ทริปนี้เป็นอีกทริปวัดใจของเราเลยก็ว่าได้สำหรับการไปภูสอยดาว2วัน1คืน
วัดใจสเตปแรก วัดใจว่าจะโดนเพื่อนเททริปไหม
วัดใจสเตปที่2 วัดใจว่าเราจะมีแรงพอสำหรับภูสอยดาวไหม เพราะทริปนี้เราจะแบกเป้ไปเอง
**แนะนำยาแก้ปวด ยาคลายกล้ามเนื้อ ยานวด สิ่งเหล่านี้ควรมีสุดๆ**
ทริปนี้เราลากเพื่อนที่มหาลัยไปได้ 4 คน รวมเราเป็น 5 คน(ผู้หญิงล้วนเลย 555) เราจัดให้เป็นทริปที่เราชอบมากเพราะยอมรับตรงๆ ว่าไม่เห็นทางช้างเผือกเห็นแต่หมอก(แอบเซงมาก) แต่เราได้เห็นมิตรภาพของเพื่อนๆ และพี่ที่ร่วมทาง ในทริปๆ นี้ อย่าช้าเลย ไปอ่านกัน
ค่าใช้จ่าย
- ค่ารถพิษณุโลก-อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว รอบละ 250 บาท รวมไป-กลับ 500 บาท
- ค่าเข้าอุทยาน คนละ 40 บาท
- ค่าประกันอุบัติเหตุ คนละ 10 บาท
- ค่าเช่าเต็นท์ (แบบเหมา 2 คน 1 คืน) 800 บาท หาร 2 ตกคนละ 400 บาท
- ค่าเช่าเตาแก๊ส 100 บาท + กาน้ำ 30 บาท = 130 บาท หาร 5 ตกคนละ 26 บาท
- ค่าเช่าถังน้ำ 10 บาท(*2) ค่าเช่าขันตักน้ำ 10 บาท(*2) = 40 บาท หาร 5 ตกคนละ 8 บาท
- ค่าอาหารเราซื้อมาม่าคัพไป+ค่าหมูปิ้ง+ค่าน้ำดื่ม = 150 บาท
-ค่าลูกหาบ กก.ละ 30 บาท (เราเอาไปกี่กิโลก็คูณ30) = 0 บาท (เพราะเราตัดสินใจแบกเอง)
รวมค่าใช้จ่าย 1,134 บาท
การเดินทาง
-เดินทางจากมหาวิทยาลัยนเรศวรโดยมีสมาชิก5คน ติดต่อรถจากพี่จ่าเอ๋ 0835998826 นัดรับที่หอในมอนอตอนเวลา 03:30 น. แล้วเดินทางต่อไปรับสมาชิกอีกคนที่เดินทางมาจากกรุงเทพมาลงพิษณุโลก จากนั้นเราก็เริ่มออกเดินทางไปยังอุทยานแห่งชาติภูสอยดาวกันในเวลา 04:00 น.
-ราว6โมงเช้า พี่จ่าจอดแวะตลาดให้เราได้ซื้อเสบียงเอาไว้กินระหว่างทางและเอาขึ้นไปกินข้างบนกัน
พวกเราวางแผนว่าจะซื้อหมูปิ้งไว้กินเป็นอาหารเที่ยง เพราะอาหารเย็นของพวกเราคือมาม่าที่เตรียมมาเองแล้ว แต่ร้านหมูปิ้งก็หายากพอควร หาอยู่สักพักเลยมาหยุดที่ร้านนี้ และจัดการช่วยเป็นแม่ค้าเองซะเลย
ซื้อของเสร็จแล้วเดินทางต่อไปที่อุทยานแห่งชาติภูสอยดาวในทันที นอนต่อไปอีก2ชม.
-07:30 น. ถึงอุทยานก่อนเวลาเล็กน้อย จ่ายค่าเข้าอุทยานคนละ 40 บาท แล้วเราก็เอาสัมภาระวางรอเจ้าหน้าที่(เพราะเจ้าหน้าที่เริ่มงานตอน 08:00 น.) แล้วไปหาข้าวเช้ากินกันก่อน ภายในอุทยานมีร้านอาหารให้เราได้กินก่อนขึ้นภูสอยดาวด้วย เมนูวันนี้ขอเสนอ ไข่เจียว 40.-
- 08:30 น. เราก็ไปดำเนินการกรอกเอกสาร การเช่าที่พักรวมถึงของใช้ต่างๆให้เรียบร้อย(ต้องขอบคุณพี่ปันผู้ร่วมทางอีกคนของพวกเรามากที่ช่วยติดต่ออะไรหลายๆ อย่างให้พวกเรา พี่เขามีประสบการณ์มากกว่าพวกเรา พี่ปันคือที่พึ่งพาที่ดีมากๆ สำหรับพวกเรา)
- 09:00 น. เรานำสัมภาระที่จะขนขึ้นไปชั่งน้ำหนัก (สัมภาระของเพื่อนๆ ) ติดต่ออะไรให้เรียบร้อย รู้ตัวอีกทีก็จะ 10 โมงแล้ว กระโดดขึ้นกะบะเจ้าหน้าทีทันที ขึ้นสายกว่านี้ท่าจะร้อนเกินไป (ระหว่างทางบนหลังรถพวกเราได้พูดคุยกับพี่ปันเล็กน้อย เพราะตอนนั่งรถมาก่อนหน้านี้พวกเราหลับกันจนสุดทางเลยไม่ได้พูดคุยกัน เลยได้แนะนำตัวกันเล็กน้อย) ก่อนที่รถเจ้าหน้าที่จะพาเราไปถึงทางขึ้นภูสอยดาว
แบกเองเลย7กิโล(ลองชั่งดูเล่นๆ น้ำดื่มก็ปาไป 2 กิโลแล้ว)
-10:00 น. ถึงทางขึ้นภูสอยดาว พี่ปันก็ยังใจดีอาสาถ่ายรูปให้พวกเราอีก
- พวกเราเริ่มออกเดินโดยมีพี่ปันนำทางกับกระเป๋าเป้ที่พี่ปันแบกเอง20กว่ากิโล (โหดมาก) ช่วงแรกๆ พี่ปันบอกพี่ไม่เดินเร็วหรอก แต่ก็รู้สึกได้ว่าพี่เดินรอพวกเรา ในใจอยากให้พี่ไปเลยไม่อยากถ่วงพี่ เดี๋ยวเพื่อนๆ ฟ่างจัดการเองได้ แต่พี่ก็ค่อยๆไป ค่อยๆพัก จนผ่านเนินส่งญาติมาได้ เพื่อนเราเลยขอพักก่อน ทำให้เราได้แยกทางกับพี่ปัน ทำให้เราสบายใจที่พี่เขาจะได้เดินไปเลยไม่ต้องคอยเป็นห่วงพวกเรา5คน 555
- การเดินขึ้นภูสอยดาวแค่เนินแรกก็ตัดกำลังเพื่อนๆ ในทีมมากพอควร เนินที่ภูสอยดาวมีทั้งหมด 5 เนิน ยากง่ายสลับกันไป ออกแนวขึ้นแล้วก็ลง ขึ้นแล้วก็ลง ต่างจากภูกระดึงตรงที่ภูกระดึงอาจมีขึ้นแล้วก็ราบแล้วก็ขึ้น ถ้าเอาจากใจ ภูสอยดาวตัดกำลังง่ายกว่าภูกระดึง (ความรู้สึกส่วนตัวนะ)
- เรากลับมาเจอพี่ปันอีกครั้งก่อนแถวเนินเสือโคร่งใกล้ๆ เนินมรณะ พวกเราดีใจมาก (ไม่รู้ทำไม) แต่ด้วยสภาพเพื่อนที่ก็เดินต่อไม่ไหว เราเลยโบกมือลาพี่อีกรอบ 555
- เนินไหนยากที่สุดต้องยกให้เนินมรณะ สมชื่อจริงๆ แบบไม่ต้องบรรยายอะไรมาก อยากให้ลองเจอเองเท่านั้น
คำถามที่เพื่อนสงสัยมากว่าเราเดินขึ้นไปยอดภูทำไม สุดท้ายก็ลงอยู่ดี 555 เราเองก็ตอบไม่ได้ มันสนุกดีมั้ง
เจอพี่ปันแล้ว ไม่ได้ถ่ายรูปพี่ไว้เป็นที่ระลึกเลย ได้แต่ภาพกระเป๋าพี่ 555
วิวระหว่างทางสวยมาก
-ผ่านเนินมรณะก็จะเป็นไทยกันแล้ว แวะสำรวจกระเป๋าตัวเองกันสักหน่อยเพราะรู้สึกว่ากระเป๋ามันใหญ่ขึ้น ถุงขนมนั้นเอง มันพองขึ้นมาเยอะมาก กลายเป็นเรื่องสนุกกันเฉยเลยจากตอนแรกทุกคนทั้งเครียดและโมโหเนินมรณะมา ถุงขนมไม่กี่ถุงก็กลายเป็นเรื่องสนุกของวันไปเลย
-ถึงจุดชมวิวแล้วเดินต่อ 500 เมตรถึงจุดกลางเต็นท์
- 16:00 เราเดินทางถึงจุดกลางเต็นท์ภูสอยดาวกัน เส้นทางไปยังจุดกลางเต็นท์มีดอกหงอนนาคบานรอต้อนรับยังกับเจ้าหญิงเดินในทุ่งหญ้า (คิดไปเอง) มันสวยมากจริงๆนะ
- มาถึงจุดลางเต็นท์ก็เจอพี่ปันกำลังกลางเต็นท์ในใจก็ดีใจมากที่พี่มาถึงก่อน อย่างน้อยเราก็ไม่ถ่วงพี่มาก 555
-เราก็ไปเบิกอุปกรณ์เครื่องนอนมาไว้ที่เต็นท์เก็บของเข้าเต็นท์ เปลี่ยนรองเท้า
กะว่าจะพักผ่อน แต่นอนเท่าไหร่ก็นอนไม่หลับ เลยเดินไปถ่ายรูปชมวิวเล่นกัน พี่ปันก็ใจมาถ่ายรูปให้เราอีกแล้ว (เลยถามพี่ปันว่าคนส่วนมากมาทำอะไรกันบ้างพี่ก็บอกเวลานี้ก็ไปอาบน้ำ เตรียมตัวกินข้าวได้แล้ว เดี๋ยวก็มืดแล้ว แต่น้องๆ ก็เดินเล่นชมวิวไปก็ได้) อืมน่าสนใจ เดินไปดูจุดที่พระอาทิตย์ตก วิวสวยมากกก
-หลังจากอ่านรีวิวของหลายๆคนนั้นก็พอรู้เรื่องการตักน้ำใช้เองอยู่บ้าง ทำใจไปนิดหนึ่ง แต่พอเอาเข้าจริง โหดอยู่เนี่ย จะอาบหรือทำธุระส่วนตัวก็คือตักเองหมด มันว้าวมาก นี่สิเข้าป่าที่แท้จริง ชอบเฉย 555 (ไม่ได้ถ่ายรูปไว้ เสียดายมาก)
-จบวันแรกไปแบบงงๆ เพราะหมอกมาบังดาว (อดเจอทางช้างเผือกเลย เซงสุดดด) กินข้าวเข้านอนตั้งแต่2ทุ่ม
วันที่2
-08:00 น. ตื่นกันมาทำธุระส่วนตัวเรียบร้อย กินมาม่าที่ตั้งใจเอาขึ้นไปกับอุปกรณ์ที่เช่าไว้ ฟินอยู่นะ
- เก็บของคืนเจ้าหน้าที่ ฝากสัมภาระไว้กับเจ้าหน้าที่ เพื่อเดินไปยังจุดหลักเขตแดนไทยลาว ด้านหลังอุทยานสวยมาก ดอกหงอนนาคบานเยอะกว่าด้านหน้าที่เราเดินผ่านมาซะอีก
หลักเขตแดนไทย-ลาว ซำบายดี
ด้านหลังเป็น 2,102 อยากไปมากเลย แต่ยังไม่ถึงช่วงขึ้นหมอกคลุมตลอดทั้งวัน
- 09:00 น. เริ่มเดินทางกลับลงภู แวะไปลาพี่สักหน่อยเพราะพี่นอน 2 คืน แต่เอ๊ะ!! พี่ไม่อยู่เต็นท์ สงสัยไปดูน้ำตก (ต้องขอบคุณพี่จริงๆที่ช่วยเหลือเราหลายๆ อย่างมาก) เดินทางต่อ
- ตอนขึ้นเนินมรณะนานมากและเหนื่อยมาก แต่พอลงเท่านั้นแหละอย่างไวเลยแต่ก็ทุลักทุเลพอสมควร วิวและบรรยากาศดีมาก
-ระหว่างทางกลับก็มีนักท่องเที่ยวเดินสวนขึ้นมา ทางเราก็ไม่มีอะไรจะให้นอกจากคำว่า "สู้ๆนะคะ อีกพักใหญ่ๆ เลยค่ะ"
-ช่วงแรกเราลงมาไวมาก จนถึงทางลงเนินส่งญาติ เพื่อนเราป่วยมาสักพัก อาการกำเริบ หน้าถอดสีไปเลย เราเลยพักกันก่อนให้เพื่อนพักใช้เวลานานอยู่พอสมควร แต่ก็ดีที่ก่อนหน้านี้เราลงมาเร็วพอสมควร เลยทำให้ไม่เสียเวลาเกินไป
-พอใกล้ถึงทางออกไม่มีเสียงพูดออกมาจากใครเลย ปกติแล้วพวกเราครื้นเครงมาก ขนาดพี่ปันยังบอกหาพวกเราไม่ยากหรอกแค่ฟังเสียงก็รู้แล้ว แต่รอบนี้เพื่อนคงหมดแรงแล้วจริงๆ
-พอถึงทางออก พี่จ๋าเอ๋ก็จอดรถรอแล้วแล้ว 555 ออกเดินทางกลับมอกันเถอะ
สรุปเวลาเดินทาง
-นั่งรถจากพิษณุโลก-อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว 4 ชม.
-เดินเท้าขึ้นอุทยาน 6.5 กม. ใช้เวลา 6 ชม.
-เดินเท้าลงจากอุทยาน 6 ชม. พักไป 1:30
ขอบคุณเพื่อนร่วมทางที่แสนดี สาวๆ ทั้ง 4 คนที่ไม่เททริปกัน
ขอบคุณพี่ปันผู้ร่วมทางที่แบ่งปันประสบการณ์การท่องเที่ยวและมิตรภาพดีๆให้กับพวกเรา(หวังว่ากระทู้นี้พี่อาจผ่านมาได้อ่าน)
ขอบคุณพี่จ๋าเอ๋ ผู้ขับรถนำพวกเรามาถึงอุทยานและรับพวกเรากลับไปส่งอย่างปลอดภัยและคำแนะนำอะไรอีหลายอย่างมาก
ขอบคุณอุทยานและธรรมชาติสวยๆ
และขอบคุณตัวเองที่ท้าทายตัวเองได้เป็นรอบที่2 ภูต่อไป รอชมเลย เร็วๆนี้ 555
ฝากติดตาม FB: เพจ PND เราเอาไว้ลงคลิปลงข้อมูลเกี่ยวกับการเที่ยวกับเพื่อนๆของเราเอง
Fang Chanikan
วันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2563 เวลา 12.01 น.