วันนี้พามาเที่ยวที่เมืองสุพรรณ ที่เที่ยวที่ไม่ไกลจากกรุงเทพนัก กับ อุทยานมังกรสวรรค์ ครับ

ภายในอุทยานมังกรสวรรค์ แบ่งสัดส่วนต่างๆออกได้เป็น 3 ส่วนใหญ่ๆ

1. หมู่บ้านมังกรสวรรค์ (ซ้ายล่าง)

2. ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง (ข้างๆหมู่บ้าน)

3. พิพิธภัณฑ์ลูกหลานพันธุ์มังกร (ขวาบน)

การเดินทาง สู่อุทยานมังกรสวรรค์

รถยนตร์ส่วนตัว

มีเส้นทางที่สะดวกที่สุดคือใ้ถนนรัตนาธิเบศร์ ที่เชื่อมกับวงแหวนรอบนอก (ถนนกาญจนาภิเษก) ไปทางอำเภอบางบัวทอง จากนั้นเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 340 ผ่านจังหวัด พระนครศรีอยุธยา เข้าสู่เขตจังหวัดสุพรรณบุรีที่อำเภอบางปลาม้า ถนนเข้าเมืองสุพรรณบุรี เป็นถนนสี่เลนกว้างขวางและสะอาดตา

รถโดยสารประจำทาง

สามารถใช้บริการของรถโดยสารประจำทาง ซึ่งออกจากสถานีขนส่งหมอชิต (ถนนกำแพงเพชร) และสภานีขนส่งสายใต้ (ถนนบรมราชชนนี) ทุกวัน

อยู่ข้างศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสุพรรณบุรีรถไฟ

ถ้าต้องการบรรยากาศการท่องเที่ยวโดยรถไฟ การรถไฟแห่งประเทศไทยก็มีขบวนรถไฟไปยังจังหวัดสุพรรณบุรี รถออกเวลา16.40 น. ทุกวัน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3ชั่วโทง

รถสองแถว (บริการเแพาะภายในตัวเมืองสุพรรณ)

การเดินทางในตัวเมืองสุพรรณมีรถสองแถวให้บริการ โดยขึ้นบริเวณสี่แยกนางพิม หากต้องการเดินทางออกนอกตัวเมือง ติดต่อสอบถามที่คิวรถยริเวณสี่แยกนางพิมได้เลย

ก่อเกิดจากความสัมพันธ์ไทย-จีนที่แนบแน่น สัมพันธ์ไทย-จีน นานยาวหลายศตวรรษ ชาวจีนใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารต่างแซ่ซ้องสดุดี แสดงความกตัญญูต่อแผ่นดินไทยในทุกโอกาส... อาคารหลังนี้ สร้างขึ้นโดยแรงบันดาลใจของนายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานคณะกรรมการศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสุพรรณบุรี ร่วมกับพ่อค้า ประชาชน ที่สนใจประวัติศาสตร์วัฒนธรรมสัมพันธ์ไทย-จีน และเพื่อฉลองความสัมพันธ์ทางการฑูตไทย-จีน ที่มีอายุครบ 20 ปี ในพ.ศ. 2538 จึงได้ริเริ่มรวบรวมเงินจากผู้ศรัทธามาออกแบบก่อสร้าง จัดแสดงนิทรรศการถาวร ลำดับประวัติศาสตร์วัฒนธรรมจีนที่ยาวนานกว่า 5พันปี ให้อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษา... ทบทวน เพื่อสานต่อ... สัมพันธ์อันน่ายดย่อง... ระหว่างไทย-จีน ให้รุ่งเรืองตลอดไป

เมื่อเข้ามาถึงบริเวณอุทยานมังกรสวรรค์ สิ่งแรกที่สะดุดตาที่สุดคงไม่พ้นมังกรตัวใหญ่ยักษ์ที่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหน้า

โดยมังกรที่เราเห็นนั้น จริงๆแล้วคือ พิพิธภัณฑ์ลูกหลานพันธ์ุมังกร เป็นอาคารทรงมังกร ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ความยาว 135 เมตร สูง 35 เมตร กว้าง 18 เมตร ภายในเป็นห้องจัดแสดง ประวัติศาสตร์อารยธรรม ของชาวจีนย้อนหลังไปถึง 5,000 ปี ภายใน พิพิธภัณฑ์ลูกหลานพันธ์ุมังกร จัดแบ่งเป็นห้องๆ ทั้งหมด 21 ห้อง จัดแสดงด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย และ จะทำให้คุณต้องตื่นเต้นตลอดการเข้าชม

รายละเอียดด้านในของ พิพิธภัณฑ์ลูกหลานพันธ์ุมังกร เดี๋ยวจะแยกรีวิวไปอีกกระทู้นะครับ เพราะด้านในมีรายละเอียดสวยงามมากมายเลยทีเดียว

จริงๆแล้ว จากที่จอดรถ เมื่อเดินเข้ามา เราจะผ่านหมู่บ้านมังกรสวรรค์กันก่อน

โดยหมู่บ้านมังกรสวรรค์นั้น ได้สร้างโดยจำลอง "เมืองลีเจียง" ซึ่งเป็นเมืองเก่าแก่โบราณอายุนับพันปี ที่มีรูปแบบที่สวยงามจนได้รับแต่งตั้งให้เป็นเมืองมรดกโลก

โดยอาคารทรงจีนทั้งหลายนั้น ได้ถูกจัดเป็น ร้านค้า ร้านอาหาร และโรงหนัง ให้เดินเที่ยวเดินซื้อของกันเพลินเลยครับ

ด้านหน้าของหมู่บ้าน จะมีหอชมวิวตั้งอยู่ โดยจะเดินขึ้นบันได หรือจะต่อคิดรอขึ้นลิฟท์ก้อได้ครับ เดินขึ้นบันไดก้อไม่ได้เหนื่อยอะไรมากมาย เร็วกว่ารอต่อคิวขึ้นลิฟท์มาก เพราะคนเยอะเหลือเกิน

เมื่อขึ้นมาบนหอชมวิวแล้ว มองลงมาก้อจะได้วิวประมาณนี้ครับ

มาถึงส่วนสุดท้าย ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง โดยส่วนตัวแล้วทางบ้าน จขกท ค่อนข้างนับถือมากทีเดียว จขกท เคยมาไหว้ขอพรตั้งแต่ ยังไม่มีพิพิธภัณฑ์ลูกหลานพันธ์ุมังกร หรือ หมู่บ้านมังกรสวรรค์ มีเพียงศาลเจ้าพ่อหลักเมืองเท่านั้น

ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง เป็นพุทธปฎิมากรรมสลักบนแผ่นหินแบบนูนต่ำ (Relief) ในพุทธศาสนาลัทธิมหายาน ซึ่งเป็นศาสนาที่ชาวจีน ญี่ปุ่น เกาหลี ทิเบต ญวน เขมร นับถือ เป็นศิลปะแบบขอมเป็นรูปพระวิษณุกรรมสวมหมวกแขก ในศิลปะไพรกเม็ง อายุประมาณ 1300-1400 ปีมาแล้ว มีพระนามว่าพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร หรือ พระนารายณ์สี่กร มีหน้าที่ช่วยเหลือมนุษย์ และเหล่าสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์ ประสพแต่ความสุขความเจริญ เช่นเดียวกับพระโพธิสัตว์ เจ้าแม่กวนอิม

ตามคำบอกเล่าต่อๆกันมา เมื่อประมาณ 150 ปีมาแล้ว มีผู้พบพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร จมดินอยู่ตรงริมศาลเจ้าพ่อ ชาวบ้านจึงช่วยกันอัญเชิญขึ้นข้างบน พร้อมกับสร้างศาลใหม่ให้เป็นที่ประทับ มีคนจีนชื่อ เฮียกงเป็นผู้ดูแลรักษาเรื่อยมา

เมื่อครั้งโบราณมีคำกล่าวว่า " ห้ามเจ้าไปเมืองสุพรรณจะทำให้มีอันเป็นไป "

เมื่อ พ.ศ. 2435 สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสด็จตรวจราชการเมืองสุพรรณ ได้ทรงสักการะเจ้าพ่อหลักเมือง ได้ประทานทรัพย์ส่วนพระองค์สร้างศาลเพิ่มขึ้น พร้อมวางแผนให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสเมืองสุพรรณ

พระพุทธเจ้าหลวงทรงพระดำรัสว่า "เข้าทีดีหนักหนา แต่เขาไม่ให้เจ้าไปเมืองสุพรรณ ว่าถ้าขืนไปจะเป็นบ้าไม่ใช่หรือ" สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพจึงกราบบังคมทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้าไปมาแล้วไม่เห็นเป็นอะไร ยังรับราชการมาจนบัดนี้ พระพุทธเจ้าหลวงทรงตรัสสั้นๆว่า "ไปซิ" จากนั้นพระองค์จึงเสด็จมาเมืองสุพรรณ ในคราวเสด็จประพาสต้นเมื่อ พ.ศ. 2447 และทรงกระทำพลีกรรมเจ้าพ่อหลักเมือง และพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ก่อสร้างเขื่อนรอบเนินศาล ทำชานไว้สำหรับคนที่บูชา สร้างกำแพงแก้ว ต่อตัวศาลเพิ่มเติมออกมา ข้างหน้าเป็นแบบเก๋งจีน  

โดยทั่วไปศาลหลักเมืองนั้นจะทำด้วยไม้ บนยอดจะเป็นหัวเม็ด แต่หลักเมืองของ สุพรรณนี้พิเศษกว่าหลักเมืองทั่วไปคือ จะเป็นหินและมีพุทธปฎิมากรอยู่ด้วย

ในช่วงปีใหม่ จะมีการแก้ปีชงด้วยการเอาโคมเล็กๆ เขียนชื่อนามสกุล วันเดือนปีเกิด และนำไปห้อยไว้รอบๆบริเวณเต็มไปหมด

จริงๆแล้วด้านหน้าพิพิฑภัณฑ์ หรือด้านข้างของศาล ยังมีจุดที่น่าสนใจให้เดินเข้าไปอีก โดยเมื่อเดินเข้าไป จะพบกับ หอระฆังมหามงคล ตั้งอยู่ตรงกลางลานหน้าอาคาร เทียนอันหมิน (เป็นอาคาร ๓ ชั้น) ระฆังลูกนี้มีชื่อว่าระฆังมหามงคล เป็นระฆังใหญ่มีน้ำหนักมากเกือบ ๓,๐๐๐ กิโล ประชาชนที่เข้ามาที่ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองนี้ มักจะมาเคาะระฆังใบนี้เพื่อเป็นศิริมงคลแก่ตัวเองและครอบครัวด้วย

ช่วงปีใหม่ จะมีแผ่นป้ายให้ทำบุญกัน เข้าใจว่าเหมือนเราทำบุญกระเบื้องที่วัดไทย โดยจะมีให้ทำบุญซื้อกระเบื้อง และให้เราเชียนชื่อนามสกุลลงไปเพื่อเป็นศิริมงคล จากนั้นก้อจะนำกระเบื้องดังกล่าวไปทำการก่อสร้างอาคารต่อไป

ด้านในสุดจะเป็นศาลากลางน้ำ มีความสูง 7 ชั้น โดยในแต่ละชั้นจะมีรูปปั้นเทพเจ้าต่างๆอยู่ ที่ศาลานี้ไม่มีลิฟท์เหมือนหอชมวิวด้านหน้านะครับ เดินขึ้นไปชั้นบนสุดก้อเหนื่อยพอดูเหมือนกัน

พอขึ้นไปถึงชั้น 7 แล้ว สามารถมองเห็นหอบรรหารที่อยู่ลิบๆได้ด้วยครับ


-----------------------------------------------------------------------
ติดตามกันต่อได้ที่
https://www.facebook.com/TravelofSalaryMan/
https://www.facebook.com/voravuds


Voravud Santiraveewan

 วันพฤหัสที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2564 เวลา 09.49 น.

ความคิดเห็น