ได้ยินมานานล่ะครับ สำหรับร้านของสายเนื้อ Arno's แต่ก่อนร้านอยูาในเมือง เข้าถึงยากนิดนึง หลังจากได้ยินว่ามาเปิดสาขาที่ใกล้ๆบ้าน The Circle ราชพฤกษ์ เลยไม่ต้องรั้งรอ ขอไปลองชิมบ้างครับ

ร้านอยู่ด้านหน้าของ The Circle เป็นสถานที่ตั้งเก่าของร้านปิ้งย่างเกาหลี Kimju ครับ ไปถึงบ่ายโมงแล้ว คนกำลังแน่นร้านเลย นั่งรอคิวอยู่ประมาณ 20 นาที

ร้านนี้ Arno's เกิดจาก Arnaud Carre เชฟชาวฝรั่งเศส กับ คุณ ศุภนิจ จัยวัฒน์ ร่วมมือกันเปิดร้าน Steak คุณภาพดีที่ราคาไม่แพงขึ้นมา

โดยสาขาเริ่มแรกเปิดที่ ย่านนราธิวาสราชนครินทร์ ซอย20 และต่อมาได้มีการขยายสาขา ขยายรูปแบบของร้านออกมาเรื่อยๆ ร้านดังจนเป็นกระแสดังอยู่พักใหญ่ๆเลยทีเดียว สำหรับเนื้อ ที่นี่จะใช้เนื้อไทย แล้วทางร้านนำมา Dry Age หรือ บ่มเนื้อเอง

การบ่มเนื้อ คือการเปลี่ยนสภาพเนื้อให้มีรสชาติลึกซึ้งมากขึ้น โดยวิธีการในยุคแรกนั้นคือ Dry-Aged หรือการบ่มแห้งด้วยการนำเนื้อสัตว์ที่ผ่านการชำแหละแล้วมาแขวนห้อยไว้ในที่ซึ่งมีอุณหภูมิต่ำประมาณ 1-5 องศาเซลเซียส ความชื้นประมาณ 70-80% ภายในระยะเวลาที่กำหนด ส่วนใหญ่มักนาน 30-45 วัน ไม่ต้องปรุงแต่ง แต้มเกลือ หรือหมักกับของดองใดๆ ทั้งสิ้น ห้อยทิ้งไว้เฉยๆ ให้เอ็นไซม์ในเนื้อย่อยสลายเยื่อหุ้มมัดกล้ามที่แทรกตัวอยู่ตามเนื้อแดงด้วยตัวของมันเอง กระทำการเปลี่ยนโครงสร้างเนื้อที่แข็งกระด้างให้นุ่มขึ้น เมื่อกาลเวลาผ่านไป จากสถานที่บ่มทั่วไปในหน้าหนาวก็เปลี่ยนสู่ห้องบ่มแบบมิดชิด และพัฒนาสู่ตู้แช่ชนิดพิเศษที่ควบคุมได้ทั้งอุณหภูมิ ความชื้น และความสะอาด

ลักษณะของเนื้อที่บ่มจะค่อยๆ แห้งจากรอบนอกสู่ด้านใน น้ำที่แทรกอยู่ตามผิวเนื้อจะระเหยออก ส่งผลให้สีเนื้อเข้มกว่าปกติ มีความนิ่มเพิ่มขึ้น กลิ่นหอมเข้มข้น และมีรสอร่อยลุ่มลึก แต่ใช้ว่าจะมีข้อดีเพียงอย่างเดียว การบ่มแบบ Dry-Aged มีข้อเสียใหญ่ตรงที่เนื้อที่ผ่านกระบวนการนี้จะสูญเสียส่วนที่กินได้ถึง 70% เป็นผิวเนื้อด้านนอกที่ถูกบ่มเพาะจนแห้งแข็ง บริโภคไม่ได้ ต้องใช้มีดแงะ แซะ หรือตัดทิ้งเพียงอย่างเดียว สุดท้ายก็จะเหลือเนื้อส่วนข้างในที่เป็น ‘เนื้อคุณภาพสูง’ เพียง 30% เท่านั้น นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเนื้อแบบ Dry-Aged ที่เราเห็นตามร้านอาหารหรือซูเปอร์มาร์เก็ตจึงแพงหูฉี่

อย่างที่บอกว่า ปกติเค้าจะ Dry Age กัน 30-45 วัน แต่ร้าน Arno's เค้ามีเนื้อ Dry Age ไปถึง 45, 72, 90 วันกันเลยทีเดียว

ภายในร้านจะมีเนื้อแต่ละประเภทและราคาวางอยู่ในตู้ เราสามารถเดินไปเลือกและสั่งได้ที่ตู้เลย นอกจากเนื้อแล้ว ทางร้านยังมีเนื้อแกะ และอาหารทะเลอื่นๆให้สั่งอีกด้วย

มาถึงโต๊ะกันแล้ว จะได้รับเมนูอาหารทำเป็นรูปแผ่นไม้รองเนื้อ เก๋ไก๋ทีเดียว

นอกจากเสต๊กเนื้อแล้ว Burger ก้ออร่อยไม่แพ้กัน ครับ มาดูเบอร์เกอร์กันรอเนื้อที่จะมาเสริฟดีกว่า

Set Traditional Burger เนื้อขนาด 200g เสริฟพร้อม เฟรนซ์ฟรายที่ทำเป็นเกลียวและทอด ผมชอบแบบนี้มากกว่าแบบปกตินะ มันกรอบอร่อยดี ราคา 220 บาท ในชุดนี้รวมน้ำอัดลม 1 กระป๋องด้วย ราคาดีมากๆ สามารถเลือกซอสได้ครับ มีแบบ Spicy กับ Blue Cheese

ถ้าใครกลัวไม่อิ่ม นี่ จัดชุดนี้เลย Set Carnivore แปลว่า Set สำหรับสัตว์กินเนื้อ มาพร้อมเนื้อขนาด 300g กินกันสะใจเลย รายละเอียดอื่นๆเหมือนกับชุด Traditional ครับ ราคา 330 บาท

พอดีคุณแม่ไม่ทานเนื้อ เลยจัด Set Vegetarian ให้ เป็นเบอร์เกอร์ที่มีไส้เป็นเนื้อผักชนิดต่างๆ ราคา 280 บาท เห็นคุณแม่บอกว่า อร่อยดีเหมือนกัน

พระเอกของอาหารมื้อนี้มาแล้ว เนื้อ Ribeye ที่ Dri-Aged ไว้ 75วัน ราคา กิโลละ 1,900 บาท ชิ้นนี้ที่สั่งน้ำหนัก 0.425g ราคา 870.5 บาท เนื้อใหญ่เกินจานไปนิด แล้วโดนสมาชิกเร่งให้รีบๆถ่าย เพราะอยากกินแล้ว ภาพเลยไม่ค่อยสวยนะครับ

สำหรับเนื้อที่นี่ เค้าจะมีให้เลือกแค่ Rare กับ Medium Rare ครับ โดยเนื้อทุกเมนูจะเสริฟ์มากับจานร้อน กว่าจะกินเนื้อก้อจะออกประมาณ Medium แล้วแหละ หรือใครอยากได้สุกกว่านั้น สามารถเอาเนื้อปิ้งกับจานต่อได้เลย ส่วนรสชาตินั้น เนื้อนุ่มมากกกกกกก นุ่มแบบ นุ่มๆเลย อร่อยดีทีเดียว ยิ่งเทียบกับราคาแล้ว ถือว่าราคาถูกเลยทีเดียว เคยไปเจอเนื้อ Dry Age ที่อื่น ปริมาณแบบนี้ น่าจะหลักพันขึ้น

สำหรับราคาของมื้อนี้ ก้อตามนี้เลยครับ

คุณภาพและราคาถือว่าใช้ได้เลย คนเยอะไปนิด โดยเฉพาะเบอร์เกอร์ ถือว่าถูกเลยทีเดียว เอาเป็นว่าติดใจครับ เดี๋ยวคงต้องหาโอกาสไปซ้ำอีกหลายๆครั้งครับ


ติดตามกันต่อได้ที่

https://www.facebook.com/TravelofSalaryMan/

https://www.facebook.com/voravuds

Voravud Santiraveewan

 วันพฤหัสที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 เวลา 09.39 น.

ความคิดเห็น