คนหลายคนอาจจะไม่เลือกการเดินทางหนึ่ง ที่รู้ทั้งรู้ว่า ต้องเอาชีวิตไปแขวนอยู่บนเส้นด้าย

1. เรากำลังจะแขวนชีวิตบนสลิง

ราคาเกือบแตะ 13000 สำหรับทริป 2 คืน 3 วัน ดูแพงไปสำหรับคนที่ยังไม่รู้จัก Gibbon Expérience แต่ผมตัดสินใจจ่ายไปแล้ว พร้อมกับเพื่อนร่วมชะตาอีก 6 คน แถมเลือกโปรแกรมเดินยาวที่สุดและเปลี่ยนบ้านหลังละคืน

เมื่อทุกอย่างยืนยันเราถึงได้เห็นข่าวว่ามีนักท่องเที่ยวตกเสียชีวิตเมื่อปีก่อนด้วยอุบัติเหตุ

เราลงทะเบียนทริป เซ็นเอกสารเกี่ยวกับการยอมรับความเสี่ยง บรรยายความเป็นมาเป็นไปสั้นๆ รวมถึงข้อตกลงต่างๆ ที่เกี่ยวกับความปลอดถัยของโครงการ ดูง่ายๆ ไม่ซับซ้อน

เอกสาร A4 เนื้อหาเป็นภาษาอังกฤษบังคับกลายๆ ให้เราเซ็นยอมรับความเสี่ยงเอง ถ้าไม่เซ็นก็ต้องเปลี่ยนใจกลับบ้าน เมื่อส่งเอกสาร บนโต๊ะมีกระป๋องน้ำโลโก้ gibbonexperince หลายสีให้เราเลือกยังกับสะกิดเบาๆ ว่าไม่เอาพลาสติกนะ

จากขั้นตอนเอกสาร ย้ายฝั่งมาชมวีดีโอแนะนำความเป็นมาของโครงการ การปฎิบัติตัวระหว่างเดินทาง เรื่องความปลอดภัย จบท้ายด้วยเจ้าหน้าที่ของที่นี่อธิบายลงรายละเอียดส่งท้ายอีกที

หลังจากเกือบชั่วโมงเต็มที่สำนักงานของ gibbonx (เราเรียกสั้นๆ กันแบบนั้น) เราจึงเริ่มเดินทางด้วยรถสองแถว

รถคันของเรามี Peter กับ Ellen ชาวฮอลแลนด์ร่วมด้วย ถนนลาดยางเส้นเล็กพาเราผ่านหมู่บ้าน ไต่ลัดเลาะป่าเขาสองข้างทาาง เกือบชั่วโมง จอดพัก แวะห้องน้ำ มีร้านขายของชำเล็กๆ ดื่มน้ำ กินขนม น้องนนท์จัดเบียร์ป๋องแรกก่อนใคร

เราเดินทางต่อ รถไม่ได้ไปตามถนน แต่หักเลี้ยวลงแม่น้ำไปอีกฝั่ง ต่อด้วยทางถนนกึ่งดินกึ่งลูกรังลื่นๆ อีกเกือบชั่วโมง แล้วเริ่มต้นเดินเท้า นักท่องเที่ยวทั้งหมดถูกแบ่งเป็น 2 กลุ่ม เราคนไทยโดนแยกจากคนอื่น Perter กับ Ellen จำใจต้องลาเรา หลังจากพูดคุยกันพอถูกคอในรถ

กลุ่มเรามีพี่คำภีเป็นไกด์หลัก เจียเป็นผู้ช่วย เราเดินเท้าต่อเกือบชั่วโมง ช่วงแรกผ่านทุ่งนาสีทองสลับกับกองฟางข้าวหลังการเก็บเกี่ยว มีชาวบ้านส่งยิ้มทักทาย เดินง่ายไม่เหนื่อย สักครึ่งทางหยุดทานมื้อเที่ยงเป็นขนมปังฝรั่งเศสแบบลาว มีไส้ แม้จะไม่ค่อยชินท้องอย่างข้าว แต่ได้พลังงานเพียบ

ยังไม่ทันรู้สึกเหนื่อยเราถึงแคมป์แรกที่มี อีริค หนุ่มฝรั่งเศสหลงรักธรรมชาติจนไม่ยอมกลับบ้าน เราดูแผนที่เส้นทางคร่าวๆ เรียนรู้การใช้อุปกรณ์ ทั้งอีริคและพี่คำภีย้ำนักย้ำหนาเรื่องของความปลอดภัยตอนโหนสลิง เราฝึกปฏิบัติกันก่อนที่สลิงสั้นๆ ประมาณ 50 เมตรข้างแคมป์

เมื่อรู้วิธีการ เราเลยเดินทางต่อนอกจากกระเป๋าบนหลัง ฮาร์เนสที่สวมขากับเอวไว้คือภาระตัวใหม่ที่ต้องฝากชีวิตด้วยน้ำหนักประมาณ 5 กก.


2. สลิงแขวนชีวิต

"ฟิ้วววว"

เสียงตัวล็อคกรีดสลิง ดังยาวแล้วค่อยเบาจมหายในหุบป่าสีเขียว พร้อมกับร่างของเจียที่ปลิวไปตามสายข้ามไปอีกฝั่งสันเขา เพื่อรอรับพวกเรา

เรามองหน้ากัน เมื่อพี่คำภีถามว่าใครจะโหนเป็นคนแรก ผมกลายเป็นคนแรกเพราะอยากถ่ายรูป ความรู้สึกเหมือนคนกำลังจะกระโดดจากที่สูง แต่ไม่ตกพื้น ต้องบังคับให้มีสมาธิมากที่สุด ค่อยๆ ทำตามขั้นตอนความปลอดภัย ข้ามขั้นไม่ได้ด้วย อุ่นใจตรงที่ยังอยู่ในสายตาพี่คำภี ต้องเซฟตัวเองและรอฟังสัญญาณเคาะสลิง 3 ครั้ง มาจากปลายสายซึ่งหมายถึงว่า ปลอดภัยและไปได้

ตอนแขวนตัวเองอยู่กับเชือกเหล็ก เสียงเสียดสีของห่วงล็อคกับสลิง โคตรกรีดความรู้สึก ยิ่งมีความเร็วของร่างในอากาศลอยผ่านยอดไม้เบื้องล่าง หัวใจไม่ได้ตกไปอยู่ที่ตาตุ่มแต่วูบหายลงไปข้างล่างแบบไม่เห็นพื้นด้วยซ้ำ ไม่ต้องถามถึงความเสียว แต่น่าจะบอกความรู้สึกใกล้ตายได้

รอบแรกเราผ่านกันไปได้ด้วยดี ตลอดช่วงบ่ายเรามีเดินกับโหนแค่สองอย่าง ความรู้สึกไม่เคยชินสักครั้ง แวบความตายผ่านมาในหัวทุก

รอบก่อนกระโดด

ทุกคนน่าจะไม่ต่างกัน วันนั้นแทบไม่อยากนับจำนวน zipline ที่เราต้องผ่าน

ภาพสวยงามว่า โหนสลิงแค่แปบๆ เข้าออกจากบ้านต้นไม้ ตอนนี้เหมือนโดนตีนใครเหยีบแล้วบี้ ขยี้แล้วขยี้อีกจนแหลกยิ่งกว่าผุยผง

จนเราพูดกันเป็นเสียงเดียวว่า แค่วันนี้เราก็คุ้มเกินคุ้ม ถ้าเลือกได้ ไม่อยากไปต่อแล้ว

3. อยู่อย่างชะนี

ถ้าคุณนึกภาพบ้านต้นไม้ของเราไม่ออก ลองคิดถึงจุดหนึ่งบนสันเขา ตรงหน้าคือหุบเขาคั่นกลาง มีต้นไม้ใหญ่ โผล่เรือนยอดระดับสายตาตรงหน้า

คืนนี้เรานอนในบ้านบนยอดไม้นั่นแหละ

บ้านมีแค่ 2-3 ชั้นแล้วแต่หลัง ชั้นล่างจะเป็นห้องน้ำมีท่อต่อนาบกับต้นลงล่าง มีฝักบัวแบบ rain shower มีผนังกั้น มีประตูเข้าออก แต่อีกด้านเปิดโล่ง อาบน้ำหรือทำธุระทุกครั้งด้วยวิวธรรมชาติแสนพิเศษ

เรานอนรวมกันชั้นสอง ที่นอนแต่ละอันมีมุ้งทึบกางไว้กันลม กันหนาวอีกที ยังกันกลัวสำหรับบางคน

ชั้นบนสุดจะมีแค่ห้องนอนเล็กถ้าหลังนั้นมีสามชั้น

เราเห็นความสะดวกสบายนั้น พร้อมๆ กับคำถามถึงความยากลำบากของการก่อสร้างและเคลื่อนย้ายอุปกรณ์

ที่บ้านไม่มีห้องครัว บนสันเขาใกล้ๆ จะมีเรือนครัว เรือนซ่อมบำรุง ก่อนมื้อก็จะมีพี่คำภี เจียและเจ้าหน้าที่ขนข้าวขนน้ำมาให้เราด้วยการโหนสลิง

นึกดูคงไม่มีที่อื่นแล้วแหละที่จะมีคนโหนสลิงมือเดียว อีกมือมีกระติกข้าว ปิ่นโตกับข้าว กาน้ำร้อน ลอยตัวมาหยุดตรงหน้าบริการเรา

นี่ไม่ใช่แค่ชีวิตชะนี ผมนึกแบบขำ เราคือมวลนางฟ้า เทวดาที่ไปไหนมาไหนด้วยการเหาะเหินเดินอากาศ

คืนนั้นเรานั่งปาร์ตี้น้ำชา กาแฟกับอีริค คุยกันจนลืมความรู้สึกบนเส้นสลิงวันนี้เสียสนิท

เพลงกล่อมตอนนี้มีแค่ความมืดกับเสีงกลางคืนแค่นั้น

4. ความรู้สึกเดิมบนสลิงที่ต่าง

เสียงนกเช้าปลุกเราตื่น อากาศเย็น เพราะความหนาแน่นของต้นไม้เกือบไม่เห็นสีท้องฟ้ายามเช้า ความสดชื่นยังแผ่ซ่านรอบตัว แม้หมอกขาวย้อมหลายอย่างให้ดูเทาๆ

เราใช้ชีวิตเหมือนเมื่อวาน เก็บของ เป้ขึ้นหลัง ฮาร์เนสติดเอวอย่างเดิม เดิน โหน ซ้ำแล้วซ้ำอีก ผมยังแอบคิดๆ กลัวๆ ก่อนโหนเหมือนเมื่อวาน แต่วันนี้เรารู้สึกสบายกว่าเดิม ทางเดินชันหน่อย เรากินเที่ยงที่น้ำตก มีเวลาเล่นน้ำ แม้จะเย็นหน่อย

"พี่เด่น ไหล่ผมหลุด ช่วยด้วย"

นนท์ตะโกนจากในน้ำ หลังจากกระโดดตูม เรายืนนิ่ง งง มองหน้ากัน โดยเฉพาะคนที่ถูกร้องขอให้ช่วย

"ไม่เป็นไร ผมใส่เองได้แล้ว"

เรามองหน้ากันอีกยิ่งงงอีกรอบ นึกว่าเป็นเรื่องอำกันเล่น จึงรู้ว่าเป็นเหตุการณ์จริง เมื่อนนท์ขึ้นจากน้ำตัดพ้อเด่นนิดหน่อยว่าไม่มีน้ำใจช่วยน้อง ถ้าตายจะทำไง มันอธิบายว่าเป็นแบบนี้บ่อย บ่อยจนขยับๆ ไหล่ที่เคลื่อนหลุดกลับเข้าตำแหน่งเองได้ สุดท้ายเรื่องความเป็นความตายกลายเป็นเรื่องขำให้เราหัวเราะตลอดทาง

สิ่งหนึ่งที่เป็นงานเหนื่อยสำหรับไกด์ เพราะความยาวของสลิงถ้าเราโหนด้วยท่าไม่ดีจะทำให้ค้างก่อนสุดได้ ไกด์ต้องเอาตัวเองโหนไปแล้วลากร่างไร้เรี่ยวแรงกลับมา แล้วน้ำหนักแต่ละคนไม่ใช่น้อยๆ บวกกับน่ำหนักกระเป๋าอีก โดยเฉพาะฝนกับศิ ถ้าผู้ชายน่าจะเป็นนนท์เยอะสุด ก่อนเข้าบ้านไม่นาน เหลือเด่น นนท์และผมรั้งท้าย เรากันนนท์ให้เป็นคนหลังสุดด้วยแผนว่าจะไปหัวเราะและถ่ายรูป ถ้าแรงไม่ถึงแล้วค้าง เด่นออกไปแล้ว ผมเตรียมพร้อม นานกว่าปกติสัญญานเคาะยังไม่มา ผมหันมาหัวเราะกับนนท์ว่าเด่นต้องค้างแน่ๆ คุยเล่นกันว่าสงสารพี่คำภีต้องลากหมูเข้าฝั่ง

หลังสัญญาณผมปล่อยตัวเอง ด้วยเสียงเสียดสีของสลิงบนหัว ก่อนเริ่มพี่คำภีบอกแล้วว่าช่วงนี้เร็วมาก ถ้าเห็นมือทำท่าหยุดและเสียงตะโกนต้องเบรคทันที ผมผ่านมาได้เกือบชะลอไม่ทัน จนต้องปิดตากลัวชนต้นไม้ เฉียดฉิวรอดได้ แต่เด่นไม่รอด ด้วยความเร็วและแรงมือที่จับตัวล็อคกับสลิงเลยกระแทกกับน็อตปลายสลิง มือเจ็บ หัวโขกบวมเป่ง นนท์มาถึงสุดท้ายยังไม่เห็นสภาพเด่น นึกว่าเราหยอกกันเล่นหัวเราะเสียงดังเอาคืนจากน้ำตก พอรู้ขำไม่ออกรีบขอโทษเด่นทันที โชคดีที่เจ็บไม่มาก

เพราะเพื่อนเจ็บ ความกลัวอย่างช่วงแรกๆ เมื่อวาน ยิ่งดึงความรู้สึกให้ยิ่งตุ้มๆ ต่อมๆ

5. ชีวิตชะนีที่ความเสี่ยงสูง

วันนี้เรามีเวลาบนบ้านเยอะขึ้น ก่อนไปเตรียมอาหารเย็น พี่คำภีบอกว่า วันนี้อนุญาตโหนสลิงรอบบ้านเองได้ ทุกคนพยักหน้ารับทราบ แต่คงคิดเหมือนกัน ถ้าเลือกได้เราคงไม่ขอไปต่อ พอกันทีกับการฝากชีวิตไว้บนสลิง

มื้อเย็นใต้เสียงไฟฉายเหมือนเดิม คืนนี้พิเศษตรงที่เราจัดที่นอนใกล้กัน ขออีริคไม่เอามุ้ง อยากดูดาว

ต้นไม้คืนนี้เปิดกว่าเมื่อคืน ความมืดที่ปราศจากแสงในป่าขับดาวให้เปล่งประกายระยิบระยับเต็มฟ้า

กลางคืนที่นี่ย้อมทุกอย่างรอบตัวให้เำสนิท มองไม่เห็นแม้แต่นิ้วชี้ตัวเองที่ชูตรงหน้า

พรุ่งนี้เราเหลือสลิงอีกแค่ไม่กี่ช่วง เดินแค่ครึ่งวัน กินข้าวเที่ยงที่ดอนใจที่จอดพักเข้าห้องน้ำขามา

สำหรับผม gibbon experience ถ้าตรงตัวคือการไปดูชะนีซึ่งเราไม่เห็นแม้แต่ตัวเดียว ถ้าความหมายแฝงที่ผมพบเอง มันคือการใช้ชีวิตบนต้นไม้แบบชะนี ไปไหนมาไหนก็โหนไป ได้ดูธรรมชาติจากที่สูง ได้รู้สึกว่าเสี่ยงยังไง กลัวยังไง

3 วันกับค่าทริป 13000 บาท จากที่กลัวไม่คุ้มค่า จึงเลือกโปรแกรมน้ำตกที่เดินเยอะสุดวันละ 2-3 ชม. นอนบ้าน 2 หลัง และเพิ่งมารู้ทีหลังว่าเราโหน zipline เกือบ 30 ช่วง ถ้ามีสตินับให้ถ้วน แค่จบวันแรก ผมก็รู้แล้วว่าได้อะไรยิ่งกว่าคุ้ม

ชีวิตอยู่ที่ไหน ยังไงก็อันตราย ใช้ชีวิตให้คุ้มค่า ถ้าไม่ตายก่อน อย่างน้อยก็ได้เรียนรู้

จบทริปเราคงอิ่ม zipline ไปอีกนาน

ง่ายๆ ถ้ากลัวอะไร มีแค่สามขั้นตอนให้เรากล้า ไม่ต่างอะไรกับการโหนสลิง

หายใจเข้ายาวๆ มองไกลๆ ปิดตา

แล้ว

โดดเลย ...

รายละเอียดติดต่อ

https://www.gibbonexperience.org/

ติดตามทริปน่าสนใจอื่นๆ ที่เพจ

https://www.facebook.com/traveltrap.info

traveltrap

 วันจันทร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 เวลา 19.05 น.

ความคิดเห็น