Tea-Sugar-E-Dream แปลว่า ขอบคุณในภาษาเตอร์กิช

เคยไหม?

ดูรูปสวยๆในอินสตาแกรมแล้วเก็บเอาไปฝัน?


“ตุรกี” หนึ่งในประเทศที่พี่เองก็บินเข้าๆออกๆ

แถวอิสตันบูลบ่อยๆ เพราะแวะเปลี่ยนเครื่อง ได้ออกไปชะโงกทัวร์ดูบ้านดูเมือง

ดูผู้คนก็หลายที แต่แบบผ่านๆผิวๆจริงๆ


จนวันนึง สงสัยจะดูรูปในอินสตาแกรมมากไป...

พี่ถึงกับเก็บเอารูปบอลลูนในคัปปาโดเกียไปฝันถึง ตื่นขึ้นมาก็หมายมั่นปั้นมืออย่างมั่นใจว่า

“พี่จะไปตุรกี!”

คุณล่ะจะไปกับพี่ไหม?


ปล. กระทู้อวดรูป รูปใหญ่มาก รูปเยอะมาก สาระไม่ค่อยมี พี่ขอข้ามเบสิคอินโฟเมชั่น เช่นการแลกเงิน ซิมการ์ด จำนวนประชากร etc. ขอเป็นกระทู้พี่ปล่อยของพาเที่ยวในมุมมองแปลกบ้างไม่แปลกบ้าง หวังว่าจะช่วยเพื่อนๆพี่ๆน้องตัดสินใจซื้อตั๋วเรือบินไปตุรกีกันได้ง่ายยยยขึ้น!.

(ปล.ขออภัยแฟนรัสเซีย ที่ดองรีวิวไว้จนแล้วจนรอด ก็ไม่ได้ลง 555 ขอแซงคิวตุรกีก่อนนะ พี่กำลังอิน!)

ตารางการเดินทาง เดือน 09-20 มีนาคม 2562


Day 1:

กรุงเทพฯ-อิสตันบูล โดยสายการบิน Oman Air (via Muscat) ถึง อิสตันบูลราวทุ่มนิดๆ เราจองรถแอร์พอร์ทลิมูซีนมารับที่สนามบิน – เช็คอินโรงแรม Best Western Antea Palace – ออกมาหาอะไรกินแล่นแถวโรงแรม

Day 1: กรุงเทพฯ-อิสตันบูล โดยสายการบิน Oman Air (via Muscat)

แอร์แขก อย่าได้ตกใจไป ขอบอกว่า อีกนิดนึงก็จะถึงมาตรฐานแอร์ตะวันออกกลางหรูๆที่ลงดูไบแล้วนะคุณ!

OMAN AIR ส่วนตัวพี่ให้ผ่าน โดยเฉพาะเวลานางออกราคาโปรโมชั่นมาแต่ละที อย่าได้กลัวกันค่ะคุณ กดจองเลย เครื่องใหม่ แอร์ไทยก็มี อาหารดี เหล้าเบียร์มี ไวน์ฟรี ขนมอร่อย ห้องน้ำนับว่าสะอาด มีจอ มีที่ชาร์จแบทฯ ค่าเน็ทบนเครื่องถ้าอยากใช้ WIFI ก็ราคาไม่แรงจับต้องได้

ต่อเครื่องที่มัสกัต สนามบินใหม่ล่ะคุณ มันคือสนามบินโดฮาดีดีนี่เองคุณ ยังกับฝาแฝดเพียงแต่ที่มัสกัตไม่มีหมีเหลืองเท่านั้นเอง! สะดวกสบายเดินง่ายไม่หลงแน่นอนคุณ

ที่สนามบินมัสกัต มีWIFI ให้ใช้ฟรีด้วยนะจ๊ะ เดินไปหาตู้ Kiosk กดๆ เอาพาสปอร์ตไปสแกน จะได้พาสเวิร์ดมาใช้ WIFI ฟรีสมใจรู้สึกว่าจะได้ครั้งละ 2 ชม. นะคุณ แต่พี่ต่อเครื่องไม่นาน 2 ชม. นับว่าเหลือๆ สนามบินมีดิวตี้ฟรี มีร้านอาหาร ร้านกาแฟ ใช้บัตรเครดิตสะดวกสุดนะคุณ ไม่งั้นคุณจะได้เงินทอนมาเป็นสกุลโอมานล่ะนะ

เราถึงสนามบิน Istanbul Ataturk Airport ราวๆทุ่มครึ่ง หลังจากผ่านตม.มาอย่างฉลุยเพราะไม่ต้องมีวีซ่า จกกระเป๋าจากสายพานได้เราก็เดินออกมามองหาป้ายคนมารับ ขึ้นรถปั๊บ เราใช้เวลาแค่10นาทีก็มาถึงโรงแรมของเรา The Best Western Antea Palace Hotel and Spa

(รูปจากเนทจ้า)

แน่นอนว่าพี่เลือกที่นี่เพราะเดินไปเที่ยวสถานที่สำคัญรอบบริเวณจตุรัสสุลต่านอาเหม็ดที่ถือเป็นเซ็นเตอร์ของทุกสิ่งอันสถานที่สำคัญของอิสตันบูล เดินไปจากโรงแรมไม่เกิน 10นาที สบายๆ

แถมโรงแรมอยู่ย่านติดทะเลมามาร์ร่า เช้ามานั่งจิบชาบนดาดฟ้ารับวิวทะเลคือดีงามมากค่ะ

และอีกอย่าง นางมี Turkish Bath ให้แขกได้ลองใช้ด้วย แต่ต้องออาบเองนะจ๊ะ หรือจะลองแพคเกจสปาของนางก็เริ่ดอยู่ นวนเนียนทีเดียว ราคาพอๆกับสปาดีๆบ้านเราแหละ พอไหวๆ (60 EUR)

ห้องพักดีตามมาตรฐานโรงแรมยุโรป อาจจะไม่ใหม่มากแต่ก็สะอาดและดูแลดีค่ะ ที่สำคัญไวไฟและน้ำฝักบัวแรงดีมากกก (รูปจากเน็ทอีกแล้ว)

อาหารเช้าก็ดีได้มาตรฐาน แต่ถ้าใครอยากทานแบบหนักๆแนะนำพกมาม่ามาด้วยค่ะ 555 แนวอาหารเช้าจะเน้นชีส ไข่ โยเกิร์ต ผักสด มะเขือเทศ และชากาแฟตลอดการเดินทาง 555 (อันนึ้ถ่ายเองง)

Day 2: Istanbul-Keyseri-Cappadocia- ขับ ATV ชมพระอาทิตย์ตก –Mithra Cave Hotel

อาหารเช้า สายๆ รับลมจากทะเลมามาร์ร่าบนดาดฟ้าของโรงแรม ก่อนที่รถจะมารับเราไปสนามบินอีกครั้ง คราวนี้เป็น Domestic Terminal คนขับส่งเราผิดอาคารส่งผลให้เราต้องพาลลากกระเป๋าไปอีกอาคารนึง ดีนะที่ไม่ไกลกันมีทางเชื่อมอย่างดี ก่อนขึ้นเครื่องก็ขอจิบกาแฟเตอร์กิชสักหน่อย ใครคอกาแฟที่ตุรกีนี่คือสวรรค์ค่ะ! (สวรรค์ของคอชาด้วย!)

ไฟลท์จากอิสตันบูลไปKeyseri ใช้เวลาราวชั่วโมงกว่าๆ คราวนี้เราใช้บริการของ Turkish airlines ค่ะ

มาถึงสนามบินKeyseri ปั๊บ รถจากโรงแรมก็รอรับเราอยู่แล้ว สะดวกสบายจริงๆ ตอนนี้เราสายแล้ว เพราะนัดกับรถ ATV ไว้ ราว 5 โมง แต่นี่เราต้องนั่งรถไปเมือง Cappadocia อีกราวชั่วโมงกว่าๆ ก็นั่งลุ้นๆกันไปตลอดทางค่ะ

สุดท้ายเราก็ไปทันค่ะ โยนกระเป๋าทิ้งไว้หน้าโรงแรมแล้วกระโดดขึ้นรถที่มารอรับไปส่งอู่รถ ATV ทันที 555

ขับไม่เป็น ไม่เป็นไร เขามีเทรนให้เบาๆก่อนในสนามของเขา แต่ถ้าไม่ไหวจริงๆ มีออพชั่นค่ะ หนุ่มเตอร์กิชจากทางATVเค้าจะมาเป็นสารถีให้ นั่งไปสบายๆ 555

ทัวร์นี้ระยะเวลาราว 2-3 ชั่วโมงนะคะ ส่วนตัวชอบมากกว่าทัวร์ขี่ม้า เลยเลือกเป็นทัวร์ ATV with Sunset ค่ะ

อากาศดีๆวิวสวยๆ ถนนก็วิบากเบาๆ สนุกมาก ได้บรรยากาศสมกับATV จริงๆ

เค้าจะพาไปจุดชมวิวต่างๆ เช่น Love Valley, Red Rose Valley อาจจะซ้ำกับ Red Tour บ้างแต่ส่วนตัวคิดว่ามันคนละฟีลลิ่งกันค่ะ ถ้ามีโอกาสพี่เองแนะนำสุดฤทธิ์ให้ต้องมาลองให้ได้ ห้ามพลาดเลยทีเดียวสำหรับ ATV with Sunset in Cappadocia.

จองล่วงหน้ามากับ OZ Cappadocia จ้า

http://www.ozcappadociatour.com/

ปล. ส่วนตัวคิดว่าทัวร์ถ้าซื้อกับโรงแรมเค้าจะบวกคอมมิชชั่นนิดหน่อย เลยติดต่อตรงค่ะ จะได้ราคาดีกว่านิดนึง

สะบักสะบอม เอ่อ... คลุกฝุ่นกลับมาจาก ATV เราก็ได้เวลาเช็คอินกับโรงแรมในฝันของพี่กันแล้ว!

Mithra Cave Hotel จองกันข้ามปีเลยเชียว โรงแรมสุดคูลที่มีวิวดาดฟ้ายามเช้าประดับประดาไปด้วยบอลลูนหลากสีลอยฟ่องในท้องฟ้า... มาดูห้องที่พี่พักกันค่ะ

เลขที่อออออก "51"

ห้องกว้างขวาง เจาะเข้าไปในผนังหินปูนสมเป็นโรงแรมถ้ำจริงๆ

นอนๆ อยู่มีหินงอกหินย้อย (ล้อเล่น! แค่เศษหินปูนเล็กๆค่ะ) ตกใส่หมอนบ้างผ้าห่มบ้างในห้องน้ำบ้าง 5555

เราพักที่นี่สามคืนถ้วน เย่!

บริเวณโรงแรมกว้างขวางกินพื้นที่หลายคูหาในภูเขาหินปูนหลายลูกค่ะ เดินดีๆ มีหลงบ้างอะไรบ้าง (ฮา) มีมุมนั่งเล่น มุมชิลล์ มุมถ่ายรูปนู้นนี้นั้นมากมาย จะถ่ายให้ครบทุกมุมคิดว่าคงใช่เวลาเป็นวันแน่ๆ

Day 3: เช้าถ่ายรูปบนดาดฟ้าของโรงแรม สวยราวกับที่ฝันถึง! – แต่ไม่ถึงเพราะบอลลูนไม่ขึ้น!

แทบจะรอให้ถึงตอนเช้าไม่ไหว เพราะไฮไลท์ของโรงแรมนี้ก็คือ "ดาดฟ้าาาา"นั่นเอง

ร้านอาหารของโรงแรมที่ไว้เสริฟอาหารเช้าจะอยู่ติดกับดาดฟ้าพอดี แต่วาสนาพี่นี้น้อยนัก บอลลูนไม่ขึ้นค่ะ เพราะลมแรง อดดูบอลลูนลองฟ่องอย่างในฝันเลย..แต่พอได้เห็นวิวและบรรยากาศ...สูดลมหายใจเข้าแล้วบอกกับตัวเองว่า "โอกาสหน้ายังมี!"

(ปลอบใจตัวเอง โดยที่ยังไม่รู้ชะตากรรมว่าอีกสองวันถัดมาบอลลูนเค้าก็ไม่ขึ้น!)

09.00 ตรงเป๊ะ รถก็มารับเราเพื่อไปเที่ยวสถานที่สำคัญๆของคัปปาโดเกีย พี่ตัดสินด้วยตัวเองว่า Red Tour คือ Small Circuit เดินไม่เยอะเท่า Green Tour นั่งรถไม่ไกล Green Tour เหมาะสำหรับคนที่ชอบเดิน มีเทรคกิ้งหน่อยๆ ผจญภัยนิดๆ และถ้ามีเวลาน้อยต้องเลือกทัวร์ใดทัวร์หนึ่ง ก็ลองไป Red Tour ดูค่ะ (แต่ถ้ามีเวลาหลายวัน ไปมันให้ครบนะคะ ทั้งเขียวทั้งแดง เพราะเดี๋ยวพี่ว่าจะกลับไปซ้ำสายเขียว 5555)ง

วันนี้เราซื้อทัวร์จอยค่ะ คือไปเที่ยวกับคนอื่นๆร่วมกันเป็นกลุ่มเล็กๆ กรุ๊ปที่ไปลูกเป็ดอยู่ 10 ตัว แม่ไกด์ 1 คน พร้อมคนขับ

สนนราคาเราซื้อล่วงหน้าไปถือว่าถูกกว่าซื้อทัวร์ที่จองกับโรงแรมค่ะ

ขอวิชาการคร่าวๆ (ที่ได้มาจากพี่ไกด์) เกี่ยวกับคัปปาโดเกียกันสักหน่อย คัปปาโดเกียเกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟ 3 ลูก คือ Erciyes , Mekendiz และ Hasan (ปัจจุบันเรายังสามารถเห็นภูเขาไฟพวกนี้ได้ แต่เป็นภูเขาไฟที่หลับไปแล้ว(คือจะไม่ระเบิดแล้วล่ะมั้ง)) ถ่านเถ้าลาวามหาศาลที่ไหลหลั่งสั่งสมมากว่า30ล้านปี (โอ้แม่เจ้า) พื้นที่เหล่านี้ได้ถูกกัดกร่อนด้วยลม หิมะและฝน รวมถึงแผ่นดินไหวและน้ำท่วมใหญ่อยู่เนืองๆในยุคนู้น เกิดเป็นภูมิประเทศแปลกตา อย่างที่เค้าตั้งชื่อเรียกอย่างน่ารักว่า "fairy chimneys"

ในปี ค.ศ. 1985 UNESCOได้ประกาศให้เมืองคัปปาโดเกียเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติและวัฒนธรรมของตุรกี ในอดีตที่แห่งนี้เคยเป็นที่อยู่อาศัยของผู้คนในแต่ละยุคแต่ละสมัยจจึงเกิดการขุดเจาะภูเขาให้เป็นถ้ำทำที่พัก และสถานที่สำคัญต่างๆ มากมาย

จุดแรกที่พี่ไกด์พาเราไปคือ Uchisar Castle ค่ะ พี่ไกด์เล่าให้ฟังคร่าวๆว่า Uchisar เป็นจุดที่อยู่สูงที่สุดของคัปปาโดเกีย ชาวฮิตไทท์โบราณผู้ปกครอง Anatolia (หรือที่นักประวัติศาสตร์บางท่านเรียก  Asia Minor หรือก็คือประเทศตุรกีในปัจจุบัน) พวกฮิตไทท์เลือกบริเวณนี้เพื่อสร้างปราสาทและป้อมปราการด้วยการเจาะเข้าไปในภูเขาหินปูนลูกเดี่ยวที่ใหญ่และสูงที่สุดในคัปปาโดเกีย ภายในเต็มไปด้วยห้องหับ ช่องลับและอุโมงค์มากมาย เพื่อเอาไว้หลบหนีศัตรูที่มารุกราน

ถามว่าเก่าแก่แค่ไหน พี่ไกด์บอกต้องมีไม่ต่ำกว่า 3,000ปี! นี่มันยุคก่อนพระคริสต์เลยนะน้องนะ พี่ไกด์กล่าว!

ตัวปราสาทด้านบน ถ้ามีเวลาและชอบความผจญภัย ก็สามารถปีนป่ายขึ้นไปสัมผัสความงามจากมุมสูงของปราสาทได้ ค่าเข้า 8 ลีราเท่านั้นจ๊ะ

บริเวณรอบๆก็จะมีร้านขายของที่ระลึก มีคาเฟ่ในถ้ำ (ที่แสนเสียดายไม่มีเวลาแวะไปดู) พี่ไกด์ยังแนะนำอีกว่า คราวหน้าถ้าเธอมา อย่าลืมมาปีนปราสาทขึ้นไปนั่งดูพระอาทิตย์ตกนะจ๊ะ มันสุดแสนจะฟินน์ ชีรับประกัน

เราไปต่อกันที่ Goreme Open-Air Museum โดยพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งแห่งนี้ ได้รับการประกาศรับรองจาก UNESCO ให้เป็นมรดกโลกตั้งแต่ปี 1985ที่แห่งนี้เป็นมหานครโบราณ ในยุคศตวรรษที่ 9 อยู่หลบเร้นสายตาผู้คนในหุบเขา ด้วยความมานะอุตสาหะของคนโบราณ ได้ขุดเจาะโพรงเข้าไปในแท่งหินยักษ์เหล่านี้ เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัย โบสถ์ ห้องสวดมนต์ ห้องครัว สำนักนางชี ฯลฯ สถานที่แห่งนี้ถือได้ว่าเป็นนครศักดิ์สิทธิ์ในยุคแรกของคริสตศาสนิกชนก็ว่าได้ เนื่องจากในศตวรรษที่ 9 ศาสนาคริสต์เพิ่งกำเนิดและยังไม่ได้รับการยอมรับจากโรมันและศาสนาอิสลามที่มีอิทธิพลมากในแถบนี้ ผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ในสมัยนั้นจึงต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ อยู่ในโพรงถ้ำ

ที่นี่เป็นไฮไลท์ที่เราตัดสินใจจองทัวร์แบบมีไกด์เพราะเราอยากทราบข้อมูลเบื้องลึกเบื้องหลังของสถานที่แห่งนี้ และก็ไม่ผิดหวังพี่ไกด์อธิบาย (เรียกว่าเล่าดีกว่า) ให้เราฟังถึงประวัติศาสตร์อันยาวนานของสถานที่แห่งนี้ การอยู่กันอย่างหลบๆซ่อนๆของชาวคริสต์จนถึงยุคที่ชาวคริสต์และมุสลิมอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข จนถึงยุคที่ผู้นำเติร์กใหม่มีนโยบายแลกเปลี่ยนประชากรคริสต์-มุสลิม ให้ชาวมุสลิมจากกรีซย้ายมาอยู่คัปปาโดเกียและให้ชาวคริสต์จากคัปปาโดเกียย้ายไปอยู่กรีซ (จริงเท็จยังไม่ได้หาข้อมูลเพิ่ม แต่รู้สึกชอบใจในยโยบายท่านผู้นำ)

ภายในพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งอันกว้างขวางประกอบไปด้วยภูเขา และถ้ำคูหาต่างๆ ที่ดูราวกับเป็นอาคารสูงหลายชั้นมีหน้าต่างมีห้องหับมากมาย รวมถึงบ้านนกพิราบที่เป็นประหนึ่ง "โทรศัพท์" ในยุคปัจจุบัน นอกจากนั้นชาวถ้ำยังได้ใช้ไข่ขาวของนกพิราบมาเป็นส่วนผสมในการเขียนภาพสีเฟรสโกตามผนังโบสถ์ในถ้ำอีกด้วย

ภายในจะห้ามถ่ายภาพค่ะ และบางโบสถ์ก็มีจำกัดเวลาในการเข้าชมด้วย จากการสัมผัสด้วยสายตาและเมื่อทราบอายุของภาพเขียนสีเฟรสโกต่างๆบนผนังและเพดานแล้วก็ได้แต่อึ้งและทึ่งในความฉลาดและสามารถของคนโบราณยุคสองพันปีที่แล้ว ต้องไปเห็นด้วยตาสักครั้ง มีคำกล่าวว่าจิตกรรมฝาผนังและเพดานเหล่านี้ เป็นภาพเขียนสีเฟรสโกของศาสนาคริสต์ยุคแรกที่สมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

เราใช้เวลาอยู่ที่นี่ราว 2 ชั่วโมงค่ะ จากนั้นไกด์ก็พาเราเดินทางสู่เมือง Avanos ที่อยู่ห่างจาก Goreme ไปประมาณ 10 นาที

ที่นี่พี่ไกด์พาเรามาเยี่ยมชม (รึพามาฟัน?) โรงงานทอพรมของดีขึ้นชื่อของตุรกี ที่ว่ากันว่า พรมตุรกี ดีพอๆกับพรมเปอร์เซีย แถมดีไม่ดีชาวตุรกียังกล่าวอีกว่าถึงพรมเปอร์เซียจะดี แต่พรมตุรกีก็ดีกว่า 555 (เกทับกันไม่หยุดค่ะ)

พี่ไกด์เม้าให้ฟังว่า พรมตุรกีจะทอแบบใช้ผูกปมสองชั้นให้สมมาตร ส่วนพรมเปอร์เชียเป็นการผูกปมชั้นเดียวแบบไม่สมมาตร จึงแน่นสู้พรมตุรกีไม่ได้ ประโยชน์ใช้สอยแต่เดิมคือพรมปูพื้นบ้านให้อบอุ่นในฤดูหนาว และใช้ปูพื้นทำพิธีละหมาด ส่วนการทอพรมเป็นรูปแปลก ๆ หรือใช้ตกแต่งฝาบ้านเหมือนปัจจุบัน ก็เพิ่งจะทำกันภายหลัง

อันนี้เป็นที่ทอจากไหมล้วนๆซึ่งใช้เวลาทอกันเป็นปีปี ราคามีเป็นหลักแสน พี่นี้ก็ได้แต่ชื่นชม จับจับถูถูดูด้วยความทึ่งแต่ก็ไม่ได้หลงลมคนขายหน้ามืดตาลายซื้ออะไรกับเค้าเลยสักอย่าง (เพราะราคาเกินเอื้อมเหลือเกิ๊น ได้แต่จิบชาฟรีดูพี่คนขายเม้ามอยไม่หยุด)

หมดเวลาที่นี่ไปราว 40 นาทีได้ความรู้เรื่องพรมตุรกีและเทคนิคการขายมากมายค่ะ 555

จากนั้นเราก็แวะกินข้าวกลางวัน เป็นบุฟเฟ่ท์ทั่วไปค่ะ ไม่มีอะไรเป็นที่น่าจดจำ 5555

อิ่มหนำสำราญแล้วเราก็ไปต่อกันที่โรงงานทำเครื่องปั้นดินเผาและเซรามิค พี่ไกด์ของเราคราวนี้นางเล่าให้ฟังว่าของดีเมืองนี้อีกอย่างคือเครื่องปั้นดินเผา เพราะนางมีดินแดงจากแม่น้ำแดงอุดมสมบูรณ์ และก็มีดินขาวด้วยเซรามิคก็เลยเป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์หนึ่งตำบลที่ขึ้นชื่อ

ณ ที่แห่งนี้พี่ได้ความรู้ใหม่ค่ะ คือเจ้าเหยือกนี้!

มันคือสัญลักษณ์ของเมืองคัปปาโดเกียค่ะ เป็นเหยือกไวน์ทำจากดินเผาโบราณของชาวฮิตไทท์ ซึ่งบูชาพระอาทิตย์ และเค้าเอาไว้ใช้เสริฟไวน์เพื่อถวายแด่เทพเจ้าและกษัตริย์ ก่อนจะเสริฟต้องเอาไปตั้งบูชาที่วิหารให้พระอาทิตย์อยู่ตรงรูตรงกลางพอดี ไวน์นั้นก็จะกลายเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ และท่าเทมาตรฐานต้องท่านี้! (ปล.รูปจากเน็ท ตอนไกด์ทำให้ดูถ่ายไม่ทัน 555)

หลุดจากโรงงานเซรามิคเราก็ไปต่อกันที่ Devrent Valley หรือ พี่แปลเปนชื่อไทยให้ว่า "หุบเขาแห่งความมโน" เพราะรอบๆบริเวณจะเต็มไปด้วยหินทรายรูปร่างแปลกประหลาด พัฒนาต่อมมโนและจินตนาการฟุ้งซ่านได้อย่างดี อูฐเอย ปลาทองเอย หมวกนโปเลียนเอย ดูๆไปก็เออ เข้าทีอยู่เหมือนกัน 5555

หลุดจากหุบเขาแห่งความมโน พี่ไกด์ของเราก็พาเราไปลุยอีกหุบเขาหนึ่งนามว่า หุบเขาพระ 555

ใช่ค่ะ Monks Valley หรือ Pasabag (Pasabag แปลว่าไร่องุ่นไวน์ของนายพล!) พี่ไกด์เล่าว่าเดิมเป็นไร่องุ่นทำไวน์ แต่ต่อมามีบาทหลวงนาม Simeon เดินทางจากเยรูซาเลมหลบหนีความวุ่นวายจากเหล่าสาวก มาปลีกวิเวกและแสวงหาที่ปฏิบัติธรรมที่นี้เมื่อ 1500 ปีที่แล้ว จุดเด่นสุดของที่นี่ก็คือ Hermitage of St.Simeon ซึ่งเคยเป็นที่พำนักของบาทหลวงไซมอนไร่องุ่นของนายพลเลยกลายเป็น The Valley of the Monks ไป

พี่ว่า มันก็ดูคล้ายๆปราสอทนอยชวานน์สไตน์อยู่หน่อยๆไหม๊? (ติดมาจากหุบเขามโน5555)

ยัง ยังไม่หมด ต่อไปพี่ไกด์ของเราก็ได้พาเราไปหุบเขาคนโฉด!555 ค่ะ จริงๆแล้วคือ Love Valley พี่ไกด์ก็พยายามอธิบายว่าเป็นเสาคู่รัก คู่กันไรงี้

แต่อีพี่เนี่ย เข้าโหมดคนโฉด แล้วเดินตามหาหินยายทันทีค่ะ!!!! (ไม่ยักกะเจอแฮะ แหะๆๆ)

อ่ะ เชื่อๆ Love ก็ Love!

จากนั้นพี่ไกด์ก็มาส่งเราที่โรงแรมค่ะ เสร็จทัวร์ราวๆ 5โมงเย็น ก็ได้พอมีเวลาพักยืดเส้นยืดสายสักหน่อย ไปจิบเบียร์เคล้าอากาศเย็นบนดาดฟ้าของโรงแรมกัน

วิวยามเย็นเช่นนี้ ... เบียร์เย็นๆ เพลงแขกๆ ฮุกก้าหอมๆ สักพักน้องพนักงานก็มาจุดเตาผิงไล่ เอ๊ย ให้ ... สบายอย่างที่สุดค่ะ!

20.30 รถก็มารับเราอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้เราจะไป Turkish Night กันค่ะ!

หมายมั่นปั้นมือว่าจะต้องได้ดู Belly Dance อย่างใกล้ชิด และก็สมใจค่ะ Turkish Night จะรวมอาหารค่ำและเครื่องดื่มไม่อั้น (รวมเบียร์และไวน์)

แต่ขอแนะนำว่าให้หาอะไรทานรองท้องไปก่อนจะดีที่สุดค่ะ เพราะอาหารจะออกช้าแต่รสชาติโอเคค่ะใช้ได้

(กับแกล้มเยอะมาก เยอะจนตอนแรกนึกว่าต๊ายให้กินแค่นี้ป่ะเนี่ย เมนคอร์สออกช้ามากๆค่ะ มีสามอย่างให้เลือก คือ ปลา เนื้อ และไก่)

ก่อนจะได้ดู Belly Dance เค้าก็จะมีโชว์ระบำพื้นบ้านให้ดูมากมายค่ะ เพลินๆดี อิอิ

นางเอกของเราในค่ำคืนนี้!!!

ใครอยากดูเป็นคลิปแดนซ์สั้นๆ ไว้พี่จะไปโพสท์ไว้ในเพจพี่นะ อิอิ

โชว์เลิกประมาณ 5ทุ่มค่ะกลับถึงโรงแรมเราก็สลบพับทันที 5555 ราตรีสวัสดิ์คัปปาโดเกียยยย

Day 4: เช้ามาก็ยังผิดหวัง เพราะลมยังไม่เลิกแรง! อดบอลลูนอีกครั้งหนึ่ง!

"บอลลูนไม่ขึ้น" กรี๊ดในใจ แง ... อดดด ใช้เวลาทำใจอยู่ 30 วินาทีก่อนได้โซลูชั่นให้ตัวเองว่า "พี่จะกลับมาซ้ำ!" สบายใจแล้วก็เตรียมตัวออกไปเดินเล่นในเมืองกัน เพราะวันนี้เป็น Free Day ค่ะ เวลาไปเที่ยวไหนๆ แล้วถ้ามีเวลาที่พอจะทำได้ พี่ชอบเว้นวันว่างไว้ไม่ต้องแพลนอะไร สักเมืองละวัน เอาไว้เดินเล่น นั่งๆนอนๆ เก็บเกี่ยวบรรยากาศของเมืองนั้นๆ ไม่ใช่แค่ไปแต่ตามสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆอะไรอย่างงี้

และคราวนี้ที่คัปปาโดเกีย ร้านพรมชื่อดังแห่งสำนัก Youtube ที่ไม่เคยอยู่ในหัวมาก่อนว่าอยากไปเยือน ก็ดันมาโผล่ให้เห็นในระดับสายตา แค่เดินลงเขามาจากโรงแรมถ้ำก็เจอ Galeri Ikman อันเลื่องชื่อเรื่องถ่ายรูปสวยก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าแค่ช่วงข้ามถนน ไปค่ะ! เข้าไปลุยกันเลย!

พี่เค้าเป็นรีเซพชั่นของทางร้านนะ นางนั่งขลุกอยู่กับแกงค์เราครึ่งวันไม่ไปไหนเลย

ความพิเศษของที่นี่ก็คือ ถ้าคุณจะเข้ามาถ่ายรูปสวยๆด้วยตัวเอง เค้าคิดค่าเข้า 50ลีร่า (300 บาท) แล้วจะยืมชุด ยืมพร๊อบ จะถ่ายกี่รูปกี่ช๊อทมุมไหนซอกไหนของร้านก็ได้ (ร้านค่อนข้างกว้างค่ะ มีทั้งด้านในและด้านนอก) หรือจะเลือกใช้บริการเสริมจากช่างภาพมือโปรฯ (ซึ่งก็คือลูกชายของลุงเจ้าของร้านนั่นเอง) เค้ามีบริการถ่ายภาพด้วยโดรน 20 ภาพนิ่ง + 1 วิดีโอสั้นๆ สนนราคาที่ 100ลีร่า (600 บาท) แรกๆแกงวค์พี่ก็อ่ะ ถ่ายคนเดียวพอ...ทำไปทำมา ..ถ่ายกันหมดยกแกงค์เลยค่ะ ผลงานดีเป็นที่ประทับใจ แวะไปชมได้ที่ Instagram พี่เอง (@nickywork4travel) หรือของทางร้านเอง ที่ galeriikman นะเจ้าคะ

ออกมาจากร้านพรมก็จะบ่ายสามแล้ว ... ท้องเริ่มจะหิวค่ะ พิกัดการเดินก็จะสั้นๆหน่อย แค่ข้ามจากร้านพรมมาหน่อยก็จะเจอร้านอาหารชื่อ Kale Terrasse บริการดี อาหารอร่อย หน้าไม่งอ รอไม่นาน แต่เพราะชาวแกงค์หิวกันมากเลยสั่งกันถล่มทลาย (อาหารตุรกีอร่อยนะ)

อันนี้คือต้องกิน ต้องห้ามพลาด มันคือ Testi Kebab - ไก่ดินเผา คุณต้องลองคุณต้องห้ามพลาด คุณต้องมากินตอนร้อนๆกับข้าวสวยนุ่มๆ มันอร่อยมากกกกกก ให้ 10ดาวไปเลยค่ะ!!!

อิ่มหนำสำราญกันแล้วก็นั่งผึ่งพุง วางแผนการเดินต่อ ตอนนี้จะสี่โมงเย็นแล้วก็เดินโต๋เต๋ไปเรื่อยค่ะ ทักทายเจ้าถิ่นน้อยใหญ่

สุดท้ายก็เดินกลับโรงแรมกันค่ะ ก่อนจะออกมาอีกครั้งเพราะว่าจอง Turkish Bath ไว้ รถมารับถึงโรงแรมเช่นเคย คราวนี้สนนราคาอยู่ที่ราวๆ 140ลีร่ารวมรถรับส่งจากโรงแรมค่ะ

เสียดายที่ด้านในไม่มีโอกาสได้ถ่ายรูป เอารูปจากอากู๋ดูประกอบการบรรยายก่อนนะจ๊ะ

Turkish Bath หรือ Hamam เบสิคของมันก็คือ "การอาบน้ำ ขัดสีฉวีวรรณตามแบบฉบับคนเตอร์กิช"

ขั้นที่ 1 เค้าจะจับท่านแก้ผ้า นุ่งกระโจมอก แล้วพอกหน้าคุณด้วยโคลนพร้อมอวยพรว่าทำเสร็จแล้วหน้าคุณจะสวยบลิงค์ๆ(ฮา)

จากนั้นจะนำท่านไปนั่งแช่ห้องซาวน่าร้อนฉ่า 15 นาที อาบน้ำเย็น 1 รอบแล้วเข้าสู่กรรมวิธี "ขัดสีฉวีวรรณ"

คุณต้องเปลือยลงนอนบยแท่นหินอ่อนอุ่นๆ เทราพิสรุ่นป้าที่ใส่ชุดว่ายน้ำสีดำจะราดท่านด้วยน้ำอุ่นและขัดท่าน "ทั้งตัว" ด้วยถุงมือไยบวบ

เน้นว่า "ทั้งตัว" หน้า A  หน้า B พอสะอาดดีเรียบร้อยเค้าก็จะราดท่านด้วยน้ำอุ่นอีกครั้ง (จะบอกว่าขี้ไคลนี่หลุดเป็นปื้นๆอ่ะ ฟินน์)

จากนั้นนางจะราดท่านด้วยอภิมหาโฟมสบู่ประดุจล้างรถทั้งคัน ขัดสีฉวีวรรณอีกรอบพร้อมนวดคลายกล้ามเนื้อ

ซึ่งณ จุดนี้ฟินน์กว่านวด aroma แถวบ้านพี่ 100เท่า!!!

จากนั้นก็จะล้างตัวเราด้วยน้ำอุ่นอีกรอบ มีสระผมให้ด้วยนะ เอออ

พอเสร็จสรรพพิธีนางก็จะไล่เราไปแช่สระน้ำเย็นแล้วออกไปจิบชาร้อนเป็นอันเสร็จพิธี!!!!!

"สะอาดเอี่ยมอ่องไปทั้งตัว" ขอให้ลอง!!!

(รูปจากในเน็ทนะจ๊ะ ที่พี่ไปลองมาเป็นผู้หญิงเน่อ)

ร้านที่ไปชื่อ ELIS Turkish Bath ค่ะ เดินไม่ไกลจากอนุสาวรีย์ธงชาติใหญ่ๆอ่ะ มองๆหาก็จะเจอป้ายหรือจะเปิด Google ไปก็ได้

จบวันที่ 4 แบบฟินน์ๆ กินมาม่าอยู่โรงแรมแบบสกิปดินเนอร์กันเลยทีเดียวสำหรับวันนี้ ราตรีสวัสดิ์ค่ะ

เดี๋ยวไปต่อกันที่ ภาค 2 - คราวหน้า พี่จะพาเหินฟ้าสู่เมือง Izmir พาเที่ยวดินแดนศักดิ์สิทธิ์ มีประวัติศาสตร์ยาวนาน Selcuk และ Ephesus ค่ะ

มาค่ะเราไปต่อกันที่ ตอน 2 กันดีกว่าเร็วเร๊วววว
(ตอนที่ 2) TURKEY สุดฟินน์ดินแดนสองทวีปที่ห้ามพลาด!

https://pantip.com/topic/38760108/comment1

Will Work For Travel

 วันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 12.08 น.

ความคิดเห็น