ทริปวันนี้จะขึ้นเขาง้อไบ๊ไปฝึกวิชา(จากเรื่องมังกรหยก)  แล้วไปเหยียบเมฆถีบอากาศประลองวิทยายุทธหน้าพระใหญ่เล่อซาน (จากเรื่องฟงอวิ๋น) อ่ะๆ เอาจริงๆล่ะ วันนี้เราจะมาเที่ยวเขาเอ๋อเหมยซาน (峨眉山) ชื่อนี้หลายคนอาจจะไม่คุ้น แต่ถ้าบอกว่าเขาง้อไบ๊ ซึ่งที่เป็นที่ตั้งของสำนักแม่ชีง๊อไบ๊ ในนิยายกำลังภายในเรื่องมังกรหยก เป็นที่เดียวที่พญางูขาวไป๋ซู่เจินจำศีล ภูเขาแห่งนี้เป็น 1 ใน 4 ภูเขาอันศักดิ์สิทธิ์ทางพุทธศาสนาของจีน เป็นพุทธสถานที่สำคัญ มีมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่น และเจริญสูงสุดในสมัยราชวงศ์ซ่ง


บนภูเขาเอ๋อเหมย์มีวัดวาอารามทางพุทธศาสนาเป็นจำนวนมาก มีวัดอยู่ด้านบนเกือบทุกยอดเขา ทุกวันนี้อาจจะเหลือไม่ครบทุกวัด เพราะผ่านกาลเวลาและสงครามมาพอสมควร แต่ก็ยังมีวัดใหญ่และสวยงามบนยอดเขาส เช่น วัดเป้ากว๋อ และวัดวั่นเหนียน เป็นต้น อุณหภูมิที่เขาเอ๋อเหมยซานมีความแตกต่างกันมาก จนมีคำเรียกขานว่า “ภูเขา 4 ฤดู ในระยะ 10 ลี้ อากาศยังแตกต่างราวคนละฟ้า” คนที่ไปเที่ยวที่นี่จึงได้กำไร เพราะได้บรรยากาศที่หลากหลาย

ช่วงที่มาเที่ยวเขาเอ๋อเหมยซาน อากาศเย็นมาก ได้เจอแม่คะนึ้งของจีนด้วย ของไทยเราเทียบไม่ติดเลย น้ำค้างแข็งติดอยู่บนต้นไม้ใบไม้เต็มไปหมดเลย ตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก

บนเขาง้อไบ๊มีอะไร? มีสำนักง้อไบ๊ฝึกวิทยายุทธหรือเปล่า จริงๆแล้วบนเขามีวัดที่มีชื่อเสียงมากมายครับ รูปปั้นพระโพธิสัตว์ผู่เสียน เป็นอีกจุดหนึ่งที่มีชื่อเสียงมากๆ สร้างมาจากทองคำแท้ๆ พระโพธิสัตว์ผู่เสียน หรือ พระสมันตภัทรโพธิสัตว์ทรงประทับอยู่บนหลังช้าง เป็นสัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่เปรียบดังเช่น พระโพธิสัตว์ ต้องรับภาระอันหนักอึ้ง ที่จะนำเวไนยสัตว์ให้พ้นจากทุกข์ บรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลาย เปรียบดังช้าง ที่เป็นไปด้วยแรงของกิเลสตัณหา พระโพธิสัตว์ดังควาญช้างซึ่งมีหน้าที่ฝึกปรือให้ช้างนั้นเชื่อง มีความอ่อนโยน และควาญช้างนั้น สามารถนำช้างไปสู่จุดหมายปลายทางได้

พระสมันตภัทรโพธิสัตว์ บ้างก็เรียกท่านว่า พระโพธิสัตว์แห่งมนตรา เป็นพระโพธิสัตว์ ที่ถือกำเนิด จากพระไวโรจนพุทธเจ้า ในนิกายตันตระบางนิกาย ถือเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง เพราะทรงประทาน ความรุ่งเรือง และความสงบสุขให้แก่ชาวโลก วันประสูติของพระสมันตภัทรโพธิสัตว์ คือ วันที่ 21 เดือน 2 ตามจันทรคติแบบจีน พระสมันตภัทรโพธิสัตว์ ทรงได้ชื่อว่า เป็นพระโพธิสัตว์ผู้ทรงเป็นเลิศในทางจริยาและมหาปณิธาน ด้วยทรง มุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ที่จะโปรดสัตว์ให้พ้นทุกข์ ซึ่งถือเป็นภาระอันหนักหน่วง ภาพพระปฏิมา ของพระองค์ จึงทรงคชสารเป็นช้างเผือก 6 งา (คัมภีร์มหายานเรียกว่า ช้างฉัททันต์) เพราะถือว่าช้าง เป็นสัตว์ที่ทรหดอดทน เป็นการอุปมาอุปไมยถึง การโปรดสัตว์ให้พ้นทุกข์ได้ทั้งหมดว่าเป็นงานที่ยากแสนเข็ญ ต้องใช้ความอดทนอย่างใหญ่หลวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเอาชนะกิเลส และตัณหาของสัตว์โลกทั้งหลายทั้งปวง

ช่วงที่ไปเขาง้อไบ๊ หรือ เอ๋อเหมยซานหมอกลงจัดมากครับ ลองดูสิ มองเห็นตรงหน้าได้แค่ไม่กี่เมตรเท่านั้น เป็นที่น่าเสียดาย ถ้าไปในช่วงท้องฟ้าแจ่มใส องค์ผู่เสียนคงจะมีสีทองอร่ามตาสวยน่าดูเลย

บนเขาง้อไบ๊จะมีตำหนักอยู่โดยรอบองค์ผู่เสียน เรียกว่า ตำหนักทอง ตำหนักเงิน ตำหนักสำริด และตำหนักเหล็ก ซึ่งประหนึ่งว่าได้จำลอง 4 พุทธคิรี อันได้แก่ ผู่โถวซาน จิ่วหัวซาน อู่ไถซาน และ เอ่อเหมยซาน ตอนนี้เรามาอยู่หน้าตำหนักทองแล้วครับ

ด้านในตำหนักทอง จะมีพระพุทธเจ้าสามพระองค์ทรงประทับอยู่บนดอกบัวอยู่ ปกติพระพุทธเจ้าสามพระองค์จะเป็นองค์อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ของที่นี่ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามีความหมายเดียวกันไหม

อีกมุมหนึงของด้านในตำหนักทอง พระพุทธรูปองค์นี้สวยงามมากจริงๆ

ตอนนี้เรามาอยู่หน้าตำหนักเงินแล้วครับ

ด้านในของตำหนักเงิน ข้างในนี้จะไม่ได้ตกแต่งสวยงามเหมือนกับตำหนักทอง จะเรียบๆธรรมดาๆ

วัดเป้ากว๋อ (保国寺) เป็นวัดที่ใหญ่และสวยงามที่สุดของง๊อไบ๊ สร้างขึ้นในสมัย หมิงเพื่อบูชาพระโพธิสัตว์ผู่เสียน(สมันตภัทร) โพธิสัตว์แห่งปัญญาผู้สถิตย์ ณ เขาง๊อไบ๊ ผสมผสาน ความเชื่อของ 3 ศาสนาคือ พุทธ เต๋า และลัทธิขงจื๊อ ภายในมีโบราณสถานสำคัญคือ ซานเหมิน (ประตูเขา) ตำหนักหมีเล่อ วิหารหลัก และหอพระคัมภีร์ ต่อมาในปี 1983 ถูกจัดเป็นอีกหนึ่งในจำนวนวัดที่สำคัญที่สุดในจีน

ช่วงบ่ายเราเดินทางกันไปต่อที่เล่อซาน ที่นี่มีพระใหญ่ที่สลักจากเขาทั้งลูก ภาพนี้ผมเคยเห็นครั้งแรกในหนังเรื่อง ฟงอวิ๋น ขี่พายุทะลุฟ้า ตอนแรกนึกว่าเป็นฉาก CG เฉยๆ ต่อมาได้รู้ว่าเป็นสถานที่ที่มีอยู่จริงๆ ก้ออยากมาโดนตลอด จนวันนี้มีโอกาสได้มาเห็นกับตาตัวเองแล้วครับ ยิ่งใหญ่อลังการจริงๆ

พระพุทธรูปเล่อชานเริ่มสร้างตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง คือคริสต์ศักราช 700 กว่าปี เริ่มต้นโดยมีพระชื่อไห่ทงเดินทางมาถึงเสฉวน และพบว่าเขาเล่อชานตั้งอยู่บนทางผ่านของแม่น้ำสามสาย จึงมักเกิดอุบัติเหตุเรือล่มทำให้มีผู้คนเสียชีวิตบ่อยๆ พระไห่ทงจึงตั้งใจสร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ขึ้นตรงจุดนี้เพื่อให้พระคุ้มครองแก่ผู้เดินทาง ต่อมา มีชาวพุทธผู้มีจิตศรัทธาใช้ความพยายามและใช้เวลาอีก 90 ปี สร้างพระพุทธรูปองค์นี้จนสำเร็จ ชาวบ้านในสมัยนั้นต้องแกะสลักพระพุทธรูปจากภูเขาหิน หลังพิงเขา หันหน้าสู่แม่น้ำหมินเจียง มีความสูง 71 เมตร นิ้วยาว 8.3 เมตร หลังเท้ากว้าง 9 เมตร และช่วงไหล่กว้าง 24 เมตร พุทธศาสนิกชนจากท้องที่ต่างๆพากันมานมัสการเพื่อความสงบสุขแห่งจิตใจ

องค์พระเล่อซาน ยังมีสภาพที่สมบูรณ์ โอ่อ่าวง่างามมาจนถึงวันนี้นั้น ก็ด้วยภูมิปัญญาของคนรุ่นก่อนที่เริ่มตั้งแต่เจาะสกัดหินเป็นทางระบายน้ำไหลด้านหลังพระกรรณทั้งสองและเศียรองค์พระ เพื่อกันการกัดเซาะของน้ำฝนไม่ให้ไหลบนตัวองค์พระและทำลายทัศนียภาพขององค์พระพุทธรูป ทำให้องค์พระไม่สึกกร่อนเสียหายมาก สามารถคงรูปลักษณ์ใกล้เคียงกับเมื่อพันกว่าปีก่อน

ที่นี่ยังได้รับการประกาศจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกแบบผสมระหว่างวัฒนธรรมและธรรมชาติร่วมกับภูเขาเอ๋อเหมย์ เมื่อปี พ.ศ. 2539 อีกด้วย

ในส่วนของวันที่6 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของทริปนี้ เราจะไปเที่ยวกันแบบเบาๆในเมืองเฉิงตูครับ แล้วเจอกันใหม่กับทริปวันที่ 6 ครับ


ติดตามกันต่อได้ที่

https://www.facebook.com/TravelofSalaryMan/

https://www.facebook.com/voravuds

Voravud Santiraveewan

 วันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 เวลา 13.51 น.

ความคิดเห็น