้าห่มไฟฟ้า สำหรับปูนอนมาให้ เป็นของ Tibet Vista โดยเฉพาะ รู้สึกขอบคุณทั้งไกด์และขอบคุณผ้าห่มไฟฟ้า ที่ทำเราร้อนเหงื่อแตกถึงกับถีบผ้าห่มออกจากตัวบ้างบางโมเมนท์ในช่วงที่อากาศหนาวเย็นยะเยียบในค่ำคืนนั้น อ๊อกซิเจนกระป๋องทางไกด์ก็มีจัดเตรียมไว้ให้เผื่อฉุกเฉินรวมถึงถังใหญ่แบบที่ใช้ในโรงพยาบาลก็มี แต่โชคดีสำหรับแก๊งค์เรา ไม่มีใครป่วยจนต้องใช้อ๊อกซิเจนเลย มีความสุขกับผ้าห่มไฟฟ้ามาก หลับๆตื่นๆบ้างเพราะลมแรงมาก คอยพัดประตูตลอดคืน แต่โดยรวมถือว่านอนหลับได้สบายค่ะ
(มีเสียงกรนของเพื่อนร่วมห้องบ้าง ศรีทนได้-ทนไม่ได้ศรีก็ต้องทนให้ได้ 555)
Day 9: ชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ Everest Base Camp ความทรงจำที่ดีทีสุดอีกครั้งกับยอดเขาเอเวอร์เรสท์ – เดินทางกลับสู่เมืองชิกาซส์ (Shigaze)
![](/f/32125/5e9bda93aec4373a7ea37766.jpg)
ตื่นแต่เช้า ล้างหน้าแปรงฟัน วิ่งไปเข้าห้องน้ำ ก่อนที่คนจะพลุกพล่าน เงยหน้ามองด้านหลังของโรงแรมเจอพระจันทร์กลมสวย ฟ้าใสแจ๋วผิดกับเมื่อวาน วันนี้เราโชคดี
เดินท่อมๆท่ามกลางความหนาว ออกมาพบเจอมารดาแห่งสวรรค์ (ของชาวทิเบต) เทพธิดาแห่งมหาสมุทร (ของชาวเนปาล)
![](/f/32125/5e9bda8daec4373a7ea37757.jpg)
กระเถิบเข้าใกล้เธออีกนัด (ไกด์สั่งห้ามไม่ให้เดินเลยเต๊นท์สีเขียว) เราเลยได้แต่เดินไปมาถ่ายรูปเล่นแถวหน้าโรงแรม (หนาวมากกก)
![](/f/32125/5e9bda8eaec4373a7ea37758.jpg)
จากนั้นเราก็นั่งรถ หรือจะเลือกเดินไปก็ได้ค่ะ ระยะทางประมาณ 4 กม. ไกด์จะพาเดินเริ่มสตาร์ทจากจุดเต๊นท์เกสท์เฮ้าส์ (ซึ่งอยู่ห่างจากRongbuk Hotel ไปประมาณนั่งรถ 3 นาทีถึง) ใช้เวลาเดินประมาณ 1-1.30 ชมใ แล้วแต่ความฟิตของแต่ละบุคคล เส้นทางเป็นการเดินบนถนนลูกรังเดียวกับถนนที่รถใช้ และมีความราบเรียบไปถึงลาดชัน ความยาก นับว่าไม่ยากเลย แต่พอบวกความสูงและความหนาวเข้าไป ถือว่าทรหดใช้ได้เลยค่ะ
![](/f/32125/5e9bda8faec4373a7ea3775c.jpg)
พอมาถึง ส่วนที่เป็น Everest Base Camp (ความสูง 5,200 เมตร) เราผิดหวังเล็กน้อย เพราะป้ายที่เคยอยู่ มันได้จากเราไปแแล้ว เหลือแค่ป้ายหินเล็กๆสลักว่า Qomolangma Base Camp - แต่อย่ากระนั้นเลยค่ะ ปีนขึ้นเนินเขาเล็กๆ สูงสัก 100เมตรนิดๆได้ แล้วไปถ่ายรูปกันดีกว่า
![](/f/32125/5e9bda8faec4373a7ea3775a.jpg)
ยอดเขาเอเวอเรสต์ เป็นยอดเขาหนึ่งในเทือกเขาหิมาลัย ซึ่งเกิดจากการชนกันของแผ่นเปลือกโลกยูเรเซียนและแผ่นเปลือกโลกอินเดีย ในทางภูมิรัฐศาสตร์ ยอดเขาเอเวอเรสต์ถือเป็นจุดแบ่งพรมแดนระหว่างประเทศเนปาลและทิเบต โดยชาวเนปาลเรียกยอดเขาเอเวอเรสต์ว่า สครมาตา (ภาษาสันสกฤต: सगरमाथा หมายถึง มารดาแห่งมหาสมุทร) ส่วนชาวทิเบตขนานนามยอดเขาแห่งนี้ว่า โชโมลังมา (จากภาษาทิเบต: Qomolangma จูมู่หลั่งหม่า (珠穆朗玛) หมายถึง มารดาแห่งสวรรค์)
![](/f/32125/5e9bda8eaec4373a7ea37759.jpg)
ชื่อยอดเขาเอเวอเรสต์นั้น ตั้งโดย เซอร์แอนดรูว์ วอ นักสำรวจประเทศอินเดียชาวอังกฤษ เพื่อเป็นเกียรติแก่ เซอร์จอร์จ อีฟเรสต์ นักสำรวจประเทศอินเดียรุ่นก่อนหน้า (คำว่า Everest นี้ คนส่วนมากอ่านออกเสียงเป็น เอเวอเรสต์ ขณะที่เซอร์จอร์จอ่านออกเสียงชื่อสกุลของตัวเองว่า อีฟเรสต์) ซึ่งก่อนหน้านั้นนักสำรวจเรียกยอดเขาแห่งนี้เพียงว่า ยอดที่สิบห้า (Peak XV)
![](/f/32125/5e9bda8faec4373a7ea3775b.jpg)
คนทั่วไปจดจำชื่อเอเวอเรสต์ได้ในฐานะยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก แต่สำหรับชาวเชอร์ปา (Sherpa) และนักปีนเขา (climber) บางคนแล้ว ยอดเขาเอเวอเรสต์ไม่ได้เป็นเพียงแค่จุดที่สูงที่สุดบนพื้นโลกเท่านั้น หากยังเป็นจุดหมายสูงสุดในชีวิตพวกเขาด้วย การไปให้ถึงยอดเขาเอเวอเรสต์เป็นเรื่องที่ยากลำบาก แต่เมื่อยอดเขาเอเวอเรสต์ถูกพิชิตได้ นั่นหมายความว่าขีดจำกัดของมนุษยชาติได้เพิ่มขึ้นอีกขั้นหนึ่งแล้ว
(ข้อมูลจากwikiค่ะ)
เราเกร่อยู่บนยอดเขาเล็กๆนั้นได้ไม่นานค่ะ หนาวจนไม่รู้สึกถึงปลายนิ้วมือนิ้วเท้า ต้องกระกระสนลงมาหาความอบอุ่นจากฮีทเตอร์ในรถที่คุณพี่คนขับเปิดไว้รอ ... หนาวมากกกก
แต่พออุ่นสักพักก็ออกไปแต๊ดแต๋ถ่ายรูปต่อค่ะ รู้สึกดี กับลมหายใจเข้าและออกของตัวเอง อยากอยู่ตรงนี้นานๆ
![](/f/32125/5e9bda94aec4373a7ea37767.jpg)
อธิษฐาน ขอให้ได้กลับมาอีก ... เพี๊ยง
เราใช้เวลาตักตวงความสุขที่ Everest Base Camp ราวๆ 2 ชั่วโมงกว่าค่ะ จากนั้นเราก็พร้อมที่จะกลับลงมากันแล้ว ใช้เส้นทางเดิมค่ะ นั่งรถทั้งวันเพื่อกลับไปนอนค้างคืนที่เมือง Shigatze
ขากลับได้แวะถ่ายรูปกับเทือกเขาหิมาลัยและขวัญใจของเราอีกรอบหนึ่ง ... อยากให้โฟกัสที่ถนนพับผ้า ไปก็โค้งกลับก็โค้งงงไม่มีโกง 555
![](/f/32125/5e9bda90aec4373a7ea3775d.jpg)
ความทรงจำ ที่จะมีอายุยาวนาน อีกหนึ่งบทของหน้ากระดาษบันทึกการเดินทางในชีวิต "เอเวอร์เรสท์"
![](/f/32125/5e9bda90aec4373a7ea3775e.jpg)
เรากลับมาค้างคืนที่เมือง Shigatze อีก 1 คืนค่ะ ความจริงแล้วระยะทางอาจไม่ได้ไกลมากหากนับเป็นกิโลเมตร แต่ที่เราใช้เวลาเดินทางทั้งวันนั้นเป็นเพราะว่า Speed Limit ของทิเบตนั้น บางจุดแค่ 30-40 กม./ชั่วโมง แถมมีระบบจับเวลาและGPS ติดตามรถแต่ละคัน (ของบริษัททัวร์) เพื่อความปลอดภัยและถูกกฎหมาย เวลาที่คนขับเร่งความเร็วเกินกำหนดบางครั้ง เราจะได้ยินเสียงเดือนจากเครื่อง GPS ด้วยค่ะ
Day 10: วัดTashilunpo Monastery – เดินทางกลับสู่เมืองลาซาผ่านเส้นทางชมแม่น้ำพรหมบุตรคนละทางกับขามาแต่หิมะตกตลอดทางเลยอดชมวิว
วันนี้เราได้แวะวัด Tashilunpo Monastery วัดใหญ่ 1 ใน 6 วัดสำคัญของทิเบตพุทธนิกายหมวกเหลือง
![](/f/32125/5e9bda91aec4373a7ea37760.jpg)
Tashilhunpo Monastery (จ๋าสือหลุนปู้ซื่อ) วัดแห่งนี้สร้างขึ้นโดยดาไลลามะองค์ที่ 1 ซึ่งเป็นศิษย์เอกของพระอาจารย์จงคาปา ในปีค.ศ.๑๖๐๐ ต่อมา องค์ปันเชนลามะที่ 4 ได้ขยายตัววัดให้กว้างขวางขึ้น จนในปีค.ศ.1713 ปันเชนลามะองค์ที่ 5 ได้รับตำแหน่งจากจักรพรรดิจีน วัดนี้จึงเป็นวัดประจำขององค์ปันเชนลามะ เป็น 1 ใน 6 วัดที่สำคัญของทิเบต
![](/f/32125/5e9bda91aec4373a7ea37761.jpg)
นามของวัดในภาษาทิเบตแปลว่า "Heap of Glory" หรือ เปี่ยมไปด้วยความรุ่งเรืองไพศาล วัดนี้ถือเป็นวัดสำคัญของทิเบต ด้วยเป็นที่ประทับของ ปันเชนลามะ ซึ่งถือเป็นตำแหน่งสำคัญรองลงมาจากท่านดาไลลามะ
![](/f/32125/5e9bda92aec4373a7ea37763.jpg)
ที่วัดนี้ถึงแม้ว่าอาคารหลายแห่งจะถูกทำลายไปในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรมถึง 2 ใน 3 ส่วน แต่ก้ได้รับการบูรณะกลับคืนมาจนสมบูรณ์
![](/f/32125/5e9bda92aec4373a7ea37762.jpg)
มีสถานที่สักการะศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญ โดยเฉพาะ พระพุทธรูปพระศรีอารยเมตไตยทองขนาดใหญ่ที่ประดิษฐานอยู่ภายในวิหาร มีความสูงถึง 26.2 เมตร (ทองคำหนัก 280 กก.) หรือ สถูปทองคำของท่านปันเชนลามะองค์ที่ 4 ที่มีความสูงถึง 11 เมตรและใช้ทองคำกว่า 110 กก.
ที่กล่าวมาล้วนอยู่ภายในวิหาร หากต้องการถ่ายภาพจำต้องบริจาคเงินให้แก่วัด เป็นจำนวนตั้งแต่ 70หยวนไปถึง 100++หยวน (หลายๆวิหารรวมกัน คาดว่าจะได้ค่าทริปอีกรอบพอดี)
ด้วยความเคารพจึงได้แต่ยกมือพนมไหว้แล้วจากมาถ่ายภาพด้านนอกอย่างสงบค่ะ
![](/f/32125/5e9bda92aec4373a7ea37764.jpg)
เราเดินทางฝ่าหิมะกลับถึงลาซาราว ทุ่มนึง - หาข้าวกินแล้วก็สลบอยู่ที่โรงแรมเลยค่ะ 555 แพคกระเป๋า เตรียมเดินทางกลับบ้านในเช้าวันรุ่งขึ้น
Day 11: ออกเดินทางแต่เช้าตรู่สู่สนามบิน Lhasa Gongga – ไฟลท์มาถึงเฉิงตู ต่อเครื่องกลับกรุงเทพฯโดยสวัสดิภาพ เย่!
วันสุดท้ายของการเดินทาง - ออกจากลาซาแต่เช้ามากกก เพราะสนามบินอยู่ห่างจากตัวเมืองราว 60 กม. ใช้เวลาคร่าวๆประมาณ 1 ชั่วโมง
เราเดินทางกลับจากลาซาโดยสายการบิน Sichuan Airlines ด้วยว่ามันเช้ามากเลยไม่ได้ถ่ายรูปใดๆมาเลย ขออภัยมา ณ ที่นี้ค่ะ แต่โดยรวมคุณภาพโอเค ไม่มีข้าวเช้าเสิรฟมีแค่บิสกิตกับน้ำ 1 ขวด มีจอด้วยนะคะ แต่ไม่ยักกะแจกหูฟัง 555
ไฟลท์ใช้เวลาราว 2 ชั่วโมง ก็มาถึงเฉิงตูค่ะ
เราก็ลากกระเป๋าจากDomestic Terminal มาที่ International Terminal ไม่ไกลเลย เดินแป๊บเดียวมีทางเชื่อมถึง
กลับถึงบ้านปลอดภัยด้วยสายการบินแห่งชาติ การบินไทยนี่ได้รับความนิยมจากพี่น้องชางจีนมากมายอุ่นหนาฝาคั่ง จนบางครั้งลืมไปเลยว่าอยู่บนเครื่องการบินไทย 555 แต่ประทับใจการบริการเช่นเคยค่ะ เลิฟๆ
*ขอจบการรีวิว ทริปตามฝันในครั้งนี้ พร้อมย้ำเตือนตัวเองกับคำสัญญาในสายลมว่าจะกลับไปอีกแน่นอนค่ะ THE EVEREST*
![](/f/32125/5e9bda93aec4373a7ea37765.jpg)
ฝากเพจนิด กดติดตามกันได้ค่ะ ไม่รกแน่นอนเพราะนานๆขยันที https://www.facebook.com/ww4travel
กดไลค์เหอะ ... อยากเจอ 555
หรือจะ Instagram: @nickywork_travel อันนี้บ้าลงรูป ใครชอบดูรูปไปกด Follow กันได้ค่า
Will Work For Travel
วันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 12.05 น.